Thursday, November 28, 2013

27 พ.ย. 2556 สุเทพ เทือกสุบรรณ ปราศรัยบนเวทีศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ


27 พ.ย. 2556 สุเทพ เทือกสุบรรณ ปราศรัยบนเวทีศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, กฎหมายนิรโทษกรรม, Amnesty bill, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, ประชาธิปัตย์, พรรคเพื่อไทย, คอรัปชั่น, Corruption, ปฏิรูปประเทศไทย, สุเทพ เทือกสุบรรณ, ศูนย์ราชการ นนทบุรี
----------------


ภาพ สุเทพ เทือกสุบรรณ

สุเทพ เทือกสุบรรณ ปราศรัยบนเวทีศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ นนทบุรี วันที่ 28 พฤศจิกายน 2556
ผมขอเก็บความที่ได้จากใน Facebook แล้วถ่ายทอดต่อใน My Words เพื่อให้ท่านที่ใช้ระบบสืบค้นด้วย Google จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย และเป็นการสำรอง ในกรณีข้อความจากคำปราศรัยนี้มีการสูญหาย หรือค้นหาได้ยาก – ประกอบ คุปรัตน์ (28-11-2013)
-------------

 เมื่อคืนตร.ตั้งใจจะเข้าสลายพวกเราที่ก.คลัง เราก็หาทางป้องกันตัวเอง ตร.ที่มาก็มีอุปกรณ์พร้อมเพรียง เรามือเปล่า ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยพวกเราเลย ผมตัดสินใจสั่งเสียพี่น้องแล้ว ถ้าผมถูกจับ พี่น้องไม่ต้องห่วง ขอแค่พี่น้องที่เหลือ เดินหน้าสู้เพื่อชัยชนะปชช.ให้ได้

พูดตรงๆ ที่ต้องส่งเสียง เพราะไม่รู้จริงๆว่า มือเปล่าจะสู้ได้อย่างไร ผมซึ้งใจปชช.จริงๆ เมื่อคืนพอปชช.รู้ว่าเราอยู่ในที่คับขัน กำลังจะโดนตร.จัดการ ตร.ประชุมกันว่า เลวขนาดว่าจะจับลูกผมเป็นตัวประกัน เพื่อให้ผมยอม แต่ดีที่มีตร.ที่เคยติดหนี้บุญคุณกัน โทรมาบอกว่า เค้าลุยท่านแน่

พี่น้องที่เราสู้กันคราวนี้ เรามีเป้าหมายอย่างไร ทำอย่างไร ผมเปิดใจพูดทั้งหมดเมื่อคืนนี้ ว่าเราจะเดินหน้าปท.ไทยต่อไปอย่างไร เพื่อจะได้เป็นแผนที่ เป็นลายแทง ในกรณีที่ตร.ฆ่าหรือจับผม พี่น้องที่เหลือจะได้รู้แนวทาง

แต่พี่น้องน่ารักมาก ฟังผมเมื่อคืน หลายคนร้องไห้ ลุกขึ้นแต่งตัว ไปกระทรวงการคลังดีกว่า ปชช.แห่มาก.คลังหลายหมื่นคน เอารถยนต์มาขวางถนนไว้หมด ยังมีขบวนจยย.อาสา คอยขี่วนดูว่า ตร.ไปตั้งหลักที่ไหนบ้าง แล้วบอกให้มวลชนไปจัดการทีละจุด ต้องเล่าให้พี่น้องในตจว.ได้ทราบ ว่าวิธีรบของนักรบมือเปล่า น่ารักมาก แต่ที่ต้องมาเล่า เพราะมีบางสื่อมวลชนยังรับใช้ทักษิณอยู่ นักรบเราทำอย่างไร เค้าล้อมรถตร. ปล่อยลมยาง ตร.ก็ถูกขังในรถตัวเอง ไปไหนไม่ได้ ต้องอดข้าว ไม่กล้าทิ้งรถ จึงมีกรณีที่ หลวงปูต้องโปรดสัตว์ตอนตี 3 หาข้าวให้กิน

จริงๆ เราก็ไม่ได้แกล้งตร. แต่กลัวตร.มาฆ่าผม มวลชนก็กักตร.อยู่ตรงนั้น ไม่ได้กินข้าวเหมือนกันตร.จึงทำไม่สำเร็จเมื่อคืนนี้

คืนนี้คงคิดจะไปแก้ตัว ผมเตือนก่อนว่า ที่คุณคิดบุกก.คลังเมื่อคืน เพราะคุณจะมาจับนายสุเทพ ตามหมายจับ ผมก็เคารพกม.ไทย เคารพระบบศาลยุติธรรมของไทย แต่ตร.ต้องปฏิบัติกับผม ด้วยมาตรฐานเดียวกันกับตอนนปช.เสื้อแดง ผมไม่ได้ต่อว่า ผมรู้ว่าไร้ประโยชน์ พวกขี้ข้าทักษิณคิดเองไม่เป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องไปต่อรอง

ตอนนี้ เสื้อแดงก็ชุมนุมอยู่ที่ราชมังคลา เกิน 10 คนเหมือนกัน ถ้าบอกผมไปก.คลัง ไปบุกรุกราชการ แล้วราชมังคลา เป็นสถานที่ของพ่อมันรึอย่างไร

ช่างมันไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียง ก็มาจับแล้วกัน ถ้าปชช.ยอมให้จับ แต่ผมบอกแล้ว ไม่ต้องเดือนร้อนขนาดนั้น ข้อหาผมมันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับความผิดของทักษิณ

วันที่นายอริสมันต์ นำพวกพังรร.รอยอลคริฟ ผมมอบอดุลย์ แสงสิงห์แก้ว เป็นผู้ดูแล แต่จับใครไม่ได้เลย
วันที่แดงเผาแท็กซี่ รถเมล์ เมื่อ 2552 ผู้บัญชาการตร.นครบาล ที่่ชื่อย้อย อาสามาจับเรา วันนั้นจับใครไม่ได้เลย

ตอนนี้ผมยุ่งอยู่ ไว้เสร็จธุระแล้วผมจับไปมอบตัว สู้คดีตามสิทธิ์ของผม ไม่หนีไปดูไบแน่นนอน
ตร.ไม่ต้องรีบ ผมเพิ่งทำผิดกม.ครั้งแรก การต่อสู้ให้ปชช.มีอำนาจปกครองบ้านเมือง ปฏิรูปปท. ผมยังต้องทำผิดกม.อีกหลายหน แต่ไม่ใช่เพราะผมมีสันดานเป็นอาชญากร หรือโจรปล้นชาติ แต่เพื่อต่อสู้ช่วงชิงอำนาจรัฐมาเป็นของปชช.

ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ ผมตั้งใจตั้งแต่เมื่อคืน กระซิบหลวงปู่ว่า ถ้าผมไม่ตายผมจะมายึดศูนย์ราชการ ไม่กล้าบอกใครกลัวถึงหูตร.

พี่น้องข้อหาผม มันไม่ใช่ความผิดร้ายแรง ไม่ได้ฆ่าใครตาย วันนี้กว่าจะมายึดได้ เหนื่อยแทบตาย เดินมา 17 กม. ผมกราบเท้าพี่น้องได้ทุกคน ร่วมเดินกันมา ทั้งๆที่เมื่อคืนเราไม่ได้นอนกันเลย มันสุดยอดจริงๆพี่น้อง ผมซึ่งใจจริงๆ

สิ่งที่เราทำเพื่อปท.ชาติมันยิ่งใหญ่มาก แค่ 17 กม.กลางแดดทำไม่ได้ มันจะทำอย่างอื่นได้อย่างไร
ผมตัดสินใจ คนที่อายุ 60 ขึ้นไปให้อยู่เฝ้าก.คลัง ปรากฏว่า พ่อยก แม่ยก หน้าไหม้กันเป็นแถว ไม่พามาร่วมรบ ก็ต้องขอบคุณที่เชื่อแกนนำ ว่าให้รักษาก.คลังไว้ แล้วที่น่ารักมาก เดินมา 17 กม.ไม่มีใครเป็นลมเลย เกินครึ่งไม่ได้ท่านอาหารเช้า กว่าจะได้กินมื้อแรก 14.30 ไม่มีใครด่าผม ผมกราบขอโทษจริง
งานนี้ ผมว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง พระสยามเทวา พระแก้วมรกต มีจริง เพราะเราปฏิญาณไว้แล้วว่า เรากระทำคราวนี้ทำเพื่อปท.ไทยและอนาคตของชาติไทย ไม่ใช่ประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง สิ่งที่เราทำจึงสำเร็จเป็นขั้นเป็นตอน ในระดับที่คนอื่นไม่เคยทำมาได้ ไม่ใช่เพราะผมเก่ง แต่เพราะหัวใจคนไทยยิ่งใหญ่เหลือเกินคราวนี้

หลังเราไปปฏิญาณตนแล้ว เรากลับมาใช้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นฐานที่มั่น เรากล้าประกาศ 24 พย.จะต้องมีปชช.ออกมาสู้ร่วมกันมากกว่าล้านคน คนเค้าก็ไม่เชื่อ พี่น้องเราก็ใจสั่น แต่พี่น้องปชช.นั่นเองที่ทำให้สำเร็จมาได้ ทั้งตจว.และชาวกทม. คนที่ไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ก็ว่าไม่ถึงล้าน ก็ช่างแม่มัน

แต่ที่สำคัญ ในคืนที่ 24 พย. มวลมหาปชช.ได้แสดงเจตนาแล้วว่า คราวนี้สู้ด้วยมือเปล่าของปชช. เพื่อให้ปท.เปลี่ยนแปลง ผมในฐานะแกนนำต้องรับผิดชอบ ผมจึงต้องถามย้ำแล้ว ย้ำอีก ยุบสภา ไม่หยุดใช่ไม๊ ลาออกก็ไม่หยุดใช่ไม๊ คราวนี้ต้องสร้างสภาปชช. รัฐบาลของปชช. มีประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ใช่มั้ยครับ

ที่ผมต้องถามบ่อย เพราะต้องทำตามเจตนารมย์พี่น้อง เดียวเดินไปผิดทางจะยุ่ง

เลยต้องเดินหน้า จึงมีเรื่องผิดกม. เพราะรบ.นี้หน้าด้าน สภาก็หน้าหนาพอๆกับหน้านายก ระบอบทักษิณมันไม่สนใจ อย่าว่า 1 ล้านเลย 5 ล้าน 10 ล้าน มานั่งด่า เฮๆ มันก็ไม่สนใจ ไม่เดือดร้อน

มันรู้พวกเราที่ลุกขึ้นสู้เป็นพลเมืองดี มีหน้าที่รับผิดชอบ ไม่มีเวลามาสู้กับมันทั้งปีทั้งชาติ มันถึงปล่อยให้เราหมดแรงไปเอง

พอผมรู้ว่าพี่น้อง ต้องการอะไร พวกผมก็มาวางแผนปฏิบัติการ จึงบอกกับพี่น้องตรงๆ ว่าระบอบทักษิณ เดินอย่างไร 1.นายทุน สินค้าต่างๆ 2.สื่อมวลชน บางคนทักษิณส่งลูกไปเรียนเมืองนอก มันก็มาด่าผม ได้ทุกวัน แต่ผมไม่สน มันไม่มีอุดมการณ์ แต่พวกนี้มันไม่รายงานข้อเท็จจริง ปชช.ออกมาต่อสู้ใหญ่โต มันเขียนแค่ 2 บรรทัด ใครจะไปรู้ ข่าววันนี้คงมีแค่ บลูสกาย ทีนิวส์ และเนชั่น เพราะคุณกนกมาเดินกันผมด้วย แต่เราก็ได้เตือนท่านแล้ว พามวลชนไปพบท่านทุกช่อง รอท่านปรับตัว แต่ไม่ว่าจะปรับได้หรือไม่ได้ เราไม่สนแล้ว เวลานี้ เราใช้สื่อ อิเลคทรอนิค ตัวถึงตัวกันเอง วันไหนมีรัฐบาลปชช.อย่ามากราบเท้าก็แล้วกัน

วันนี้ มีคนออกมาให้กำลังใจ บอกลุงกำนันสู้ๆ เพิ่งรู้ว่าตัวเองแก่ก็งานนี้ ทั้งนร.นักศึกษา พ่อค้าแม่ขาย ผมก็คุยกับเพื่อนรักผม คุณสนธิญาณ ว่า เสร็จงานนี้ ผมคงล้างมือแล้ว กลับไปเอาใจลูกเมียบ้าง เพราะไม่เคยช่วยเค้าเลย ผมเทหมดหน้าตักกับพี่น้อง ลูกเมียตาปริบๆ

ผมนับไม่ถูกจริงๆว่าที่เดินมาวันนี้ มันกี่หมื่นกี่แสนคน ต้องขอบใจจริงๆ ชื่นใจจริงๆ

ท่านทั้งหลาย เราผ่านมาหลายบททดสอบ ตั้งแต่สามเสน ราชดำเนิน ยึดก.คลัง สำนักงบประมาณ ตัดท่อน้ำเลี้ยงรัฐบาล เราทำอะไรเปิดเผย สื่อมวลชนถามเราก็บอกต่อไปเราจะยึดทุกกระทรวง เค้าก็หัวเราะ นึกว่าเราทำไม่ได้

