ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือออนไลน์เรื่อง “สู่ความสำเร็จแห่งชีวิต”
Keywords: cw214-01, ชีวิต, การทำงาน, Balance, ความสมดุล
ความนำ
ในคนวัยรุ่นมักมีแนวคิดแบบสุดๆ ทำอะไรก็จะทำอย่างสุดๆ ซึ่งในส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะการทำอะไร หากเป็นการทำอย่างทุ่มเทได้ และกิจกรรมหรืองานนั้นมีความหมาย ก็จะทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จได้มาก เพราะการทำอะไรแบบไม่ทุ่มเท ทำอย่างไม่ใส่ใจ ทำครึ่งๆ กลางๆ มักจะไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็คือคำสอนที่ว่า ทำอะไรทำอย่างมีดุลยภาพ นั่นคือเป็นการมองภาพกว้าง ช่วงชีวิตคนเราไม่ได้มองเป็นเพียงวัน เป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แต่ช่วงชีวิตนั้นมีความยาว เช่นจะเรียนให้สำเร็จจบประมศึกษาและมัธยมศึกษา หรือการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็ต้องใช้เวลาถึง 12 ปี จะเรียนมหาวิทยาลัยให้จบก็ต้องใช้เวลาต่อไปอีกถึง 4 ปี ชีวิตการทำงานก็ยิ่งยาวกว่านั้น คนเราต้องทำงานกันตลอดชีวิต ไม่มีใครใช้ชีวิตแบบทุ่มเทกันสัก 10 ปีแล้วอยู่กินใช้จ่ายกันไปตลอดชาติ เพราะชีวิตกับการทำงานเป็นของคู่กัน
ชีวิตมีอีกหลายๆมิติ มีอีกหลายๆกิจกรรมที่เราต้องใส่ใจร่วมกันไป อย่างสมดุล
ปรัชญาพะโล้
การใช้ชีวิตในช่วงยาวๆ จึงต้องเป็นชีวิตที่สมดุล
ในลัทธิเต๋า มีคำว่า “หยิน กับ หยาง”
ภาพ ในโลกที่มีความสมดุล มีมืดก็มีสว่าง มีขาว ก็มีดำ มีสุขและก็มีทุกข์
หากเป็นอาหาร คนเราจะมีสุขภาพดี มีชีวิตที่มีสุขก็ต้องบริโภคอาหารอย่างมีความสมดุลในรสชาติ และประเภทของอาหาร
ภาพ พะโล้ เครื่องเท อย่าง
คนจีนมีวิธีการคิดเรื่องอาหารที่แยบยล คือเขาจะบริโภคอาหารอย่างสมดุล ดูตัวอย่างจากเครื่องเทศที่เขาเรียกว่า พะโล้ หรือเครื่องเทศ 5 อย่าง
ใครคิดทำอาหารอะไรไม่ออก ก็ทำพะโล้ง่ายๆ เอาไว้ก่อน เช่น ไข่พะโล้ หมูพะโล้ ไก่ ห่าน เป็ด ล้วนทำเป็นพะโล้ได้ทั้งสิ้น
พะโล้ มีชื่อในภาษาจีนว่า ฮันยู พินยิน (Hanyu Pinyin) เป็นเครื่องปรุงที่ใช้ในอาหารจีนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอาหารกวางตุ้ง โดยมีการใส่เป็นเครื่องปรุงในอาหารแบบจีน เพื่อให้ได้รสประสมประสาน มีความหวาน เปรี้ยว ขม เผ็ดร้อน และเค็ม ส่วนประสมก็มาจากเครื่องเทศ 5 อย่างที่เขานำมาบดเป็นผง ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้
การประสมประสาน
