Thursday, February 28, 2013

มารู้จักอาหารเม็กซิกัน เบอร์ริโต (Burrito, Burritos)


มารู้จักอาหารเม็กซิกัน เบอร์ริโต (Burrito, Burritos)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: อาหาร, Food, เม็กซิกัน, Mexican, อเมริกัน, American, เบอร์ริโต, Burrito, Burritos, Taco de harina, Taco Bell, Mexican Restaurant

อาหารเม็กซิกันเป็นอันมาก มามีชื่อเสียงและรู้จักกันในอเมริกา ซึ่งมีคนเชื้อสายเม็กซิกันอาศัยอยู่เป็นอันมาก


ภาพ เบอร์ริโต (Burrito, Burritos) อาหารเม็กซิกัน

เบอร์ริโต (Burrito, Burritos) หรือ ทาโค เดียริน่า (Taco de harina) เป็นอาหารแบบเม็กซิกัน (Mexican food) ประกอบด้วยแป้งข้าวสาลีผสมแป้งข้าวโพดหยาบ ทำเป็นแผ่นแล้วห่อเป็นรูปแท่งกลม โดยมีไส้ใน (Filling) แต่ต่างจาก “ทาโค” (Taco) ซึ่งจะเป็นแผ่นแป้งข้าวโพดอบแห้งแข็งห่อเพียงครึ่งเดียว เปิดให้เห็นไส้ใน ซึ่งมีภาพการห่อแบบครึ่งวงกลม (Semicircular perimeter open) แผ่นแป้งทอร์ทิย่า (Flour tortilla) ซึ่งใช้การย่างไฟอ่อนๆ หรือใช้นึ่ง เพื่อให้อ่อนพอที่จะพับได้ ในเม็กซิโก ไส้ในเขาจะใช้เนื้อและถั่วผัดในเครื่องเทศแบบเม็กซิกัน

ในสหรัฐอเมริกา เบอร์ริโตใส่ไส้ (Fillings) ที่ประกอบด้วยข้าวผัดแบบเม๊กซิกัน (Mexican-style rice) หรือเป็นข้าวธรรมดา (Plain rice), ถัวผัด (Refried beans) หรือถั่วธรรมดา (Beans), ผักกาดขาวสดหั่นละเอียด (Lettuce), ซาลซ่า (Salsa) อันเป็นเครื่องปรุงแบบเม็กซิกัน, เนื้อ (Meat), กัวคาโมเล่ (Guacamole), เนยแข็ง (Cheese), ขูดเป็นฝอย และ ครีมเปรี้ยว (Sour cream) โดยขนาดที่ทำมีแตกต่างกัน

โดยทั่วไปอเมริกันจะทำอย่างประยุกต์ โดยใส่ไส้ในด้วยเครื่องปรุงที่มากกว่าเนื้อและผัก ส่วนเนื้อก็มักจะเป็นพวกเนื้อวัวบด (Ground beef) ผัดแบบปรุงเข้ากับเครื่องเทศแบบเม็กซิกัน


ภาพ ซาลซ่า (Salsa) เป็นเครื่องเคียงแบบเม็กซิกัน


ภาพ เบอร์ริโต (Burrito, Burritos) ในรูปเป็นอาหารจานด่วน กินได้รวดเร็ว คล้ายกับแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger)


ภาพ เบอร์ริโตแบบเปียก (Wet Burrito, Burritos)



ภาพ เบอร์ริโตแบบเปียก (Wet Burrito, Burritos) ที่ร้าน Food Loft เซนทรัล ชิดลม (Central Chidlom)

Wednesday, February 27, 2013

อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon)


อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: อุทยานแห่งชาติ, National Park, ระบบนิเวศ, ecosystem, แกรนแคนยอน, Grand Canyon, แกรนด์ทีทอน, Grand Teton, 


ศึกษาและเรียบเรียงจาก “On this day in history, two national parks were established in the United States 10 years apart--the Grand Canyon in 1919 and the Grand Tetons in 1929.” ใน History.com


ภาพ แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon, Arizona, USA)

29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 ได้มีการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน (The Grand Canyon National Park) และในอีกสิบปีต่อมาในวันและเดือนเดียวกันนี้

29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 ได้มีกำเนิดอุทยานแห่งชาติที่แกรนด์ทีทอน (Grand Tetons)



ภาพ แกรนด์แคนยอน ส่วนที่เป็นหุบเขา และมีร่องรอยการอยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมือง ด้วยการเจาะเป็นถ้ำเขาไปตามหน้าผา


ภาพ ประธานาธิบดี ธีออดอร์ รูสเวลท์ (Theodore Roosevelt)

วนอุทธยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน (The Grand Canyon National Park) ของสหรัฐอเมริกาตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐอริโซน่า (Arizona) หุบเขาขนาดมหาศาลนี้เป็นผลิตผลจากการกัดกร่อนของสายน้ำจากแม่น้ำโคโลราโด (Colorado River) ในช่วงเวลาหลายล้านปี ทำให้เกิดเป็นร่องน้ำที่ลึกนับเป็นไมล์ และช่วงกว้างที่สุดของหุบเขาที่แม่น้ำไหลผ่าน จะกว้างถึง 15 ไมล์ หรือประมาณ 24 กิโลเมตร มีความยาว 277 ไมล์ หรือ 446 กิโลเมตร ประมาณระยะทางเท่ากับจากกรุงเทพฯไปจังหวัดสุรินทร์

