Sunday, January 31, 2016

การให้ทุนศึกษาต่อต่างประเทศของมหาวิทยาลัยไทย เรื่องที่ต้องคิดใหม่

การให้ทุนศึกษาต่อต่างประเทศของมหาวิทยาลัยไทย เรื่องที่ต้องคิดใหม่

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com

Keywords: การอุดมศึกษา, Higher education, การบริหารทรัพยากรมนุษย์, Human Resources Management – HRM, ทุนการศึกษา, scholarship, ทุนวิจัย, research fellow,

ความหมายของคำว่ากตัญญู (Piety) และความจงรักภักดี (Loyalty) ที่แตกต่างกันระหว่างตะวันตกกับตะวันออก

จากข่าวที่ปรากฏใน Social Media มีอาจารย์ทันตแพทย์หญิงท่านหนึ่ง รับทุนมหาวิทยาลัยมหิดลไปศึกษาต่อในระดับปริญญาขั้นสูง และได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของอเมริกา คือ Harvard University ปรากฏว่าไปแล้วจบการศึกษาแล้ว แต่ไม่กลับ เป็นผลให้อาจารย์และคนที่ลงนามค้ำประกันในประเทศไทย ต้องเป็นผู้รับใช้หนี้ค่าปรับแทน

เรื่องเช่นนี้ มหาวิทยาลัยในต่างประเทศเอง เขาก็ไม่รับผิดชอบ เพราะอย่างในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ก็มีคนหนีไม่ใช้หนี้ทุนที่กูยืมมาเพื่อเรียนหนังสือ (Student loans) อยู่มากมาย เขาเองก็มีปัญหาในด้านโครงสร้างของสังคมด้วย

การรับทุนไปศึกษาต่อแล้วไม่กลับมา และไม่ใช้ทุนจนเดือดร้อนถึงผู้ค้ำประกันเช่นนี้ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ระดับผู้รับทุนแต่งงานแล้ว หรือมีแฟนแล้ว ไปพบแฟนใหม่ในต่างประเทศ แล้วก็เลยแต่งงานใหม่ แล้วไม่กลับประเทศไทย ส่วนสามีหรือแฟนเก่าและหรือครอบครัวแฟน/สามีที่ลงนามค้ำประกัน ต้องเป็นผู้ใช้ค่าปรับของทุนแทน การใช้คืนนี้คิดเป็น 2-3 เท่าของทุนที่รับไป เรียกว่าผู้ค้ำประกันเจ็บสองต่อ

ค่าใช้จ่ายในมหาวิทยาลัยอย่าง Harvard University
Tuition and Expenses

2015-2016
2014-2015
ค่าเล่าเรียน
Tuition and Fees
$45,278
$43,938
ค่าอาหารและที่พักพื้นฐานRoom and Board
$15,381
$14,669
รวมค่าใช้จ่ายพื้นฐาน
Subtotal - billed costs
$60,659
$58,607
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
Estimated personal expenses (including $800-$1,200 for books)
$3,741
$3,643

หมายเหตุ - ค่าใช้จ่ายจริงๆควรบวกด้วยร้อยละ 15-20 ของทั้งหมด หรือรวมประมาณ $77,280 หรือ 2.7 ล้านบาทต่อปี

สำหรับมหาวิทยาลัยที่ส่งคนไปศึกษาต่อต่างประเทศ การหาทุนให้อาจารย์ได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ละคนเมื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศในมหาวิทยาลัยชั้นนำนั้น ค่าเล่าเรียนก็แพง แถมค่ากินอยู่อย่างพอเพียงรวมแล้วปีละ 2-3 ล้านบาท ไปอยู่สัก 5 ปี ก็เป็นเงินถึง 10-15 ล้านบาท สิ่งที่มหาวิทยาลัยต้องการไม่ใช่ฟ้องเรียกเงินคืน ไม่ว่าจะกี่เท่าก็ตาม เขาต้องการองค์ความรู้ที่จะได้นำติดตัวบุคลากรของเขากลับมามากกว่า