ศูนย์ราชการ มีหน่วยราชการทุกกระทรวง อยู่ในมือเราแล้ว รัฐบาลปูก็จะกลายเป็นปูง่อย เดินเป๋แล้วครับ
สิ่งที่เราจะทำ ก็คือ ทำให้รัฐบาลล้มเหลว ไม่สามารถบริหารได้ ไม่สามารถสั่งใครได้ เราถึงมาที่ราชการ เราพูดแล้วพูดอีก แต่ก็ยังลังเลใจ เพราะเค้าเป็นราชการผู้น้อย หัวหน้าส่วนนั้นส่วนนี้ ก็ถูกระบอบทักษิณชุบเลี้ยงจนไม่กล้าทำอะไร แต่ข้าราชการก.คลังเองที่มากระซิบผมว่าช่วยมาบุกหน่อยจะได้ตัดท่อน้ำเลี้ยงรัฐบาล ไปถึงเค้าก็กวักมือให้เข้าไป แล้วข้าราชการทั้งนั้นที่มาบอกพวกเราว่าต้องปิดตรงนั้น ถอดตรงนี้ แล้วก็มานั่งฟังปราศรัยกับเรา ฟังไปฟังมาก็ร่วมเดินมากับเราด้วยวันนี้

แต่ข้าราชการก.คลังยังสู้ ข้าราชการที่ศูนย์ราชการแห่งนี้ไม่ได้ ต้องชมว่า สุดยอด

ผม 64 เดินมาถึงก็นั่งหอบ กะว่าจะเอากุหลาบไปมอบให้ แต่เดินมา 5 ชั่วโมงกุหลาบเหี่ยวคอตกหมด แต่ที่น่าชื่นใจคือ ข้าราชการที่นี่มีกุหลาบที่สดเอามามอบให้ผมแทน แถมยังบอกว่ารอมาตั้ง 5 ชั่วโมง ทำไมเพิ่งมา

มีส่งสุภาพสตรีมา กล่าวต้อนรับพวกเรา ด้วยความยินดี และพร้อมต่อสู้ร่วมกับเรา ผมขอตั้งข้อสังเกต ว่า ข้าราชการที่นี่ฐานะดี ผมนั่งแป๊บเดียว ควักกระเป๋ามาให้โอ้ได้เป็นแสน ผมว่าผมก็ใช้ได้ แค่นั่งหอบก็ได้เป็นแสนแล้ว ที่ต้องเล่าเพราะอยากให้พี่น้องปชช.ทราบว่า บรรยากาศวันนี้เป็นอย่างไร

พี่น้อง เรื่องที่เราจะทำ มันยากจริงๆ เปลี่ยนแปลงปท.ด้วยสันติวิธี ต้องการความร่วมแรงแข็งขันของชาวไทยทุกคน เพราะเราจะเรียกร้องให้ข้าราชการเลือกข้างทันที เค้าก็อิดเอื้อนอยู่ จึงต้องให้กระบวนการปชช. เข้มแข็งยิ่งขึ้น

เมื่อคืนพอผมพูดเสร็จ คุณสาทิตย์ (วงศ์หนองเตย) ก็ไปบอกให้คนต่างจังหวัดทำตามที่ก.คลังบ้าง วันนี้ ที่ต่างจังหวัดจึงได้ผล 2 อย่าง คุณสาทิตย์ ถูกออกหมายจับแล้ว และอีกผลคือ ศาลากลางจังหวัดต่างๆถูกพี่น้องเข้ายึดเกือบครึ่ง คือ 30 จังหวัดแล้ว และพรุ่งนี้คงมีอีก หลายจังหวัด ตัวอย่างที่ภาคเหนือ พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ อ่างทอง อยุธยา ลพบุรี ประจวบ ที่ภาคใต้ ไม่ต้องพูดถึง 14 จังหวัดครบหมด ภาคอีสาน มหาสารคาม สุรินทร์ ขอนแก่น อุดรธานี มันเด็ดขาดจริงๆ พลังมวลมหาปชช.จริงๆ
เริ่มต้นแล้ว พรุ่งนี้ตามมาอีกหลายจังหวัด

สำหรับกระทรวงทั้งหลาย วันนี้ ยึดไป 9 กระทรวง

ที่เรายึดศูนย์ราชการ มีเรื่องที่ผมไม่สบายใจ คือ ติดศาลปกครองไปด้วย ต้องขอโทษศาลไม่ได้ตั้งใจละเมิดศาล แต่ลูกน้องทำไปแล้ว ผมจะหาทางแก้ไข อีกเรื่องคือ คุณถาวร เสนเนียม แกไปยึดดีเอสไอมาด้วย เพราะที่นั่นมี ธาริต เพ็งดิษฐ์ อยู่ด้วย ผมไม่อยากให้มันพักผ่อน ผมก็เสียใจเล็กน้อย

พี่น้องพรุ่งนี้เราคงไม่ไปยึดอะไรต่อแล้ว จะจัดการแถวนี้ให้เรียบร้อย วันนี้เราได้นอนห้องแอร์ เพราะอาคารนี้เปิดแอร์ทั้งอาคาร กลัวนปช.อิจฉาว่า เราเป็นม็อบอำมาตย์ได้นอนห้องแอร์ อาหารมือแรกวันนี้ ก็ทานข้าวห่อไปก่อน ย้ายครัวไม่ทัน เดี๋ยวรัฐบาลมันรู้ แล้วครัวจะตามมาที่หลัง

ตั้งแต่เราทำมา เราก็เอาชนะหัวใจเราเองมาตลอด ผมเชื่อว่า สิ่งที่เราตั้งความหวังไว้ต้องชนะ ชัยชนะต้องเป็นของปชช.แน่นอน

น่าชื่นใจมาก ในชีวิต ผมกับหลวงปู่ เพิ่งมาพบกันก็งานนี้ ไม่เคยไปวัดหลวงปู่มาก่อน พอมาฟังหลวงปู่เทศน์ก็ถูกใจ หลวงปู่เทศน์การเมือง เข้าใจการเมืองมากกว่าสส.ในสภาทาสหลายเท่า หลวงปู่บอกกับผมว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รับนิมนต์ทุกวัน ถ้าเราชนะเรียบร้อย หลวงปู่บอกว่า ฉันก็จะได้ไปธุดงค์เข้าป่าเสียที ผมบอกหลวงปู่ว่า ถ้าปชช.ไม่ออกมามากๆ สงสัยผมกับหลวงปู่คงได้อยู่ห้องขังใกล้ๆกัน

เราต้องพร้อมใจกัน และออกแรงกันมากหน่อย เพราะพวกมันคงไม่ยอมกันง่าย หลวงปู่ไปไกลกว่าผมแล้วครับ ตามมาดูสถานที่ บอกตรงนี้ ฮวงจุ้ยดี ตั้งเวทีตรงนี้ พี่น้องอยู่ตรงนี้ เรารับได้ 2 ล้านแน่นอน
ถือโอกาสกราบเรียนพี่น้อง ก.คลัง ที่ทอดทิ้ง แต่คืนนี้กลับไปเยี่ยมไม่ได้ เพราะตร.ดักรออยู่กลางทาง แต่ขอให้ยึดที่นั่นไว้ให้มั่น เพราะเป็นท่อน้ำเลี้ยงรัฐบาล แล้วจะส่งคนไปเสริม ส่วนที่ราชดำเนิน ผมทราบว่า คนยังแน่นเหมือนเดิม แต่อยากทราบว่า กระทรวง

28 พฤศจิกายน 2556 หมดวาระสมัยประชุมสภา อภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จ มันจะยุบสภา เพราะฉะนั้น ไปคุยกันให้ดี ถ้าเค้ายุบสภา เรายังเดินหน้าเจตนารมย์เดิมใช่หรือเปล่าครับ กรุณาอย่าหลอกผม พวกผมมือใหม่ ถ้าม็อบหลอก ชาตินี้ก็ติดคุกฟรีอย่างเดียว เราต้องเตรียมการณ์ก่อน เพื่อรัฐบาลของปชช. เพื่ออนาคตปท.ไทย

วันนี้สื่อมวลชนมาบอกว่า นายกยิ่งลักษณ์อยากคุย ตกลงไม่คุยกับมันแน่นอน ไม่ต้องมาต่อรองกัน การเมืองปท.ไทยวันนี้ไม่มีการต่อรองกันแล้ว ไม่ใช่เรื่องนักการเมือง พรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องปชช.ล้วนๆ
ผมจะเดินหน้าพร้อมแกนนำ ตามเจตนารมณ์พี่น้องปชช. แต่ปชช.ต้องมาให้มากและทำตามแผนให้สมบูรณ์ทุกอย่างได้มั้ยพี่น้อง?"



Wednesday, November 27, 2013

"ประพันธ์" เชื่อ 24 พ.ย.จุดเปลี่ยนประเทศ แนะ "มาร์ค" ประกาศจุดยืนเคลียร์ข้อหาตีกิน


"ประพันธ์" เชื่อ 24 พ.ย.จุดเปลี่ยนประเทศ แนะ "มาร์ค" ประกาศจุดยืนเคลียร์ข้อหาตีกิน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤศจิกายน 2556 23:41 น.


Keywords: Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, กฎหมายนิรโทษกรรม, Amnesty bill, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, ประชาธิปัตย์, พรรคเพื่อไทย, คอรัปชั่น, Corruption, ปฏิรูปประเทศไทย,
-------------------------------------------------------

Facebook: https://www.facebook.com/prapanth.koonmee


ภาพ ประพันธ์ คูณมี

ประพันธ์ คูณมี เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2497 ที่จังหวัดอุบลราชธานี มีชื่อเล่นที่เรียกกันในหมู่เพื่อน ๆ ว่า "ผอม" เมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลา เป็นหนึ่งในนักศึกษาที่เข้าร่วมในเหตุการณ์ โดยทำงานร่วมกับสหพันธ์นักศึกษาเสรี และหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ได้หลบหนีเข้าป่า ร่วมงานกับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) มีชื่อจัดตั้งว่า "สหายสงคราม" มีเขตงานเป็นของตนเองโดยไม่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ในนาม "เขตงาน 196 ภูเขียว, ชัยภูมิ"

เมื่อออกจากป่า ประพันธ์ได้กลับมาเรียนต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และระดับ ปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจบเนติบัณฑิตไทย รุ่นที่ 37 โดยเป็นลูกศิษย์ของ นายพิศิษฏ์ เทศะบำรุง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และได้ร่วมกันก่อตั้งสำนักทนายความขึ้นในชื่อ "สำนักงานพิศิษฏ์ ประพันธ์ และเพื่อน"

ประพันธ์ คูณมีเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพอีกคนหนึ่ง ที่มีความรู้ความสามารถ และมีความกล้าในการนำเสนอ ทำให้คนทั่วไปได้เข้าใจประเด็นการเมืองที่เกี่ยวกับกฎหมายได้อย่างง่ายๆ

-----------------------------------------------------------

ประพันธุ์ คูณมี:

คำพิพากษาคดีที่ทักษิณและตระกูลชินวัตรก่อโทษกรรมกระทำความผิดอันชั่วร้ายและอุกฉกรรจ์ ต่อประเทศและประชาชนไทย ระหว่างปี พ.ศ 2544-2556

เป็นระยะเวลาประมาณ 12 ปี นับแต่ทักษิณ ชินวัตรและโคตรเหง้าตระกูลชินวัตรกับเครือญาติของเขาได้ขึ้นครองอำนาจปกครองประเทศไทยต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน ได้ปรากฏข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นที่ยุติโดยปราศจากข้อสงสัยว่า ทักษิณและตระกูลชินวัตรกับเครือญาติของเขา ได้บังอาจร่วมกันกระทำการโดยก่อโทษกรรมและกระทำความผิดที่ชั่วช้าสามานย์อันอุกฉกรรจ์ ต่อประเทศชาติและประชาชนไทย จนเกินกว่าที่จะให้อภัยได้ ดังปรากฏความผิดและการกระทำโดยสรุปดังต่อไปนี้