หลักของการปรุงอาหารแบบจีนนั้น เขาใช้การประสมประสานอย่างสมดุล คือหากอาหารให้มีเครื่องเทศที่มีความเป็นยา และประสมกับพวกเนื้อสัตว์ ใส่อย่างพอเหมาะ และอาจปนกับพวกเต้าฮู้บ้าง และเมื่อได้รสอาหารอมหวาน เปรี้ยว ขม เผ็ดร้อน มัน และเค็มอย่างพอเหมาะ จะทำให้อาหารนั้นมีความสมดุล ดังจะเห็นได้ว่า เขากินอาหารเนื้อสัตว์ได้แบบหมดทั้งตัว ไม่ทิ้งขว้าง เขานำอาหารจำพวกเนื้อ หมู ไก่ เป็ด ห่าน เกือบทุกประเภท เช่นจากหมู ก็จะมีทั้งที่เป็นเนื้อหมูส่วนหมูล้วน หมูปนมัน ขาหมู ไส้ หู หัว เลือด และส่วนต่างๆ สามารถนำมาปรุงอาหารได้ กินอย่างพอควรก็จะทำให้มีสุขภาพที่ดี
คนจีนจะกินอาหารจากสัตว์ได้ทั้งตัวแล้ว เขาไม่กินเนื้อสัตว์อย่างเดียว เขาจะผสมปนไปกับพวกพืชตระกูลถั่ว เช่นถั่วเหลือง ทำเป็นเต้าหู้ หรือถั่วลิสง ถั่วประเภทอื่นๆ และเมล็ดพืชอย่างงาดำงาขาว ดังนั้นปริมาณคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ที่มีอยู่สูงในเนื้อสัตว์ และเป็นต้นเหตุของไขมันอุดตันในเส้นเลือด ก็จะมีสัดส่วนลดลง กรดอมิโนมีความสมบูรณ์ครบถ้วน อาหารประเภทจานเนื้ออย่างหมูหรือไก่พะโล้ที่แม้ใส่เครื่องในและเลือดปนไป ก็ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ตะวันตกและตะวันออก
ถ้าเป็นตะวันตก เป็นฝรั่งจะคิดอีกอย่าง
ฝรั่งจะเลือกกินเฉพาะบางส่วนของสัตว์ เช่นเนื้อสัน เนื้อส่วนขาและลำตัว เฉือนเอาส่วนไขมันออก ไม่กินส่วนที่เป็นไส้ หู หัว ตับ ไต หรือเลือด ส่วนที่เป็นเนื้อเกรดรอง เขาเอาไปให้สัตว์เลี้ยงเช่นสุนัขหรือแมวกิน คนจีนและคนเอเชียกินได้หลายๆ ส่วนของสัตว์เพราะใช้หลักประสมประสานนี้ คือกินหลากหลายอย่าง กินเนื้อเพื่อให้ได้โปรตีน ก็กินพวกถั่วประสมหลายประเภท รวมทั้งงาด้วย ก็ได้โปรตีนเพิ่มขึ้น โดยมีกรดอามิโนที่สมบูรณ์ อาหารโปรตีนเอง และคนจีนและคนเอเชียรวมทั้งคนไทย ก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์มาก เรากินพวกข้าว พืชพวกธัญพืชเป็นอาหารหลัก กินผัก ผลไม้ และอาหารอื่นๆ อีกหลากหลาย หลักอาหารประสมประสานอย่างนี้ เป็นโภชนาการที่สมดุล ฝรั่งยุคใหม่เขาเรียกว่า Balance Diet คือกินอาหารที่สมดุลครบหมวดหมู่
ภาพ เนื้อสำหรับทำ Steak
เนื้อที่จะทำ Steak เป็นส่วนที่ได้รับการคัดสรร ส่วนที่เหลือรองลงไป คนตะวันตก หรือฝรั่งไม่นิยมกินกัน คือพวก เลือด ไส้ หัว หนัง แต่คนตะวันออกสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้หมด กินอย่างคุ้ม กินสมดุล และมีสุขภาพดีได้ หากรู้จักกิน
ภาพ อาหารประเภท Steak
อาหารแบบตะวันตก ถือว่าเป็นอาหารที่เป็นของโปรด
ความจริงไม่ได้มีเพียงเลือดหมู แต่มีเครื่องในของหมู เช่น ไส้หมูอ่อน ตับหมู เนื้อหมูแดงสับ และมีผักที่ให้รสชาดที่ทำให้อาหารจานเนื้อนี้สมดุล และที่สำคัญ คือชามต้มเลือดหมูนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก เมื่อรวมกับข้าวสวยร้อนๆ เป็นมื้อเช้าแล้ว ถือว่าพอเหมาะ โดยรวมไม่ได้ทำให้กินอาหารที่มีคอเลสเตอรอล (Cholesterol) มากกว่าฝรั่ง ที่นิยมกินสเต๊ก (Steak) ที่เป็นเนื้อแดงทั้งชิ้น
