ผมขอเขียนเกี่ยวกับทหาร ทหารของชาติ
ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
Keywords: การเมือง, การทหาร
ในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา มีเรื่องกระทบกระทั่งระหว่างแกนนำนปช.หรือคนเสื้อแดงกับกองทัพ โดยเฉพาะกับผู้บัญชาการกองทัพบก จนระดับมีเรื่องฟ้องร้องกัน จนนายทหารและอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีเชื้อสายทหารอย่างพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต้องลาออกจากพรรคเพื่อไทย
ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายทหารกับฝ่ายการเมืองไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองต้องการความปรองดองสมานฉันท์ เราต้องการรวบรวมกำลังทุกด้าน เพื่อผลักดันในชาติบ้านเมืองก้าวหน้า ให้พ้นจากวิกฤติทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังเปราะบางอยู่มาก
ด้วยเหตุดังกล่าว ผมจึงขอเขียนแสดงทัศนะและการให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับทหาร ทหารของชาติ เพื่อการพิจารณาของท่านผู้อ่านทั้งหลาย ทัศนะต่อทหารแม้ของผมเองที่จริงแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะมั่นคง มันก็มีเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
สมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ในช่วงปีพ.ศ. 2500-2506 ผมก็มองว่าคนมีเครื่องแบบทั้งหลายดูโก้ดี ทำอย่างไรจะได้เป็นอย่างเขาบ้าง
เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาชั้นต้นมีเพื่อนๆบางคนที่สมัครเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหารได้ เขาจะเป็นที่ภาคภูมิใจทั้งกับตนเองและโรงเรียนอย่างมาก เพื่อนเหล่านั้นใส่ชุดนักเรียนเตรียมทหารมาโชว์ตัวที่โรงเรียนกันอย่างผึ่งผาย โดยส่วนตัวในฐานะเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เรียนต่อในสายวิชาการปกติ รู้สึกอิจฉาเพื่อนที่ได้เลือกเรียนทหารนิดๆ แต่ส่วนหนึ่งก็ดีใจกับเขา คนได้เข้าเรียนโรงเรียนนายทหารสมัยก่อน เป็นที่ยอมรับกันว่าการจะได้เป็นนายทหารนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นทหารบก เรือ อากาศ ล้วนต้องเป็นคนเก่งมีความสามารถหลายๆด้าน จึงจะได้มีสิทธิเข้าเรียนในโรงเรียนนายทหารได้
เขาต้องเป็นนักเรียนที่เก่งมีความสามารถ เก่งทางสมองเรียกว่า IQ (Intelligence Quotient) เก่งทางวิชาการ เพื่อนที่ไปเรียนทหารจากโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ล้วนเป็นพวกที่เรียนดีในระดับนำของชั้นเรียน
คนเลือกเรียนทางทหารต้องเป็นคนเก่งทางร่างกาย (Physical Performance) ก่อนเข้าเรียนนายทหารได้ เขาต้องฝึกวิ่งระยะกลางให้ได้ความเร็วตามกำหนด ต้องผ่านเกณฑ์ความสามารถร่างกายทั้งด้านความเร็ว ความแข็งแรง อดทน ประสาท สายตา และรวมถึงขนาดของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่เลือกจะเรียนสายนายทหารอากาศจะต้องมีความสูง 170 ซม. ขึ้นไป เพราะที่นั่งขับเครื่องบินรบทำไว้ขนาดของฝรั่ง คนตัวเล็กหรือเตี้ยมากจะมีปัญหาความเหมาะสมในการขับเครื่องบิน
นายทหารต้องเก่งทางอารมณ์คือ EQ (Emotional Quotient) คนเรียนทหารถูกฝึกให้อดทน หนักเอาเบาสู้ ออกภาคสนาม นอนกลางดิน กินกลางทรายได้ กล้าตัดสินใจ นำคนได้ และอีกด้านหนึ่ง คนที่จะเป็นนายทหาร เขาฝึกให้มีทีท่าที่สุภาพ มีความเป็นสุภาพบุรุษ ท่าทาง หรือ Manner เหล่านี้แสดงออกในการเดิน นั่ง การแต่งกาย การพูด คนเป็นทหารจะแต่งตัวหรือแสดงท่าทางอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า Sloppy ไม่ได้ ไม่ว่าทหารของประเทศใด
