Saturday, April 28, 2012

การเปลี่ยนโฉมองค์การใหม่ (Rebranding)


การเปลี่ยนโฉมองค์การใหม่ (Rebranding)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: การบริหาร, ธุรกิจ, rebranding, การเปลี่ยนโฉมองค์การใหม่

ศึกษาและเรียบเรียงจาก From Wikipedia, the free encyclopedia

คำว่า Rebranding นั้น ยังไม่สามารถหาคำเหมาะสมที่เป็นศัพท์ทางการที่น่าพอใจในขณะนี้ ส่วนใหญ่ใช้ชื่อแบบทับศัพท์ เรียกเป็นภาษาอังกฤษ แต่หากจะหาชื่อภาษาไทยที่พอเหมาะเพื่อใช้ ก็ขอใช้คำว่า “การเปลี่ยนโฉมองค์การใหม่” (Rebranding)

Rebranding คือการสร้างชื่อใหม่ คำศัพท์ สัญลักษณ์ การออกแบบ และหรือการประสมประสานจากสิ่งเหล่านี้ เพื่อสร้างเครื่องหมายการค้า (Brand) ใหม่ ด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาและกำหนดจุดยืนใหม่ในใจของผู้มีส่วนร่วมได้ร่วมเสียและคู่แข่งขัน (Stakeholders & competitors)

Rebranding อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ที่คนมองเห็น (Visual identity) หรือ Rebranding อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ที่ควรเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาสินค้าและบริการ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทิศทางการดำเนินการของบริษัทใหม่

Identity = เอกลักษณ์, ความเหมือนกัน, ลักษณะเฉพาะตัว, สถานะ, ฐานานุรูป

Rebranding นี้ อาจเป็นการเปลี่ยนตราของบริษัทอย่างเฉียบพลัน การใช้ชื่อย่อ ยุทธศาสตร์การตลาด และแนวการโฆษณา สิ่งเหล่านี้มีเพื่อกำหนดให้บริษัทสามารถกำหนดตำแหน่งและยี่ห้อของบริษัทได้ใหม่ บางทีเป็นการวางระยะห่างของตนเองออกจากยี่ห้อของสินค้าและบริการบางอย่างของบริษัทที่มีลูกค้าแบบดั่งเดิม ไปสู่การได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่สูงขึ้น (Upmarket) หรือกลุ่มลูกค้าที่มีฐานกว้างขวางกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักของการสร้างยี่ห้อใหม่นี้ คือการต้องสื่อสัญญาณและสาระใหม่ของบริษัท บางที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนคณะกรรมการของบริษัทใหม่ ที่เขาต้องการสื่อสารในสิ่งใหม่และทิศทางใหม่

การเปลี่ยนโฉมองค์การใหม่ (Rebranding) สามารถเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ เพราะสินค้าเก่าเริ่มมีความคงตัวไม่สามารถปรับต่อไปได้ หรือบางทีเพื่อให้สอดรับกับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังพัฒนาอยู่ กระบวนการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ หรือเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ จากสถานการณ์ที่บังคับ และไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า ดังเช่นในสหรัฐอเมริกา เพราะบริษัทต้องปรับโครงสร้างใหม่ดังในประเทศสหรัฐอเมริกา ตาม Chapter 11 corporate restructuring หรือเพราะความขัดแย้งรุนแรงกับฝ่ายสหภาพแรงงาน (Union busting)," หรือ เพราะล้มละลาย (Bankruptcy)

Wednesday, April 25, 2012

26 เมษายน 1865 จอห์น วิลคีส บูธ ผู้ลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์น ถูกสังหารโดยทหารม้ากองทัพสหรัฐ


วันนี้ในอดีต 26 เมษายน 1865 จอห์น วิลคีส บูธ ผู้ลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์น ถูกสังหารโดยทหารม้ากองทัพสหรัฐ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: ประวัติศาสตร์, สหรัฐอเมริกา, Civil War, Abraham Lincoln, Confederate, Union,

จาก “1865 - John Wilkes Booth was killed by the U.S. Federal Cavalry.” จาก Wikipedia, the free encyclopedia


ภาพ จอห์น วิลคีส บูธ (John Wilkes Booth)

จอห์น วิลคีส บูธ (John Wilkes Booth) เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1838 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1865 เป็นนักแสดงละครเวทีมีชื่อเสียง เป็นผู้ลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อับลาฮัม ลินคอล์น (President Abraham Lincoln) ที่โรงภาพยนตร์ฟอร์ดในกรุงวอชิงตัน ดีซี (Washington D.C.) เมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1865 บูธเป็นสมาชิกครอบครัวนักแสดงละครเวทีที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 19 จากรัฐแมรีแลนด์ ราวทศวรรษที่ 1860s เขาได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงแล้ว ในขณะเดียวกัน เขาเป็นผู้เห็นใจในฝ่ายใต้ หรือ Confederate และเกลียดชังลินคอล์นที่เสนอให้สิทธิคนผิวดำหลุดพ้นจากการเป็นทาส และมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง

บูธและกลุ่มผู้ก่อการในครั้งแรก วางแผนจะลักพาตัวประธานาธิบดี แต่ต่อมาเปลี่ยนใจเป็นวางแผนสังหารประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) รองประธานาธิบดี Andrew Johnson, และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ William Seward โดยหวังเป็นการช่วยฝ่ายใต้ซึ่งเพรี่ยงพล้ำในการสู้รบระยะหลังมาตลอด บูธเชื่อว่าสงครามยังไม่จบสิ้น เพราะว่ากองทัพของนายพล Joseph E. Johnston ยังไม่ยอมแพ้ และยังต่อสู้กับกองทัพของรัฐบาลฝ่ายเหนือต่อไป ในกลุ่มผู้วางแผน ในการดำเนินการตามแผน บูธประสบความสำเร็จในการลอบสังหารด้วยปืนพก รัฐมนตรีฯ Seward บาดเจ็บ แต่รักษาตัวฟื้นกลับมาได้ ประธานาธิบดีลินคอล์นถูกยิงด้วยกระสุนนัดเดียวเข้าที่ด้านหลังของศีรษะ และเสียชีวิตในเช้าต่อมา