เกร็ดความรู้
อาหารที่สมดุล - คนเราต้องกินอาหารให้ครบหมวดหมู่ และในปริมาณที่พอเหมาะ
1. คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates) อาหารที่ให้พลังงาน เช่นพวกข้าว ถั่ว เผือก มันประเภทต่างๆ ฟักทอง น้ำตาล พวกนี้ต้องระวัง เพราะมีแนวโน้มว่าจะกินมากเกิน แนะนำให้กินพอเหมาะ ควบคุมน้ำหนักตัว กินอาหารอาหารพวกเยื่อใยให้มากขึ้น
2. โปรตีน (Proteins) อาหารประเภทเพื่อการเจริญเติบโตและซ่อมเสริม กินพวกเนื้อสัตว์ นม หรือไข่บ้าง แต่ก็กินพวกถั่วตระกูลต่างๆ ประสมประสานไปด้วย
3. ไขมัน (Fats ) ให้พลังงานและมักเป็นแหล่งไวตามินที่ละลายและอยู่ได้ในไขมัน ไขมันสัตว์ก็กินได้ แต่ก็กินพวกน้ำมันพืช หรือพืชที่ให้ไขมันควบคู่ไปด้วย เช่นพวกถั่ว งา เป็นต้น
4. ไวตามิน (Vitamins) เป็นส่วนที่ต้องมีเพื่อรักษาร่างกายให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งก็จะได้จากพวกผักและผลไม้ พวกผลไม้ก็ต้องฝึกที่จะไม่กินผลไม้รสหวานเป็นหลัก แต่ต้องกินพวกที่ให้ไวตามิน และให้เยื่อใยที่ดี
5. แร่ธาตุและเกลือแร่ (Mineral Salts) เช่นแคลเซียม แร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในอาหาร ทำให้สุขภาพฟัน กระดูก และกล้ามเนื้อแข็งแรง พวกนี้มีปะปนไปในอาหารหลายๆ ประเภทที่กล่าวมาข้างต้น คนกินอาหารหลากหลายจะได้เปรียบ
6. พวกเยื่อใย (Fibre) ส่วนนี้ทำให้ลำไส้และระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างปกติ พวกเยื่อใยจะมาจากพวกธัญพืชที่ไม่ขัดสี เช่นข้าวกล้อง ผักใบเขียว ผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจัด
อาหารที่สมดุล (Balanced Diets) คนเราทุกคนต้องกินอาหารที่มีความหลากหลาย และมีความสมดุลในสัดส่วน กินอะไรมากไปหรือน้อยเกินไป ก็ไม่ดี ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพร่างกายได้
ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ
เช่นเดียวกับสุขภาพองค์รวมของคนเรา ที่ต้องดูแลและพัฒนาอย่างมีความสมดุล มีการพัฒนา ก็ต้องมีการพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ
มีคำกล่าวในภาษาลาตินว่า “Mens sana in corpore sano” หรือในภาษาอังกฤษว่า “A sound mind in a healthy body”
หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “จิตใจที่ดีในร่างกายที่สมบูรณ์”