1. ทักษิณกับพวกและสมุนบริวาร มีเจตนาชั่วมาแต่ต้น โดยร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่ง เพื่อเป็นเครื่องมือและตัวแทนของตนเองในฐานะนายทุนผูกขาดหรือกลุ่มทุนสามานย์ โดยรวบรวมนักการเมืองชั่ว คนโกง ผู้มีอิทธิพล และข้าราชการเลว นักวิชาการขายตัว สื่อมวลชนที่ทรยศต่อวิชาชีพเพื่อเข้ายึดกุมอำนาจรัฐ โดยอาศัยช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ 2540 ประกอบกับความล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพ ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต) ที่เป็นเพียงเสือกระดาษหรือที่ระบายน้ำเสียจากวงการตุลาการ ทำให้การเลือกตั้งเป็นเพียงพิธีกรรม ชุบตัวคนชั่วที่มีอำนาจเงินซื้อเสียงก็ชนะเข้าสู่อำนาจรัฐได้ และเมื่อทักษิณติดกับดักรัฐธรรมนูญ ต้องคดีซุกหุ้นภาค 1 เขาก็ติดสินบนศาลรัฐธรรมนูญ ให้หักดิบกฎหมายช่วยทักษิณให้รอดพ้นคดีซุกหุ้น ทั้งๆที่กระทำผิดกฎหมายไม่มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เขากระทำการวิ่งเต้นคดีหลบเลี่ยงกฎหมาย โดยความช่วยเหลือจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ทรยศบางคน เมื่อใช้กลโกงชนะเลือกตั้ง รอดพ้นคดีซุกหุ้นได้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว ทักษิณก็กระชับรวบอำนาจโดยซื้อพรรคการเมืองอื่นๆ อาทิ พรรคเสรีธรรม และพรรคความหวังใหม่เข้าควบรวมพรรคกับพรรคการเมืองของเขา จนกลาย เป็นเผด็จการเสียงข้างมาก ทำลายการตรวจสอบใดๆของสภาฯโดยสิ้นเชิงตลอดระยะเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณจึงเป็นนายทุนผูกขาดตัวแทนทุนนิยมสามานย์คนแรกที่เข้ามาเล่นการเมืองและได้กุมอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรี โดยอยู่เหนืออำนาจการตรวจสอบใดๆ

2. เมื่อยึดอำนาจรัฐและกุมอำนาจการปกครองประเทศได้แล้ว ทักษิณกับพวกก็ได้สถาปนาอำนาจการเมืองที่เรียกว่า"ระบอบทักษิณ" ขึ้นในประเทศไทยด้วยการกระชับอำนาจของตนให้เข้มแข็ง โดยรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จไว้ในมือคนเดียว ทุกคนต้องอยู่ใต้อำนาจการสั่งการของเขาเพียงผู้เดียว ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีทักษิณเป็นประมุข ที่ใครจะแตะต้องวิพากษ์วิจารณ์ล่วงละเมิดมิได้ หากใครกระทำก็จะมี สส ขี้ข้าทั้งหลายออกมาปกป้องตอบโต้แว้งกัดเสมอ ระบอบประชาธิปไตยของไทย จึงกลายเป็นระบอบทักษิณ ของทักษิณ โดยทักษิณและเพื่อทักษิณ กับตระกูลชินวัตรเท่านั้น ทักษิณเป็นคนเดียวที่มีอำนาจใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ดุจดังประมุขสูงสุดของประเทศ

3. "ระบอบทักษิณ" ได้ใช้เงินและอำนาจเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ ใช้สื่อและนักวิชาการเป็นสมุน ใช้ สส.สว.เป็นขี้ข้า ใช้ข้าราชการและกลไกรัฐกับมวลชนและกองกำลังอันธพาลเล่นงานฝ่ายคัดค้านที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่ยอมรับใช้เขา"ระบอบทักษิณ" จึงเป็นระบอบการเมืองแห่งความชั่วร้ายที่เข้าครอบงำรัฐสภา แทรกแซงศาล องค์กรอิสระต่างๆ เพื่อทำให้ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถควบคุมตรวจสอบการกระทำความผิดและความชั่วร้ายที่เขาได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับชาติบ้านเมืองและ พฤติกรรมทุจริตคดโกงของพวกเขาได้ ทักษิณกับพวกจึงเหิมเกริมในอำนาจ ฉ้อฉลและปล้นประเทศตามอำเภอใจ ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ในอำนาจ ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลปัจจุบันที่อยู่ภายใต้การบงการชักใยของเขา

4. ทักษิณกับพวก สมคบกันหลอกลวงและมอมเมาประชาชน ด้วยสารพัดนโยบายประชานิยมที่อ้างประโยชน์ประชาชนบังหน้าแต่ฉากหลังก็เพื่อโกงและปล้นเงินภาษี ก่อหนี้ให้ประเทศและประชาชนแบกรับชั่วลูกหลาน ไม่ว่าโครงการหวยบนดิน กองทุนหมู่บ้าน รถยนต์คันแรก การจำนำข้าว เงินกู้ 3.5แสนล้าน และ 2.2ล้านล้านบาท ฯลฯ ล้วนแต่เป็นหลักฐานแห่งความชั่วร้ายและการฉ้อฉล ที่ชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัย ก่อความเสียหายแก่ประเทศชาติ ที่กำลังนำไปสู่การล่มสลายทางเศรษฐกิจของชาติ ทั้งเป็นการใช้เงินภาษีประชาชนเพื่อการซื้อเสียง รักษาอำนาจชั่วของตนโดยไม่ละอายอีกด้วย

5. "ระบอบทักษิณ" ทำทุกวิธีที่ผิดกฏหมาย ใช้อำนาจรัฐและอันธพาล ซื้อ กกต จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง ปลอมเอกสารตัดต่อข้อมูล โกงเลือกตั้งใช้เงินซื้อเสียง ทำทุกรูปแบบเพื่อให้ชนะการเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐ ดังปรากฏข้อเท็จจริงที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำพิพากษาเพิกถอนการเลือกตั้งให้เป็นโมฆะ และให้ยุบพรรคการเมืองของเขาถึงสองครั้งคือพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน เป็นหลักฐานชี้ชัดให้เห็นว่า พวกเขาใช้การเลือกตั้งเป็นเพียงพิธีกรรมตบตาประชาชนว่าตนเป็นประชาธิปไตย 
แท้จริง"ระบอบทักษิณ" ก็คือระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมหรือระบอบประชาธิปไตยเสื้อคลุมระบอบเผด็จการของนายทุนสามานย์เจ้าของพรรคการเมือง ที่ประชาชนมีเพียงหน้าที่ไปหย่อนบัตรเลือกตั้งเท่านั้น หาได้มีสิทธิในระบอบประชาธิปไตยโดยแท้จริงแต่อย่างใดไม่

6. ความผิดอุกฉกรรจ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่ทักษิณและพวกสมุนบริวารกับเครือญาติของเขา ที่ได้ก่อกรรมกับประเทศชาติและประชาชนคือ การทุจริต โกงชาติ ปล้นแผ่นดิน เขาไม่ได้ทุจริตโกงกินโดยลำพังเพียงผู้เดียว แต่เขาได้ขนโคตรตระกูลและเครือญาติของเขาทั้ง ชินวัตร ดามาพงศ์ และ วงศ์สวัสดิ์ เข้ามาเสวยสุขและปล้นสะดมภ์ โกงกินประเทศ ทุจริต และแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ สร้างความร่ำรวยจนผิดปกติ สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติจำนวนมหาศาลนับล้านล้านบาท ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดียึดทรัพย์4.6หมื่นล้านบาท และคดีที่ดินรัชดา ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ถูกดำเนินคดีและติดตามได้ ซึ่งยังมีเงินและทรัพย์สินที่ประเทศไทยถูกโกงไปอีกหลายแสนล้าน ที่ยังติดตามไม่ได้ และมีอีกหลายคดีที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ที่ศาลกับ ปปช แม้จะถูกจับได้ไล่ทันจนมีคำพิพากษาลงโทษแล้ว พวกเขาก็หาได้หลาบจำหรือเกรงกลัวต่อการกระทำความผิด หาได้สำนึกในการกระทำชั่วต่ออาญาแผ่นดินแต่อย่างใด รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทักษิณ และตระกูลชินวัตรกับเครือญาติของเขา ยังบริหารประเทศโดยการทุจริต โกงชาติ ปล้นแผ่นดินต่อไป โดยทุกๆโครงการที่มีผลประโยชน์ คนในตระกูลชินวัตรกับเครือญาติ จะเดินเก็บเงินและเรียกเอาผลประโยชน์ไม่ต่ำกว่า40%ขึ้นไปในทุกๆโครงการ จนประเทศชาติกำลังจมดิ่งสู่ความล่มสลาย ทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เพียงแต่ไม่ป้องกันและหยุดการโกงกิน คอรัปชั่น พวกเขากลับส่งเสริมให้นักการเมืองขี้ข้าและข้าราชการ แข่งขันกันสร้างผลงานโกงชาติ ออกกฎหมายมาล้างผิดคนโกง และทำลายกลไกการตรวจสอบทุกองค์กร อันเป็นการกระทำความผิดและสร้างความชั่วร้ายที่สุด ที่ไม่เคยมีผู้นำประเทศคนใดกล้ากระทำต่อแผ่นดินและประเทศของตน พฤติกรรมดังกล่าวจึงมีลักษณะอันสมควรที่ถูกประชาชนประนามว่า"พวกโคตรโกงและโกงกันทั้งโคตร" เป็นการกระทำความผิดที่ต้องถูกลงโทษอย่างสาสม

7. ทักษิณและสมุน รวมถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้บริหารประเทศโดยลุแก่อำนาจ ไม่ฟังเสียงประชาชนเจ้าของประเทศ พวกเขาละเมิดหลักการในระบอบประชาธิปไตย ด้วยการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นหรือการใช้สิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญใช้อำนาจคุกคามปิดปากสื่อที่เป็นอิสระไม่ยอมสวามิภักดิ์รับใช้อำนาจชั่วของเขา ขณะเดียวกันก็ใช้เงินซื้อสื่อที่ทรยศขายวิญญาณไว้คอยรับใช้เชลียร์ จ้างนักวิชาการขายตัวไว้มอมเมาประชาชนและบิดเบือนความจริง ที่ชั่วช้่าสามานย์ที่สุดก็คือ การกระทำที่พวกเขาได้สมคบคิดกันก่อสงครามสังหารเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่น้อยกว่า 2,500 ศพ ภายใต้ข้ออ้างว่าเพื่อปราบปรามยาเสพติด ตั้งศาลเตี้ยสังหารประชาชนโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมสังหารปราบปรามประชาชนในกรณีกรือเซะ ตากใบเสียชีวิตหลายร้อยคน จนนำไปสู่สงครามแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ ทำลายความสงบสุขและชีวิตเพื่อนร่วมชาติ ตำรวจ ทหาร ร่วมหลายหมื่นชีวิต จนแผ่นดินไทยไร้ความสงบสุข ล้วนแต่เกิดจากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ทั้งสิ้น

8. นอกจากคุกคามทำร้ายสุจริตชน จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนแล้ว อีกด้านหนึ่งทักษิณยังมีความโหดร้ายอำมหิตต่อประชาชนและประเทศชาติ อย่างผิดมนุษย์ โดยเขาได้ใช้เงินที่โกงและทุจริตไปจากประชาชนและประเทศชาติ มาทำร้ายประชาชนและชาติไทย อย่างชั่วช้าเลวทราม โดยเขาได้จ้างพวกแกนนำเสื้อแดง อดีตนักกิจกรรมเดือนตุลาฯ จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ ปลุกระดมยุยงและจัดตั้งมวลชนที่ขาดความรู้และความเข้าใจต่อธาตุแท้ความทุจริตคดโกงของเขา ให้เป็นเครื่องมือก่อเหตุจลาจล ก่อสงครามกลางเมือง ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เผาประเทศไทย เผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการและเอกชน คุกคามสิทธิเสรีภาพประชาชน ยิงอาวุธร้ายแรงใส่วัดพระแก้วและระเบิดสถานที่สำคัญ ฆ่าทหารและเจ้าพนักงาน จนประเทศตกอยู่ในมิคคสัญญี ก่อกรรมทำเข็ญกับประเทศชาติ สร้างรอยแผลและความแตกแยกในสังคมคร้ังใหญ่ เขายุยงให้ประชาชนเป็นศัตรูและเข่นฆ่ากัน หลอกประชาชนมาเจ็บและตาย เพื่อผลประโยชน์และอำนาจของตนอย่างไร้ความเมตตา โดยไม่มีคุณธรรมและศีลธรรมที่คนไทยพึงมีต่อกัน

9. เมื่อหลอกคนเสื้อแดงให้ก่อจลาจลจนเกิดบาดเจ็บ ล้มตายเสียชีวิตเพราะการบ่งการของตน ทักษิณไม่เคยแสดงความรับผิดชอบใดๆ ตระกูลชินวัตรไม่รับผิดชอบเหลียวแลมวลชนเหล่านั้นแต่อย่างใด ครั้นประชาชนเหล่านั้นแสดงความไม่พอใจ พวกเขาก็มาปล้นเอาเงินภาษีประชาชน ไปจ่ายให้แก่มวลชนเหล่านั้น ทั้งๆที่คนเหล่านั้นกระทำผิดกฎหมายอาญาร้ายแรงต่อแผ่นดิน ทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับอ้างแบบหน้าด้านๆว่าต้องเยียวยาคนเหล่านั้น ทั้งๆที่เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา เป็นความผิดที่ทักษิณกับพวกและสมุนบริวารก่อขึ้น และเป็นผู้รับประโยชน์ ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังพยายามที่จะออกกฎหมายล้างผิดให้คนเผา คนปล้น คนฆ่า และก่อการร้าย สร้างความจลาจลกับบ้านเมือง รวมถึงตัวเขาและพวกที่เป็นผู้วางแผนบงการอีกด้วย อันเป็นการทำลายหลักนิติธรรม ระบบนิติรัฐ และกระบวนยุติธรรมของประเทศจนสิ้น ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพไร้ขื่อแปอย่างเลวร้ายและอัปยศที่สุด