การที่บอกว่าทหารเป็นพวกที่หยาบกระด้าง ใช้แต่กำลัง เป็นพวกอนุรักษ์ อาจถูกบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด โดยรวมผมเป็นคนในวงการศึกษาเองก็ต้องยอมรับว่า ในแวดวงการศึกษาด้านทหารนั้น เขาสร้างคนอย่างมีบุคลิกภาพได้ดี ดีกว่าพวกที่เรียนในมหาวิทยาลัยโดยทั่วๆไป ที่ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างจริงจังมากนัก มหาวิทยาลัยเรียนและสอนกันแต่เรื่องที่เป็นวิชาการ ความรู้ และเรื่องตามตำรา
และได้ด้วยการฝึกอบรมแบบทหารนี้เอง จึงเป็นรูปแบบหนึ่งในการสร้างความเป็นผู้นำ (Leadership) โดยเฉพาะในสถานการณ์คับขัน ผู้นำแบบทหารจึงยังเป็นความจำเป็นในสังคมที่จะต้องมีคนที่เข้มแข็ง มีสติในการนำคนฝ่าวิกฤติ ในต่างประเทศแม้ในประเทศที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตยอย่างสหรัฐ อังกฤษ หรือฝรั่งเศส มีนายทหารหลายคนที่ได้กลายเป็นวีรบุรุษจากสงคราม และกลายมาเป็นผู้นำประเทศเหล่านี้
รวมความว่าสมัยก่อนๆของไทยเอง คนจะเป็นนายทหารได้ต้องเป็นคนเก่งมีความรู้ความสามารถ ฉลาด เข้มแข็ง เสียสละ มีความเป็นผู้นำ แต่สถานภาพของการเป็นทหารก็เปลี่ยนไป ในประเทศไทยสมัยปกครองด้วยระบบเผด็จการ ทหารเป็นผู้ควบคุมอำนาจ ชอบหรือไม่ชอบ เขากลายเป็นผู้นำของสังคม แต่เมื่อประเทศได้พัฒนาสู่ความเป็นประชาธิปไตย ก้าวสู่ความเป็นทุนนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อำนาจทางการเมืองการนำประเทศก็เปลี่ยนไป รางวัลในการเป็นทหาร โดยเฉพาะการเป็นนายทหารได้เปลี่ยนไป และลดลงอย่างมากในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมา
ทหารในปัจจุบัน เป็นทหารที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข บทบาทหน้าที่ของทหาร คือการต้องทำหน้าที่ภายใต้การนำของการเมือง แม้ทหารบางส่วนอาจจะยังคิดในเรื่องกลับมามีอำนาจการรัฐประหาร ยกเลิกระบบการปกครองในแบบประชาธิปไตย แต่นั่นไม่เป็นผลดีต่อทหารเอง และต่อประเทศชาติ และที่สำคัญศักดิ์ศรีของทหารเองก็มีแต่จะลดถอยลง ทหารในยุคปัจจุบันจึงไม่น่าที่จะเป็นพวกลุแก่อำนาจ และกลับไปสู่ยุคเผด็จการได้อีก
ในปัจจุบัน ทหารที่สังคมต้องการคือทหารอาชีพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง ทำตามกรอบและการชี้นำทางการเมือง และฝ่ายการเมืองก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับทหารอย่างเหมาะสม และอย่างมีความเคารพในบทบาทหน้าที่ต่อกัน
ในปัจจุบัน สถานภาพของนายทหารได้เปลี่ยนไป คนเป็นนายทหารระดับนายพลเอก เมื่อเกษียณราชการ ไม่มีอำนาจราชการ สถานะทางเศรษฐกิจก็ไม่ได้ร่ำรวยฟู่ฟ่า เขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่แตกต่างจากคนมีฐานะระดับปานกลางทั่วไป ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของข้าราชการเกษียณอายุ ได้รู้จักเพื่อนๆอดีตนายทหารหลายๆคน เขาก็เป็นเหมือนพลเรือน เหมือนพ่อค้าประชาชนทั่วไปนั่นเอง
มีบางส่วนเหมือนกันที่ผมมองระบบการศึกษาของทหาร และระบบการสรรหาคนดีคนเก่งเข้าสู่อาชีพการทหารด้วยความกังวล ในด้านการสรรหาคนรุ่นใหม่เข้าสู่การเป็นนายทหาร นักเรียนเตรียมทหาร จากที่เคยได้รับคนเก่ง ก็มีสถานภาพลดลง สภาพครูผู้สอนนายทหาร ก็ยากที่จะหาครูดีครูเก่งมาสอน เพราะมีปัญหาด้านค่าตอบแทนที่ผูกติดกับระบบราชการ ครูอาจารย์หลายคนต้องหารายได้เสริม หรือมีทรัพย์สินและกิจการขอบครอบครัวสนับสนุน จึงจะใช้ชีวิตได้เหมือนดังคนชั้นกลางทั่วไป ผมเองเป็นกังวลด้วยซ้ำว่า หากสถานภาพอย่างที่เป็น เราอาจไม่ได้คนเก่งมาเป็นทหาร ซึ่งก็จะเป็นผลเสียต่อระบบการป้องกันประเทศอย่างที่เราต้องการ
แต่สำหรับคนในระดับชาวบ้านทั่วไป อาชีพทหารก็ยังนับได้ว่าเป็นคนมีเกียรติ เมื่อผมเดินทางไปสอนหนังสือในต่างจังหวัด นั่งรถประจำทางพบทหารเกณฑ์ ทหารระดับนายสิบหรือจ่า เขาก็แต่งกายทหารอย่างผึ่งผายภูมิฐาน ยังเป็นหนุ่มที่สาวๆหมายตา ทหารหนุ่มๆ เขาไม่ร่ำรวย แต่ก็ยังภูมิใจในอาชีพการงานของเขา
เมื่อผู้นำคนเสื้อแดงที่เรียกว่าพวก นปช. (Redshirts) ออกมาท้ารบกับทหารด้วยทางวาจา เป็นการท้าทาย มีการฟ้องร้องกันจนถึงระดับผู้บัญชาการทหารบก และอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ใหญ่ภายในพรรคเพื่อไทยเองอย่างพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกของพรรค เพื่อหลีกเลี่ยงการมีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายต่อต้านทหารและการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
ในสังคมเปิดเสรี คนทุกคนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น ประชาชนคนธรรมดาก็มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ทหาร ในต่างประเทศ แม้สถาบันกษัตริย์ก็ไม่พ้นการถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่การจะคิดว่าเพราะเราเป็นประชาชนคนหนึ่ง เป็นผู้เสียภาษีอากรที่ใช้เป็นเงินเดือนของทหารและบุคลากรทางทหารทุกคน เงินที่ใช้จัดซื้ออาวุธก็เป็นเงินภาษีอากรจากประชาชน เราจึงเป็นนายของทหาร คิดอย่างนี้ก็มีสิทธิ เพราะข้าราชการทหาร และทุกฝ่ายก็ต้องรับใช้ประชาชน แต่ในอีกด้านหนึ่ง การจะใช้คนดีมีความสามารถ อยากได้ทหารที่ดี มีขวัญกำลังใจในการทำงาน เราก็ต้องรู้จักจิตวิทยา เข้าใจความรู้สึกของคน ต้องรู้จักให้เกียรติคน
คนเป็นทหาร นายทหาร แล้วเขาขี้ขลาด เมื่อต้องไปรบ ไปปกป้องประเทศชาติ เขาไม่ทำหน้าที่ เขาก็มีสิทธิถูกวิพากษ์ ถูกปลด หรือถูกลงโทษได้ แต่หากเขาทำหน้าที่ของเขาตามกำลังความสามารถ เขาได้อยู่ในระเบียบวินัยอันควร เขาก็สมควรได้รับเกียรติอันควร ได้รับการยกย่อง ไม่ใช่ถูกโขลกสับ หรือกระทำการอย่างลบหลู่ดูหมิ่น การปล่อยข่าวลือซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าจะโดยฝ่ายใด เป็นการลบหลู่ทหารอย่างไม่จำเป็น ทำให้ประชาชนเกลียดชัง มองทหารไปในทางเสียหาย ไม่เป็นการควรที่จะนำเรื่องข่าวลือทหารจะปฏิวัติรัฐประหารมาพูดบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักรณรงค์ หรือสื่อมวลชนไม่มีประชาชนคนไทยปัจจุบันที่จะเห็นดีเห็นงามกับการนำทหารกลับไปสู่ยุคล้าหลัง
ในปัจจุบันนี้ เรากำลังจะมีการเลือกตั้ง อยากได้อะไร ก็เลือกพรรคการเมืองที่เขามีนโยบายจะทำอย่างที่เราต้องการ อยากเห็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมอย่างไร ก็ไปเลือกคนและพรรคที่เขาจะดำเนินการไปในทิศทางที่เราเห็นด้วย เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เราได้เลือกแล้วว่าจะใช้อำนาจผ่านบัตรเลือกตั้ง (Ballots) ไม่มีใครเห็นดีเห็นงามกับการให้คนตัดสินกันด้วยกระสุนปืน (Bullets)
โดยทัศนะของผมแล้ว เลิกไปยุ่งกับทหารดีกว่า อย่าดึงเขามาท้าตีท้าต่อย เราต่างอยู่กันอย่างเคารพในบทบาทหน้าที่ต่อกัน แต่หากวันใดที่เขาลุแก่อำนาจ กระทำการรัฐประหาร ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน และลงโทษเอง โลกทั้งโลก แนวโน้มคือไม่มีใครยอมอยู่ภายใต้อำนาจปลายกระบอกปืนต่อไปแล้ว แต่หากฝ่ายใดที่โจมตีและให้ร้ายกับใคร ก็ต้องระวังตัว เพราะประชาชนที่เขาอยู่อย่างเงียบๆนั้น ท้ายสุด เขาจะตัดสินอนาคตของบ้านเมืองว่า เขาต้องการบ้านเมืองที่สงบและมีสามัคคี หรือว่า เขาสนุกกับการท้าตีท้าต่อยกัน
No comments:
Post a Comment