สิ่งที่เราขาดหายไปในปรากฏการณ์เช่นนี้ คือค่านิยมแบบไทยๆและตะวันออกของเรา คือความกตัญญูรู้คุณคน (Piety) และในอีกด้านหนึ่งคือความสวามิภักดิ์ต่อหน่วยงาน (Loyalty) มีเหตุการณ์ที่เกิดแล้วช้ำใจสำหรับฝ่ายให้ทุน คือ ผู้รับทุนตอนไปก็ลงนามรับเงื่อนไขทุกประการ แต่พอไปอยู่เมืองนอก เห็นโอกาสใหม่ๆ แล้วลืมพันธสัญญาที่ได้มีต่อองค์การและบ้านเกิดเมืองนอนของตน กลับมาแล้วยังรู้สึกโกรธองค์การและสถาบันที่ตนสังกัดก็มีให้เห็น

ทางออกของปัญหา

แต่กระนั้นทุกอย่างก็มีทางออกที่จะลดผลกระทบที่เลวร้ายลง กล่าวคือ

สำหรับผู้รับทุน เมื่อคิดว่าจะไม่กลับมาประเทศไทย ไม่กลับมาทำงานใช้ทุนให้กับหน่วยงาน ก็ให้รีบรับรู้และตัดสินใจ ลาออกโดยเร็ว แล้วใช้ทุนคืน รับทุนไปน้อย ก็ใช้คืนน้อย หากมีไม่พอในช่วงหนึ่ง ก็เจรจาชดใช้ทุนแบบผ่อนส่ง หาทนายความหรือคนรู้กฎหมายไทยเป็นผู้เจรจา อาจใช้เวลาในการใช้คืนนานสักหน่อยก็เจรจาประนีประนอมได้ แล้วก็ควรเขียนจดหมายกราบขอโทษทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

อย่าทำให้ผู้มีพระคุณต่อท่านเป็นผู้เดือดร้อน

สำหรับคนที่คิดจะรับทุนในระยะต่อไป นับเป็นบทเรียนในสิ่งที่เกิดขึ้น หากคิดได้ คนที่จะรับทุนต้องมั่นใจว่ารับทุนแล้ว จะกลับมาทำงานรับใช้หน่วยงานและบ้านเกิด หรือไม่ก็ต้องไม่รับทุนของเขาเลย กัดฟันหางานทำในต่างประเทศไปตั้งรกรากที่นั่น ก็ไม่มีคนว่าอะไรมากนัก คนไปศึกษาต่อมักอยู่ในวัยที่จะมีคู่ครอง ซึ่งเป็นเรื่องเห็นใจและเข้าใจได้ ถ้าเช่นนั้นสำหรับคนที่จะต้องตัดสินใจไป ก็ขอให้คิดดีเสียแต่แรก หากไม่มั่นใจ ก็ไม่ต้องรับทุน ขอลาออก หาทุนหรือทำงานวิจัยในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ หรือทำงานวิชาชีพอื่นๆควบคู่ไปกับการศึกษา ใช้เวลาเรียนนานสักหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา เมื่อเรียนจบแล้ว คิดกลับมาจะเลือกงานอะไรทำก็ได้ สัมพันธภาพกับหน่วยงานเดิมก็ยังมีอยู่ จะกลับมาทำงานต่อก็ได้ หรือจะเป็นวิทยากรพิเศษให้หน่วยงานเดิมก็ทำได้

สำหรับมหาวิทยาลัย การได้ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆที่เขามีในต่างประเทศมาเพิ่มพูนให้กับหน่วยงานนั้นเป็นเรื่องที่ดีและจำเป็น การรับอาจารย์จากเพียงที่จบภายในประเทศอย่างต่อเนื่องยาวนาน เรียกว่า Inbreeding เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ผสมพันธุ์กันเอง ยิ่งนานวัน สายพันธุ์ก็ยิ่งอ่อนแอ แต่วิธีการได้ความรู้มีหลายๆแบบ เช่นเป็นในรูปการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย เราส่งคนไปศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยของเราก็รับคนของเขาเข้ามาศึกษา มาทำงานวิจัย อย่างนี้เรียกว่า Student exchange, staff exchange มีทำกันมากมาย ประเทศไทยเองก็มีความเป็นแหล่งที่คนอยากมาทำงานและมีประสบการณ์มากเช่นกัน