หลังการลอบสังหาร บูธ ขี่ม้าหนีไปทางตอนใต้ของรัฐแมรีแลนด์ แล้วมุ่งไปหยุดอยู่ ณ ฟาร์มแห่งหนึ่งในเขตชนบทตอนเหนือของรัฐแมรีแลนด์ ในอีก 12 วันต่อมา เขาถูกตามล่าจนพบตัวในที่สุด แล้วเขาก็ถูกยิงโดยทหารกองทัพฝ่ายเหนือชื่อ Boston Corbett ซึ่งได้กระทำการอย่างขัดคำสั่ง ฝ่ายร่วมก่อการที่เหลืออีก 8 คนถูกจับได้ และนำตัวขึ้นพิจารณาคดีในศาล 4 คนถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในอีกไม่นานหลังจากนั้น


ภาพ สถานที่ๆ John Wilkes Booth ถูกไล่ล่าจนมุม ณ สถานที่นี้ที่ชื่อ The Garrett Place และถูกยิงเสียชีวิต

ในหลายปีต่อมา ยังมีผู้เขียนหลายคนที่เห็นว่า บูธน่าจะหลบหนีไปได้ และตายไปในอีกหลายปีต่อมาในชื่อปลอม

Tuesday, April 24, 2012

มารู้จักรถยนต์แบบ Hatchback

มารู้จักรถยนต์แบบ Hatchback

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: Vehicle, ยานพาหนะ, รถยนต์, Hatchback, station wagon, sedan

Hatchback = รถเก๋งมีประตูท้าย [ยานยนต์ 12 มี.ค. 2545]

รถยนต์แบบ Hatchback เป็นรถยนต์ที่มีช่วงท้ายใช้ประโยชน์ร่วมได้ทั้งบรรทุกผู้โดยสารและขยายเพื่อขนสิ่งของ ซึ่งประตูท้ายอาจเป็นประตูที่ 3 หรือ 5 เป็นแบบมีบานพับติดด้านบน ใช้เปิดฝายกขึ้นและปิดด้วยการลดลง เบาะที่นั่งตอนท้ายสามารถพับลงเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับบรรทุกของ หรือทำให้พนักตั้งขึ้น เพื่อเป็นที่นั่งพิงเหมือนที่นั่งรถยนต์ปกติ


ภาพ ส่วนที่หนึ่ง เป็นรถยนต์แบบ Sedan บริเวณที่คนโดยสาร คือ A, B, และ C แยกออกจากส่วนที่เก็บของด้านหลัง 
ส่วนที่สอง เป็นรถยนต์แบบตรวจการ (Station wagon) ส่วน A, B, C, และ D อันเป็นส่วนเก็บของมีพื้นที่ถึงกัน 
ส่วนที่สาม เป็นแบบ Hatchback บริเวณ A, B, และ C มีพื้นที่ถึงกัน ซึ่งจะมีพื้นที่คนนั่ง และบรรทุกของได้มากเกือบเท่ารถแบบตรวจการ แต่สั้นกว่า ทำให้รถมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า ประหยัดพลังงานได้ดีกว่า คล่องตัวกว่าในการขับขี่ แต่ขณะเดียวกันมีพื้นที่คนนั่งและบรรทุกสิ่งของตอนหลังได้มากกว่ารถแบบ Sedan

พจนานุกรมอเมริกัน (American Heritage Dictionary) ให้คำจำกัดความ Hatchback ว่าเป็นมีประตูหลังแบบเอียง (Sloping back) ที่สามารถเปิดได้ยกขึ้น


คำว่า Hatchbacks และ liftbacks มีลักษณะที่เหมือนกันและต่างกัน และต่างจากรถแบบตรวจการ (Station wagons) กล่าวคือ ตัวถังนั้นแบบ Hatchback มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930s แต่คำว่า Hatchback เริ่มมีใช้กันในช่วงปี ค.ศ. 1970 ที่การออกแบบรถยนต์ในสไตล์นี้ได้รับความสนใจไปทั่วโลก

ภาพ  Suzuki Swift 5 ประตูแบบ Hatchback
ภาพรถยนต์ไฟฟ้า Ford Focus EV แบบ 5 ประตู Hatchback ใช้โครงสร้าง Ford Focus ที่มีอยู่แล้ว


ภาพ รถยนต์ไฟฟ้าลูกประสม Toyota Prius c, แบบ 5 ประตู, Hatchback 


ภาพ Citroen C3 แบบ 5 ประตู Hatchback


ภาพ รถยนต์ Citroen แบบ 3 ประตู Hatchback แบบสปอร์ต


ภาพ รถยนต์ไฟฟ้า Pininfarina-Bolleré B0 concept electric car เปิดตัวในงานแสดงรถยนต์ปี 2008 ที่กรุงปารีส (Paris Motor Show)

ภาพที่แสดงให้ดูทั้งหมด เป็นรถยนต์แบบ Hatchback มีทั้ง 5 ประตู และ 3 ประตู แนวการออกแบบรถในระยะหลัง จะใช้แบบรถครอบครัว นั่งได้สบายทั้ง 4-5 ที่นั่ง แม้ขนาดจะไม่ใหญ่ เพียง 4.0-4.5 เมตร ก็มีความยาวเพียงพอที่จะออกแบบให้นั่งได้สบาย ที่นั่งหลังมีที่พอ ไม่ต้องหัวเข่าชนเบาะหน้า ส่วนบริเวณหน้าหม้อรถยนต์ ด้วยเหตุที่การวางเครื่อง 3-4 สูบขับเคลื่อนล้อหน้า จึงวางแบบขวาง ทำให้ไม่ใช้พื้นที่เปลืองมากนัก เปิดโอกาสให้การออกแบบให้พื้นที่ใช้สอยภายในรถได้กว้างขวางยิ่งขึ้น แม้จะเป็นรถขนาดเล็ก อย่างที่เรียกว่า Subcompact หรือ Compact car อันเป็นรถขนาดเล้กในมาตรฐานอเมริกัน

แนะนำรถยนต์ฝรั่งเศส Citroën C3


แนะนำรถยนต์ฝรั่งเศส Citroën C3 

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: Vehicle, ยานพาหนะ, Hatchback, Supermini,


รถยนต์ Citroën C3 5 ประตูแบบ Hatchback

รถยนต์ Citroën C3 เป็นรถยนต์ขนาด Supermini ที่มีเครื่องยนต์ 4 ขนาดให้เลือก ผลิตโดยบริษัท Citroën ของประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ออกแบบโดย Donato Coco และ Jean-Pierre Ploué ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้ออกแบบ Renault Twingo รุ่นแรก สำหรับ Donato Coco ได้เป็นหัวหน้าทีมออกแบบของ Citroën ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999

สำหรับรถรุ่น C3 แบบอเนกประสงค์ (MPV) ได้มีการประกาศตัวในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 ซึ่งรุ่นนี้เรียกว่า C3 Picasso ซึ่งเปิดตัวไปที่ Mondial de l'Automobile 2008 และได้ออกสู่ตลาดไปทั่วยุโรป ในช่วงต้นของปี ค.ศ. 2009

