ทฤษฎีเด็กเน่า (Rotten kid theorem) พร้อมกรณีศึกษา
ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the
free encyclopedia
Keywords: cw411, Economics, เศรษฐศาสตร์, sociology,
สังคมวิทยา, ทฤษฎีเด็กมีปัญหา, Rotten kid theorem, ระบบรางวัล, reward system, incentive,
ทฤษฎีเด็กมีปัญหา (Rotten kid theorem)
Rotten = เน่าเสีย, เน่าเปื่อย,
น่าขยะแขยง, เฟะฟะ, เลวทราม,
เหม็นบูด, เสื่อมโทรม
หากจะแปลความหมายอย่างที่เขาใช้เรียกกัน
ก็ดูจะแสดงทัศนคติที่ไม่เหมาะสมออกมา จึงของเรียกทฤษฎีนี้ว่า “ทฤษฎีเด็กมีปัญหา” (Rotten kid theorem) Gary Becker นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโกได้เสนอแนวคิดด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอันหนึ่ง
โดยเรียกว่า Rotten kid theorem โดยอธิบายว่าในทุกครอบครัว
แม้จะมีความเห็นแก่ตัว แต่จะช่วยกัน โดยสร้างแรงจูงใจทางการเงิน
เพื่อช่วยสมาชิกที่มีปัญหาที่สุด อาจด้วยความไม่แข็งแรง เจ็บป่วย
ไม่ฉลาดเท่าคนอื่นๆ เรียนหนังสือหรือมีพื้นฐานที่ไม่ดีเท่าคนอื่นๆ
แต่หากคนที่มีปัญหาเป็นจุดอ่อนนี้ ได้รับแรงจูงใจที่เหมาะสม
โดยมองเห็นประโยชน์ของส่วนรวมร่วมด้วย เขาก็จะเติบโตและดำชีวิตได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็น
ศาสตราจารย์ Gary Becker นักเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (University
of Chicago)
ให้สถานการณ์สมมุติฐานว่า เด็กจะได้รับรางวัลทางด้านการเงินจากพ่อแม่ที่เข้าใจปัญหาและมีกุศลจิต
(
Altruistic) คิดอย่างมองเห็นประโยชน์ของส่วนรวม หากมีเด็กที่เป็นคนเห็นแก่ตัว
ที่แสวงความสุขที่เป็นการทำร้ายพี่น้องคนอื่นๆ ทฤษฎี Rotten
kid theorem
จะมีแรงจูงใจที่ทำให้เด็กที่อาจเห็นแก่ตัวนั้นหลีกเลี่ยงการทำร้ายคนอื่น
และเปลี่ยนเป็นช่วยทำในสิ่งที่เป็นความสุขแก่คนอื่นๆ เนื่องจากจะได้รางวัลหรือเงินเป็นแรงจูงใจให้กระทำอย่างนั้น
แม้จะไม่มีโครงสร้างอย่างเป็นทางการหรือรูปธรรมใดๆ ทั้งนี้เพียงว่าพ่อแม่มีการกำหนดให้รางวัลของเด็กมีปัญหาให้เป็นผลมาจาก
“การทำให้คนอื่นๆได้มีความสุข”
Altruistic = ซึ่งเห็นแก่ผู้อื่น,
การกระทำอย่างเสียสละโดยไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตน
ทฤษฎีเสนอว่า พ่อแม่ควรชะลอการให้เงินแก่เด็กๆจนกว่าเขาจะโตพอ
หรือบางทีอาจหลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตแล้ว หากพ่อแม่ทำพินัยกรรม (Will) มอบเงินให้กับเด็กๆตามความจำเป็น (Needs) เด็กๆก็จะมีแรงจูงใจที่จะทำให้คนอื่นๆได้มีรายได้มากที่สุด
เพราะแรงจูงใจที่มาจากการทำให้คนอื่นๆได้มีทรัพย์สินเป็นผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของตนเอง
คือคนอื่นๆได้ดี เขาก็ได้ดีด้วย
กล่าวอย่างง่ายๆ
ทำให้คนมีแรงจูงใจที่ทำให้คนอื่นๆได้ดี แล้วเราจะได้ดีตามไปด้วย
กรณีศึกษาที่
1
ณ หมู่บ้านตากอากาศแห่งหนึ่ง
ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