ปฏิรูปการจัดการคน  อีกวิธีการหนึ่งที่มหาวิทยาลัยทำได้ คือการจัดระบบบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ใหม่ (HRM Reform) เพื่อให้ได้คนดีคนเก่งจากทั่วโลกมาเป็นอาจารย์ของเรา มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ นับเป็นเรื่อง Internationalization คือ “ก้าวสู่ความเป็นนานาชาติ” ตั้งอัตราค่าตอบแทนกำลังคนส่วนหนึ่ง อย่างที่จะดึงดูดคนเก่งไม่จำกัดสัญชาติหรือเชื้อชาติ เพื่อมาเป็นอาจารย์และนักวิจัยในมหาวิทยาลัย การเรียนการสอนก็ให้เป็นใช้ภาษาสากลเสียส่วนหนึ่ง คนสอนและคนเรียนก็ต้องมีทักษะภาษาต่างประเทศ มีผลงานนำเสนอเป็นภาษาสากล โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เหมือนที่เขาทำกันในสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และอีกหลายๆมหาวิทยาลัยทั่วโลก ที่เปิดการเรียนการสอนเป็นภาษานานาชาติ ส่วนความรู้ความสามารถก็ให้เลือกตามที่ต้องการจริง (Expertise)

การเปิดกว้างรับคนเช่นนี้ ลองไปคำนวณดู จะพบว่าใช้เงินลงทุนน้อยกว่าส่งคนไปเรียนต่อในต่างประเทศมาก ไม่ต้องเสียเวลารอ 4-6 ปี และยังสามารถดึงดูดคนไทยที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศที่ทำงานในต่างประเทศ เพื่อให้กลับมาทำงานในบ้านเกิดของตัวเองด้วย โดยให้มีระบบ Salary scale ที่ดึงดูดคนทำงานในระดับมีฝีมือแข่งขันกับนานาชาติได้

การจ้างคนในลักษณะอัตราจ้างพิเศษ เพื่อดึงดูดทั้งผู้อาจจะสูงวัย (Senior professors/ researchers) มีประสบการณ์มาแล้วอย่างมาก หรืออาจเป็นคนหนุ่มสาวที่จะเป็นดาวรุ่งทางวิชาการ (Rising stars) สัญญาจ้างอาจจะมีค่าตอบแทนสูง แต่มีช่วงการจ้างงานที่จำกัดเป็นสัญญาๆไป เช่น 1, 2, หรือ 5 ปี เป็นต้น แล้วดูผลการทำงานเพื่อต่อสัญญาการทำงานกันเป็นระยะๆไป

ในทัศนะของผม ได้ติดตามการบริหารมหาวิทยาลัยในยุคที่ออกจากระบบราชการ (State autonomous universities) พบว่า ค่าตอบแทนเงินเดือนปัจจุบันของอาจารย์สูงขึ้น อาจถึง 1.7 ถึง 2.0 เท่าของเดิมหรือราชการทั่วไป แต่ก็มีช่วงเวลาที่จะประเมินผลการปฏิบัติงาน หากใครไม่มีผลงานตามที่คาดหวังก็สามารถไม่ต่อสัญญาได้ แต่นั้นก็ไม่เพียงพอสำหรับการจ้างคนที่มีความสามารถและศักยภาพจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้เราคงต้องกลับมาคิดกันใหม่ ในระดับผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัยทั้งหลาย เพราะทุกมหาวิทยาลัยไม่ต้องการเป็นเพียง Mediocre university หรือ “มหาวิทยาลัยปานกลาง” หรือก็ “มหาวิทยาลัยงั้นๆแหละ” ทุกมหาวิทยาลัยพึงมีเป้าหมายสู่ความเป็นเลิศ หรือ Excellent university เท่านั้น


สังคมในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ฝากความหวังไว้มากมายกับมหาวิทยาลัยครับ


ภาพ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University, Boston) มหาวิทยาลัยเก่าแก่ ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1636 และยังเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิทยาลัยการหลายด้านในโลก


ภาพ ห้องอาหารของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด


ภาพ Media Lab ศูนย์วิจัยและพัฒนาทางด้านนวตกกรรมในเทคโนโลยีใหม่ ของสถาบัน  Massachusetts Institute of Technology (MIT) เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างวิทยาการในมหาวิทยาลัย กับโลกของเทคโนโลยีใหม่


ภาพ เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรี José María Aznar เยี่ยมชม Media Lab ของสถาบัน Massachusetts Institute of Technology (MIT) เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะกำลังสาธิตยานพาหนะรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ในแนวคิดใหม่

Friday, January 29, 2016

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ PHARMACIES และ DRUGSTORES ในประเทศญี่ปุ่น

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ PHARMACIES และ DRUGSTORES ในประเทศญี่ปุ่น

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com

Keywords: สุขภาพ, health, อนามัย, healthcare, ร้านขายยา, pharmacy, drugstores, ประเทศญี่ปุ่น, Japan, คนญี่ปุ่น, Japanese