10. "ระบอบทักษิณ" นอกจากไม่เป็นประชาธิปไตย ทำลายสังคม ทำร้ายประชาชน และทุจริตโกงชาติ ปล้นแผ่นดินแล้ว ยังมีพฤติกรรมและการกระทำอันแสดงให้เห็นว่าพวกเขา "ขายชาติ" อีกด้วย ทักษิณกับพวกไม่เคยส่งเสริมให้ประชาชนรักชาติ มีแต่ทำลายความเป็นชาติไทย เปิดประเทศหาประโยชน์กับกลุ่มทุนข้ามชาติ ทักษิณทำตนเป็นนายหน้าและหาประโยชน์ไปทั่วโลก โดยมีรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นเครื่องมือออกหน้าเปิดทางให้เขาหาประโยชน์กับทุกประเทศ การกระทำที่เป็นหลักฐานการทรยศประชาชนและขายชาติที่แจ้งชัดที่สุดคือ กรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา เรื่องปราสาทพระวิหาร และเรื่องเขตแดนทั้งทางบก ทางทะเล ซึ่งมีแหล่งพลังงานน้ำมันและแก๊สจำนวนมหาศาล ที่ตระกูลชินวัตรกำลังสมยอมกับฮุนเซน ปล้นเอาดินแดนไทยไปหาประโยชน์ร่วมกัน คำพิพากษาศาลโลกเมื่อวันที่11 พ.ย 2556 คือหลักฐานและใบเสร็จที่สำคัญยิ่ง หากประเทศไทยยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว ย่อมทำให้ไทยเสียดินแดนอย่างแน่นอน การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ม.190 ก็เพื่อเปิดทางและใช้เป็นเครื่องมือเจรจาขายชาติขายแผ่นดิน ที่ทักษิณกับสภาทาสขี้ข้าของเขาได้สมคบคิดกันวางแผนไว้ นี่คือความผิดอุกฉกรรจ์ที่ทักษิณต้องรับผิดชอบร่วมกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้

11. ความผิดและความเลวร้ายอีกประการหนึ่งที่ระบอบทักษิณได้กระทำกับประเทศชาติคือ การทำลายความสงบสุขของสังคม ทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามของชาติ ทำลายความเชื่อความศรัทธาต่อหลักพุทธศาสนา ที่ชาวไทยเคารพยึดถือมาต่อเนื่องยาวนาน พวกเขาได้สร้างวัฒนธรรมแห่งความชั่วร้ายขึ้นมาในสังคมไทย ด้วยการทำชั่วให้ได้ดี ส่งเสริมคนเลวให้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง สนับสนุนคนโกง ข้าราชการชั่วให้มีอำนาจ ชุบเลี้ยงอันธพาลการเมืองไว้เป็นเครื่องมือคุกคามสุจริตชนและผู้รักชาติ รักประชาธิปไตย แม้กระทั่งตุลาการผู้กระทำการในพระปรมาภิไธย ก็มิได้ยกเว้น ในทางศาสนาพวกเขาก็สนับสนุนลัทธิศาสนานอกรีต ไม่ยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตระกูลชินวัตรกระทำตนเป็นผู้นำและตัวอย่างแห่งความเลวที่สุดในทุกๆด้าน ทำให้สังคมสับสนระหว่างถูกผิด ความดีความชั่ว ความซื่อสัตย์สุจริตกับการทุจริตคดโกง พวกเขาสร้างแต่ค่านิยมแห่งความชั่วร้ายแก่สังคมและชนรุ่นหลัง ทำลายความเป็นไทย ชาติไทยไปหมดสิ้น จนประเทศไทย ความเป็นไทยถูกล้อเลียนในสังคมโลกโดยคำว่า"ไทย"เท่ากับโกหกตอแหลและคดโกง เป็นที่เสื่อมเสียและอับอายไปทั่วโลก

12. ความผิดและความชั่วร้าย ที่ประเทศและประชาชนไทยทั้งชาติ ไม่อาจยอมรับหรือให้อภัยต่อทักษิณและสมุนได้ ทั้งเป็นการบังอาจกระทำความผิดที่สมควรประหารชีวิตพวกมันทั้งโคตรก็คือ การกระทำความผิดอันเป็นการจงใจที่มีเจตนาร้ายในการอาฆาตมาดร้าย และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อองค์พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถและรัชทายาท ทักษิณส่งเสริมและสนับสนุนทั้งทางตรงและทางออ้ม ต่อขบวนการโจมตีและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังปรากฎข้อเท็จจริงจากหนังสือขบวนการล้มเจ้าและหลักฐานการพูด การสัมภาษณ์ และการกระทำของทักษิณกับสมุนบริวารในสื่อต่างๆทั้งในและต่างประเทศ และที่ปรากฏต่อสังคมอย่างชัดแจ้ง โดยพวกเขาต้องการสถาปนาอำนาจรัฐไทยใหม่ ต้องการให้ทักษิณเป็นประธานาธิบดี ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญญลักษณ์ หมดความหมายและความสำคัญ ข้อเท็จจริงนี้เป็นที่ปรากฎและรับรู้กันโดยทั่วไป จนแม้แต่สื่อต่างชาติยังเรียกประเทศไทยว่า"สาธารณรัฐทักษิณ" เป็นประเทศที่ทักษิณมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็เป็นเพียงหุ่นเชิดของทักษิณผู้เป็นพี่ชาย และผู้ทรงอำนาจสูงสุดคอยชักใยอยู่เบื้องหลังนั่นเอง นอกจากโจมตีทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือกระทำทุกวิถีทางให้สถาบันอ่อนแอจนหมดความสำคัญแล้ว ศาลและกระบวนยุติธรรมทั้งหลายที่กระทำการในพระปรมาภิไทย ทักษิณและสมุนของเขาก็ถือเป็นเป้าหมายในการทำลาย เพื่อให้ศาลเป็นเครื่องมือรับใช้ "ระบอบทักษิณ" รวมถึงกองทัพไทยซึ่งเป็นหลักค้ำจุนสถาบัน พวกเขาก็เข้าซื้อและแทรกแซง กระทำทุกวิธีการเพื่ิอให้กองทัพแตกแยกและอ่อนแอ หรือซื้อตัวผู้นำกองทัพให้เป็นพวกและสวามิภักดิ์ต่อพวกเขา โดยเสนอแบ่งผลประโยชน์จำนวนมหาศาลจากการทุจริตคดโกงแก่นายทหารบางคน ให้ยินยอมรับใช้เป็นสมุนและทรยศต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ชุบเลี้ยงมา นี่คือความเลวที่ทักษิณกับพวกสมควรตาย คืออาชญากรรมที่พวกเขาก่อไว้กับชาติบ้านเมือง อย่างมิอาจหาความเลวใดเทียบเท่าได้

13. ความเลวและความชั่วอันเป็นที่สุดของระบอบทักษิณคือ การเป็นผู้กำหนดกฎและกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศ ที่เอื้ิอประโยชน์และเป็นผลดีกับพวกเขา ในการสถาปนาระบอบอำนาจทางการเมืองและการรักษาอำนาจของพวกเขาไว้ให้ยาวนานที่สุด ซึ่งทักษิณเคยประกาศว่าจะอยู่ในอำนาจทางการเมืองไม่น้อยกว่า20ปี ขณะนี้ก็ก้าวล่วงมาแล้วถึง12ปี หากทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และไม่มีการลุกขึ้นสู้ของมวลมหาประชาชน เพื่อขุดรากถอนโคนระบอบการเมืองแห่งความชั่วร้ายและสามานย์นี้แล้ว "ระบอบทักษิณ" ก็จะพัฒนาและยกระดับความชั่วร้ายก้าวไปสู่"ระบอบชินวัตร" อันเป็นระบอบการเมืองแบบโคตรตระกูลที่มีการสืบทอดอำนาจในวงศ์ศาคณาญาติโดยไม่มีสิ้นสุดจนกว่าจะสิ้นโคตรตระกูล พวกเขาจึงมุ่งมั่นและกระเหี้ยนกระหือรือ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2550 นี้โดยทั้งฉบับ เมื่อถูกคัดค้านขัดขวางก็หาทางแก้ไขรายมาตรา โดยเฉพาะมาตราสำคัญๆก่อน จนกว่าจะครบทั้งฉบับโดยมิได้นำพาต่อเสียงท้วงติงคัดค้านของมหาชน พวกเขาอ้างเสียงข้างมากของ สส.สว. ในสภาขี้ข้าของเขา กระทำการย่ำยีข่มขืน ลักหลับประชาชน ตรากฎหมายอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ เช่นเดียวกับกฎหมายนิรโทษโกง ฉบับเหมาเข่งสุดซอยที่ถูกประชาชนทั้งหลายคัดค้านทั้งแผ่นดินในขณะนี้

พฤติกรรมและการกระทำอันเป็นความผิดต่อแผ่นดินที่ร้ายแรง กับโทษกรรมทั้งหลายที่ทักษิณ ชินวัตรกับสมุนพร้อมเครือญาติของพวกเขาที่ได้ก่อกรรมทำเวรไว้กับประเทศชาติและประชาชน ดังที่ไิด้พิเคราะห์และพิจารณามาดังกล่าวแลัวข้างต้น ศาลประชาชนสูงสุดจึงมีความเห็นว่า ทักษิณ ชินวัตร และนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับสมุนบริวาร กับบุคคลทั้งหลายในตระกูลชินวัตร ดามาพงศ์ วงศ์สวัสดิ์ ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อประเทศชาติและประชาชน อันเป็นความผิดฐานกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ร่วมกันกระทำการทุจริต ปล้นชาติ โกงแผ่นดิน หลีกเลี่ยงภาษี ร่ำรวยโดยผิดปกติ ทรยศต่อประเทศชาติและประชาชน ขายชาติขายแผ่นดิน สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน สนับสนุนและใช้ให้ผู้อื่นหรือโดยร่วมกันกับผู้อื่นก่อการร้าย ก่อจลาจล วางเพลิงเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการและเอกชน ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ทำลายความสงบสุขในสังคม ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และ ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กระทำการอันเป็นกบถโดยสมคบกับต่างชาติ กระทำให้ประเทศสูญเสียดินแดนและเขตอธิปไตย ข้ออ้างและข้อต่อสู้ของทักษิณกับพวกที่อ้างว่า ตนเองมาจากการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนประชาชนในระบอบประชาธิปไตย จึงไม่อาจรับฟังได้ เพราะระบอบประชาธิปไตยไม่ได้อนุญาตให้ใช้เสียงข้างมากเพื่อการกระทำความผิดดังกล่าว หากแต่ต้องใช้อำนาจที่ได้รับมอบจากประชาชนเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ส่วนที่จำเลยแผ่นดินทั้งหลายอ้างว่าตนถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย ก็หาเป็นความจริงแต่อย่างใดไม่ เพราะคงไม่มีใครหรือองค์กรใดบังคับขู่เข็ญกลั่นแกล้งใส่ร้ายให้จำเลยกับพวกโกงแผ่นดินและกระทำความชั่วมาได้ถึง 12 ปี พฤติกรรมทั้งหลายเกิดจากสันดานและธาตุแท้อันชั่วร้ายของจำเลยกับพวกทั้งสิ้น จำเลยกับพวกและโคตรตระกูลของจำเลย เป็นคนไทย เกิดและเติบโตโดยได้รับการอบรมศึกษาจากสถาบันการศึกษาของรัฐด้วยเงินภาษีของประชาชน ทั้งแผ่นดินไทยก็ได้ให้โอกาสแก่บรรพบุรุษของจำเลยและจำเลยทั้งหลายในการประกอบอาชีพสร้างความร่ำรวยนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน และภายใต้ร่มพระบารมีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ได้ทรงพระกรุณาต่อจำเลยและโคตรตระกูลของจำเลยทั้งหลายด้วยดีมาโดยตลอด ทักษิณและเครือญาติได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถึงสามคน แต่จำเลยกับพวกและเครือญาติทั้งหลายก็หาได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแต่อย่างใดไม่ กลับกระทำเนรคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และบังอาจกระทำการที่เป็นการทรยศต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างชั่วช้า คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่ย่อมเป็นเสนียดจัญไรต่อแผ่นดิน มีแต่จะทำความหายนะแก่ชาติบ้านเมืองอย่างหาที่สุดไม่ได้ ศาลประชาชนสูงสุดของประชาชนทั้งประเทศ จึงมีคำพิพากษาเป็นเอกฉันท์ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งหลายกับพวกทั้งโคตร และยึดทรัพย์สินทั้งหมดของมันให้ตกเป็นของแผ่นดิน ให้เพิกถอนสิทธิทางการเมืองโคตรเหง้าตระกูลชินวัตร ดามาพงศ์ วงศ์สวัสดิ์ ไปตลอดชีวิต และให้เนรเทศออกจากประเทศไทยไปทั้งสามโคตรตระกูล โดยไม่รอการลงอาญา.