หุบเขา (Canyon) แกรนด์แคนยอนนี้เป็นแหล่งของพืชมากกว่า 1,500 ชนิด และพันธุ์สัตว์กว่า 500 ชนิด หลายพันธุ์กำลังอยู่ในอันตรายว่าจะสูญพันธุ์ และความที่มีแม่น้ำกัดเซาะพื้นที่ๆเป็นชั้นของหินและดินที่ลึกเป็นไมล์ลงไปนี้ ทำให้เห็นชั้นดินของโลกที่มีประวัติศาสตร์นานนับ 2,000 ล้านปี
ผู้นำคนสำคัญที่ผลักดันให้เกิดอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ คือ ประธานาธิบดีธีออดอร์ รูสเวลท์ (President Theodore Roosevelt) นับเป็นผู้นำหลักที่ต้องการให้มีการสงวนบริเวณนี้ และได้มาเยี่ยมหลายครั้งเพื่อล่าสัตว์และชื่นชมทิวทัศน์ ซึ่งในปัจจุบันแกรนด์แคนยอน นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติหนึ่งใน 7 แห่งของโลก

ในช่วงเวลานับหลายพันปี บริเวณนี้เป็นที่พักอาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองโบราณ “พิวโบล” (Pueblo people) ซึ่งอาศัยอยู่ตามหุบเขาและในถ้ำ นับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพื้นเมืองมาแสวงบุญ ชาวยุโรปที่นับเป็นคนแรก ที่ได้มาพบแกรนด์แคนยอน คือ การ์เซีย โลเปซ เดอ คาร์ดีน่า (García López de Cárdenas) จากสเปน ผู้ได้เดินทางมาถึงในปี ค.ศ. 1540


ภาพ  แพะภูเขาพันธุ์ Bighorn ewe ที่บริเวณแกรนด์แคนยอน ถ่ายภาพปี ค.ศ. 2008


ภาพ แร้งแคลิฟอร์เนีย (California Condor) ซึ่งติดเลขหมายที่ปีก ขณะกำลังบิน ถ่ายภาพบริเวณ สะพานนาวาโฮ (Navajo Bridge) ที่หุบเขามาร์เบิล (Marble Canyon) ปี ค.ศ. 2008 แร้งป่า (Wild condors) เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ โดยในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 ประมาณว่ามีแร้งสายพันธุ์นี้เหลืออยู่ 172 ตัว

ข้อมูลพื้นฐาน

สถานที่
Location
Coconino และ Mohave counties, รัฐอริโซนา (Arizona), สหรัฐอเมริกา (United States)
เมืองที่ใกล้เคียง
Nearest city
Fredonia, Arizona (North Rim)
Tusayan, Arizona (South Rim)
จุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
Coordinates
ขนาดพื้นที่
Area
1,217,262 acres (492,608 ha)[2]
ก่อตั้งเมื่อวันที่
Established
February 26, 1919
จำนวนนักท่องเที่ยว
Visitors
4,298,178 (in 2011)[3]
ปกครองและบริหารโดยGoverning body
หน่วยบริการอุทยานแห่งชาติ
National Park Service
จัดเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก
UNESCO World Heritage Site
ประเภท
Type:
ธรรมชาติ
Natural
เกณฑ์
Criteria:
vii, viii, ix, x
ได้รับการจัดตั้งปี ค.ศ.Designated:
1979 (3rd session)
Reference No.
ประเทศร่วมด้วย
State Party:
ภูมิภาค
Region:

Audi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าลูกประสม A3 e-tron


Audi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าลูกประสม A3 e-tron

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: รถยนต์ไฟฟ้า, รถยนต์ไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก, Audi, VW, Volkswagen AG, DKW, Daimler-Benz

ศึกษาและเรียบเรียงจาก The Audi A3 e-tron plug-in hybrid unveiled.” EV News, THURSDAY, FEBRUARY 21, 2013


ภาพ รถยนต์ไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊ก Audi A3 e-tron


ภาพ ภายในของ Audi A3 e-tron

Audi บริษัทรถยนต์เยอรมันในเครือ VW เปิดตัวรถยนต์รถไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) ให้พลัง 201 แรงม้า นับเป็น Audi A3 รุ่นที่สาม ซึ่งจะเปิดตัวในงานแสดงรถยนต์ที่เจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (Geneva, Switzerland) ในเดือนมีนาคม

Audi A3 e-tron สามารถทำความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงด้วยเวลา 7.6 วินาที และทำความเร็วได้สูงสุดถึง 222 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามมาตรฐานของ ECE รถยนต์ไฟฟ้าลูกประสมนี้สามารถใช้น้ำมัน 1.5 ลิตรในการวิ่ง 100 กิโลเมตร มีการปล่อยคาร์บอนได้ออกไซด์ 35 กรัม/กิโลเมตร ในการใช้ระบบวิ่งด้วยไฟฟ้า Audi A3 e-tron สามารถทำความเร็วได้ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง และวิ่งได้ 50 กิโลเมตร

