ประวัติ อับราฮัม ลินคอล์น (Lincoln, Abraham)
ประวัติ อับราฮัม ลินคอล์น (Lincoln, Abraham)
ภาภัทร อัศวเรขา
แปลและเรียบเรียง
Keywords: CW105, วิทยุชุมชน ประธานาธิบดีสหรัฐ
Updated: Wednesday, January 04, 2006
ความนำ
อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 ในบ้านไม้ที่ทำจากท่อนซุง (log cabin) ในแถบชนบทของฮาร์ดิน เคาน์ตี้ (Hardin County) รัฐเคนตักกี้ พ่อของเขาชื่อ โทมัส ลินคอล์น (Thomas Lincoln) เป็นช่างไม้และชาวนาที่อยู่ไม่เป็นที่และมีฐานะยากจนมาก แม่ของเขาชื่อ แนนซี่ แฮงค์ (Nancy Hank) ซึ่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1818 หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวของเขาได้ย้ายไปตั้งรกรากในบริเวณป่าซึ่งปัจจุบันคือ บริเวณเขตอุตสาหกรรมสเปนเซอร์ เคาน์ตี้ (Spencer County Industry) และได้แต่งงานกับหญิงม่ายชื่อ ซาราห์ บุช จอห์นสตัน (Sarah Bush Johnston) เธอเป็นแม่เลี้ยงที่ใจดีและรักอับราฮัมมาก อับราฮัมแทบจะไม่เคยเรียนในโรงเรียนเลย เขาเรียนด้วยตัวเองจากการอ่านหนังสือ การท่องโลกกว้างครั้งแรกของเขาคือ การล่องเรือตามแม่น้ำไปยังนิวออลีนส์ในปี ค.ศ. 1828 และในปี ค.ศ. 1830 ครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมคอน เคานท์ตี้ (Macon County) รัฐอิลลินอยส์
หลังจากที่ได้ไปที่นิวออลีนส์อีกครั้ง อับราฮัมได้กลับไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองนิวซาเล็ม รัฐอิลลินอยส์ในปี ค.ศ. 1831 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองสปริงฟิลด์นัก เขาได้เริ่มทำงานในร้านขายของและดูแลโรงสี เขาเป็นที่ชื่นชอบของคนในแถบนั้นเพราะความขยันขันแข็งและความสามารถในการเล่าเรื่อง แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะนิสัยของเขาที่ซื่อสัตย์และจริงใจมากกว่า เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่มอาสาสมัครเพื่อเข้าร่วมสงครามแบลค ฮอว์ค (Black Hawk War) ในปี ค.ศ. 1832 แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม
เมื่อกลับมาที่นิวซาเล็ม เขาได้เป็นหุ้นส่วนในร้านขายของชำ ซึ่งต่อมากิจการได้ขาดทุนและทำให้เขาเป็นหนี้จำนวนมาก หลังจากนั้นเขาได้ทำงานเป็นนักสำรวจ หัวหน้าไปรษณีย์หมู่บ้านและทำงานแปลกๆ หลายอย่าง รวมทั้งสับรางรถไฟ ในขณะเดียวกัน ก็ได้พัฒนาการศึกษาของเขาด้วยการเรียนกฎหมาย และได้มีความสัมพันธ์กับแอน รัทเลดจ์ (Ann Rutledge) ในช่วงเวลานั้น
อาชีพทางการเมืองในช่วงแรก
อับราฮัมได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการรัฐในปี ค.ศ. 1834 และได้ดำรงตำแหน่งติดต่อกับถึง 4 สมัย จนถึงปี ค.ศ. 1841 และได้มีบทบาทสำคัญในฐานะกลุ่มพรรครีพับบลิกัน (Republican Party) ในปี ค.