รถยนต์ Citroën C3 ออกแบบมาเป็นรถ 5 ประตู Hatchback คือมีประตูหลังที่เปิดแบบยกสูง แต่ใช้ความลาดเอียง ทำให้ประตูไม่กางออกไปกระทบพื้นที่ด้านหลังมากเกินไป ประตูหลังบานใหญ่ทำให้ใช้พื้นที่เก็บของจากด้านหลังแบบยืดหยุ่น สามารถล้มเบาะหลังให้เป็นพื้นที่เรียบ เพื่อบรรทุกของที่มีขนาดใหญ่ได้ มีประตูด้านข้าง 4 ประตูอำนวยความสะดวกสำหรับคนนั่งตอนหลัง

คำว่ารถยนต์ขนาด Supermini เป็นคำที่ใช้ในประเทศอังกฤษ เรียกรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาด City car แต่เล็กกว่ารถครอบครัวขนาดเล็ก (Small family car) รถขนาด Supermini รู้จักกันในยุโรปอีกชื่อว่า B-segment ส่วนในอเมริกาเหนือเรียกว่า Subcompact รถขนาดดังกล่าวในประเทศไทยก็จะมีขนาดใกล้เคียงกับ Honda Jazz หรือ Mazda2

ผู้ผลิต
Manufacturer
การผลิต
Production
2009–จนถึงปัจจุบัน (present)
ลักษณะรูปร่าง
Body style
5-door hatchback
ขนาดเครื่องยนต์
Engine
เครื่องยนต์น้ำมันเบนซิน
1.1 L I4 8v
1.4 L I4 8v
1.4 L I4 16v
1.6 L 16v I4
เครื่องยนต์ดีเซล
1.4 L I4
 HDi
1.6 L I4
 HDi
ระบบเกียร์
Transmission
4-speed automatic transmission
5-speed
 manual
6-speed
 manual
ชื่ออื่นๆที่ใช้
Related

Monday, April 23, 2012

มารู้จักรถ Humvee


มารู้จักรถ Humvee

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: ยานพาหนะ, Vehicle, รถยนต์ใช้ในการทหาร, Humvee,

Humvee มาจากคำว่า The High Mobility Multipurpose Wheeled Vehicle (HMMWV) หรือรู้จักกันในนาม Humvee เป็นยานยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อใช้ในกิจการทหาร หนักประมาณ 2,500 กิโลกรัม หรือนักกว่ารถยนต์ธรรมดาเกือบ 2 เท่า รถขนาดเล็กทั่วไปจะหนักประมาณ 600-1,000 กิโลกรัม


ภาพ รถ Humvee ที่ใช้ในกิจการของ United States Marine Corps HMMWV ใช้ในสภาพภูมิประเทศที่ยากลำบาก ในประเทศอัฟกานิสถาน (Afghanistan)

ประเภท
Type
ไม่หุ้มเกราะ (Unarmored) เมื่อใช้เป็นรถอเนกประสงค์น้ำหนักเบา (Light Utility Vehicle)
หุ้มเกราะ (Armored) เมื่อหุ้มเกราะเบา (Light Armored Car)
สถานที่กำเนิด
Place of origin
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/a/a4/Flag_of_the_United_States.svg/22px-Flag_of_the_United_States.svg.png สหรัฐอเมริกา
United States
ประวัติการใช้งาน
Service history
ประจำการ
In service
1984 – ปัจจุบัน(present)
ประวัติการผลิต
Production history
ผู้ผลิต
Manufacturer
ราคาต่อหน่วย
Unit cost
ไม่มีเกราะ (Unarmored) $65,000
ติดเกราะ (Armored) $140,000 [1]
ผลิต
Produced
1984 – จนถึงปัจจุบัน
present
รายละเอียด
Specifications
น้ำหนัก
Weight
5,200–5,900 ปอนด์ (2,340–2,680 กิโลกรัม)
ความยาว
Length
15 ฟุต (4.6 เมตร)
ความกว้าง
Width
7.08 ฟุต (2.16 เมตร)
ความสูง
Height
6 ฟุต(1.8 เมตร), ลดระดับลงได้ (reducible to) 4.5 ฟุต (1.4 เมตร)
Engine
สูบ. Diesel 6.2 ลิตร (380 cu in)
หรือ 6.5 ลิตร(400 cu in)
6.5 ลิตร V8 turbo: 190 hp (142 kW) @ 3,400 rpm / 380 lbf·ft (515 N·m) @ 1,700 rpm
ระบบเกียร์
Transmission
อัตโนมัติ 4 เกียร์
4-speed automatic
ระบบกันกระเทือน
Suspension
อิสระทั้ง 4 ล้อ
Independent 4x4
ถังบรรจุน้ำมัน
Fuel capacity
25 U.S. gal
(95 ลิตร)
ความเร็ว
Speed
55 mph (89 กม./ชม.) at max gross weight
ความเร็วสูงสุด
 65 mph (105 กม./ชม.) top speed



รถ HMMWV สามารถติดตั้งจรวด Raytheon แบบยิงจากภาคพื้นดินสู่อากาศ แสดงที่งานแสดงการบินที่กรุงปารีส ปี ค.ศ. 2007



ภาพ รถ Humvee ใช้ในกิจการกองทัพอากาศ โดยติดอาวุธ FRAG 6 เสริม HMMWV ใช้ในกิจการแถบตะวันตกเฉียงใต้


ภาพ รถ HMMWV ขณะกำลังยิงขีปนาวุธ TOW missile

รถ Hummer

Humvee เมื่อประสบความสำเร็จทางการทหาร มีคนรู้จักในสมรรถนะ จึงได้มีการดัดแปลงเพื่อผลิตเป็นรถสปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) ขายในเชิงพาณิชย์ ชื่อ Hummer ที่มีลักษณะบึกบึน มีขนาดใหญ่ลดลง แต่ยังหนัก และกินน้ำมัน เมื่อน้ำมันมีราคาแพง ประเทศสหรัฐประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ รถยนต์ในลักษณะนี้ก็ประสบปัญหา ต้องทบทวนการผลิต เพราะไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด คือการต้องประหยัดน้ำมัน
การมีความสำราญกับเครื่องเล่นที่ใช้น้ำมันมาก อย่างรถ SUV หรือเรือเร็ว เรือ Yacht ประเภทใช้เครื่องยนต์ ย่อมเป็นความสิ้นเปลืองพลังงาน แม้คนมีเงิน ก็ควรจะต้องลองหาของเล่นที่เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม และพลังงานมากกว่านี้