หมายเหตุ เขียนจากความฝันว่าบ้านเมืองได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มวลมหาประชาชนได้สามัคคีกันลุกขึ้นมาโค่นล้มขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยึดอำนาจปกครองมาเป็นของประชาชน แล้วจัดตั้งศาลประชาชนมาชำระคดีความผิดและความชั่วร้ายของทักษิณและตระกูลชินวัตร ดามาพงศ์ วงศ์สวัสดิ์ โดยแต่งตั้งผู้เขียนให้เป็นหนึ่งในคณะตุลาการพิจารณาพิพากษาคดี


Sunday, November 17, 2013

รู้จักปาริชาติ ภูนกยูง ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบแสวงหา

รู้จักปาริชาติ ภูนกยูง ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบแสวงหา

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, กฎหมายนิรโทษกรรม, Amnesty bill, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, ความจริงและการสมานฉันท์, truth and reconciliation, ปาริชาติ ภูนกยูง, คนเสื้อแดง, ชายในชุดดำ, นปช.
---------------------

การเรียนรู้แบบแสวงหา หรือ Inquiry learning  หรือ Inquiry-Based Learning คือสนใจไฝ่รู้ อยากรู้ในสิ่งที่มีความสำคัญ แต่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่มีการแสวงหาและตรวจสอบข้อเท็จจริง ลองเริ่มต้นด้วยข่าว ปาริชาติ ภูนกยูง "หญิงเสื้อแดงกลับใจ" เราจะเชื่อได้หรือไม่สิ่งที่เขาพูด และจะรู้ข้อเท็จจริงได้อย่างไร

ประกอบ คุปรัตน์ (Pracob Cooparat)
18 พฤศจิกายน 2556
--------------

"นปช.กลับใจ" ขึ้นเวทีปชป. เสื้อแดงยัวะจี้ถามรับเงินมาเท่าไหร่" โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 01:37 น.


ภาพ นางปาริชาติ ภูนกยูง

"หญิงเสื้อแดงกลับใจ" ขึ้นเวทีราชดำเนิน แฉถูกจ้าง 1.5 ล้าน ให้เผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่น และธ.กรุงเทพ แต่สุดท้ายไม่ได้เงิน ติดคุกฟรีไร้การเหลียวแลจนทำให้ตาสว่าง ด้านคนเสื้อแดงปรี๊ดแตกบุกถล่มเฟซบุ๊กยับ พร้อมแฉล่าสุดหญิงคนดังกล่าวยังโพสต์ด่าประชาธิปัตย์อยู่เลย แต่เพราะรับเงินมาจึงยอมทรยศคนเสื้อแดง
      
วันที่ 17 พ.ย. ที่ราชดำเนิน นางปาริชาติ ภูนกยูง อดีตคนเสื้อแดง ได้สวมเสื้อสีแดงซึ่งระบุข้อความว่า "กูรักคนที่มึงเกลียด กูเกลียดคนที่มึงรัก" ขึ้นกล่าวบนเวทียอมรับว่าเคยหลงผิด และเป็นคนเผาศาลากลางจังหวัดขอนแก่น และธนาคารกรุงเทพ สาขา ขอนแก่น โดยได้รับเงินค่าจ้าง 1.5 ล้านบาท โดยนายจตุพร บอกว่าให้เอาน้ำมันไปเผา ซึ่งเมื่อตนทำแล้วก็ยอมรับผิด และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับ ทั้งนี้ตนได้ขึ้นศาลปฏิบัติตามกฏหมาย และถูกตั้งข้อหาทั้งหมด 6 ข้อหา แต่โดนฟ้องเพียง 3 ข้อหา ติดคุก 1 ปี แต่รับสารภาพจึงลดเหลือติดคุก 3 เดือน
      
เมื่อลงมือเผาแล้วกลับไม่ได้เงิน 1.5 ล้านบาท แต่ก็ทำให้ตนดีใจเพราะได้ตาสว่าง และตอนที่ติดคุก แกนนำนปช.ไม่เคยมาเยี่ยมเลย ตอนนี้ตนไม่เหลืออะไรแล้ว ต้องเอาที่นาไปจำนำ เพื่อนำเงินมาสู้คดี โดยตนพร้อมจะเข้าร่วมกับม็อบนกหวีดด้วย
      
จากนั้นทางสังคมออนไลน์ของกลุ่มคนเสื้อแดงได้เข้าไปในเฟซบุ๊กของ นางปาริชาติ ที่ใช้ชื่อว่า "ปาริชาติ บุญสร้อย" เพื่อต่อว่าในทำนองที่ว่าทรยศคนเสื้อแดง รับเงินประชาธิปัตย์มาเพื่อใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง พร้อมกับตั้งข้อสังเกตกันว่า นาปาริชาติ ไม่ได้เป็นเสื้อแดงกลับใจจริง เพราะล่าสุดวันที่ 12 พ.ย. นางปาริชาติ ยังเพิ่งโพสต์ข้อความด่าการชุมนุมของพรรคประชาธิปัตย์อย่างหยาบๆคายๆ อาทิเช่น "ใครที่เชี่อ ปชป. ดับเบิ้ล _วย 5555" พ่อ กู ทักษิณ มึงรู้ปะ ไอ_วย เทพ หน้าดำ" "โดนไม่ไช่น้อยเชียวพวกมึง _วยเหลือง ไอเทพ มันบอก อารยะขัดขืน 13 15 ไม่ให้ทำอะไรมาชุมนุ่มย่างเดียว กู จะเชี่อมึงทำไม ไอเทพ มึงไม่ไช่ พ่อ กู ไอสัส" "สวัสดี พี่น้องเสี้อแดงทั้งหลาย ถ้า_วยที่อนุสาวรีย์ มันทำเกินไปพวกเราเสี้อแดงจะตีบพวกมันไช่หรือไม่ 5555 โดน"
-----------------

เรื่องนี้ยังไม่จบ คงต้องมีการตามหาข้อเท็จจริงกันต่อไป และจะได้โยงใยไปถึงเบื้องหลังของการกระทำอาชญากรรม เผาบ้านเมือง ฆ่า และทำร้ายผู้คน และใครอยู่เบื้องหลังการกระทำเหล่านี้

Friday, November 15, 2013

คนมักจะถามว่า เมื่อคว่ำพรบ. นิรโทษกรรม แล้วจะทำอย่างไรต่อไป


คนมักจะถามว่า เมื่อคว่ำพรบ. นิรโทษกรรม แล้วจะทำอย่างไรต่อไป

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, กฎหมายนิรโทษกรรม, Amnesty bill, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, Yingluck Shinawatra, อารยะขัดขืน, civil disobedience, สังคมแห่งการสื่อสารสื่อสังคม, social media, twitter, Facebook, Line, การเล่นพรรคเล่นพวก, nepotism
---------------

เมื่อคว่ำพรบ.นิรโทษกรรมไปด้วยเสียงวุฒิสภาอย่างเป็นเอกฉันท์แล้ว แต่เขาก็ยังสามารถนำกลับเข้ามาพิจารณาใหม่ได้ หลังจาก 180 วัน ไม่มีอะไรน่าเชื่อถือสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณอีกต่อไป สมาชิกพรรคเพื่อไทย 310 เสียงยังอยู่ วุฒิสมาชิกซีกของเขาที่สามารถซื้อได้ยังอยู่ การโกงกินอย่างมโหฬารยังคงดำเนินไปอยู่ในระบบการบริหารบ้านเมือง เศรษฐกิจของชาติก็กำลังเสี่ยงต่อความล้มเหลวมากขึ้นเป็นลำดับ

แล้วเราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป คำตอบคือ ต้องมีแผนยุทธศาสตร์ในการฟื้นฟูประเทศ และอย่างน้อยก็มีนักวิชาการที่สนใจในปัญหาบ้านเมืองได้ร่วมกันคิด ส่วนรายละเอียดว่าจะทำได้อย่างไร ก็ไปว่ากันอีกที ยังมีเวลาถกเถียงและเรียนรู้ร่วมกันครั - ประกอบ คุปรัตน์ (Pracob Cooparat) ณ วันที่ 16-11-2013
--------------------


ภาพ กลุ่มคณาจารย์มหาวิทยาลัยเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศไทย 15 พฤศจิกายน 2556

คณาจารย์เสนอตั้ง 3 คณะดันปฏิรูปประเทศ แก้ปัญหาเผด็จการนายทุน

เขียนวันที่ วันศุกร์ ที่ 15 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13:13 น.
เขียนโดย isranews หมวดหมู่Thaireform | ในกระแส | การเมืองและระบบยุติธรรม | Isranews | เวทีทัศน์

คณาจารย์ชี้ปฏิรูปการเมืองของรบ.ไม่เห็นทางสำเร็จ เสนอพลิกวิกฤติ ตั้งต้นปฏิรูปประเทศไทย เร่งรื้อระบบการเมือง-ศก.-ความเป็นธรรม-ยุติธรรม ขอผู้คุมอำนาจทุกขั้ว-พลังปชช.เข้าร่วม

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 เหล่าคณาจารย์มหาวิทยาลัย และสถาบันศึกษา นำโดย ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ออกแถลงการณ์ คณาจารย์มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา เสนอแนวทางปฏิรูปประเทศไทย ณ ห้องวรรณไวทยากรณ์ ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ทางคณาจารย์เห็นว่า แม้วุฒิสภาได้มีมติไม่รับหลักการร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ไปแล้ว แต่ประชาชนยังเห็นว่าการกระทำดังกล่าวยังไม่ได้แสดงถึงความรับผิดชอบของบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตี ทางคณาจารย์ทั้งหลายเห็นว่า มูลเหตุของปัญหาดังกล่าวอยู่ที่ "ระบบเด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภา" โดยนายทุนที่ขาดจริยธรรม อาศัยเครื่องมือ ประชาธิปไตย โดยนายทุนที่ขาดจริยธรรมอาศัยเครื่องมือ "ประชาธิปไตย" เป็นช่องทางเข้าแสวงหาอำนาจ เริ่มด้วยการออกนโยบายประชานิยมและการซื้อเสียง เพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ เห็นว่าปัญหาต่างๆ ของประเทศชาติในปัจจุบันล้วนเป็นผลโดยตรงจาก การที่ประเทศไทยมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่เป็นประชาธิปไตย ระบบการเมืองแท้จริงของไทย คือ "ระบบเผด็จการโดยพรรคกาเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา" ที่จะทำให้ความขัดแย้งในสังคมทวีความรุนแรงมากขึ้น

คณาจารย์จากหลายมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ขอเสนอให้พลังสังคมไทยทุกภาคส่วนร่วม ชูธง ปฏิรูปประเทศไทย ตั้งเป้าเปลี่ยนประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อสร้างประเทศไทยสู่ "สังคมที่เป็นธรรม ประชาชนมีความมั่นคงและเป็นสุข" โดยเริ่มที่เรื่องสำคัญเร่งด่วน 4 ด้าน ได้แก่

1.ปฏิรูปการเมือง เปลี่ยนแปลงระบบรัฐสภาให้เป็นองค์กรตัวแทนที่แท้จริงของประชาชน ป้องกันเผด็จการรัฐสภาแทนทุนสามานย์ที่มุ่งการถอนทุนคืน

2.ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ส่งเสริมกลไกตลาดให้มีการแข่งขันอย่างเสรี ปราศจากอิทธิพลแทรกแซงจากภาครัฐ ปฏิรูประบบพลังงาน แรงงาน เกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน

3.ปฏิรูปสังคมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ได้แก่ ระบบการศึกษา ระบบการสาธารณสุข และระบบสวัสดิการ

4.ปฏิรูประบบราชการและความยุติธรรม เน้นความเป็นนิติรัฐ ส่งเสริมระบบราชการโดยระบบคุณธรรม ทำบายทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดไป ส่งเสริมข้าราชการทำงานเพื่อแผ่นดินโดยปราศจากการครอบงำจากฝ่ายการเมือง

ทางคณาจารย์ เสนอให้มีองค์กรทำหน้าที่ประสานเป็นกระบวนการ ได้แก่ สมัชชาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย คณะกรรมการกำกับการปฏิรูปประเทศไทย และคณะกรรมการปฏิรูปเฉพาะเรื่อง โดยกำหนดให้มีระยะเวลาในการปฏิบัติให้แล้วเสร็จ จะเห็นว่าการนำเสนอได้เปิดแนวทางการปฏิรูปไว้หลากหลาย ไต่ระดับไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดอาจไต่ไปถึงแนวทางการแก้รัฐธรรมนูญสร้างกรอบการปฏิรูปและนำองค์กรต่างๆ เหล่านี้บรรจุไว้ก็ได้ ซึ่งจะเป็นหลักประกันได้ดีที่สุด

"คณะปฏิรูปการเมืองที่รัฐบาลทำอยู่ ไม่ถึงประชาชนอย่างชัดเจน มีแต่ฝ่ายการเมือง และคนที่คุมอำนาจรัฐส่วนใหญ่ และล่าสุดเริ่มมีคนลาออกไปแล้ว และไม่น่าถึงเป้าหมายที่สำเร็จได้ ดังนั้น ควรต้องตั้งต้นกันใหม่ ให้ทุกภาคส่วนมามีส่วนร่วม โดยให้มหาวิทยาลัยเข้าไปเป็นแกนกลาง