สำหรับเครื่องยนต์เผาไหม้ เขาใช้เครื่องขนาด 1.4 ลิตร ระบบ TFSI หรือ Turbo Fuel Stratified Injection (TFSI) สามารถให้ประสิทธิภาพ พลังเพิ่มกว่าระบบเก่าถึงร้อยละ 15 แม้ใช้เครื่องขนาดเล็ก แต่ก็ให้พลังงานที่ 110 kW หรือ 150 แรงม้าเชื่อมต่อกับมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งมีกำลัง 75 kW โดยมีระบบทดกำลัง e-S tronic 6 เกียร์ ซึ่งส่งกำลังไปที่ล้อหน้า มอเตอร์ไฟฟ้าจะให้พลังสูงสุดจากรอบความเร็ว 2000 รอบต่อนาที (rpm) และเครื่องยนต์เผาไหม้ระบบ TFSI ให้พลังสูงสุดได้ในช่วงรอบ 1,750 ถึง 4,000 รอบต่อนาที

Audi A3 e-tron สามารถวิ่งได้ด้วยเครื่องยนต์เผาไหม้อย่างเดียว หรือวิ่งด้วยพลังลูกประสม แม้แต่เพียงระบบไฟฟ้าก็สามารถวิ่งได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์เผาไหม้ สำหรับคนขับสามารถเลือกจะใช้พลังจากทั้งสองส่วนในเวลาเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า Boosting แต่เมื่อปล่อยว่างไม่เร่ง ก็จะอยู่ในช่วงเรียกว่า Gliding ทำให้ไม่เปลืองพลังงานเครื่องทั้งสองระบบ


ภาพ โลโก้ของ Audi เป็นรูปห่วง 5 ห่วง

เอาดี้ หรือชื่อเต็ม  AUDI Aktiengesellschaft เป็นบริษัทออกแบบ วิศวกรรม ผลิต และจัดจำหน่ายรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ (Automobiles and motorcycles) Audi ดูแลกิจการทั่วโลกจากสำนักงานใหญ่ที่ Ingolstadt แคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี (Bavaria, Germany) รถยนต์มีโรงงานผลิต 7 แห่งทั่วโลก

AUDI AG มีบริษัท Volkswagen AG เป็นเจ้าของร้อยละ 99.5 เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966 เมื่อได้มีการซื้อกิจการจาก Daimler-Benz บริษัท Volkswagen ได้หันมาพัฒนา AUDI โดยเริ่มจากรถยนต์รุ่น Audi F103 ในปี ค.ศ. 1965 เป็นต้นมา

Audi มีคำขวัญบริษัทว่า Vorsprung durch Technik แปลว่า “ก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยี” ในระยะหลังในประเทศสหรัฐอเมริกา Audi ได้เปลี่ยนคำขวัญเป็น “ของจริงในเรื่องเทคโนโลยี” (Truth in Engineering)

Tuesday, February 26, 2013

อุทยานแห่งชาติแกรนด์ทีทอน (Grand Teton National Park)


อุทยานแห่งชาติแกรนด์ทีทอน (Grand Teton National Park)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: อุทยานแห่งชาติ, National Park, ระบบนิเวศ, ecosystem, แกรนด์ทีทอน, Grand Teton,


ภาพ อุทยานแห่งชาติแกรนด์ทีทอน (Grand Teton National Park)


ภาพ อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon National Park, Arizona, USA) ในรรัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา

การจัดการอุทยานแห่งชาติในประเทศไทย นับเป็นเรื่องยาก แม้มีกฎหมายประกาศพื้นที่เป็นวนอุทยาน (National Park) แล้ว แต่เวลาที่ผ่านไป ก็จะมีผู้คนเข้าไปบุกรุก แล้วที่ดินที่หวังจะเก็บรักษาไว้เป็นป่าเขาตามธรรมชาติ ก็ถูกรุกล้ำจนเหลือน้อยเต็มที

ทำไมเราจึงรักษาอุทยานแห่งชาติเอาไว้ไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นสิ่งจำเป็น ทำไมกฏหมายจึงไม่มีความหมาย
เราคงต้องเรียนรู้จากการออกกฎหมายอุทยานแห่งชาติที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในอเมริกา และวิธีการที่เขาดูแลสมบัติของชาติเขา ให้คงสภาพดังที่กฎหมายได้กำหนด

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1908 ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลท์ (U.S. President Theodore Roosevelt) แห่งสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้ที่ดิน 800,000 เอเคอร์ของ Grand Canyon เป็นอนุสรณ์สถาน และมีสถานะเป็นอุทยานแห่งชาติ อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลกลางในสมัยประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (President Woodrow Wilson) ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919

ในอีก 10 ปีต่อมาในวันเดียวกันนี้ คือวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 ประธานาธิบดีแคลวิน คูลิดจ์ (President Calvin Coolidge) ได้ลงนามในกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาสหรัฐ กำหนดให้มีวนอุทธยานแห่งชาติอีกแห่งหนึ่งชื่อ อุทยานแห่งชาติแกรนด์ทีทอน (Grand Teton National Park) ซึ่งอยู่ในรัฐไวโอมิง (Wyoming) ทางตะวันตกของสหรัฐเช่นกัน