Sunday, April 22, 2012

คุณสมบัติผู้นำที่ยิ่งใหญ่ คือต้องเป็นของแท้

คุณสมบัติผู้นำที่ยิ่งใหญ่ คือต้องเป็นของแท้

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com


Keywords:  ความเป็นผู้นำ, ภาวะผู้นำ,  Leadership, authenticity, ของแท้ความจริงความน่าเชื่อถือความแน่แท้, Steve Jobs, Jack Welch, Jr, Thomas Edison, Alexander Graham Bell,

เก็บความจาก “What do great leaders have in common? They’re authentic.” โดย Jack and Suzy Welch, Fortune, April 9, 2012


ภาพ แจ๊ค เวลช์ (Jack Welch, Jr.) อดีต CEO ของบริษัท General Electric

John Francis หรือ Jack Welch, Jr เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935 เขาเป็นวิศวกรเคมี นักบริหารธุรกิจที่ประสบความสำเร็จยิ่ง เป็นนักเขียน เป็นผู้บริหารสูงสุด (CEO) ของบริษัท General Electric (GE) ในช่วงปี ค.ศ. 1981 ถึงปี ค.ศ. 2001 ในช่วงที่เขาทำงานบริหารให้กับ GE นั้นมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น 4,000% และเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกในขณะนั้น โดยส่วนตัว Jack Welch มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ $720 ล้าน หรือประมาณ 21,600 ล้านบาท จัดว่าเป็นเศรษฐีคนหนึ่งทีเดียว
Welch ได้ให้ข้อสังเกตผู้นำของโลกในด้านต่างๆว่ามีลักษณะอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือมีความเป็นของแท้ (Authentic)

Authenticity = ของแท้, ความจริง, ความน่าเชื่อถือ, ความแน่แท้

ความเป็นผู้นำของแท้นั้น เขาชี้ให้เห็น 3 ประการ ซึ่งผมขอนำมาแปลงให้เข้ากับสภาพบรรยากาศการเมืองและธุรกิจในประเทศไทยเราด้วย

ลักษณะแรก ผู้นำคือคนที่เป็นอย่างที่เขาเป็น ดังคำที่การ์ตูน Popeye บอกว่า “I’m what I’m.” ผมเป็นอย่างที่ผมเป็น โปรดเข้าใจผมด้วย จริงๆแล้ว ผู้นำไม่ต้องไปเสแสร้งทำอะไรที่ดูไม่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา มีผู้นำหลายคนที่ดูแต่งตัวไม่เป็นเรื่อง โบราณบ้าง ดูแต่งตัวแบบสบายๆจนเกินไป แต่นั่นก็เป็นลักษณะตัวตนของเขา ผู้นำบางคนพูดจาเสียงเหมือนบ้านนอก ทำให้ดูเหมือนเป็นคนไม่มีการศึกษา แต่ก็ดูจะเป็นเหมือนคนที่ติดดิน แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร มีรสนิยมอย่างไร มีค่านิยม ความเชื่ออย่างไร ก็จงเป็นอย่างที่เขาเป็น ไม่ต้องมีการเสแสร้ง ไม่ต้องสร้างภาพพจน์ให้ดูเกินเลยจากความเป็นจริง อย่างที่คนเขาเรียกว่า “จัดฉาก” ไม่ต้องไปอาศัยฝ่ายโฆษณาประชาสัมพันธ์มาช่วยตกแต่งภาพลักษณ์

ลักษณะที่สอง ผู้นำต้องกล้าบอกว่าเขาชอบอะไร เขาชอบในสิ่งที่ชอบ และต้องกล้าบอกไม่ชอบในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย แม้คนอื่นจะเห็นตามด้วยหรือไม่ก็ตาม คนทั่วไปจะชอบในความคิดความเห็นของเราหรือไม่ก็ตาม ที่กล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่าให้ผู้นำต้องพูดหรือให้ความเห็นในทุกๆเรื่อง ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะบางอย่างเป็นเรื่องไกลตัว และไม่ได้เกี่ยวกับบทบาทการนำหรือการทำงานของเขา ก็ไม่ต้องไปพูดหรือแสดงความคิดเห็นของตนเองในทุกเรื่อง

ยกตัวอย่าง สมมุติว่าก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี นโยบายการดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชน การศึกษา นโยบายการทหาร เหล่านี้คนจะเป็นประธานาธิบดีต้องมีจุดยืน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหลาย แต่การที่ผู้สมัครประธานาธิบดีจะมีความเห็นนั้น ไม่จำเป็นต้องไปจัดทำโพลว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นอย่างไร แล้วผู้นำไปหาจุดยืนของตนแบบตามกระแส คนจะเป็นผู้นำต้องมีจุดยืนของตนเองว่าคิดอย่างไร และจะทำอย่างไรเมื่อได้เป็นประธานาธิบดี เพราะประธานาธิบดีคือผู้นำ ไม่ใช่ผู้บริหารที่เพียงทำตามความคิดเห็นของประชาชน บางอย่างประธานาธิบดีต้องมีวิสัยทัศน์ และต้องแสดงมันออกมาว่า เขามองเห็นอนาคตของสังคมประเทศของเขาอย่างไร เขาจะเดินหน้าไปอย่างไรหากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

ในทางธุรกิจ Steve Jobs บอกว่า เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องไปวิจัยทำการตลาดว่าสินค้าของ Apple นั้นควรมีลักษณะอย่างไร ไม่ต้องไปหานักวิชาการผู้เชี่ยวชาญนับสิบมาทำ Focus Group มันสำคัญว่า เขาในฐานะผู้นำ CEO ของบริษัทนั้นคิดจะทำอะไร มองเห็นอะไรในตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างที่ตลาดก็ยังมองไม่เห็น Steve Jobs เองก็พูดว่า เมื่อ Thomas Edison จะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้านั้น เขาไม่ได้ต้องไปวิจัยการตลาดว่าประชาชนต้องการอะไร หรือ Alexander Graham Bell ไม่ต้องไปวิจัยการตลาดว่าประชาชนต้องการโทรศัพท์หรือไม่ หรือมันควรมีรูปลักษณ์อย่างไร คนจะนำคนต้องรู้ว่าเขาจะทำอะไร จะเดินไปทางไหน เขาชอบหรือไม่ชอบอะไร อยากเห็นอะไรที่ควรจะเกิด