ศ. 1836 เขาได้รับใบอนุญาตประกอบอาชีพทนายความและได้ย้ายไปที่เมืองสปริงฟิลด์ (Springfield) ในปีถัดมา โดยได้เป็นหุ้นส่วนทางกฎหมายของจอห์น ที สจ๊วต (John T. Stuart) ซึ่งเขาก็ได้งานว่าความเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จของการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากสตีเฟ่น ที โลแกน (Stephen T. Logan) และวิลเลียม เอช. เฮิร์นดอน (William H. Herndon) ซึ่งบุคคลผู้นี้เป็นผู้เขียนอัตชีวประวัติของอับราฮัมในเวลาต่อมา อับราฮัมได้ฉายแววทางด้านกฎหมายจากการโต้แย้งแสดงเหตุผล ความจริงใจ ประเด็นเรื่องสีผิว และการพูดที่เข้าใจได้ง่ายและชัดเจน
ในปี ค.ศ. 1842 เขาได้แต่งงานกับแมรี่ ทอดด์ (Mary Todd) หลังจากที่มีปัญหาติดพันผู้หญิง เขายังคงสนใจในการเมืองและได้ทำงานในสภาคองเกรส 1 สมัย (ค.ศ. 1847 - 1849) แต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียง ทั้งนี้เขาได้สนับสนุนสงครามเม็กซิกัน (Mexican War) ทำให้เขาเสียความนิยมลงไป เขาได้เตรียมตัวอย่างหนักในการเลือกตั้งผู้สมัครพรรครีพับลิกัน ในปี ค.ศ. 1848 แต่สอบตก เขาจึงหันหลังให้กับการเมืองและกลับไปทำงานด้านกฎหมาย
ประเด็นเรื่องทาสและการอภิปรายหาเสียงระหว่างลินคอล์นกับดักลาส
อับราฮัมได้กลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งในปี ค.ศ. 1854 โดยจับประเด็นด้านความขัดแย้งเรื่องทาส เขาคัดค้านนโยบายของสตีเฟ่น เอ. ดักลาส (Stephen A. Douglas) อย่างชัดเจน และร่างกฎหมายแคนซัส-เนบราสกาเป็นพิเศษ เขาได้โจมตีการประนีประนอมเกี่ยวกับเรื่องทาสและเสนอแนวคิดประชาธิปไตยในการประกาศเอกราชไว้ในสุนทรพจน์ที่เมืองสปริงฟิลด์และพีโอเรีย (Peoria) ในปี ค.ศ. 1855 เขาลงสมัครวุฒิสมาชิกแต่สอบตกอีกครั้ง
เมื่อเริ่มเข้าใจว่า เขามาผิดทาง จึงได้เข้าพรรครีพับลิกัน (Republican Party) ในปี ค.ศ. 1856 และกลายเป็นตัวเด่นในพรรคอย่างรวดเร็วในฐานะผู้คัดค้านเรื่องทาส ซึ่งด้วยท่าทีของเขา ทำให้สามารถได้รับการยอมรับจากทั้งกลุ่มก้าวหน้า ผู้ต้องการเลิกล้มระบบทาสและกลุ่มรัฐอิสระที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมและยังไม่ฝักไฝ่ด้านใด ในการประชุมระดับประเทศของพรรคในปี ค.ศ. 1856 เขามีความสำคัญในฐานะตัวเก็งผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี สองปีต่อมาทางพรรคฯได้แต่งตั้งให้เขาเป็นตัวแทนเพื่อชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกในรัฐอิลลินอยส์กับดักลาส
หลังจากนั้นเขาได้ประกาศสนับสนุนสหภาพ (The Union) ซึ่งหมายถึงรัฐที่ยังร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ ว่า “สภาที่ถูกแบ่งแยกออกจากกันจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้” โครงการรณรงค์ที่ตามมากประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ อับราฮัมได้ท้าทายดักลาสด้วยประเด็นเกี่ยวกับความจำเป็นในการอยู่ร่วมกันและความเป็นประชาธิปไตย เขาไม่ได้เป็นพวกเลิกล้มทาส แต่เห็นว่า ทาสเป็นเรื่องของความอยุติธรรมและเป็นความชั่วร้าย
การเป็นประธานาธิบดี