หากเราดูแลร่างกายให้ดี กิน อยู่ ขับถ่ายดี และหลับนอนดี จิตใจก็แจ่มใส แต่ในอีกลักษณะ หากเราดูแลร่างกายดี แต่ไม่รู้จักฝึกจิตใจ คิดในแง่ลบ มีจิตใจที่หดหู่ เป็นคนโกรธง่าย เป็นคนชอบเก็บอะไรมาคิด ไม่รู้จักปล่อยวาง สร้างความเครียดโดยไม่จำเป็น จิตใจก็มีแต่ความขุ่นมัว ท้ายสุด จิตใจที่ไม่สมบูรณ์ ก็นำมาซึ่งความเจ็บป่วยทางร่างกายได้ ในอีกด้านหนึ่ง ดังแพทย์ได้อธิบายว่า โรคหลายอย่างเกิดจากจิตใจนี้เอง เช่น โรคเครียด ความดันโลหิตสูง โรคนอนไม่หลับ โรคหัวใจ โรคเหล่านี้เป็นอันมากเกิดจากจิตใจนี่เอง
ในทางกลับกัน สุขภาพที่ดีก็เป็นสิ่งสำคัญ หากไม่ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ไม่กินอาหารที่ถูกต้อง ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ท้ายสุด เมื่อร่างกายล้า สุขภาพจิตก็จะเสียไปด้วย
ในอีกด้านหนึ่งของสุขภาพ คือเรื่องของจิตวิญญาณ (Spiritual) คือเรื่องของความเชื่อ ที่เป็นทั้งทางศาสนา และไม่เป็นศาสนา เชื่อหรือไม่เชื่อในพระเจ้า เรืองของความยึดมั่นในชีวิต การหาความหมายในชีวิต โลกและจักรวาล มนุษย์เราเกิดมาได้อย่างไร เรามีชีวิตเพื่ออะไร คนที่หาความหมายในชีวิตไม่ได้ สับสนในความเป็นตัวตนของตนเอง นอกจากจะทำให้มีปัญหาด้านสุขภาพจิตแล้ว ยังมีผลทำให้คิดสั้น สับสน ขาดแรงจูงใจในชีวิตและการทำงานไปด้วย
การกินอยู่ของคนหนุ่มสาว
ชีวิตของคนหนุ่มสาวมักเต็มไปด้วยความเร่งรีบ มีเวลาเท่าใดก็เหมือนกับจะไม่พอ
คนหนุ่มสาวบางคนมุ่งทำงาน แต่ไม่ได้ดูแลสุขภาพร่างกายตนเอง กินไม่ถูกสุขลักษณะ นอนไม่เป็นอันนอน หลับไม่สนิท ดังนี้ก็จะไม่มีความสมดุล คนบางคนชอบกิน กินมาก กินอาหารสมบูรณ์เกินไป เช่นขอบกินอาหารแบบเนื้อ นมไข่ หรือว่าขนมประเภทครีมมาก หวานมาก เป็นประเภท “กินเกิน” กินมากกว่าที่ร่างกายจะใช้งาน หรือเผาผลาญได้ทัน ก็ทำให้เกิดโรคอ้วน ไม่กระฉับกระเฉง ท้ายสุดก็ทำให้จิตประสาทเฉื่อยชา ชอบง่วงเหงาหาวนอน จิตวิญญาณความเข้มแข็งก็จะหมดไปด้วย
ภาพ อาหารด่วน (Fast Food)
อาหารจานด่วน หรือ Fast Food เป็นอาหารที่ไม่สมดุล กินเร็ว ประหยัดเวลา และราคาไม่แพง เพราะทำเป็นอุตสาหกรรม แต่เป็นเหตุให้กินอาหารพลังงาน แป้ง ไขมัน น้ำตาล และเกลือมาก เกินกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญได้หมด หรือขับถ่ายได้ทัน เกิดความไม่สมดุลในสุขภาพและในชีวิต
เกร็ดความรู้
ดูแลระวังโรคอ้วน
โรคอ้วน หรือ Obesity เกิดจากความไม่สมดุลของการรับอาหารที่เป็นพลังงาน และการใช้พลังงานของร่างกาย กินมาก แต่ออกกำลังกายน้อย ก็ทำให้เกิดการสะสมพลังงานส่วนเกินในรูปของไขมันและน้ำหนักตัว โรคอ้วนในลักษณะต่อไปนี้ จะทำให้การดูแลรักษายากขึ้น กล่าวคือ
· การอ้วนตั้งแต่อายุ 12 – 18 เดือน.