ลักษณะที่สาม ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นของแท้ ต้องกล้ายอมรับในสิ่งที่ผิดพลาด ยอมรับดังกล่าวว่า “ผมทำพัง ผมรู้สึกแย่มากๆ เป็นความรู้สึกที่เลวร้ายจริงๆ” (“I’ve screwed up, and I’ve been down, and it was awful.”) ผู้นำที่ผ่านร้อนผ่านหนาว มีประสบการณ์ชีวิตและการทำงานมามากนั้น ล้วนแต่ได้เคยทำในสิ่งที่ผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น และผู้นำที่เป็นของแท้นั้น คือคนที่กล้ายอมรับ และบอกถึงสิ่งที่เขาได้เคยทำผิดพลาดมาแล้วได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า ผู้นำบางคนอาจรู้ว่าได้ทำอะไรผิดหรือถูกอย่างไร แต่กระนั้นก็ไม่กล้าสื่อสารให้กับลูกน้องหรือสาธารณชนทราบ เพราะเกรงเป็นการไปลบความเชื่อมั่นที่สังคมจะมีต่อตน ซึ่งเรื่องนี้เป็นจริง ผู้นำองค์การเอกชนต้องมีหน้าที่ “ขายฝัน” ทำให้คนทั่วไปได้เชื่อมั่นในตัวเขา บริษัทของเขา และมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทเขา แต่อย่างน้อย เขาจะต้องเป็นคนกล้ารับความเป็นจริง เมื่อเหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้วระยะหนึ่ง เขาต้องกล้าที่จะหันมาตรวจสอบดูสิ่งที่เขาทำที่ผ่านๆมา เขาได้ทำบางส่วนหรือหลายส่วนสำเร็จ แล้วก็มีบางส่วน หรืออาจจะหลายส่วนที่เป็นข้อผิดพลาด การที่เขากล้ารับ หรือเปิดเผยในสิ่งที่ไม่สำเร็จนี้ จะทำให้คนร่วมงานเชื่อในความจริงใจ และความเชื่อในความจริงใจ บางอย่างเมื่อรู้ว่าผิดพลาดได้เร็ว ตระหนักและยอมรับเสีย ก็จะปรับทิศทางได้เร็ว อีกอย่างหนึ่ง การได้ตระหนักว่าผู้นำของเขานั้นยังยืนอยู่บนฐานของความเป็นจริง รู้อะไรผิดอะไรถูก นั่นยอมเป็นความมั่นใจแก่ผู้ตามว่า แม้จะได้มีการเดินผิดพลาดมาบ้าง แต่เพราะความที่เป็นคนเปิดใจรับความเป็นจริงนี้ สิ่งที่จะกระทำต่อไปในอนาคตนั้น จะตั้งอยู่บนฐานของการรับความจริงอย่างตรงไปตรงมาที่สุด และเมื่อถึงจุดที่จะจำเป็นต้องเปลี่ยน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่ติดยึด

Saturday, April 21, 2012

รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งในชุมชน (Neighborhood Electric Vehicle - NEV)

รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งในชุมชน (Neighborhood Electric Vehicle - NEV)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, The free encyclopedia

Keywords: รถยนต์ไฟฟ้า, Electric Car, EV, สิ่งแวดล้อม




ภาพ รถยนต์ไฟฟ้าใช้ในชุมชน (NEVs) ที่เห็นใช้ในกิจการของกองทัพบกสหรัฐ

รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งในชุมชน (Neighborhood Electric Vehicle - NEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งในระแวกบ้าน เป็นคำที่ในสหรัฐใช้เรียกยานพาหนะที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicles – BEVs) ที่ใช้วิ่งบนถนนด้วยความเร็วไม่เกินกำหนดที่ 45 ไมล์/ชม. หรือ 72 กม./ชม. ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละรัฐ โดยทั่วไปรถประเภทนี้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 30 ไมล์/ชม. หรือไม่เกิน 48 กม./ชม. มีน้ำหนักบรรทุกได้ไม่เกิน 3,000 ปอนด์ (1,263 กก.) กระทรวงการขนส่งสหรัฐ (United States Department of Transportation) จัดรถ NEVs อยู่ในประเภท “ยานพาหนะความเร็วต่ำ” (Low-speed vehicles)

รถ NEV มีชุดแบตเตอรี่ที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟจากที่เสียบมาตรฐาน (Standard Outlet) และเพราะมันเป็นรถไฟฟ้าทั้งคัน จึงไม่มีการปล่อยไอเสีย หากแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่นำมาใช้เป็นพวกที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ ดังเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม (solar หรือ wind power) NEVs จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาก๊าซเรือนกระจกเลย ในรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งมียานพาหนะจำนวนมาก และมีเมืองใหญ่ที่มีเทือกเขาบังด้านหนึ่ง ทำให้เกิดสภาวะหุบอากาศที่ไม่เคลื่อนไหวเป็นช่วงๆ ประกอบกับอยู่ในเขตแผ่นดินไหวได้ง่าย จึงไม่ค่อยพัฒนาระบบรถไฟฟ้าใต้ดินเหมือนในเมืองนิวยอร์คทางตะวันออกของประเทศ คนส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยรถยนต์เป็นยานพาหนะในการเดินทางไปทำงานในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก เขาจึงสนใจแสวงหาทางเลือกด้านการใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ

ประเทศสหรัฐเองก็ต้องให้ความสำคัญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมมากเช่นกัน คณะกรรมการดูแลสภาพอากาศของรัฐ (California Air Resources Board - CARB) จัดให้รถ NEVs อยู่ในกลุ่มรถไม่มีการเผาไหม้ (Zero Emissions Vehicles - ZEV) สามารถได้รับสิทธิประโยชน์ลดราคาได้ $1500 หรือประมาณ 75,000 บาทไทย หากเป็นการซื้อหรือเช่าช่วงตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2010 เป็นต้นมา

Pike Research ได้ประมาณว่ามีรถ NEVs วิ่งอยู่บนถนนในโลกประมาณ 478,771 ค้นในปี ค.ศ. 2011 และในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2010 บริษัท GEM เป็นผู้นำตลาดด้านรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งใน ชุมชน โดยสามารถขายได้ในปีประมาณ 45,000 คัน ในปี ค.ศ. 2011 ตลาดรถ NEVs ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือสหรัฐอเมริกา ขายได้ใน 14,737 คัน และในฝรั่งเศส 2,231 คัน

ในยุคที่น้ำมันจากปิโตรเลียมมีแต่จะแพงขึ้น หายากขึ้น ทุกชุมชนและประเทศจึงต้องหาหนทางออกแบบทั้งรถยนต์ และออกแบบวิถีชีวิตที่จะร่วมไปกับการเดินทางและขนส่งทางเลือก