การออกกฎหมายและบังคับใช้ให้ Grand Canyon เป็นอุทยานแห่งชาตินั้นไม่ยากนัก เพราะทั้งหมดเป็นหุบเขาที่แทบทำการเกษตรไม่ได้ ไม่มีผู้คนไปอยู่ ยกเว้นพวกชนเผ่าพื้นเมืองเดิมที่มีประวัติศาสตร์อยู่ในเขตกันดารเหล่านั้นได้ แต่ที่ Grand Teton แตกต่างกัน เพราะเป็นพื้นที่ๆอากาศไม่หนาวจัดนัก มีปริมาณน้ำฝนและความชื้นเพียงพอที่จะทำการเพาะปลูกได้ดี และที่สำคัญ มีผู้คนได้อพยพเข้าไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวแล้วบางส่วน

อุทยานแห่งชาติทีทอน (Grand Teton National Park) ของสหรัฐอเมริกา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐไวโอมิง (Wyoming, USA) มีพื้นที่ 310,000 เอเคอร์ มีความยาว 40 ไมล์ คลุมเทือกเขาทีทอน (Teton Range) อุทยานนี้อยู่ห่างจากอุทยานแห่งชาติเยลโลสโตน (Yellowstone National Park) โดยมีหน่วยงานชื่อ National Park Service จัดการโดยหน่วยงานชื่อ John D. Rockefeller, Jr. Memorial Parkway ทั้งสามเขตปกป้องนี้เป็นเขตป่าแห่งชาติ (National Forests) จัดเป็นระบบนิเวศเยลโลสโตนใหญ่ (Greater Yellowstone Ecosystem) มีพื้นที่รวมกันถึง 18,000,000 เอเคอร์ นับเป็นเขตระบบนิเวศอากาศปานกลางที่ได้รับการดูแลรักษาที่ดีที่สุดในโลก

ประวัติที่น่าสนใจคือบริเวณ Jackson Hole เป็นพื้นที่ๆมีคนผิวขาวเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวรตั้งแต่ทศวรรษ 1880s จนกระทั่งในช่วงทศวรรษ 1930s เมื่อมีความพยายามที่จะอนุรักษ์พื้นที่ตามธรรมชาติให้เป็นป่าเขาตามธรรมชาติ เมื่อบรรดานักอนุรักษ์ได้ชักชวนให้มหาเศรษฐีจากน้ำมัน John D. Rockefeller, Jr ให้ซื้อที่ดินบริเวณ Jackson Hole เหล่านี้คืนจากชาวบ้าน เพื่อบริจาคเพิ่มเติมให้กับอุทยานแห่งชาติ แม้ได้รับการต่อต้านและไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดก็ได้ที่ดินกลับเป็นอุทยานแห่งชาติ 

ในที่สุด ในปี ค.ศ. 1929 จึงได้มีการประกาศให้แกรนด์ทีทอนเป็นอุทยานแห่งชาติ แม้การประกาศจะช้ากว่าอทยานแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon National Park) ถึง 10 ปี แต่ผลที่ได้ ก็คือ วนอุทยานแห่งชาติทีทอน (Grand Teton National Park) ก็ได้กลายเป็นวนอุทยาน ประเทศสหรัฐก็สามารถปกป้องเทือกเขาและยอดเขาทีทอน ที่สวยงามเอาไว้เป็นสมบัติของคนทั้งชาติ ดังที่เห็นในภาพ



ภาพ อุทยานแห่งชาติทีทอน (Grand Teton National Park) มีทิวทัศน์ที่สวยงาม อากาศดี หากใช้พื้นที่ทำการเพาะปลูกก็ทำได้ดี


ภาพ ร่องรอยที่เห็นเป็นโรงนา เพราะบางส่วนของที่ดินในอุทยานนี้ เคยเป็นที่ดินบุกเบิกของคนอเมริกันที่มุ่งสู่ตะวันตก เคยเป็นพื้นทีีการเกษตร แต่ในที่สุด เขาก็สามารถนำพื้นที่กลับมาเป็นอุทยานแห่งชาติได้

Sunday, February 24, 2013

การแต่งกายแบบสมาร์ทสบาย ๆ (Smart casual)

การแต่งกายแบบสมาร์ทสบาย ๆ (Smart casual)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: วัฒนธรรม, culture, ตะวันตก, western, ยุโรป, Europe, อเมริกาเหนือ, North America, smart casual, business casual

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia


ภาพ เงื่อนไขการแต่งกายของภัตตาคารแห่งหนึ่ง ในโรงแรมมีระดับ ในมื้อค่ำเขามีเงื่อนไขไม่รับแขกผู้แต่งกายไม่สุภาพ ซึ่งหมายความว่า มีเงินแล้วจะเข้าไปนั่งรับประทานอาหารในร้านของเขาได้ เพราะเขาถือว่าต้องให้เกียรติแขกคนอื่นๆและสถานที่ด้วย