· ช่วง 12 – 16 ปี ซึ่งเข้าสู่วัยรุ่น
· ผู้ใหญ่ที่น้ำหนักตัวเกินจากปกติไปกว่าร้อยละ 60 คืออ้วนมาก
· ช่วงสตรีกำลังตั้งครรภ์
เด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนมากขึ้น ต่างจากเมื่อ 30-40 ปีที่แล้วที่จะมีความกังวลในเรื่องเด็กขาดสารอาหาร
ที่พักอาศัยและการหลับนอน
การกิน การอยู่ ที่พักอาศัย ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ การอยู่อาศัยก็สำคัญเช่นกัน ผมเห็นคนบางคนไม่ค่อยชอบดูแลบ้านช่องห้องนอนของตนเอง เป็นคนขี้เกียจ บ้านไม่ค่อยปัดกวาด ผ้าปูที่นอนไม่เคยเปลี่ยน ฟูกไม่ได้รับการตากแดดหรือฆ่าเชื้อโรค มีไรฝุ่นสะสม เกิดภูมิแพ้ เป็นหวัด มีโรคทางเดินหายใจบ่อยๆ เพราะไม่ดูแลด้านที่นอน
กิจกรรมการดูแลบ้านและที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องที่คนแต่ละคนต้องรับผิดชอบดูแลบ้านเรือนของตนเอง และควรทำให้เป็นนิสัย ทำแล้วได้ออกกำลังกาย ได้กำจัดฝุ่นไร และเชื้อโรค ทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น คนรุ่นใหม่เป็นโรคภูมิแพ้ เพราะส่วนหนึ่ง ไม่ใส่ใจในสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเอง แม้แต่ในห้องนอน
ภาพ House Dust Mite - Dermatophagoides pteronyssinus
ไรฝุ่นที่อาจพบในที่นอนที่ไม่ได้ทำความสะอาด ไม่มีการตากแดด หรือผ่านการกำจัดเชื้อโรคเป็นระยะๆ
คนเราควรนอนสักเท่าใด
ลองหาคำตอบจากใน Website ต่อไปนี้เป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่ง
ภาพ การนอนหลับพักผ่อน
Rest เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมชีวิต คนเราควรมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ สักวันละ 6-8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับช่วงวัยของชีวิต
เกร็ดความรู้ - การพักผ่อนหลับนอน - คนเราควรพักผ่อนหลับนอนสักเท่าใด
มีความแตกต่างกันในแต่ละคน ทั่วๆไป คนนอนวันละ 7-8 ชั่วโมงสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไปถือว่าพอเพียง คนส่วนใหญ่นอนเพียงเท่านี้ แต่มีบางคนเป็นพวกนอนมาก (Long Sleeper) พวกนี้นอนประมาณ 7 ชั่วโมงครึ่ง – 9 ชั่วโมง และพวกนอนน้อยกว่าปกติ (Short Sleepers) นอนประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง – 7 ชั่วโมง
งานวิจัยของ Dr. Ernest Hartmann’s เสนอว่าพวก Long Sleepers จะเป็นพวก Introverted มีอารมณ์อ่อนไหว และสร้างสรรค์ ส่วนพวกนอนน้อย จะเป็นพวกชอบออกไปพบปะผู้คน และมีความทะเยอทะยาน คนทุกคนจำเป็นต้องมีเวลาหลับนอน พักผ่อนให้เพียงพอ จะเป็นตั้งแต่ 5 ½ ชั่วโมง หรือจนถึง 9 ชั่วโมง แล้วแต่ความต้องการของร่างกายที่แตกต่างกัน แต่หลักคือทุกคนต้องนอนให้เพียงพอ เมื่อนอนหลับแล้ว หลับได้สนิท ไม่ใช่หลับๆตื่นๆ