บางชุมชนมีการออกแบบแยกชุมชนบ้านพักอาศัย ออกจากเขตพาณิชย์และอื่นๆ การเชื่อมโยงระหว่างเขตต่างๆให้กระทำได้ด้วยยานพาหนะความเร็วสูง ซึ่งการเดินทางความเร็วสูงนี้จะไม่อนุญาตให้รถแบบ NEVs ใช้เส้นทางการเดินทางได้ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย และเพื่อความปลอดภัย และด้วยเหตุดังกล่าว ยานพาหนะที่จะเห็นทั่วไปในชุมชนจะถูกแยกด้วยเส้นทางถนน ซึ่งออกแบบให้ใช้สัญจรได้ด้วยความเร็วต่ำ

มีบางชุมชนที่ออกแบบเมืองใหม่ โดยมีแนวคิดการใช้ NEVs อยู่ในแผนงาน ดังได้แก่เมืองต่อไปนี้

Celebration, Florida ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา
The Villages, Florida ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา

ชุมชนอื่นๆที่อนุญาตให้ใช้รถ NEVs บนท้องถนนได้ ได้แก่

Put-in-Bay, Ohio รัฐอุตสาหกรรมตะวันตกกลาง (Midwest) ของสหรัฐอเมริกา
Playa Vista, Los Angeles, California ทางชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
Lincoln, California ทางชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
Coronado, California ทางชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
Leaf Rapids, Manitoba, ประเทศแคนาดา (Canada)


ภาพ An Italcar EV เป็นรถไฟฟ้าที่เหมาะแก่การใช้ในสนามกอล์ฟ สวนสาธารณะ หรือในชุมชนขนาดเล็ก


ภาพ รถยนต์ไฟฟ้าแบบ NEV รุ่น GEM e2 ของตำรวจท่องเที่ยวใน Playa del Carmen ประเทศเมกซิโก (Mexico)


ภาพ รถยนต์ไฟฟ้าแบบ NEV ของ GEM รุ่น xLXD NEV ใช้ในงานขายของตามถนนที่ National Mall, ในเมืองวอชิงตัน ดีซี (Washington, D.C.)



ภาพ รถยนต์ไฟฟ้าแบบ NEV ของ GEM รุ่น xLXD NEV ใช้ในงานขายของตามถนนที่ National Mall, ในเมืองวอชิงตัน ดีซี (Washington, D.C.)



ภาพ รถยนต์ไฟฟ้า REVA 2 ประตู ที่มีชื่อขายในตลาดสหรัฐว่า NEV in the U.S. จัดเป็นรถแบบ quadricycle ในยุโรป (Europe)


ภาพ NEV ผลิตโดยบริษัท Dynasty IT


ภาพ รถยนต์ไฟฟ้าของอินเดีย Reva NXR ราคาคันละ ~10,000 euro หรือ 409,572 บาทไทย

มาร่วมกันออกกำลังสมอง (Brain Exercise) แล้วให้ได้ประโยชน์

มาร่วมกันออกกำลังสมอง (Brain Exercise) แล้วให้ได้ประโยชน์

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: บันทึกชีวิต, Life diary, brain exercise

ทุกวันนี้ ผมใช้ชีวิตเหมือนปลาที่ว่ายทวนน้ำ ต้องทำบางอย่างที่ต้อง “ฝืนตัวเอง” ไม่ปล่อยให้ตัวขี้เกียจเข้าครองจนเกินไป

ฝืนอย่างแรก คือการออกำลังกาย (Physical exercise) ผมตื่นตั้งแต่ 5:30 น. ทุกวัน แล้วอาบน้ำ นั่งรถไปออกกำลังกายกับลูกชาย ที่ Atrium สถานออกกำลังกายใกล้บ้าน อาคาร TIPCO ถนนพระราม 6 พญาไท กรุงเทพฯ เรียกว่าต้องช่วยลากกันไป หากไม่ติดธุระไปต่างจังหวัด หรือมีนัดหมายช่วงเช้า ก็จะไปออกกำลังกายทุกวัน ปัจจุบันออกำลังกายด้วยขี่จักรยานอยู่กับที่ สัก 35 นาที เดินสายพาน (Treadmill) อย่างเร็วในระดับความชันปานกลางอีก 30-35 นาที แล้วเล่นออกกำลังแขนและหน้าอกแบบใช้นำหนักปานกลาง รวมแล้วผลาญพลังงานสัก 550-600 แคลอรี่ คงเป็นจิตวิทยาสังคม เมื่อเห็นคนอื่นๆเขาออกกำลังกายกัน เราก็ทำตามไปด้วยกัน แต่ทำในระดับที่กำลังพอเหมาะแก่วัยและสภาพร่างกายของเรา
เมื่อต้องไปสอนหนังสือหรือทำงานต่างจังหวัด ดังที่ไปมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (SRRU) ผมมีโรงแรมเจ้าประจำ จอดรถจักรยานที่ Lobby ของเขา เอาไว้ออกกำลังกาย ปั่นจักรยานเที่ยวรอบเมืองตอนเช้าหรือตอนเย็น ขี่จักรยานต่างจังหวัดเพลินดี ปลอดภัยพอใช้ได้ หากเป็นในซอยแถวบ้านผม รถยนต์มาก และเขาไม่ค่อยเกรงใจรถจักรยาน แม้ในซอยแคบๆ ก็ยังอันตราย อาจโดนมอเตอร์ไซค์สอยเอาได้ มอเตอร์ไซค์รับจ้างแถวที่บ้านเขาเหยียบเบรคกันไม่ค่อยเป็น

ฝืนอย่างที่สอง คือการฝืนกินให้น้อย กินอย่างอดอยาก กินน้ำตาลน้อยหรือไม่กิน กาแฟใส่นม แต่ไม่ได้ใส่น้ำตาลมานานแล้ว จนกินกาแฟขมไม่ใส่น้ำตาลได้เป็นปกติ ส่วนการกินผักนั้น ต้องฝืนใจจริงๆ หาน้ำสลัด (Salad Dressing) หลากหลายชนิดมาใส่ผักสดและผักต้มสำหรับกินในมื้อกลางวันและเย็น ส่วนข้าวที่บ้านกินน้อยมาก แล้วยังจะต้องเป็นข้าวกล้อง นึกดูในใจ คนเขาเห็นเรากินเราอยู่คงดูน่าสงสารมาก
แต่อย่างไรก็ตาม ในหนึ่งสัปดาห์จะมีสมาชิกครอบครัว ภรรยาและลูกมาพาไปรับประทานอาหารตามร้านต่างๆ มีทั้งที่เป็นศูนย์การค้า และภัตตาคารอิสระทั่วไป การกินอาหารตามร้านนี้ นับเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ แทนที่จะกินอยู่อย่างเงียบเหงาที่บ้าน ก็ไปได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันกันบ้าง ได้มีชีวิตชีวากับรสอาหารนานาชาติที่หลากหลาย