ถึงแม้ว่าดักลาสจะชนะการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก อับราฮัมก็ยังคงอภิปรายหาเสียงต่อไปในฐานะผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาออกปราศรัยครั้งแรกที่คูเปอร์ ยูเนี่ยน (Cooper Union) เมืองนิวยอร์คซิตี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1860 เขาได้รับความนิยมจากรัฐที่ต่อต้านระบบทาส และต้องชิงตำแหน่งกับดักลาส จอห์น ซี. เบร็คคินริดจ์ (John C. Breckinridge) และจอห์น เบลล์ (John Bell) ในที่สุดอับราฮัมก็ชนะการเลือกตั้งจากเสียงข้างมากของกลุ่มผู้แทนรัฐ แต่ได้รับเสียงไม่มากนักจากเสียงประชาชน (Popular Vote)
สำหรับฝ่ายใต้ การเลือกตั้งของอับราฮัมถือเป็นสัญญาณของการแบ่งแยกดินแดน แผนการประนีประนอมทั้งหมดที่เสนอโดยจอห์น เจ คริทเทนเดน (John J. Crittenden) ได้ตกไปและในขณะที่อับราฮัมเข้ารับตำแหน่ง ได้มีรัฐทางใต้ 7 รัฐที่แยกตัวออกไปแล้ว
รัฐทางใต้ 7 รัฐที่ได้แยกตัวออกมาและตั้งชื่อใหม่เป็น "The Confederate States" ในวันที่ 4กุมภาพันธ์ คงศ. 1861 รัฐทางใต้ 7 อันเป็นรัฐที่สนับสนุนการมีระบบทาส ได้แก่ (1) South Carolina (2) Mississippi (3) Florida (4) Alabama (5) Georgia (6) Texas และ (7) Louisiana
แม้รัฐทางใต้ได้ประกาศแยกตัวออกไป แต่อับราฮัมก็ยังมุ่งที่จะรักษาสหภาพไว้ และเขาได้ประณามการแยกตัวของรัฐเหล่านั้น โดยให้สัญญาว่า จะไม่ใช้กำลัง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สั่งให้ทหารเตรียมประจำการไว้ที่ป้อมซัมเทอร์ (Fort Sumter) โดยผ่ายใต้ถือว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการก่อสงคราม เมื่อป้อมฯถูกยิง สงครามกลางเมืองจึงเริ่มขึ้นในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับการบริหารประเทศของอับราฮัม เขาก็ได้ใช้ความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งในการจัดการปัญหาต่างๆ โดยได้ออกหมายเรียกทหารทันที และส่งเรือรบปิดเมืองท่าต่างๆของรัฐทางฝ่ายใต้ซึ่งเรียกตัวเองว่า สหพันธรัฐอเมริกา (The Confederate) และได้ระงับหมายเรียกตัวผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่คุมขังมายังศาลเพื่อพิจารณาว่า ถูกคุมขังโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แต่อับราฮัมก็ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยใช้อำนาจที่มีอยู่แต่ก็มีข้อผูกมัดและอุปสรรคต่างๆที่เป็นผลมาจากสงครามและความขัดแย้งของคนในพรรคเดียวกัน คณะรัฐมนตรีซึ่งเต็มไปด้วยความริษยาและความเกลียดชังกันเอง กลุ่มผู้สนับสนุนการเลิกทาสได้ประณามเขาว่า เขาใช้วิธีที่นุ่มนวลเกินไป ในขณะที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมต่างหมดหวังที่จะได้ชัยชนะในสงคราม