ในหมู่บ้านที่เป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศ (Resort Village, or Town) แห่งหนึ่ง ใช้หลักบริหารแบบทฤษฎีเด็กมีปัญหา (Rotten kid theorem) ในการดูแลสวัสดิการคนในหมู่บ้าน ทำให้คนในหมู่บ้านเข้าใจว่า
ชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนขึ้นอยู่กับการที่มีคมมาท่องเที่ยวตากอากาศ
การจะช่วยทำให้หมู่บ้านนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมาพัก คือ
ทำให้หมู่บ้านดูร่มรื่น สถานที่สาธารณะทุกแห่งสะอาดสะอ้าน คนมีอัธยาศัยดี
ช่วยเหลือคนต่างชาติโดยไม่ต้องหวังสินจ้างใดๆ
ห้องน้ำห้องสุขาของสถานที่สาธารณะทุกแห่งสะอาด ทุกร้านอาหารมีอาหารที่อร่อย
สะอาดถูกสุขลักษณะ แล้วขณะเดียวกัน ฝ่ายผู้มีฐานะ
คนลงทุนในธุรกิจก็จ้างคนในหมู่บ้านด้วยค่าแรงงานที่เป็นธรรมเพียงพอ
ทุกคนมีสวัสดิการที่ดี อันเป็นผลมาจากกิจการท่องเที่ยวนั้น
ซึ่งทุกคนรับรู้ในเรื่องนี้
และช่วยกันทำให้กิจการท่องเที่ยวของเมืองโดยรวมมีชื่อเสียงจนเป็นที่กล่าวขานทั่วไป
คนอยากมาเที่ยวและมาพักผ่อนในหมู่บ้านนี้ ผลที่ตามมาคือ ในทุกกิจกรรมประสบความสำเร็จ
หมู่บ้านได้รับเงินภาษีจากกิจการต่างๆในหมู่บ้าน
นำมาเสริมให้กับกิจกรรมทุกอย่างที่เป็นส่วนรวมของหมู่บ้าน
ทั้งในด้านการศึกษาของโรงเรียนในชุมชน ร้านแพทย์ในชุมชน สวัสดิการร้านค้า ถนนหนทาง
ฯลฯ
หลักมีอยู่ว่า
ทุกคนรวมถึงคนที่มีฐานะและไม่มีฐานะทั้งหลาย ต้องช่วยกันทำให้หมู่บ้านเจริญ
เศรษฐกิจดี และผลดีจะกลับมาตอบสนองต่อทุกคนในหมู่บ้าน แต่การจ่ายเงินหรือรางวัล
ไม่ใช่จ่ายตามที่อยากได้ แต่จ่ายตามความต้องการ ตามความจำเป็น
ทุกคนไม่ได้รับค่าตอบแทนเท่ากัน แตกต่างได้ตามความสามารถและความยากในทักษะงานนั้นๆ
แต่ทำให้ทุกคนได้ตระหนักว่ารางวัลโดยรวมสำหรับทุกคนนั้น
เป็นผลมาจากการที่แต่ละคนต้องทำงานให้กับส่วนรวม
คนที่มีปัญหาระดับล่างสุดอาจจะร้อยละ 20 อาจอ่อนแอ ไม่มีทักษะในการทำงานเท่าคนที่แข็.แกร่งกว่า
แต่ก็ยังได้รับการดูแลที่ดีเพียงพอ แล้วก็ยังมีใจในการช่วยทำงานให้กับชุมชนของเขา
ทั้งหมดนี้ หากเรามีระบบรางวัลในสังคมที่เหมาะสม ทุกคนรับรู้และเข้าใจ
กรณีศึกษาที่
2
การเลี้ยงลูกและการแบ่งสมบัติ
หลักคำสอนของพ่อแม่ครอบครัวชนชั้นกลาง
(Thai middleclass) ที่ประสบความสำเร็จ
มีหลักฐานที่มั่นคง และได้สอนลูกๆ 6 คนในช่วงเมื่อ
50-80 ปีที่ผ่านมา เอาไว้ดังนี้
พ่อแม่ไม่มีสมบัติอะไรสำคัญกว่าการจะส่งเสียให้เรียนหนังสือให้สูงที่สุด
เพราะแต่ละคนจะได้มีเครื่องมือพึ่งตนเองไปได้ตลอดชีวิต
ได้ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
สำหรับที่ดินและทรัพย์สิน
เมื่อสิ้นพ่อและแม่แล้ว จะแบ่งให้ทุกคนเท่าๆกัน สมบัติที่เป็นที่ดิน
หากเป็นชิ้นใหญ่ ก็แบ่งให้ทุกคนมีถนนทางเข้าที่ ใครอยากทำประโยชน์
ทำกิจกรรมใดก็สามารถใช้เป็นฐานทำกิจกรรมกันต่อไป
แต่สิ่งที่จะฝากไว้ คือ เมื่อไม่มีพ่อแม่แล้ว
ขอให้ทุกคนยังรักกัน อย่าทะเลาะกัน หากมีใครตกทุกข์ได้ยาก
ก็ให้ช่วยกันเท่าที่จะทำได้ เสวนาเรื่อง "การพัฒนาทุนมนุษย์" (Human
Capital Development) ว่าด้วยเรื่องการเลี้ยงดูลูก
ให้รางวัลลูกได้ที่ Pracob Cooparat at Facebook
กรณีศึกษาที่
3