ฝืนอย่างที่สาม คือการฝืนใช้สมอง ผมต้องมีกิจกรรมใช้สมอง ออกกำลังสมอง (Brain exercise) โดยในเช้าของวันทั่วไป หลังออกกำลังกายอย่างเต็มที่แล้ว 8:00-8:30 น. กินอาหารเช้าอย่างจำกัด แล้วก็จะออกกำลังสมอง คือนั่งหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ Laptop แล้วเริ่มงานเขียน การเขียนของผมจะทดสอบด้วยการต้องนำเสนอวันละเรื่องสองเรื่อง และเมื่อจะต้องเขียนให้คนอ่าน ก็ต้องเขียนอย่างมีสาระ ง่ายที่สุด คือค้นหาบทความ ข่าว สาระน่ารู้ในหลากหลายเรื่อง แล้วนำมาแปลและเรียบเรียงนำเสนอ ผมอ่านหนังสือก็เหมือนกับกินอาหาร ต้องอ่านให้หลากหลาย แต่ก็ต้องเป็นเรื่องที่พออ่านได้ คงไม่ถึงกับไปอ่านสูตรคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ หรือเคมี หรือสูตรปรมาณู อ่านแล้วจะรู้ว่ารู้เรื่องพอหรือไม่ ก็ต้องเขียนเล่าให้คนอื่นๆได้อ่านแล้วรู้เรื่องไปด้วย นั่นคือ อ่านแล้ว ก็ต้องหาเรื่องที่น่าสนใจพอ แล้วนำมาเขียน ตั้งใจว่าในแต่ละปี จะเขียนบทความให้ได้เฉลี่ยอย่างน้อยวันละ 1 เรื่อง

ผมเขียนบทความและเอกสารต่างๆ แล้วไม่ได้จัดพิมพ์ด้วยระบบสิ่งพิมพ์มานานแล้ว เมื่อไปบรรยาย ก็สั่งพิมพ์ (Print) บทความหรือข้อเขียน ผ่านเครื่องพิมพ์ดิจิตอล (Digital printer) ที่บ้าน แล้วนำไปให้ฝ่ายที่เขาเชิญบรรยายหรือจัดการไปผลิตต่อ ซึ่งใช้เป็นจำนวนน้อย ตามจำนวนผู้ฟัง

งานพิมพ์และงานเขียนไม่ว่าจะเป็นงานแปล งานแปลและเรียบเรียง หรืองานที่คิดเขียนขึ้นมาเองตามสถานการณ์หรือความคิดเห็นส่วนตัว ผมจะนำเสนอในสื่อหลัก คือ ที่ My Words http://pracob.blogspot.com ของ Google ซึ่งเขามีระบบที่ทำให้ผมนำเสนอบทความได้อย่างง่ายๆ และไม่มีข้อจำกัด ที่สำคัญคือมีระบบสืบค้นอย่าง Google ไว้ใช้สืบหาบทความได้
อีกด้านหนึ่ง ผมได้เสนอผลงานที่ Facebook ในชื่อ Pracob Cooparat โดยค้นได้ที่ e-mail: pracob.cooparat@gmail.com ในส่วนที่เผยแพร่ผ่าน Facebook นี้ ผมจะไม่ค่อยได้เสนอบทความเท่าใด แต่จะเสนอเป็นสมุดภาพ (Album) พร้อมทั้งเขียนคำอธิบายเป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ซึ่งก็เป็นการฝึกสมองที่ดีอีกแบบหนึ่ง ทำให้บางทีไปที่ไหนๆ ก็บันทึกภาพที่สวยงาม น่าสนใจเอาไว้ แล้วกลับมานำเสนอ ไม่ว่าจะไปต่างประเทศ ต่างจังหวัด ขึ้นรถไฟฟ้าไปท่องกรุง ล่องเรือเจ้าพระยา นั่งรถโดยสาร เหล่านี้ก็นำภาพมานำเสนอ แล้วก็เขียนคำบรรยายกำกับไว้

สำหรับสถิติการใช้งานที่ผมนำเสนอให้ My Words ที่ Blogspot เขาสรุปให้เราโดยอัตโนมัติ ผลในวันนี้ (21 เมษายน 2012) คือ


บทความ
1245
ผู้ติดตาม
121
การดูหน้าเว็บวันนี้
406
การดูหน้าเว็บเมื่อวาน
742
การดูหน้าเว็บเดือนที่ผ่านมา
18,953
ประวัติการดูหน้าเว็บสำหรับเวลาทั้งหมด
381,298


โดยเฉลี่ยแต่ละวันมีผู้เข้าดูหน้าเว็บ 400-500 ครั้ง มีบทความและสิ่งที่ได้นำเสนอไปจนถึงปัจจุบัน 1,245 รายการ บางส่วนเป็นบทหนึ่งของหนังสือที่ได้เขียนขึ้น เพื่อนำเสนอแบบออนไลน์ ในแต่ละเดือนมีผู้ตามดูหน้าเว๊บประมาณ 19,000-20,000 ครั้ง รวมประวัติการดูเว๊บตั้งแต่เริ่มมาจนถึงปัจจุบัน 381,298 ครั้ง
ผมอยากชักชวนคนในวัยผม มาฝืนใจทำในสิ่งที่ดูเหมือนจะเลยวัยของเรา ลองมาฝึกเรียนรู้และทำสิ่งใหม่ๆ ใครไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์ ก็ให้ลองมาฝึกใช้ดู ผมได้บอกเพื่อนๆนักเรียนเทพศิรินทร์รุ่นเดียวกันว่า ให้จัดรวมตัวกัน หาเครื่องคอมพิวเตอร์ Laptop คนละเครื่อง แล้วไปบ้านพักเพื่อนฝูงชายทะเล แล้วไปเรียนวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ หัดเขียนบทความ ถ่ายภาพ ทำอะไรสนุกๆ แล้วได้ประโยชน์กัน โดยฝึกนำเสนอขึ้นเว๊บ อาจเป็น Facebook ก็ได้

ผมขอเสนอครับ ใครในรุ่นอายุเกิน 60 ปีแล้ว อยากเรียนรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์ การเขียนบทความ การแปลงานภาษาอังกฤษ การถ่ายภาพ ฯลฯ รวมตัวกันได้สัก 5-10 คน ผมยินดีร่วมเป็นวิทยากร โดยไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