ส่วนจะเริ่มอย่างไรนั้นจากนี้จะมีการประชุมและนำเสนอร่วมหลายองค์กร เช่นข้อเสนอที่มีอยู่แล้วของคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปชุด นพ.ประเวศ วะสี อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เป็นข้อเสนอเพื่อเป็นคู่ขนานคณะปฏิรูปการเมืองของรัฐบาลที่ไม่น่าจะเดินหน้าต่อไปได้แล้ว แต่ต้องเริ่มกระบวนการใหม่"

ด้านศ.ดร.บรรเจิด กล่าวว่า ข้อเท็จจริงขณะนี้ วิเคราะห์ได้ว่า ประชาชนไม่พอใจการบริหารงานประเทศ แต่ท่าทีจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ขึ้นอยู่กับประชาชนจะเรียกร้อง ซึ่งเกรงว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น จึงควรมาร่วมกันถอดสลัก แก้ปัญหาอย่างแท้จริง

"แม้รัฐบาลจะมาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย สะท้อนได้ชัดเจนจากการกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และนี่เป็นเพียงอาการหนึ่งที่สะท้อนถึงโรคไม่เป็นประชาธิปไตย เผด็จการรัฐสภา อย่างไรก็ตาม คณาจารย์มีเพียงปากกา ไม่มีพลังอย่างอื่น จึงขอโยนข้อเสนอเชิงปลายทางเอาไว้ และหากฝ่ายการเมืองเห็นพ้องว่าควรมีกระบวนการปฏิรูป รวมถึงภาคสังคมก็มาพูดคุยกันว่าต้นทางจะเป็นอย่างไร"

หากจะสามารถเกิดขึ้นจริงได้ มี 2 ปัจจัยที่ควรพิจารณา ได้แก่ 1.ผู้คุมอำนาจทางการเมืองปัจจุบัน จะเห็นพ้อง สร้างประชาธิปไตยและปฏิรูปประเทศโดยสมบูรณ์หรือไม่ 2.พลังประชาชน ที่มีเอกภาพก็สามารถเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลวางกรอบการปฏิรูป

แถลงการณ์คณาจารย์มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา เสนอแนวทางปฏิรูปประเทศไทย

สังคมไทยยุค “พฤศจิกายนมหานกหวีด” (Whistle blowers’ society)


สังคมไทยยุค “พฤศจิกามหานกหวีด” (Whistle blowers’ society)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, กฎหมายนิรโทษกรรม, Amnesty bill, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, Yingluck Shinawatra, อารยะขัดขืน, civil disobedience, สังคมแห่งการสื่อสาร, สื่อสังคม, social media, twitter, Facebook, Line, การเล่นพรรคเล่นพวก, nepotism

เพื่อนร่วมรุ่นศิษย์เก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์รุ่น 2504-2506 ท่านหนึ่ง เขียนมาถามผ่าน Line เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนกัน ผมจึงขออนุญาตตอบอย่างเปิดเลยครับ

กอบ – อยากจะทราบความคิดเห็นของนาย เรื่อง คุณสมบัติของคนไทยที่เกี่ยวข้องกับความเห็นประโยชน์ชาติ และทำอย่างไรจึงจะนำจุดแข็งที่เป็นคุณมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสั้นๆเข้าใจได้นะ ขอบคุณ (14-11-2013)

ตอบ – คนไทยมีพื้นฐานจากสัมพันธภาพวงใน “จากเล็กไปหาใหญ่” จากครอบครัว ไปสู่หมู่บ้าน ท้องถิ่น และเรื่องชาติเป็นอันดับสุดท้าย การปลุกสำนึกรักชาติ จึงมักจะเกิดขึ้นในช่วงสงคราม และยามวิกฤติเท่านั้น ยามปกติ เราก็กลับไปสู่สัมพันธภาพแบบเดิมของไทยเรา

ข้อเสียคือ คนไทยมักไม่เข้าใจการเล่นพรรคเล่นพวก (Nepotism) การฝากลูกฝากหลานเข้าโรงเรียน เข้าทำงาน นับเป็นเรื่องปกติ ทำกันโดยทั่วไป ใครไม่ทำถือว่าไม่รักพวก รักครอบครัว แต่สำหรับฝรั่งตะวันตก จะเป็นสิ่งตรงกันข้าม เขาถือการเล่นพรรคเล่นพวก โดยไม่ให้ความเป็นธรรมอย่างเสมอภาคเป็นสิ่งผิดระเบียบสังคม และในหลายกรณี ผิดกฎหมาย

สังคมคอมมิวนิสต์ เป็นระบบที่ให้เห็นสัมพันธภาพจากส่วนใหญ่ คือ ชาติและสังคมโลก สำคัยกว่าส่วนย่อย ส่วนครอบครัวถือว่าเป็นส่วนเล็ก ไม่ให้ความสำคัญ

แต่ในทัศนะของผม สังคมไทยมีคุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่ง คือเป็นสังคมปรับตัวได้ดี (Adaptability) ยืดหยุ่นไม่ตายตัว โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่เป็นสังคมเปลี่ยนผ่าน (Society in transition) ในยุครัชกาลที่ 4-5 เราเอาตัวรอดจากการเป็นเมืองขึ้นตะวันตก ในสงครามโลกครั้งที่สอง เราอยู่รอดได้อย่างบอบช้ำน้อยที่สุด เพราะเป็นพันธมิตรกับมหาอำนาจญี่ปุ่น และลับๆ เป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา

ในปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจาก “สังคมเล่นพวก” และแบ่งขั้ว ไปสู่สังคมใหม่ที่ต้องยึดหลักนิติรัฐและนิติธรรม ต้องมีระบบการเมืองที่ยุติธรรม แบ่งปันสำหรับทุกฝ่าย และโปร่งใส ผมเชื่อว่าช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้จะไม่ยาว เพราะสังคมไทยมีความสามารถในการปรับตัวเร็ว เมื่อเรามองเห็นปัญหา ช่วง “พฤศจิกามหานกหวีด” (Whistle blowers’ Society) คือช่วงที่เราต้องปลุกให้คนไทยตื่น และหันมาปฏิรูปสังคมและการเมืองอย่างจริงจัง และนั่นแหละเป็นเรื่องที่ทุกคน ทุกฝ่ายต้องมีการปรับตัว

คำว่าเปลี่ยนอย่างไม่ช้านั้น ผมหมายความว่าประมาณ 5-10 ปี ในช่วงเวลาดังกล่าว เราต้องสร้างคนรุ่นใหม่ ให้เขามีสำนึกของความเป็นประชากร (Citizenship) ที่ดี ไม่ใช่เป็นเพียงคนดีของครอบครัว (Good man) แต่ต้องคนดีรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติด้วย


ภาพ การรณรงค์ ปลุกให้ตื่น กระจายตัวเองออกไปทั่วกรุงเทพฯ และทั้วประเทศ


ภาพ การรณรงค์หน้าศูนย์การค้า Platinum ประตูน้ำ 15 พฤศจิกายน 2556


ภาพ การนำของกลุ่มการเมือง จะเปลี่ยนไปสู่มือของสตรีมากขึ้น การต่อสู้ยุคใหม่ ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ เพียงนกหวีดและธงชาติก็เป็นเครื่องมือที่ดีได้แล้ว


ภาพ ความสำคัญของการปลุกให้ตื่น คือต้องทำให้คนไม่หวาดกลัว ต้องเชื่อมั่นในตนเอง และเชื่อว่าเราเปลี่ยนแปลงสังคมได้


ภาพ เมื่อรณรงค์ในกรุงเทพนย่านศูนย์การค้า คนเดินขบวนก็แบ่งพื้นที่กับยานพาหนะที่สัญจรได้


ภาพ การรอเข้าคิวในการรับอาหารในช่วงการชุมนุม การดูแลปัดกวาดสถานที่ชุมนุม

Thursday, November 14, 2013

ตัวอย่างอารยะขัดขืน (Civil Disobedience)


ตัวอย่างอารยะขัดขืน (Civil Disobedience)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, กฎหมายนิรโทษกรรม, Amnesty bill, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, Yingluck Shinawatra, อารยะขัดขืน, civil disobedience, สังคมแห่งการสื่อสาร, สื่อสังคม, social media, twitter, Facebook, Line

เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2556


ภาพ การเดินขบวนต่อต้านสงคราม ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี วันที่ 15 พฤศจิกายน 1969

วันนี้ในอดีต 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969 ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา คนกว่า 250,000 คน จากทั่วประเทศได้รวมตัวกันเดินขบวนแสดงความไม่เห็นด้วยต่อสงครามเวียตนาม (Vietnam War) นับเป็นการต่อสู้ทางความคิด กับคนรุ่นพ่อในสงครามที่คนหนุ่มสาวไม่เห็นด้วย แต่ต้องถูกส่งให้ไปรบในสงครามในดินแดนที่ห่างไกลอย่างเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนาม กัมพูชา และลาว

ผมเป็นคนรุ่นทารกสะพรั่ง (Babyboomers) เกิดและเติบโตมาพร้อมกับคนรุ่นนี้ เมื่ออยู่อเมริกา ก็พบกันเพื่อนๆชาวอเมริกันในรุ่นนี้ บางครั้งเขาต่อสู้อย่างสิ้นหวัง มีบางคนถึงกับใช้ยาเสพติด LSD เพื่อหนีจากความเป็นจริง กลายเป็นคนบ้า หนีการถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามเวียดนาม ที่เขากลัว ไม่เห็นด้วย และไม่ต้องการไปในสงครามที่อเมริกันเสียชีวิตไป 60,000 คน บาดเจ็บกว่า 300,000 คน เศรษฐกิจพินาศ

ในประเทศไทยปี พ.ศ. 2556 "ปฏิวัติยุค Social Meida" ง่ายและอารยะกว่า แต่ก็ซับซ้อนกว่า ในการต่อสู้ เราไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ เพียงแต่ทุกคนต้องตื่นขึ้น แสวงหาข้อเท็จจริง อย่าหลงงมงายกับสื่อที่ถูกซื้อ ใช้ช่องทางการสื่อสารที่รัฐบาลปิดกั้นไม่ได้ ดังเช่น Twitter, Facebook, Line, ฯลฯ และใช้โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหลากหลายช่องที่จะรับฟังข้อมูลที่ไม่ปิดกั้น เมื่อมีความเห็นต่าง ก็นั่งพูดคุยกัน เริ่มจากในครอบครัว กลุ่มเพื่อน ห้องเรียน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน

คนสูงวัยรุ่นผม ต้องกล้าที่จะพูดความจริง ไม่หลอกตัวเอง ไม่มีแรงพูดก็เขียนเอา แต่คนรุ่นลูกรุ่นหลาน ก็ต้องพร้อมที่จะเปิดใจรับฟัง และไปเห็นข้อเท็จจริงด้วยตนเอง แล้วสักวัน เราจะได้สังคมใหม่ ที่เป็นธรรม สันติสุข และเป็นแผ่นดินที่เราทุกคนร่วมมีความภาคภูมิใจ


Sunday, November 10, 2013

นิทานเรื่องนางยักษ์ที่คิดจะกินเด็กน้อย


นิทานเรื่องนางยักษ์ที่คิดจะกินเด็กน้อย


ในคลิปถั่งเช่า ทักษิณหลอกว่าถ้าตกลงกับข้างบนได้ เรื่องก็จบ และดูถูกคนต่อต้านว่าไม่มีความหมาย ขอแค่ทหารไม่ปฏิวัติ ทุกอย่างจบ จึงต้องไปจัดการทหารก่อน

เขาดูถูกคนคัดค้านว่าไม่มีความหมาย แต่มาวันนี้เขาควรรู้ว่าเขาคิดผิด แต่ดูท่าทางยังไม่ยอมจบ จึงระดมพี่น้องเสื้อแดงหมายเอาประชาชนสองกลุ่มมาชนกัน

มีนิทานเรื่องนางยักษ์แปลงตัวเป็นแม่เด็กหมายจะกินเด็ก แม่จริงกับแม่ปลอมทะเลาะกัน ต่างอ้างตัวเป็นแม่ ทั้งสองพากันไปให้พระมโหสถตัดสิน พระมโหสถบอกว่าถ้าให้ตัดสินก็จะช่วย แต่ตัดสินอย่างไรทั้งสองต้องยอมรับนะ 

เมื่อแม่ทั้งจริงและปลอมยอมรับ พระมโหสถจึงขีดเส้นกลางขึ้นมา และเอาเด็กวางตรงกลาง แล้วให้แม่ทั้งสองยืนคนละข้าง และบอกให้ทั้งสองดึงเด็ก ใครชนะก็ได้เด็กไป