Facts about Japanese Pharmacies
เมื่อจำเป็นต้องหายาที่จะใช้ในประเทศญี่ปุ่น

ร้านขายยา = Pharmacy /Drugstore =薬局

แม้ใน Google Translate ก็ไม่ได้แปลให้ต่างกัน

เมื่อเดินทางต่างประเทศต้องสนใจเรื่องยา และร้านขายยา

ยาประจำตัวสำหรับผู้มีโรคประจำตัว และได้รับยาที่แพทย์สั่ง หากต้องเดินทางไปต่างประเทศ ควรบอกแพทย์ให้สำรองยาที่จะใช้ให้เพียงพอ หรือเกินพอ เช่น ยาควบคุมไขมันในเลือด คุมน้ำตาลในเลือด คุมความดันโลหิต หรือยาอื่นใดที่แพทย์สั่ง เพราะยาเหล่านี้ต้องมีใบสั่งแพทย์ จึงจะซื้อได้ หากจะต้องอยู่ในต่างแดนสัก 20 วัน ให้มียาสำรองไว้สึกอีก 10 วัน ก็จะดีและอุ่นใจขึ้น

โดยทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น ท่านหาซื้อยาได้ด้วยใบสั่งยาของแพทย์ (Prescription処方せん しょほうせん shohousen) โดยไปที่ร้านยาประเภท Pharmacy ที่มีอยู่ในเมือง

มีร้านขายยาที่มีเขียนดังนี้ (処方せん受付 しょほうせんうけつけ shohousen uketsuke or 調剤薬局 ちょうざいやっきょく chouzaiyakkyoku).

ในกรณีที่ท่านมีประกันสุขภาพของประเทศญี่ปุ่น (Japanese health insurance) ท่านจะจ่ายเพียงร้อยละ 30 ของราคายา

เภสัชกร (Pharmacists) จะบอกท่านว่าจะกินยาที่ได้รับการสั่งอย่างไร นอกจากนี้ท่านยังสามารถหาซื้อสมุดบันทึกการสั่งยา (Prescription records - Okusuri Techou) ที่ร้านยาประเภท Pharmacy เภสัชกรจะติด Stickers ของยานั้นๆลงในสมุดสั่งยา ซึ่งจะมีบันทึกการสั่งยาของท่านที่ผ่านๆมา

นอกจากร้านขายยาประเภท Pharmacy ยังมีร้านยาประเภท Drugstores ในประเทศญี่ปุ่น ท่านสามารถซื้อยาที่ไม่อันตรายที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ และเวชภัณฑ์ต่างๆที่จำเป็นสำหรับการดูแลสุขภาพ ที่ร้านประเภท Drugstore นี้หลายแห่งมีเภสัชกรประจำเช่นเดียวกัน แต่ร้านประเภทนี้มีสินค้าอื่นๆหลายอย่างขายด้วย ที่นี่ท่านสามารถปรึกษาเภสัชกรที่ท่านจะซื้อยาที่ท่านต้องการได้ด้วย

แต่ที่ร้านประเภท Drugstore นี้ ยาที่ซื้อจะไม่คุ้มครองด้วยการประกันสุขภาพ

Pharmacy และ Drugstore มีความแตกต่างกัน

Pharmacy ไม่มีสินค้าที่วางบนหิ้งที่เราจะไปเลือกซื้อได้ ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ ส่วน Drugstore มียาหลายๆประเภทและสินค้าอื่นๆวางขายในร้าน

Pharmacy โดยทั่วไปเปิดเวลา 8 โมงเช้า ปิดเวลา 6 โมงเย็น แต่ที่ Drugstore จะปิดร้านล่ากว่านั้นมาก ร้าน Drugstore หลายแห่งในญี่ปุ่นจะมีบริการขายยาตามใบสั่งด้วย ดังนั้นท่านสามารถไปที่ร้าน Drugstore แล้วยื่นใบสั่งแพทย์ให้กับพนักงานหรือเภสัชกร เพื่อขอซื้อยาตามใบสั่งได้


แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่สื่อสารด้วยภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ ไม่ว่าอ่าน เขียน พูด หรือฟัง ซึ่งการใช้ยาจะต้องอ่านฉลากยาที่ติดตามกล่องหรือเอกสารคำอธิบายอย่างละเอียด แต่ยาในประเทศญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด อาจมีชื่อและคำอธิบายสั้นๆเป็นภาษาอังกฤษ นอกนั้นเป็นภาษาญี่ปุ่นที่เราจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ซึ่งคนที่จะใช้ยาต้องระวัง เพราะการใช้ยาผิดเป็นเรื่องอันตรายมาก