Friday, April 20, 2012

21 เมษายน ปีที่ 753 ก่อนคริสตกาล นับเป็นวันก่อตั้งกรุงโรม


21 เมษายน ปีที่ 753 ก่อนคริสตกาล นับเป็นวันก่อตั้งกรุงโรม

ประำกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก “Apr 21, 753 B.C.: Rome founded”, history.com

วันนี้ในอดีต 21 เมษายน 753 ปีก่อนคริสตกาล เชื่อเป็นวันก่อตั้งเมืองโรม โดย Romulus และ Remus สองพี่น้องแฝดกำพร้าที่เลี้ยงดูโดยแม่หมาป่า

ตามตำนาน โรมิวลุส (Romulus) และ รีมุส (Remus) คู่แฝดของเขาเป็นผู้ก่อตั้งกรุงโรม ณ บริเวณที่เขาได้รับการเลี้ยงดูให้รอดชีวิตในช่วงเยาว์วัยโดยแม่หมาป่า โดยความเป็นจริง เรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาทั้งสองเป็นเรื่องเล่าโดยปราชญ์ในสมัย 4 ศตวรรษก่อนคริสตกาล แต่วันถือเป็นวันก่อตั้งอย่างเป็นทางการกำหนดโดยปราชญ์ชาวโรมันชื่อมาร์คัส เทอเรนทิอุส วาร์โร (Marcus Terentius Varro) ในช่วงหนึ่งศตวรรษก่อนคริสตกาล

ตามตำนาน โรมิวลุสและรีมุส เป็นบุตรของเรีย ซิลเวีย (Rhea Silvia) ธิดาของกษัตริย์นูมิเตอร์ (Numitor) แห่งอัลบา ลองกา (Alba Longa) ซึ่งอาณาจักร อัลบา ลองกานี้ เป็นเมืองในตำนานในแถบเทือกเขาอัลบัน (Alban) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงโรมปัจจุบัน ก่อนกำเนิดของคู่แฝด กษัตริย์นูมิเตอร์ ได้ถูกขับออกจากบัลลังโดยน้องชายชื่ออามูลิอุส (Amulius) แล้วบังคับใช้พระธิดาเรีย เป็นสาวพรหมจรรย์ โดยเธอจะไม่สามารถให้บุตรหรือธิดาเป็นผู้ที่จะมาอ้างสิทธิในบัลลังก์ของเขา แต่กระนั้นก็ตาม เรียได้เกิดตั้งครรภ์กับเทพเจ้าแห่งสงคราม (Mars) อามูลิอุส สั่งให้คนนำทารกทั้งสองไปทิ้งน้ำที่แม่น้ำไทเบอร์ (Tiber) แต่ทารกทั้งสองก็รอดชีวิตมาได้ และถูกสายน้ำพามาติดชายฝั่งในบริเวณเชิงเขาพาลาไทน์ (Palatine) อันเป็นที่ๆทารกทั้งสองได้รับการเลี้ยงดูให้นมดูดโดยแม่หมาป่า จนกระทั่งคนเลี้ยงแกะชื่อฟาอุสตูลุส (Faustulus) ผ่านมาพบ

ชายเลี้ยงแกะฟาอุสตูลุส และภรรยาได้เลี้ยงดูทารกทั้งสอง จนเติบใหญ่ท่ามกลางคนผู้เลี้ยงแกะ และเด็กทั้งสองคนได้กลายเป็นหัวหน้าของบรรดาเด็กๆในวัยเดียวกัน หลังจากแฝดทั้งสองได้รู้ประวัติความเป็นมาของตนเอง จึงได้โจมตีเมืองอัลบา ลองกา แล้วสังหารอามูลิอุสเจ้าเล่ห์ และสถาปนาปู่ของเขากลับมาครองราชย์

แฝดทั้งสองได้ก่อตั้งเมืองขึ้นมา ณ บริเวณที่เขาได้รอดชีวิตมาในช่วงเยาว์วัย ต่อมาทั้งสองได้มีเรื่องทะเลาะกันเองเล็กๆน้อยๆ รีมูสถูกพี่ของเขาสังหาร โรมิวลุสได้เป็นผู้ครองเมืองที่ก่อตั้งขึ้นนั้น แล้วเรียกเมืองนี้ว่า โรม” (Rome) ตามชื่อของเขา

เพื่อทำให้เมืองมีประชากรเพิ่มขึ้น โรมิวลุสได้ให้เมืองเป็นที่หลบหนีแก่นักโทษ (Fugitives) และบุคคลผู้ลี้ภัยจากที่ต่างๆ เมื่อเมืองโรมขาดสตรีที่จะแพร่ขยายประชากร โรมิวลุสจึงได้ออกอุบายเชื้อเชิญชาวเมืองซาบิเนส (Sabines) เพื่อนบ้านมางานเลี้ยงที่จัดขึ้น แล้วก็กักตัวบรรดาสตรีเอาไว้ จึงได้เกิดสงครามระหว่างเมืองซาบิเนสกับเมืองโรม แต่สตรีชาวซาบิเนสได้เข้าห้ามปรามชายชาวซาบิเนสที่จะเข้ายึดเมือง จึงทำให้เกิดข้อตกลงสันติภาพร่วมกัน และชาวเมืองทั้งสองร่วมกันเป็นหนึ่งและปกครองโดยโรมิวลุสและไททุส ทาทิอุส (Titus Tatius) กษัตริย์ของเมืองซาบิเนส แต่กษัตริย์ทาทิอุสได้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งอาจเป็นการกระทำของโรมิวลุส จึงทำให้โรมมีผู้ปกครองเพียงคนเดียว คือ โรมิวลุส

หลังการปกครองที่ราบรื่นและรุ่งเรืองของโรม โรมิวลุสได้เสียชีวิต ชาวโรมเป็นอันมากเชื่อว่าเขาเปลี่ยนสถานะกลายเป็นเทพเจ้า และชาวเมืองก็บูชาเขาเป็นเทพชื่อ “คิวเออรินุส” (Quirinus) หลังจากโรมิวลุส โรมได้มีกษัตริย์ปกครองต่อมาอีก 6 พระองค์ 3 พระองค์หลังเชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของชาวอิทรัสคัน (Etruscans) อันเป็นวัฒนธรรมยุคใหม่ของโรม ในราว 509 ปีก่อนคริสตกาล (B.C.) โรมในกลายเป็นระบบสาธารณรัฐ (Republic)