นางยักษ์แปลงดีใจมากลงมือดึงแขนเด็กข้างหนึ่ง คิดว่าอย่างน้อยได้มาครึ่งตัวก็ยังดีแม่จริงก็จับแขนลูกอีกข้างดึง แต่พอเด็กร้องไห้ แม่จริงปล่อยแขนลูกทันที ด้วยหัวใจแตกสลาย ร้องไห้สงสารลูก แต่นางยักษ์ยิ้มดีใจจะได้เด็กมากิน พระมโหสถจึงถามประชาชนที่มุงดูอยู่ คิดว่าใครคือแม่ที่แท้จริง ประชาชนก็เข้าใจได้ทันทีว่า แม่ที่แท้จริงย่อมไม่อาจทนเห็นความเจ็บปวดของลูกได้ ส่วนนางยักษ์ที่แปลงกายมาคิดแต่อยากได้เด็ก ไม่สนใจความเจ็บปวดของเด็ก ไม่สนใจแม้แต่ชีวิตเด็ก ประชาชนก็ขับไล่นางยักษ์ไป และแม่ที่แท้จริงก็ได้ลูกคืนมา

ขณะนี้ประเทศไทยเป็นเหมือนหญิงท้องแก่ การคลอดเป็นวิกฤติใหญ่ของผู้หญิงแต่วิกฤติคือต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ เราต้องประคับประคองให้ประเทศคลอดสิ่งใหม่เหมือนได้ลูกที่สมประกอบ โดยทั้งแม่และลูกปลอดภัย

เรียนรู้ภาษาอังกฤษกับการเมือง คำว่า Amnesty Bill


เรียนรู้ภาษาอังกฤษกับการเมือง คำว่า Amnesty Bill

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, การเปลี่ยนแปลง, change, การวางแผนเพื่อการเปลี่ยนแปลง, planned change, ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม, amnesty bill, รัฐธรรมนูญ, constitution, ประชาธิปไตย, democracy, ฝ่ายนิติบัญญัติ, legislative, ฝ่ายบริหาร, executive, ฝ่ายตุลาการ, judiciary

ในระยะที่บ้านเมืองมีความสับสนและความขัดแย้งเกี่ยวกับพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม (Amnesty Bill) สำหรับประชาชนทั่วไปอย่างเราท่าน ก็ต้องปรับตัวเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายบ้าง เริ่มกันจากสิ่งที่ใกล้ตัว และเราต้องเผชิญหน้ากับมันในขณะนี้.


ภาพ การเคลื่อนไหวประท้วง "ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม" (Amnesty Bill) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2556)


Amnesty อ่านว่า แอมเนสตี แปลได้ตรงๆว่า นิรโทษกรรม หรือการให้อภัย

Bill อ่านว่า บิล แปลว่าร่างกฎหมาย หรือกฎหมายที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาดำเนินการ
แต่หากเมื่อได้ผ่านเป็นขั้นตอนและสามารถบังคับใช้ได้แล้ว จะเรียกว่า “กฎหมาย” หรือ Law ซึ่งอ่านว่า ลอว์

ในประเทศสหรัฐอเมริกา วุฒิสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่เป็นฝ่ายเสนอร่างกฎหมาย และเมื่อผ่านการพิจารณาจากทั้งสองสภาแล้ว ก็จะส่งต่อมาให้ฝ่ายบริหาร คือประธานาธิบดีลงนามเพื่อประกาศใช้

แต่ประธานาธิบดีมีสิทธิยับยั้ง (Vetoอ่านว่า วีโต) แล้วส่งกลับไปให้ฝ่ายนิติบัญญัติอีกครั้ง แต่หากฝ่ายนิติบัญญัติจะผลักดันให้ผ่านเป็นกฎหมายให้ได้  ก็จะต้องใช้เสียงรวมกันไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 และในขณะเดียวกัน หากประธานาธิบดีในฐานะฝ่ายบริหารที่จะต้องเป็นฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย เห็นว่ากฎหมายนั้นจะไม่สามารถกระทำได้ ก็จะสื่อสารกับประชาชนถึงจุดอ่อนของร่างกฎหมาย และประชาชนก็จะต้องแสดงความเห็นของตนเองทั้งทางตรงและทางอ้อมไปยังผู้แทนของตน และในระหว่างนี้ ก็มักจะต้องมีการสื่อสารและต่อรองกัน มีการติดต่อกันระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ มีการต่อรองกันทั้งทางตรงหรือทางอ้อม

ประธานาธิบดีไม่สามารถจะลงนามรับรอง และประกาศใช้กฎหมายโดยไม่รับรู้ ไม่รับผิดชอบไม่ได้ และในทางปฏิบัติ ประธานาธิบดีจะต้องทำงานร่วมกับสภา (Congress) ผ่านทางฝ่ายสภาในซีกพรรคของตนเอง และกับพรรคฝ่ายตรงกันข้าม ที่จะพัฒนาร่างกฎหมาย เพราะการเมืองของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบมีสองพรรคใหญ่ (Bipartisan อ่านว่า ไบพาร์ติซัน)

เกือบจะในทุกเรื่องที่ฝ่ายบริหารรัฐบาลกลางจะดำเนินการนั้น ต้องมีกฎหมายรองรับ ประธานาธิบดีมีสิทธิใช้อำนาจเต็มตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ประธานาธิบดีไม่สามารถกระทำการใดๆที่ขัดต่อกฎหมาย และหรือเกินเลยจากที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

ในอีกด้านหนึ่ง ประชาธิปไตยสหรัฐอเมริกาของสหรัฐอเมริกามีฐานอยู่ที่รัฐธรรมนูญ (Constitution) ที่ตั้งอยู่บนหลักของ 3 สาขา (Branches) อิสระต่อกัน นั่นคือ หนึ่ง ฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislative อ่านว่า ลีจิสเลทีฟ) อันได้แก่สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา สอง ฝ่ายบริหาร (Executive อ่านว่า เอกเซคคูทีฟ) คือประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรีที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และสาม คือฝ่ายตุลาการ (Judiciary – อ่านว่า จูดิเชียรี) อันมีคณะศาลสูง (Supreme court) ซึ่งเสนอแต่งตั้งโดยฝ่ายบริหาร และต้องรับการตรวจสอบและความเห็นชอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญของไทย (Constitution court – อ่านว่า คอนสติติวชั่น คอร์ท)จะทำหน้าที่คล้ายศาลสูงของสหรัฐ

เมื่อมีความไม่แน่ใจว่ากฎหมายที่จะออกมานั้นสอดคล้องหรือขัดกับหลักรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็ต้องมีการนำสู่การตีความโดยคณะตุลาการศาลสูง ซึ่งที่มาของคณะตุลาการศาลสูงนั้นมาจากผู้มีประสบการณ์หรือทรงความรู้ด้านกฎหมาย ซึ่งต้องตัดสินใจตามตัวบทในรัฐธรรมนูญ

Saturday, November 9, 2013

คนเดือนตุลาลั่นถึงเวลาแล้ว ‘ตระกูลชิน’ ไม่มีแผ่นดินอยู่!


คนเดือนตุลาลั่นถึงเวลาแล้ว ตระกูลชินไม่มีแผ่นดินอยู่!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   8 พฤศจิกายน 2556 21:01 น.

Keywords: Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, กฎหมายนิรโทษกรรม, Amnesty bill, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, Yingluck Shinawatra, สุเทพ เทือกสุบรรณ, Suthep Thaugsuban, เขาพระวิหาร, คนเดือนตุลา
-------------


ภาพ ทักษิณ ชินวัตร

เหตุการณ์ชุมนุมต่อต้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมได้เกิดขึ้นแบบไฟลามทุ่ง หรือเหมือนการระบาดเหมือนเชื้อไวรัส กินวงกว้างขวางอย่างที่หลายๆฝ่ายคาดไม่ถึง แล้วทางฟากของทักษิณ ชินวัตรเขาคิดกันอย่างไร และเตรียมการตอบโต้ต่อวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างไร ลองอ่านรายงานข่าวแบบเจาลึกใน ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2556

ข่าวเจาะลึกนี้ เรื่องจริงเป็นอย่างไรยังไม่ทราบ ต้องรอให้เหตุการณ์ผ่านไป แล้วจึงค่อยสืบความย้อนหลัง – ประกอบ คุปรัตน์ (10 พฤศจิกายน 2556)
-------------

 ‘ทักษิณไม่ยอมหยุด สั่ง ยิ่งลักษณ์อดทน ห้ามลาออก ห้ามยุบสภา เชื่อ 4 วันจากนี้ไปจะพ้นช่วงวิกฤต ม็อบต่อต้านจะอ่อนแรง กระแสตก มั่นใจนิสัยคนไทยเบื่อเร็ว ขณะเดียวกันส่งสัญญาณให้ม็อบเสื้อแดงเคลื่อนพล 1 แสนหนุนรัฐบาล ส่วนจะยุบสภาได้ เมื่อทักษิณมั่นใจว่าเลือกตั้งใหม่ต้องชนะเท่านั้น ขณะที่วันนี้หวั่นคำชี้มูล ปปช.ทุจริตยกคณะรัฐมนตรี จะทำให้เพื่อไทยฟื้นตัวยาก ด้านอดีตคนเดือนตุลาฯชี้นิสัยทักษิณไม่ยอมแพ้ และม็อบเสื้อแดงกร้าว จะเกิดการปะทะแน่ สุดท้ายวิบากกรรมที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้คนตระกูลชินวัตรไม่มีแผ่นดินอยู่!

จากการที่ทีม “Special Scoop หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันได้นำเสนอข่าวไปแล้วว่า นอกจากปัญหาการเมืองที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องประสบจากภายนอก ปัญหาภายในพรรคเพื่อไทยเองก็ระส่ำไม่น้อย โดยเฉพาะการขยับของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เห็น พ.ต.ท.ทักษิณล้มด้วยการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เกิดขึ้นและเตรียมตั้ง พรรคเสื้อแดงแข่งกันเองกับพรรคเพื่อไทย แต่ท้ายที่สุดหลังจากนั้นเพียงวันเดียว ภาพที่ปรากฏชัดคือ คนที่มีอุดมการณ์แดงแรงกล้าอย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็เข้าพบทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เจ้าแม่ตัวจริงพรรคเพื่อไทย และได้รับเกียรตินั่งแถวหน้าประกบน้องสาวทั้งสองของ พ.ต.ท.ทักษิณในที่ประชุมพรรค

ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากคนในพรรคเพื่อไทย บรรดาม็อบต่างๆ และสภากาแฟ ที่มีการจับ

กลุ่มคุยกัน รวมไปถึงใน LINE กลุ่ม ต่างมีการพูดถึงเหตุที่นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ กลืนน้ำลายตัวเองออกมาปกป้องรัฐบาลด้วยเหตุผลง่ายๆ แบบไม่มีหลักฐานกันว่า

 “สงสัยจะรับกันไปเยอะน่ะ …”

 “เขาหากันง่ายๆ น่ะ...

 “เฮ้ย...ถ้าเรานับเลขมันกี่หลัก มันต้องหลักร้อยน่ะ ถึงเปลี่ยนแปลงได้..

 “เจ้าแม่ตัวจริง...ออกมาเคลียร์แบบนี้...โอ้โห..เยอะแน่ถึงยอมสับปลับกันชั่วข้ามคืน...”.ฯลฯ
อีกหลายๆ ข้อวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของแดง นปช.ของนายจตุพรและนายณัฐวุฒิ

สั่ง 10 พย.เคลื่อนทัพ แดงเข้าปะทะม็อบต้าน

แต่ที่แน่ๆ วันอาทิตย์ ที่ 10 พฤศจิกายนนี้ ทั้ง 2 คนจะนำทัพคนเสื้อแดงจำนวน 1 แสนคน โดยเฉพาะมวลชนภาคอีสาน และมวลชนภาคเหนือ เคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพฯ จัดม็อบเชียร์รัฐบาล หนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดโต่งและในวันที่ 11 พ.ย.ที่ขอนแก่น 12 พ.ย.ที่เชียงใหม่ 13 พ.ย.ที่อุดรฯ จากนั้นจะตั้งเวทีต่อเนื่อง โดยจะประเมินสถานการณ์เป็นระยะ

แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยระบุว่า ท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ที่จะทำให้สถานะของรัฐบาลมั่นคงอยู่ได้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนางพญาบ้านจันทร์ส่องหล้าที่ออกจากรังมาปรากฏตัวเจรจากับ 2 คู่หู ตู่-เต้นด้วยตนเอง

อีกทั้งยืนยันว่าสถานการณ์ทางการเมืองบีบคั้น พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างมาก ว่าจะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เพราะการประเมินตัวเลขม็อบต้านที่ผิดพลาด และไม่คิดมาก่อนว่าจะบานปลายไปขนาดนี้ แต่ถ้าถามว่าขณะนี้มีทางที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะลาออกไหม หรือมีทางที่จะยุบสภาหรือไม่ เรื่องนี้สรุปได้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ลาออก หรือยุบสภาแน่นอน เพราะหากยุบสภาในเวลานี้เชื่อแน่ว่าเลือกตั้งเข้ามาใหม่พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงกลับมาน้อยมาก

 “ก่อนที่จะดันทุกอย่างเข้าสภาฯ ได้คุยกับท่าน ท่านก็พูดเรื่องยุบสภา ท่านก็รู้ว่าจะมีคนออกมาคัดค้าน แต่ไม่รู้ว่าคนจะออกมาเยอะขนาดนี้ ตอนนั้นบอกได้เลยว่า ใครไปพบท่านที่ต่างประเทศ ท่านจะบอกทุกคนที่ไปว่า ไม่ต้องห่วง เดินหน้าเลย ทั้งแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 190 ทั้งผลักดันเงินกู้ 2 ล้านล้าน ทั้งการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ท่านบอกว่า ผมเคลียร์กับผู้ใหญ่จบแล้ว

คือหมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความมั่นใจมากว่าทำอะไรไปจะชนะหมด แต่ไม่คิดและไม่เคยคาดการณ์มาก่อนว่า จะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง จากคนในระดับที่ต้องเรียกว่าเป็นคนระดับชนชั้นนำทางสังคมทั้งนั้น คือคนที่มีการศึกษาและมีอิทธิพลทางความคิดของคนอื่น โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ และแพทย์

ไม่ลาออก-ไม่ยุบสภา

แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เลือกทาง ลาออกและไม่เลือกทาง ยุบสภาในเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินต่อทางไหน?