ภาพ ร้านขายยาประเภท Drugstore ในญี่ปุ่น มียาและเวชภัณฑ์ที่ไม่ต้องมีใบสั่งยา เป็นยาระดับพื้นๆ


ภาพ เภสัชกร (Pharmacist) ที่ประจำอยู่ในร้านขายยา ยาที่อยู่ด้านหลังเป็นยาที่ต้องมีใบสั่งยา


ภาพ เภสัชกรอยู่ที่หน้า Counter รับใบสั่งยาที่แพทย์สั่ง หรือมมีใบ Prescription แล้วจึงจัดยาให้ตามกรณี แล้วจะอธิบายการใช้ยากับลูกค้า



Monday, January 4, 2016

ไม่เห็นป่าจนกว่าจะเห็นต้นไม้ทั้งหมดเสียก่อน

ไม่เห็นป่าจนกว่าจะเห็นต้นไม้ทั้งหมดเสียก่อน

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com

Keywords: สุภาษิต, proverbs, เยอรมัน, German, Germany, ภาพใหญ่, big picture, ป่า, forest, ต้นไม้, trees

สุภาษิตเยอรมันบทหนึ่งกล่าวว่า “Du siehst den Wald vor lauter Bäumen nicht.ตรงกับในภาษาอังกฤษว่า “You don’t see the forest for all the trees.” ท่านจะไม่เห็นป่า จนกว่าจะเห็นต้นไม้ทั้งหมดเสียก่อน”

ป่าใหญ่ ไม่ใช่เพียงต้นไม้สองสามต้นที่เราเห็น จะเห็นและเข้าใจป่าก็ต้องมองภาพกว้างของป่าให้เข้าใจเสียก่อน


ภาพ ป่าจังหวัดน่านที่กลายเป็นเขาหัวโล้น ทั้งๆที่ในอดีตเคยเป็นป่ามีไม้ใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ การจะเข้าใจสภาพที่เป็นอยู่ ก็ต้องไปศึกษาสภาพการอาชีพการเกษตรแบบเลื่อนลอย และห่วงโซอุตสาหกรรมการเกษตรที่ไม่ยั่งยืน

ในชีวิตจริงมันสำคัญมากที่ท่านต้องเห็นภาพใหญ่ของสรรพสิ่งเสียก่อน หากจะซื้อบ้านสักหลัง ไม่ใช่ดูที่ภาพบ้านนั้น แต่ต้องดูสภาพชุมชนแวดล้อมของบ้าน ทำเลที่ตั้ง ระบบขนส่ง สภาพสังคม ระบบการศึกษา โรงพยาบาล ฯลฯ


ในการทำงาน ทั้งปีมีทั้งวันที่ดีและวันที่แย่ๆ แต่การจะเข้าใจชีวิตการทำงานนั้น ต้องดูกันยาวๆ ดูทั้งปี ทั้งในอดีตที่ผ่านมา ในปัจจุบัน และการคาดการณ์ในอนาคต กิจการบางอย่างดูเหมือนจะแย่ในขณะปัจจุบัน หลายกิจการในลักษณะเดียวกันต้องปิดตัวลงไป กิจการของตัวเราเองก็แย่ แต่พอทนอยู่ได้ ดังนี้เขาให้หันไปพิจารณาสภาพกิจการแบบของเราว่ามันเป็นสิ่งที่มีอนาคตหรือไม่ บางครั้งกิจการดังกล่าวมันเป็นของใหม่ ยังต้องการเวลาที่จะพิสูจน์ตัวเองสักระยะ แต่เมื่อกิจการนั้นๆซึ่งยังไม่ค่อยมีตลาด แต่กลับมีคนมุ่งเข้ามาแข่งขันมากเกินไป จึงทำให้สถานภาพของทุกคนย่ำแย่ ดังนี้ให้อดทนรอไปสักระยะหนึ่ง แล้วจะมีคนทำธุรกิจแบบแสวงโอกาส แต่ไม่มีความเข้มแข็งพอ สายป่านยาวไม่พอ ก็จะเลิกราไป ตลาดก็จะกลับมามีชีวิตชีวาใหม่ได้