การแต่งกาย (Dressing) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมที่เราต้องเรียนรู้ บางคนมองการแต่งกายเพียงแต่งให้ดูสวย ดูดี หรือดูเด่น แต่มองในด้านวัฒนธรรม มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม การปรากฏตัวต่อสาธารณชนในที่ต่างๆ จำเป็นต้องศึกษาและสังเกต และแต่งกายของตนให้พอเหมาะสมกับสังคมประเทศนั้นๆ สอดคล้องกับวิถีชีวิต และวัฒนธรรม และเหมาะแก่กาละ และเทศะด้วย
ในสังคมตะวันตก และต่อมาเริ่มเป็นเงื่อนไขสู่ความเป็นนานาชาติ เมื่อเข้าร่วมงานใดๆ เขามักจะบอกเงื่อนไขการแต่งกายเอาไว้ด้วย ซึ่งผู้เข้าร่วมงานพึงต้องมีความเข้าใจในวัฒนธรรมนั้นๆ แล้วแต่งกายอย่างพอเหมาะแก่เงื่อนไขการแต่งกายของเขา

การแต่งกายแบบสมาร์ทสบาย ๆ (Smart casual) เป็นการแต่งกายในแบบที่ต่างจาก “แบบธุรกิจสบายๆ” (Business casual) เป็นการแต่งกายแบบสบายๆ แต่ดูดีอย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “สมาร์ท” เป็นมาตรฐานอย่างหนึ่งในแบบตะวันตก เมื่อต้องเข้ากลุ่มสังคม ความแตกต่างระหว่างแต่งแบบแบบสมาร์ทสบายๆ จึงดูไม่มีจุดแบ่งชัดเจนกับการแต่งกายแบบธุรกิจสบายๆ (Business casual) แต่จะแตกต่างอย่างชัดเจนจากการแต่งกาย “แบบเป็นทางการ” (formal wear)

การแต่งกายแบบสมาร์ทสบาย ๆ (Smart casual) แม้เป็นเงื่อนไขที่น้อยที่สุด เขาเจตนาให้แต่งแบบสบายๆ แต่ก็ยังมีกรอบวัฒนธรรมที่พึ่งต้องให้เกียรติแก่สถานที่นั้นๆ และช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องด้วย
ภาพ ป้ายเงื่อนไขการแต่งกายแบบ Smart casual ที่ภัตตาคารในโรงแรมมีระดับแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นช่วงเวลาค่ำ 6 โมงเย็นขึ้นไป
การแต่งกายแบบตะวันตก (Western dress codes) การแต่งกายในแบบตะวันตกมีได้หลายแบบ ที่เราพึงต้องเรียนรู้ ดังเช่น

·       แบบเป็นทางการ (Formal wear)
·       แบบกึ่งทางการ (Semi-formal)
·       แบบไม่เป็นทางการ (Informal)
·       แบบสมาร์สบายๆ (Smart casual)
·       แบบธุรกิจสบายๆ (Business casual)
·       แบบสบายๆ (Casual)
·       เครื่องแต่งกายที่ใช้งาน (Active attire)

ซึ่งการแต่งกายในแบบต่างๆนี้ คนที่ต้องอยู่ในแวดวงธุรกิจ การเมือง การศึกษา การเข้าร่วมในสถาบันและองค์การต่างๆ และสังคมทั่วไป พึงต้องศึกษาและสังเกตเอาไว้อย่างน้อยพอประมาณ เพราะการแต่งกายอย่างผิดกาละและเทศะอย่างไม่ใส่ใจ อาจหมายถึงถูกปฏิเสธจากสถานที่นั้นๆ เสียหน้าตา และอาจเสียโอกาสหลายๆอย่างชนิดที่ไม่จำเป็น



ภาพ การแต่งกายแบบ Smart Casual สำหรับผู้ชายของตะวันตก ซึ่งเราก็ยอมรับในสังคมไทยด้วย


ภาพ การแต่งกายของสตรีแบบ Smart Casual ทั้งแบบใส่กระโปรง และกางเกง


ภาพ การแต่งกายแบบ Smart Casual ที่สบายๆและดูดี

เงินบริจาคหลั่งไหลสู่ชายไร้บ้าน ผู้คือแหวนเพชรให้เจ้าของ


เงินบริจาคหลั่งไหลสู่ชายไร้บ้าน ผู้คือแหวนเพชรให้เจ้าของ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: สังคม, society, ความซื่อสัตย์, honesty, สหรัฐอเมริกา, USA, Kansas City, Missouri

เก็บความและเรียบเรียงจาก “Donations pour in for homeless man who returned diamond ring” โดย Dana Ford, CNN, February 23, 2013 -- Updated 2049 GMT (0449 HKT)


ภาพ แหวนเพชรที่ได้คืนมา


ภาพ บิลลี่ เรย์ แฮร์ริส ชายไร้บ้านผู้มักนั่งอยู่บริเวณสะพาน

CNN – เมื่อมนุษย์ได้ทำกรรมดี

ผู้ปรารถนาดีจากทั่วโลกได้เปิดกระเป๋าสตางค์จ่ายเงินให้กับชายไร้บ้าน (Homeless man) ผู้คืนแหวนหมั้นเพชรให้กับเจ้าของ หลังจากที่เธอได้หย่อนมันโดยไม่ตั้งใจในถ้วยรับบริจาค

ฉันรู้สึกดีใจเป็นพิเศษที่ได้แหวนนี้คืนมา ฉันรักมันมากยิ่งกว่าเดิม และยิ่งรักยิ่งขึ้นในปัจจุบัน ฉันรู้สึกในกรรมดีที่ได้เกิดขึ้น” ซาราห์ ดาร์ลิง (Sarah Darling) บอกกับข่าว CNN

ดาร์ลิงพักอาศัยอยู่ในเมืองแคนซัสซิตี้ รัฐมิสซูรี่ (Kansas City, Missouri) ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอรู้สึกเหมือนใจแตกสลายเมื่อรู้ว่าแหวนเพชรได้หายไป โดยปกติเธอแทบไม่เคยได้ถอดแหวนนั้น แต่เพราะในช่วงดังกล่าว เธอรู้สึกคันบริเวณมือและนิ้ว จึงได้ถอดเก็บใส่ถุงบรรจุแหวนแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าถือ และด้วยความเผอเรอ เมื่อเธอควานหาเศษเหรียญที่จะหย่อนเงินใส่ถ้วยให้กับชายขอทานริมถนนที่ใต้สะพานในเมืองที่เธอพักอาศัย เธอได้ทำถุงบรรจุแหวนเพชรล่นลงไปในถ้วยรับเศษเงินแก่ชายขอทานคนนั้นไปด้วย

เธอมารู้ว่าได้ทำแหวนเพชรหายไปเมื่อผ่านไปแล้ว 1 วัน แล้วเธอกลับไปตรวจสอบดูว่าได้หย่อนมันอย่างผิดพลาดไปให้กับชายคนหนึ่งที่ใต้สะพานนั้นหรือไม่ แต่ก็ไม่พบชายคนที่เธอคิดว่าทำแหวนหล่นลงไป

จนในวันต่อมา เธอได้กลับไปที่ใต้สะพานอีก แล้วพบบิลลี่ เรย์ แฮร์ริส (Billy Ray Harris) ชายไร้บ้านคนนั้น เธอถามเขาว่า “ฉันไม่รู้ว่าคุณจำฉันได้ไหม แต่ฉันคิดว่าฉันได้ให้บางสิ่งที่มีค่ามากเหลือเกินสำหรับฉันไป” แล้วบิลลี่ก็กล่าวว่า “มันเป็นแหวนใช่ไหม ผมมีมัน ผมเก็บมันไว้ให้คุณ”
เธอดีใจจนแทบหงายท้อง

เพื่อแสดงความขอบคุณต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ดาร์ลิงและสามีจึงได้เขียนเรื่องลงออนไลน์ เพื่อหาเงินบริจาคให้กับแฮร์ริส และเมื่อเล่าเรื่องราวนี้ไป เงินบริจาคก็หลั่งไหลมา

มีคนหนึ่งเขียนจากประเทศอังกฤษ “บิลลี่ สิ่งที่คุณทำน่าชื่นชมมาก ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะต่ำต้อยเพียงใด แต่คุณเป็นดุจแสงสว่างตัวอย่างของความดีงาม” Chris และ Mel จาก Brentwood ประเทศอังกฤษเขียน พร้อมบริจาคมาด้วย 20 เหรียญ ผ่าน giveforward.com

มีคนบริจาคพร้อมเขียนข้อความชื่นชมมามากมาย ภายใน 1 สัปดาห์ มีคนบริจาคมาถึง 3,400 ราย ได้เงินเฉียด $95,000 หรือประมาณ 2,850,000 บาท แต่ช่องบริจาคออนไลน์ก็จะยังเปิดต่อจนครบ 90 วันของการรณรงค์

เมื่อสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น KCTV ที่เป็นเครือข่ายของ CNN ได้ไปพบกับแฮร์ริส แล้วถามว่าเขารู้สึกอย่างไรที่มีคนสนใจเมื่อเขาได้คืนแหวนให้กับเจ้าของ

แฮร์ริสตอบว่า “ผมชอบครับ แต่ผมไม่คิดว่าผมควรได้รับเกียรติเช่นนั้น”

 สิ่งที่ผมรู้สึกคือ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนๆหนึ่งคืนของที่ไม่ใช่ของตัวเองให้กับเจ้าของ แล้วมันก็เป็นเพียงเท่านี้” แฮร์ริสตอบ

แต่สำหรับดาร์ลิงแล้ว เธอขอบคุณมันอย่างยิ่งต่อสิ่งที่แฮร์ริสทำ เพราะหลายคนอาจเก็บแหวนนั้นไว้ หรือนำมันไปขายหาเงินแล้ว “ฉันหวังว่าสิ่งที่ฉันได้สับเพร่าหลงลืมนี้ จะนำไปสู่สิ่งที่ดีๆสำหรับเขา

Thursday, February 21, 2013

แกงมัสมั่น (Massaman) อาหารไทยอร่อยอันดับหนึ่งของโลก



แกงมัสมั่น (Massaman)  อาหารไทยอร่อยอันดับหนึ่งของโลก

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: อาหาร, food, แกงกะหรี่, curry, อาหารไทย, Thai food,