แหล่งข่าววงในพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า เลือกทางเอามวลชนมาชนมวลชน โดยวันอาทิตย์นี้จะชัดเจนว่าไม่ใช่มีแต่คนต่อต้าน แต่คนหนุนก็มี ซึ่งการระดมคนเข้ามาในกรุงเทพฯ ครั้งนี้เป็นการระดมพลจากส่วนกลาง และมีงบค่าใช้จ่ายจากส่วนกลาง มวลชนที่ระดมไปจะต้องให้ได้จำนวนแสนกว่าคนเป็นตัวยืน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณอยากให้เป็นคือ เอามวลชนเสื้อแดงมาแสดงภาพให้เห็นว่ามีคนสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจำนวนมาก และจะอยู่แค่คืนเดียววันจันทร์กลับ โดยพยายามจะไม่ให้เกิดการปะทะมากที่สุด

 “ต้องเข้าใจว่าคนที่มาคือคนเสื้อแดง เป็นรากหญ้า เป็นคนละชนชั้นกับม็อบที่ต้าน พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ ดังนั้นคนที่มาจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติคือ 1. มีใจรักทักษิณ และ 2. มีค่าจ้าง ดังนั้นไม่ได้จะมาอยู่นานๆ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า บ้านเมืองมันวุ่นวายแล้วนะ ถ้าประชาธิปัตย์ไม่หยุดม็อบ ก็จะเหมือนที่นายสุนัย จุลพงศธร พูด คือ เดี๋ยวเจอกัน ตอนนี้คือเอาประเทศเป็นตัวประกัน

ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยประเมินว่าฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ จะมีการไประดมมวลชนจากที่ต่างๆ ให้มารวมกันจำนวนมากเช่นกัน

ดังนั้น ศุกร์ (8 พ.ย.) เสาร์ (9 พ.ย) อาทิตย์ (10 พ.ย.) และจันทร์ที่ 11 พ.ย.นี้ คือวันที่ทั้งสองฝ่ายจะระดมมวลชนมากที่สุด และเป็นช่วงร้อนแรงที่สุด

 “พ.ต.ท.ทักษิณประเมินว่า ถ้ายุบสภาตอนนี้โอกาสกลับมาได้จำนวนที่นั่งร้อยกว่าที่ก็ไม่คุ้ม ต้องรักษาสถานภาพความเป็นรัฐบาลไว้ก่อน ดังนั้นจึงต้องการให้คนเสื้อแดงออกมาแสดงภาพหนุน ไม่ต้องการให้เกิดการปะทะ และหากผ่าน 4 วันอันตรายนี้ไปได้ ประเมินว่ากระแสม็อบจะเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ เพราะเป็นธรรมชาติของม็อบ

ที่สำคัญคนไทยเป็นคนจับกระแสเร็ว และเบื่อเร็ว

ช่วงนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จึงต้องอดทนให้มากที่สุด!

หลังจากนั้นค่อยประเมินกระแสเป็นระยะ และเมื่อไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณมั่นใจ ถึงจะตัดสินใจยุบสภา
คือสถานการณ์ที่เขาเป็นต่อแล้วเท่านั้น

 “ท่านทักษิณท่านก็เข้าใจ ใครรุนแรงคนนั้นแพ้ แล้วจะไปทำแบบม็อบ เสธ.อ้ายไม่ได้ เพราะม็อบครั้งนี้ไม่เหมือนม็อบ เสธ.อ้ายที่ตอนนั้นสถานการณ์ไม่สุกงอม เป็นม็อบที่จำนวนแตกต่างมาก แตะไม่ได้ แตะปุ๊บลามทันที รัฐบาลจะอยู่ต่อไม่ได้ ตำรวจก็อยู่ไม่ได้

หวั่น ปปช.ลงดาบ ทุจริตทั้ง ครม.

อย่างไรก็ดี ตอนนี้พรรคเพื่อไทยประเมินว่า นปช.จะสามารถรักษาระดับการชุมนุมไม่ให้เกิดการปะทะได้ แต่สิ่งที่กังวลใจในสเต็ปต่อไปคือ ขั้นตอนการพิจารณาของ ป.ป.ช.ที่จะเป็นดาบที่ ฆ่าแล้ว โอกาสพรรคเพื่อไทยจะฟื้นขึ้นมาอีกยากมาก

กระแสต้านครั้งนี้มันแรงที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยชูประเด็นการต่อต้านการคอร์รัปชัน และยิ่งมาแรงอีกตอนที่ ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ตั้งโต๊ะแถลงต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะจะทำให้การทุจริตคอร์รัปชันอีกเป็นพันๆ คดีหลุดไปด้วย

 “เราดูก็รู้แล้ว ป.ป.ช.ที่มีมติเอกฉันท์เช่นนั้น แปลว่า มีสิทธิลงดาบเราได้ทันที ทั้งเรื่องน้ำ และเรื่องข้าวที่เป็นเรื่องการทุจริต ถ้าเมื่อไร ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิด คณะรัฐมนตรีมีสิทธิผิดทั้งคณะ ต้องหยุดหน้าที่ทันที และต่อจากนั้นจะเป็นการฟ้องไปที่ศาลคดีอาญาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถึงตอนนั้นพรรคเพื่อไทยจะเสียหายมาก และยากที่จะฟื้นกลับมา

ไปหมดทั้ง ครม.!

 “ทางเราวิเคราะห์ว่าอยากลากรัฐบาลให้อยู่ต่อไปก่อน แต่เรื่องนี้ทำให้คิดหนักว่าต้องยุบสภาหนีไหม แต่ก็นั่นแหละ ถ้ายุบสภา ระหว่างหาเสียง มีคำตัดสินเรื่องนี้ออกมาก็เสียหายอยู่ดี ดังนั้นท่านทักษิณจึงตัดสินใจว่าจะรักษาสถานภาพรัฐบาลไปก่อน รอเวลาที่พร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะต้องชนะ

อดีตคนเดือนตุลาเชื่อมีสิทธิปะทะ

ด้าน ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลจะยุบสภาก็ยุบได้เลย แต่มองดูแล้วไม่เลือกทางนี้แน่ และกำลังจะเคลื่อนม็อบออกมาชนม็อบ ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าไม่มีทางไม่ปะทะ
 “ม็อบคนเสื้อแดงเป็นม็อบอารมณ์ร้อน ค่อนข้างมีความรุนแรง โอกาสถูกปลุกขึ้นมามีมากที่จะเกิดเหตุการณ์ม็อบปะทะม็อบ

แต่อย่าคิดว่าคนกรุงเทพฯ จะยอมอีก เขาจะรู้สึกทันทีว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการข่มขู่คุกคาม กลายเป็นดึงกระแสให้คนออกมามากขึ้น สถานการณ์บานปลายแน่นอน

สิ่งที่ยืนยันความคิดนี้ได้เป็นอย่างดี ดร.เทียนชัยกล่าวว่า ให้วิเคราะห์ไปที่ลักษณะนิสัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นคนไม่เคยยอมแพ้ อย่างเช่นในปี 2553 ทุกฝ่ายยอมแพ้หมดแล้ว ยกเว้น พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงสั่งลุย จากนั้นจึงมีคนตายถึง 91 ศพ

 “ลักษณะนิสัยนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นมาตลอด พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดังนั้นโอกาสปะทะมีมาก

ถึงเวลาประเทศไทยปลอด ชินวัตร”!

ดังนั้นโอกาสพลิกผันที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่การเมืองร้อนแรงต่อจากนี้ไปมีแค่ 2 ทางคือ
หนึ่ง ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณอาศัยจังหวะชุลมุน ปราบ จับกุมฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด เหมือนที่เกิดขึ้นในอียิปต์ ถือเป็นการกวาดล้างครั้งใหญ่โดยใช้ตำรวจ

หรือไม่ก็เรียกได้ว่า การเมืองไทยจะเข้าสู่ยุค ปลอดชินวัตร

 “คนไม่ได้เคลมว่ารัฐบาลผิดนะ แต่คนผิด คนที่เขาโกรธแค้นคือคนในตระกูลชินวัตร คนที่เป็นชินวัตรเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเลือดเข้าตา แล้วใครจะไปคุมมวลชนไม่ให้ปะทะได้ คนเป็นแสนๆ คน ดังนั้นจะมาบอกว่าไม่ให้เกิดการปะทะไม่ได้

ไม่มีใครตอบได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ และจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนาทีนี้เป็นต้นไป
ตอนนี้ ประชาชนจึงสู้กับ คนตระกูลชินวัตร เป็นหลัก!

ถ้าแพ้ โอกาสที่คนชินวัตรจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกก็ยาก แถมอาจอยู่ในประเทศไทยไม่ได้!
 “เมื่อไรที่มีการปะทะ ความเสียหายจะเกิดกับคนตระกูลชินวัตรทันที

ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณมีการประเมินกำลังไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกคือช่วงคลิปถั่งเช่าที่ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณมีความคิดอาจหาญมากคือจะเอาสถาบันมาปกป้องตัวเอง เสนอให้ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตอนนั้นมีขบวนการออกมาต่อต้าน แต่คนก็มีแค่หมื่นกว่าคน ก็ประเมินว่าไม่เท่าไร

อีกครั้งเมื่อวันที่ 14 ตุลาที่ผ่านมา ก็มีการประเมินกำลังอีกครั้งหนึ่ง มีการแสดงละครจาบจ้วงอย่างมาก คนก็ออกมาต่อต้าน ไม่ถึงหมื่นคนอีก ก็ประเมินอีกว่า ไม่เท่าไร

รวมไปถึงการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศถอนตัวไปด้วย

ตรงนี้ จึงเป็นสาเหตุให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มั่นใจอย่างมากว่า คนต่อต้านไม่มี มีก็น้อยมาก ส่วนการที่ประชาธิปัตย์ออกมาทำม็อบ พ.ต.ท.ทักษิณก็ประเมินว่า ปชป.ไม่มีอะไร ซื้อตัวคนไม่กี่คนก็จบแล้ว ซื้อเมื่อไรก็ได้

ไม่ได้ให้ราคาการต่อต้านจากคนในกลุ่มเลย ดังนั้นจึงดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย และอย่างที่เห็นคือประเมินผิดแบบสุดๆ เพราะไม่เข้าใจว่ารัฐบาลปูย่ำแย่มาก ความเสื่อมศรัทธาสะสมมาถึงจุดระเบิด คือ ปัญหาน้ำท่วม, ปัญหาข้าวของแพง, ปัญหาข้าว, ปัญหาเงินกู้ 2 ล้านล้าน และการทุจริตคอร์รัปชัน

 “ความเสื่อมศรัทธาถูกสะสมมาทีละนิดๆ จนถึงวันนี้เรียกว่าวิกฤตความชอบธรรมเต็มขั้น

พ.ต.ท.ทักษิณตอนนี้ที่ควรจะทำคือ ยอมแพ้

แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังดึงดันที่จะใช้มวลชนคนเสื้อแดงเข้ามากดดัน และเมื่อไรที่เสียงปืนแตก ต้องนับว่าคนในตระกูลชินวัตรจะอยู่ในประเทศไทยได้อย่างลำบากยิ่งแล้ว!

และการณ์ทั้งหมดทั้งมวลดูท่าจะไม่เข้าข้างคนตระกูลชินวัตร เมื่อล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 รับคำร้อง พิจารณาตามมาตรา 68 ว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพาณิช รองประธานรัฐสภา และรัฐสภา ที่กระทำการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภา นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขเนื้อหาในรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง มีความมุ่งหมายที่จะจำกัดอำนาจของรัฐสภา ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบการทำหนังสือสัญญาของฝ่ายบริหารให้ลดน้อยลง รวมทั้งเป็นการเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายบริหารในการทำหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาให้มากกว่าเดิม จึงถือว่าเป็นการกระทำเพื่อซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่ากรณีมีมูลเป็นการกระทำเพื่อซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา