Thursday, January 26, 2012

ผมเป็นพวกมนุษยนิยม (Humanism)

ผมเป็นพวกมนุษยนิยม (Humanism)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: Philosophy, ปรัชญา, beliefs, ความเชื่อ, Humanism, มนุษยนิยม

มีคนใกล้ตัวบอกลึกๆ ผมเป็นคนเหมือนไร้ศาสนา (Atheist) เพราะไม่ค่อยไปวัด หรือทำบุญที่วัด ส่วนใหญ่จะไปวัด เพราะมีคนอื่นๆที่ทำให้ไปวัด ผมไปวัดแบบตามๆเขาไป ผมตรวจสอบตนเอง และเลยต้องมาแสดงออกว่าตัวตนของผมจริงๆนั้นเป็นอย่างไร เชื่อถืออะไร และใช้หลักดำรงชีวิตอย่างไร

ผมเลยขอเขียนตอบเลยว่า จริงๆแล้ว ผมเห็นความจำเป็นของการมีศาสนา และผมเคารพและชื่นชมในคนที่เขามีศาสนา และใช้ชีวิตอย่างมีความยึดมั่นในศาสนา ไม่ว่าเขาจะเชื่อถือในพระเจ้าหรือไม่ หรือยึดหลักพุทธศาสนา หรืออื่นใด แต่เพราะผมเคารพในความคิดต่างของแต่ละศาสนาว่ามีหลักการที่ดี แต่ก็ตระหนักว่าในโลกนี้ เพราะความยึดมั่นในศาสนาของตนอย่างไม่เปิดใจ ที่ทำให้มนุษย์ต้องมาขัดแย้งกัน ฆ่าฟันกันอย่างไม่รู้จบ ที่ท้ายสุด ผมไม่อยากนำเอาศาสนาใดมาเป็นบรรทัดฐาน แล้วมองศาสนาอื่นๆว่าไม่มีความหมาย หรือไม่ถูกต้อง

ผมยึดหลัก “มนุษยนิยม” (Humanism) ผมยังยึดหลักการศึกษา การมีปรัชญา โลกทัศน์ หรือการปฏิบัติที่เน้นไปที่คุณค่าของมนุษย์ แทนที่จะเน้นไปที่สิ่งที่นอกเหนือธรรมชาติ ที่เราไม่สามารถอธิบายได้ หากผมจะมีความเชื่อในสิ่งใด แล้วต้องไปพบกับใครที่เขาคิดไม่เหมือนกับผม ผมจะนิ่งฟัง และยอมรับในความแตกต่างกันนี้ แต่เราก็จะยังพูดคุยกันได้ คบกันได้

ผมเชื่อในหลักธรรมชาตินิยม ผมเชื่อว่ามนุษย์มีปัญญา แต่ปัญญาของเราว่ามากแล้ว แต่ไม่มีอะไรที่มากและยิ่งใหญ่พอที่จะขวางทางเดินของธรรมชาติ เราล้วนเกิดมา แล้วผ่านประสบการณ์ เรียนรู้ทำในสิ่งที่ก้าวหน้ากว่าคนรุ่นก่อนๆ เราพัฒนาได้อย่างไม่หยุดยั้ง แต่แล้วเราก็แก่ลง เจ็บ และตาย ไม่มีใครหนีหลักเกิด แก่ เจ็บ และตายไปพ้น และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจะเรียนรู้ในเรื่องธรรมชาติและสิ่งรอบตัวให้มาก ใช้สติและปัญญาที่จะดำรงชีวิต ทำให้ตนเองอยู่ในโลกอย่างขัดหลักธรรมชาติให้น้อยที่สุด

ในการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยมาค่อนชีวิต ตลอดเวลา ในทางเศรษฐกิจและสังคม ผมไม่ได้เชื่อในทุนนิยมอย่างสุดตัว เพราะผมเห็นจุดอ่อนของมันเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เรียกตัวเองว่าเป็นนักสังคมนิยม (Socialist) ไม่ได้ ผมเห็นว่าการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างรู้จักแบ่งปันเป็นสิ่งที่ดี การรู้จักทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมเป็นสิ่งที่ดี แต่หากระบบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์นี้ ไม่เคารพในความคิดเห็นของคนที่คิดแตกต่างจากตนเอง ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยาก นอกจากนี้ ผมยังตระหนักในข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์ไม่สามารถสร้างหลักประกันในชีวิตของประชาชนที่มากเกินกว่าสังคมจะแบกรับได้ และมันจะขัดกับหลักความเป็นจริงตามธรรมชาติ

ผมคิดว่าในมหาวิทยาลัยมีหลัก “เสรีภาพทางวิชาการ” (Academic freedom) ว่าทั้งอาจารย์และนักศึกษา ต้องมีความยึดมั่นในชุมชนวิชาการนี้ดังเป็นศาสนา เราอาจจะเห็นต่างกัน วิพากษ์กันในชุมชนวิชาการ แต่ผมเห็นชัดเจนว่า นักวิชาการต้องมีเสรีภาพในการนำเสนอสิ่งที่เขาเชื่อ เขาศึกษา และใช้หลักวิชาในการแสดงออกของเขาอย่างมีความรับผิดชอบ

ตรงกันข้าม ผมไม่นิยมนักวิชาการที่ทำตนเป็นเพียง “คนที่น่ารัก” จะคิด พูด แสดงออก หรือกระทำอย่างระวังตัวเอง กลัวคนเกลียดเสียจนเหมือนไม่มีจุดยืนความเชื่อใดๆเลย ผมถือว่านี่ก็เป็นการต่อต้านความก้าวหน้าทางวิชาการ ในอีกด้านหนึ่ง ผมไม่นิยมนักวิชาการที่จะพูดทุกเรื่อง แต่อย่างไม่เตรียมตัว ไม่มีข้อมูลที่ศึกษากันมาอย่างเป็นระบบ หรือใช้เสรีภาพทางวิชาการอย่างฟุ่มเฟือย นักวิชาการควรมีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาวิจัยอย่างลึกซึ้ง และหากมีความเชื่อใดๆแล้ว ก็แสดงออกมา แล้วเพื่อนนักวิชาการที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยก็ต้องเคารพในความคิดและผลของการศึกษานั้นๆ แล้วก็ทำหน้าที่ดูแลปกป้องสิทธิในการแสดงออกของเขา แม้เราโดยส่วนตัวอาจไม่เห็นด้วยกับเขา

และนี่คือตัวตนของผม

No comments:

Post a Comment