หลักสูตรนานาชาติที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
การมีแผนงานที่จะเปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรนานาชาติระดับปริญญาตรี
(BS., BA.) ด้าน Hospitality Management ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (Surindra Rajabhat University –
SRRU)
โดยเป็นโครงการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
ใช้การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ (English as the medium of instruction) โดยมีผู้สอนที่ใช้ภาษาอังกฤษที่เป็นชาวต่างประเทศ
และคนไทยที่สามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้ดี
และเคยมีประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศมาแล้ว
มีเป้าหมายผลิตบัณฑิตที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
ทำงานในด้านการโรงแรม การเดินทาง การท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม จบแล้วมีงานทำ
สร้างงานได้เอง
มีค่าใช้จ่ายในระดับไม่สูง
มีค่าเล่าเรียนที่ประมาณปีละ 100,000-120,000 บาท/คน หรือ 480,000
บาทต่อหลักสูตร 4 ปี
ให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก ดร. ประภาพร บุญปลอด
– รายละเอียดของโครงการ, การจัดการด้านการเงิน, การบริหารทรัพยากรมนุษย์,
การบริหารวิชาการ, การพัฒนาด้านการตลาด, ฯลฯ
หลักสูตรมีความเป็นไปได้หรือไม่,
สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายการจัดการ, ทำให้ค่าใช้จ่ายของผู้เรียนไม่สูงจนเกินไปได้หรือไม่
และอย่างไร โปรอดอภิปราย
กรณีศึกษาที่
4
นโยบายการค้าข้าวของประเทศไทย
ลองใช้แนวคิดเศรษฐศาสตร์สังคม
หรือ Human Capital กับการส่งเสริมการผลิตข้าว
(Rice production) ในประเทศไทย
ทำให้ไทยเป็นผู้ผลิตข้าวที่พัฒนาได้อย่างยั่งยืน (Sustainability) ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์จากการผลิตข้าวอย่างเป็นธรรม เราจะมีระบบรางวัลอย่างไร
มีมาตรการในการส่งเสริมอย่างไร จะขายข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าวอย่างไร?
ขอให้เตรียมข้อมูลขั้นพื้นฐานให้พร้อม
ก่อนนำไปสู่การตัดสินใจ และการให้ข้อเสนอแนะ
กรณีศึกษาที่
5
ตลาดการค้าอวัยวะเสรี (Organ market)
ในโลกนี้วงการแพทย์ได้ก้าวหน้าไปสู่การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะได้อย่างเป็นผล
ทั้งหัวใจ (Heart) ปอด (Lung) หรือตับ (Liver)
โดยเฉพาะไต (Kidney)
และความต้องการของผู้ป่วยที่ต้องการได้รับอวัยวะเหล่านี้เพื่อการผ่าตัดมีมาก
ในอีกด้านหนึ่ง ในบางสังคม ความต้องการทรัพยากรเงินทุนมีมาก ทั้งระดับบุคคล สังคม
และประเทศ จึงมีการเสนอให้มีการค้าขายอวัยวะของร่างกายได้อย่างเสรี
เพื่อให้ฝ่ายต้องการใช้อวัยวะเหล่านี้ และมีเงินพอได้ใช้บริการซื้อขายอย่างเปิดเผย
เป็นการเร่งกระบวนการให้สั้นเข้า
ทำให้โอกาสผู้ป่วยในการรักษาพยาบาลประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้น
แทนที่จะต้องรอการบริจาคเป็นเวลายาวนาน
ท่านมีความเห็นอย่างไรต่อแนวคิดนี้ โปรอดอภิปราย