ในช่วงสงคราม อับราฮัมได้ใช้ความอดทนและสติปัญญาในการเริ่มทำสงครามกับฝ่ายเหนือก่อน เขาได้ตัดสินใจผิดพลาดทางด้านการทหาร เช่น การสั่งบุกรัฐเวอร์จิเนียที่ทำให้ฝ่ายสหภาพพ่ายแพ้ในสงคราม Bull Run ในช่วงแรกของสงคราม เขาได้ยกเลิกคำสั่งของจอห์น ซี เฟรมอง (John C. Fremont) และ การปลดปล่อยทาสในกองทัพของเดวิด ฮันเตอร์ (David Hunter) อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของฝ่ายสหภาพที่แอนเทียทัม (Antietam) ได้เป็นรากฐานที่สำคัญที่ทำให้เขาออกประกาศการเลิกทาส (Emancipation Proclamation) ได้ สงครามครั้งนี้ อับราฮัมมีจุดประสงค์หลักคือ การรักษาสหภาพไว้ ความเศร้าสลดและความจำเป็นทำให้เขาสะเทือนใจและได้กล่าวสดุดีเพื่อไว้อาลัยให้กับทหารที่สุสานในเมืองเกทตี้สเบิร์ก (Gettysburg) ในปี ค.ศ. 1863 ในขณะนั้นเขาถูกคุกคามจากการลาออกของหัวหน้าพรรครีพับบลิกันและพรรคฝ่ายค้านในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ที่ย่ำแย่ในปี ค.ศ. 1864 แต่สิ่งที่ดีทางด้านการทหารได้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง หลังจากที่แกรนท์ (Grant) ได้มาเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่วิลเลียม ที เชอร์แมน (William T. Sherman) ยึดแอตแลนต้าได้
อับราฮัมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหลังจากที่ได้คะแนนเสียงข้างมาก โดยชนะจอร์จ บี แมคเคลแลน (George B. McClellan) สุนทรพจน์ในการเข้ารับตำแหน่งครั้งที่ 2 นี้กล่าวเมื่อสงครามใกล้จะยุติลง โดยเรียกร้องให้ประเทศใหม่ที่เกิดท่ามกลางเถ้าถ่านของฝ่ายใต้ ซึ่งมีมุมมองด้านการให้อภัยที่ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่ประสงค์ร้ายใคร และด้วยกุศลจิตสำหรับทุกคน” (With malice to none: with charity to all) เขามีชีวิตอยู่จนได้เห็นสงครามยุติลง แต่ไม่ได้มีโอกาสดำเนินแผนการบูรณะประเทศ ในคืนวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1865 เขาถูกลอบยิงในโรงละครฟอร์ดเธียร์เตอร์ (Ford’s Theater) และเสียชีวิตในเช้าวันต่อมา ฆาตกรเป็นนักแสดงชื่อ จอห์น วิลกี้ส์ บู้ธ (John Wilkes Booth) การตายของเขายังความเศร้าสลดแม้แต่ในกลุ่มฝ่ายค้านและหลายคนเห็นว่าเขาคือ ผู้เสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
ตำนานลินคอล์น
เมื่อเวลาผ่านไป อับราฮัมกลายเป็นเสมือนสิ่งที่ได้รับการสรรเสริญเยินยอ ตำนานลินคอล์นจึงเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีความผิดพลาดหลายอย่าง แต่เขาก็เป็นที่ยอมรับในฐานะรัฐบุรุษที่มีวิสัยทัศน์ด้านคุณธรรม มนุษยธรรมและทักษะด้านการเมืองที่โดดเด่น จึงไม่น่าประหลาดใจว่า คนสับรางรถไฟรัฐอิลลินอยส์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยของอเมริกา ภาพเขียน รูปปั้นและสถาปัตยกรรมต่างๆที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่เขาได้มีอยู่ดาษดื่น อนุสรณ์สถานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอยู่ที่บ้านเกิดของเขาที่เมืองสปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์และอนุสรณสถานลินคอล์นเ (Lincoln Memorial) ณ กรุงวอชิงตันดีซี
ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ อ่านได้ความรู้มากเลยครับ
ReplyDeleteขอบคุณครับ
ReplyDeleteขอบคุณครับ !
ReplyDelete