MIT ออกแบบเครื่องบินประสิทธิภาพสูง
บินอยู่ได้คล้ายปลาในอากาศ
Keywords: การขนส่ง, transportation, สิ่งแวดล้อม, environment, การบิน, aviation, airplane,
Boeing, MIT, Double Bubble, D series, Flying Wing, H series
สหรัฐอเมริกาถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีการบิน
บริษัทที่เป็นสุดยอดของการผลิตเครื่องบินขณะนี้ในทวีปอเมริกาเหนือ คือ Boeing
ซึ่งมีเครื่องบินที่ใช้มากที่สุด คือ Boeing 737 และ 777 แต่หากขาดนวตกรรมและการออกแบบใหม่ๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ
Boeing ตามลำพัง อเมริกาคงจะสูญเสียบทบาทผู้นำด้านการบินเชิงพาณิชย์ไปในที่สุด
ด้วยเหตุดังกล่าวโครงการการบินและอวกาศของสหรัฐอเมริกา (National
Aeronautics and Space Administration
- NASA) จึงให้ทุนแก่มหาวิทยาลัยชั้นนำ Massachusetts
Institute of Technology หรือ MIT ให้สร้างจินตนาการเกี่ยวกับเครื่องบินเชิงพาณิชย์ในอนาคต
โดยได้มอบเงินให้กับมหาวิทยาลัย USD 2.1 ล้าน 69.3 ล้านบาทไทยในปี ค.ศ. 2008
วัตถุประสงค์ของ MIT
คือออกแบบเครื่องบินความเร็วสูงระดับไม่เร็วกว่าเสียง (Subsonic)
ปล่อยอากาศเสียร้อยละ 70 น้อยกว่า NOx เผาผลาญเชื้อเพลิงร้อยละ 70 น้อยกว่าเครื่องบินแบบปัจจุบัน
และมีความสามารถในการเร่งบินขึ้นบนทางวิ่งที่สั้น เมื่อได้ออกแบบมาแล้ว
ทางมหาวิทยาลัยได้นำเสนอรูปแบบที่แตกต่างออกไปแบบเป็นเหมือนเงาของเครื่องบินในปัจจุบัน
ภาพ เครื่องบินรุ่นปลาบิน หรือ Double bubble หรือ D series
2 แบบที่ MIT ได้ทำการวิจัยแล้วนำเสนอ
คือ เครื่องบินโดยสารขนาด 180 ที่นั่งรุ่น D หรือ Double bubble หรือ “รุ่นปลาบิน” ซึ่งเจตนาให้ใช้แทนเครื่อง Boeing 737 และเครื่องบินโดยสารรุ่น
H หรือ Hybrid Wing Body หรือ “รุ่นปีกบิน”
ซึ่งหวังว่าจะพัฒนาขึ้นแทน Boeing 777 ซึ่งเป็นรุ่นที่บินทางไกล
และจุผู้โดยสารได้ 290-300 คน
ภาพ เครื่องบินรุ่นปลาบิน โดยโครงสร้าง
วิศวกรของ MIT มองว่ารุ่น
D เป็นลักษณะแปลงมาจากระบบเดิมที่เป็นท่อกลมยาวเดี่ยว (Single
fuselage cylinder) เป็นสองท่อวางติดและขนานกัน ส่วนผิวด้านล่างทำหน้าที่ส่วนหนึ่งคล้ายปิกพยุงเครื่องบินส่วนหนึ่ง
ปีกแบบเดิมที่ต้องกว้างเพื่อพยุงน้ำหนักของตัวเครื่องบิน ก็เปลี่ยนเป็นแคบลง เบาลง
ส่วนตัวเครื่องที่ติดกับปีก 2 ข้างก็ย้ายไปอยู่ด้านท้ายลำตัว
ไม่ต้านอากาศ อากาศที่ปะทะเครื่องยนต์ก็จะช้ากว่าเดิม
เครื่องบินรุ่น D จะบินได้ช้ากว่าเดิมร้อยละ
10 เมื่อเทียบกับรุ่น Boeing 737 แต่ลดการต้านอากาศลง
ลดความเครียดของเครื่องยนต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องรุ่น D นี้จะช้าไปกว่าเดิมมากนัก
เพราะเครื่องแบบลำตัวกว้างจะทำให้การขึ้นเครื่องและลงเครื่อง
และการขนถ่ายผู้โดยสารและสินค้าทำได้รวดเร็วขึ้น เมื่อมองภาพรวมแล้ว
จึงไม่ได้ทำให้ใช้เวลาแตกต่างกันมากนัก ส่วนลำตัวที่กว้างและดูต่างไปจากเดิมมาก
แต่สามารถใช้งานร่วมกับระบบโครงสร้างพื้นฐานของสนามบินในปัจจุบันได้โดยไม่เกิดปัญหา
ภาพ เครื่องบินรุ่น H, หรือรุ่น Hybrid คือลำตัวกว้างทำหน้าที่เป็นปีกไปในตัว
ส่วนอีกรุ่นหนึ่งคือสามเหลี่ยม H (Triangular
H series plane) จะดูต่างจากเดิมยิ่งหนักขึ้นไปอีก
เหตุเพราะไม่มีหางเลย MIT อธิบายว่าลำตัวแบบสามเหลี่ยมที่กว้างนี้ทำหน้าที่เป็นปีกเพื่อยกตัวเครื่องบินในขณะบินไปข้างหน้า
ทำให้ไม่ต้องมีส่วนหางที่จะคอยถ่วงดุล
ทำให้ไม่ต้องมีแบบเหมือนกับเครื่องบินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
เครื่องบินนวตกรรมใหม่ รุ่น D และ H นี้ ไม่ใช่ครั้งแรก MIT พยายามออกแบบเครื่องบินยุคใหม่
ในโครงการ Silent Aircraft Initiative เป็นโครงการร่วมระหว่าง
MIT และมหาวิทยาลัย Cambridge University ของสหราชอาณาจักร ที่จะออกแบบเครื่องบินให้มีเสียงเงียบกว่าเดิม 3,000
เท่าของปัจจุบัน
เครื่องบินที่ออกแบบโดย MIT ในระยะหลัง SAX-40 ยิ่งมีรูปลักษณ์คล้ายสัตว์ทะเล
ซึ่งเราคงไม่แปลกใจว่าทำไมเครื่องบินรุ่นใหม่ๆ
จึงมีลักษณะคล้ายสัตว์ทะเลที่ต้องเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพไปตามท้องทะเล
ภาพ แบบเครื่องบินรุ่น SAX-40 เป็นความร่วมมือของ MIT และ Cambridge
No comments:
Post a Comment