หากคนที่นอนน้อย ให้ออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะผ่อนคลาย จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายและดีขึ้น หากก่อนนอนได้ปัสสาวะให้เรียบร้อย ลดความกังวลในระหว่างนอน ไม่ต้องรู้สึกปวดปัสสาวะแล้วต้องตื่นกลางดึก บางคนตื่นแล้วกลับไปหลับได้ยาก
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายก็เป็นเรื่องสำคัญ คนเราต้องรู้จักออกกำลังกาย ถ้ายังเป็นหนุ่มสาว ทำงานก็ให้ได้เดินเหินบ่อยๆ วันหนึ่งถ้าไม่ได้ทำงานหนักตามไร่นา ก็ให้ได้เดินสักวันละ 2-3 กิโลเมตรก็ยังดี หรือเดินติดต่อกันให้ได้สัก 30 นาทีต่อวัน เพื่อให้หัวใจและระบบสูบฉีดโลหิตของร่างกายทำงานได้เต็มที่ ร่างกายก็จะแข็งแรง จิตใจก็มีความสุข ฝรั่งที่พักอาศัยในเมืองก็ไม่มีเวลาออกกำลังกายเหมือนกัน แต่เขาสร้างวัฒนธรรมที่ใช้ชีวิตแบบสมดุล เช่นเวลาไปทำงาน เขาก็อาศัยระบบ Mass Transit หรือระบบรถขนส่งมวลชน รถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดิน รถเมล์ ต้องเดินขึ้น เดินลงตามสถานีต่างๆ แล้วก็เดินไปทำงาน
ในการออกแบบเมืองยุคใหม่ เขาออกแบบชนิดต้องให้มีการออกกำลังกายปนไปกับการใช้ชีวิตเดินทาง บางเขตเขาห้ามรถเข้า แล้วปรับให้เป็นทางกว้างๆ สำหรับคนเดิน เขาเรียกว่า Promenade เขาจะทำเป็นทางเดินที่กว้างๆ ตามย่านศูนย์การค้า ย่านจับจ่ายใช้สอย และสวนสาธารณะ
ภาพ ทางเดินชายหาด
Promenade ทางเดินกว้างที่จัดไว้ให้คนได้เดินพักผ่อน ออกกำลังกายในสภาพแวดล้อมที่สวยงาม ปลอดจากรถยนต์ และมลพิษ
Promenade ทางเดินในเมือง หากเป็นย่านตากอากาศ จะเป็นการสร้างบรรยากาศ และเปิดช่องว่างเพื่อให้ได้รับลมตามธรรมชาติ
ภาพ ทางสำหรับรถจักรยาน (Bike Lanes)
เกร็ดความรู้ – การออกกำลังกาย
การออกกำลังกาย มีผลต่อการเผผลาญไขมันและส่วนเกินในร่างกาย ออกกำลังกายมาก จะช่วยในการลดน้ำหนักตัวลง และกินอาหารเพิ่มได้
คนน้ำหนักตัว 91.0 กิโลกรัม ควรใช้พลังงานอย่างสมดุล คือไม่เพิ่มและไม่ลด ร่างกายจะต้องการพลังงานสักเท่าใด
คำตอบคือ ประมาณ 2,000 แคลอรี่ กินอาหารให้พลังงานประมาณนี้จะมีน้ำหนักคงที่ และถ้ากินอาหารให้พลังงานน้อยกว่านี้ น้ำหนักก็จะลดลงได้อีก
สู่ความสมดุล
ประเทศไทยเรายังอยู่กันอย่างไม่มีความสมดุล
มีทั้งที่มีส่วนเกิน และส่วนขาด คนจนขาดเงินทอง ความคิด และวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ ทำงานหนัก หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน คนชั้นกลางมีเงินทอง มีความรู้ความสามารถ บางคนมีเกิน แต่ขาดการใช้ชีวิตที่สมดุลและมีสุข คนทำงานสำนักงาน ก็แทบไม่ได้ออกกำลังกาย ได้แต่ทำงานแบบใช้สมอง ใช้สายตา และก็อยู่ในอิริยาบถประเภทนั่งๆ นอนๆ ดังนี้ไม่มีความสมดุลในชีวิต
สำหรับตัวเราเองทุกคน ก็ต้องพยายามสร้างความสมดุลให้กับชีวิต กิน อยู่ หลับนอน ออกกำลังกาย และทำงานอย่างพอเหมาะสม ไม่หักโหม หรือไม่ใช่อยู่อย่างทำอะไรเลย ได้แต่กินๆ นั่งและนอน แต่ต้องอยู่อย่างตื่นตัว ใช้ชีวิตอย่างหลากหลายมีคุณค่าในหลายๆด้าน
No comments:
Post a Comment