ภาพ แกงมัสมั่น (Massaman curry) กินกับข้าวสวย

“1. One more reason to fall in love with Thailand.โดย CNNGo staff 21 July, 2011
แกงมัสมั่น (Massaman curry) ได้รับการโวตให้เป็นอาหารยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก โดย CNN ในวันที่ 21 กรกฏาคม ค.ศ. 2011

แกงมัสมั่น ถือเป็นระดับราชาสุดยอดของแกงกะหรี่ (Curries) ทั้งหลาย และอาจเป็นราชาของอาหารทั้งมวล เพราะมีทั้งรสชาติ กลิ่นหอมเครื่องเทศ (Spicy), รสมันของมะพร้าว (Coconutty), ทั้งหวานและเผ็ด (Sweet and savory) การผสมรสชาติหลากหลายและกลมกล่อมนี้ ฝรั่งเขาบอกมีบุคลิกกว่าการเลือกตั้งในประเทศไทยเสียอีก

นอกจากนี้ สำหรับคนต่างชาติ หากซื้อเครื่องแกงตามซุเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย แล้วลองทำดู แม้จะสะเปะสะปะ แต่ก็จะได้รสชาติเข้าท่าได้ ต้องขอบคุณข้าวสวย (Rice) เพราะแกงมัสมั่นจะกินได้อร่อยก็ต้องมีข้าว ซึ่งจะดูดซับน้ำแกง ทำให้รสชาติจัดจ้านนั้นลดลง

ฝรั่งเขาชมว่า คำว่า “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” (Land of Smiles) ไม่ใช่เพียงคำคมใช้ในการตลาด แต่มันเป็นผลจากการมีอาหารอร่อยแทบจะในทุกตรอกซอย

Massaman curry (Thaiแกงมัสมั่นRTGSkaeng matsaman, IPA: [kɛːŋ mát.sa.màn]) is a Thai curry dish that is Muslim in origin.

แกงมัสมั่น (Massaman curry) เขาจัดเป็นอาหารพวกแกงกะหรี่แบบหนึ่ง (Thai curry dish) ที่มีกำเนิดมาจากพวกมุสลิม

ในทฤษฎีความเชื่อหนึ่งบอกว่า มันเกิดในภาคกลางของประเทศไทย (Central Thailand) เป็นอาหารในระดับราชสำนักในยุคกรุงศรีอยุธยา (court of Ayutthaya) ในราวศตวรรษที่ 16 ซึ่งในระยะนั้นได้มีชาวเปอร์เซีย (Persian) เข้ามาทำการค้าในประเทศไทยแล้ว ในอีกความเชื่อหนึ่งบอกว่า มันเป็นอาหารทางภาคใต้ (southern Thailand) ซึ่งมีการค้าขายแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าชาวอาหรับ และด้วยความที่เป็นอาหารมีพื้นมาจากอาหรับ ตามกฎด้านอาหารของอาหรับ (Islamic dietary laws) แกงมัสมั่นนี้จึงมักจะใช้ส่วนประกอบอาหารที่เป็นเนื้อวัว (Beef) แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้เนื้อสัตว์อื่นๆ เช่น เป็ด (Duck) ไก่ (Chicken) หรือเต้าหู้ (Tofu) สำหรับพวกมังสะวิรัตที่ไม่กินเนื้อก็ได้ หรือในกรณีทำให้คนที่ไม่ใช่มุสลิมกิน อาจใช้หมู (pork) เป็นส่วนประกอบ แต่เนื่องด้วยเนื้อหมูเป็นอาหารต้องห้ามตามกฎของอิสลาม ผู้ประกอบอาหารเชิงพาณิชย์จึงหลีกเลี่ยงการใช้เนื้อหมูมาทำเป็นแกงมัสมั่น

สำหรับรสชาติของแกงมัสมั่น ต้องมีเครื่องแกงที่เรียกว่า “น้ำพริกแกงมัสมั่น” (Nam phrik kaeng matsaman) นอกจากนี้ยังต้องมี น้ำกะทิ (Coconut milk), ถั่วลิสงคั่ว (Roasted peanuts) หรือจะใช้มะม่วงหิมพานต์ (Cashews) แทนก็ได้, มันฝรั่ง (Potatoes), ใบต้นเบ (Bay leaves), ฝักกระวาน (Cardamom pods), อบเชย (Cinnamon), โป๊ยกั๊ก (Star anise), น้ำตาลปึก (Palm sugar), น้ำปลา (Fish sauce), พริก (Chili) และน้ำมะขามเปียก (Tamarind sauce) ที่ทำให้แกงมัสมั่นมีรสชาติออกหวานและเปรี้ยวนิดๆด้วย

มีผู้ตั้งสมมุติฐานว่า เครื่องเทศที่ใช้เป็นส่วนประกอบแกงมัสมั่นนี้มาจากอินโดนีเซีย ผ่านมาทางชายฝั่งทางใต้ของไทย

อาหารจานมัสมั่นนี้ จะเสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ และอาจมีเครื่องเคียงที่ประกอบด้วยขิงดอง หรือ อาจาด (Pickled ginger หรือ achat)

ในด้านการยอมรับ CNNGo ได้จัดให้มัสมั่นเป็นอาหารอันดับหนึ่งของโลกในปี ค.ศ. 2011 ในบทความที่มีชื่อว่า World's 50 most delicious foods แต่หลังจากมีการสำรวจใหม่อีกครั้ง มัสมั่นได้อยู่ในอันดับที่ 10

Wednesday, February 20, 2013

เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับภาพยนตร์มือทองแห่งยุค


เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับภาพยนตร์มือทองแห่งยุค

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: ศิลปะ, arts, ภาพยนตร์, cinema, movies, pictures, เจมส์ คาเมรอน (James Cameron), Titanic, Avatar, The Terminator, Terminator 2: Judgment Day, Aliens, True Lies, The Abyss
ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia


ภาพ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron)

James Cameron
เกิด
Born
James Francis Cameron
August 16, 1954
อายุ 58 ปี
Kapuskasing, Ontario ประเทศคานาดา
พำนักอาศัยที่
Residence
สัญชาติ
Nationality
ชาวแคนาดา
Canadian
เป็นพลเมืองของ
Citizenship
ประเทศแคนาดา
Canada
การศึกษา
Education
ศิษย์เก่า
Alma mater
อาชีพ
Occupation
ผู้อำนวยการสร้าง (Film director), ผู้สร้าง (producer), ผู้ตัดต่อภาพยนตร์ (editor), ผู้เขียนบท (screenwriter), นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (environmentalist), นักสำรวจ (explorer)
ช่วงการทำงาน
Years active
1976–present
ผลงานสำคัญ
Notable work(s)
ได้รับอิทธิพลจาก
Influenced by
มีอิทธิพลต่อ
Influenced
เมืองบ้านเกิด
Home town
ทรัพย์สิน
Net worth
$700 million (est.)
รางวัลที่ได้รับ
Awards

เจมส์ คาเมรอน มีชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า James Francis Cameron เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1954 เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวแคนาดา (Film director), ผู้ผลิตภาพยนตร์ (Film producer), นักสำรวจทะเลลึก (Deep-sea explorer), นักเขียนบทภาพยนตร์ (Screenwriter), ศิลปินภาพยนตร์ และนักตัดต่อ (Visual artist and editor)

ภาพยนตร์ที่เขาสร้างแล้วประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้แก่ The Terminator (1984), Aliens (1986), The Abyss (1989), Terminator 2: Judgment Day (1991), True Lies (1994), Titanic (1997), Dark Angel (2000–02), และ Avatar (2009)

ระหว่างการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Titanic (1997) และ Avatar (2009) เขาใช้เวลาหลายปีในการสร้างและทำภาพยนตร์สารคดี โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพใต้น้ำ และร่วมพัฒนาระบบถ่ายภาพ 3 มิติที่เรียกว่า digital 3D Fusion Camera System ผู้เขียนชีวประวัติของเขาพรรณนาเขาว่าครึ่งหนึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ (Part-scientist) และอีกครึ่งหนึ่งเป็นศิลปิน (Part-artist) คาเมรอนมีส่วนช่วยพัฒนาระบบถ่ายภาพใต้ทะเล (Underwater filming) และการใช้เทคโนโลยีควบคุมยานจากระยะไกล (Remote vehicle technologies) ซึ่งใช้ควบคู่กับการถ่ายภาพใต้ทะเลลึก

ในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2012 คาเมรอนได้ไปถึงจุดใต้ทะเลลึกสุดที่เรียกว่า Mariana Trench นับเป็นจุดลึกสุดของมหาสมุทร โดยใช้ยานดำน้ำชื่อ Deepsea Challenger เขานับเป็นคนแรกที่ใช้ยานดำน้ำเดี่ยว และนับเป็นคนที่สามในโลกที่ได้เคยทำเช่นนี้

เขาได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลออสการ์ (Academy Awards) 6 รายการ และชนะ 3 รางวัลจากเรื่อง Titanic โดยรวม คาเมรอนได้กำกับภาพยนตร์ที่ทำเงิน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐในอเมริกา และ 6,000 เหรียญสหรัฐจากทั่วโลก และสร้างภาพยนตร์ทำรายได้เมื่อยังไม่ปรับค่าเงินที่แตกต่างกัน ภาพยนตร์ 2 เรื่องที่เขาสร้างและกำกับ คือ Titanic และ Avatar เป็นภาพยนตร์สองเรื่องที่ทำเงินได้มากที่สุดในโลก คือ 2,190 ล้านเหรียญสหรัฐจากภาพยนตร์เรื่อง Titanic และ 2,780 ล้านเหรียญสหรัฐจากภาพยนตร์เรื่อง Avatar


ภาพ จากภาพยนตร์เรื่อง Titanci


ภาพ จากภาพยนตร์เรื่อง Avatar

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 นิตยสาร Vanity Fair ได้ประกาศให้เขาเป็นคนทำเงินได้มากที่สุดของฮอลลิวูด เฉพาะปี ค.ศ. 2010 เขามีรายได้ 257 ล้านเหรียญสหรัฐ