Thursday, May 26, 2011

ผู้ต้องสงสัยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ลัทโค มลาดิค (Ratko Mladic) ถูกจับได้ในเซอร์เบีย

ผู้ต้องสงสัยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ลัทโค มลาดิค (Ratko Mladic) ถูกจับได้ในเซอร์เบีย

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจากข่าว “นายทหารชาวบอสเนีย ผู้ต้องสงสัยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ลัทโค มลาดิค (Ratko Mladic) ถูกจับได้ในเซอร์เบีย” จาก “Bosnia genocide suspect Ratko Mladic jailed in Serbia” โดย CNN Wire Staff, May 27, 2011 -- Updated 0144 GMT (0944 HKT)

ภาพ ลัทโค มลาดิค (Ratko Mladic)

ข่าวจาก CNN ณ เมืองเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย - นับเป็นเวลากว่า 15 ปีที่แม่ทัพของเซอร์เบียเชื้อสายบอสเนีย ลัทโค มลาดิค ได้หลบซ่อนการจับกุม และในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ข่าวใหญ่คือเขาได้ถูกจับกุมตัวได้แล้ว และจะถูกนำตัวขึ้นศาลในฐานะเป็นอาชญากรสงครามร้ายแรงที่สุดของยุโรป หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

มลาดิคเป็นผู้หลบหนีที่มีตำแหน่งสูงสุด ในช่วงหลังจากที่ต้องมีการแบ่งแยกประเทศยูโกสลาเวีย (Yugoslavia) ในช่วงทศวรรษที่ 1990s การเข้าจับกุมเขาเป็นผลจากการสืบสวนหาตัวมาเป็นเวลา 3 ปี โดยประธานาธิบดี Boris Tadic ได้ให้ข่าวที่สำคัญนี้ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี

ข้อมูลจาก Wikipedia -

ลัทโค มลาดิค (Ratko Mladić) ชาวเซอร์เบีย เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1942 หรือ 1943 เป็นผู้นำทางทหารเชื้อสายเซอร์เบีย (Ethnic Serb) และถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม (war criminal) เขาเป็นที่รู้จักในช่วงสงครามยูโกสลาฟ (Yugoslav Wars) เป็นนายทหารระดับสูงของกองทัพบกยูโกสลาฟ (Yugoslav People's Army) และเมื่อเขาได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะทหารในกองทัพ Army of the Republika Srpska หรือ Bosnian Serb Army ในช่วงสงคราม Bosnian War ในช่วงปี ค.ศ. 1992-1995

ในช่วงปี ค.ศ. 1995 เขาถูกกล่าวหาโดยศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศที่กล่าวหารัฐ Yugoslavia เดิมในข้อหามีส่วนในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (International Criminal Tribunal for the former Yugoslavia - ICTY) และเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งเขามีส่วนเกี่ยวข้องในช่วงปี ค.ศ. 1992-1995 ในการเข้ายึด Siege of Sarajevo และการสังหารหมู่ Srebrenica massacre เขากลายเป็นผู้หลบหนีกฎหมาย (Fugitive) มาเป็นเวลา 16 ปี จนในที่สุดได้ถูกจับโดยฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเซอร์เบียในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ที่ Lazarevo ในประเทศ Serbia


การสังหารหมู่ที่ซเรบรินิก้า

ภาพ ที่ฝั่งศพผู้ถูกสังหารใน Srebrenica massacre

การสังหารหมู่ที่ซเรบรินิก้า (Srebrenica massacre) หรือมีเรียกว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ ซเรบรินิก้า(Srebrenica genocide) ที่เกิดขึ้นในช่วงเพือนกรกฎาคม ค.ศ. 1995 ที่ทำให้มีชาวบอสเนียทั้งชายและเด็กเพศชายจำนวนกว่า 8,000 คน

ในเมือง Srebrenica ในประเทศ Bosnia and Herzegovina โดยหน่วยทหารของกองทัพที่เรียกว่า Army of Republika Srpska (VRS) under the command ภายใต้การนำของนายพล General Ratko Mladić ในช่วงสงครามบอสเนีย (Bosnian War)

หน่วยทหารพรานของเซอร์เบียที่รู้จักกันในนาม Scorpions ภายใต้การสั่งการของกระทรวงมหาดไทยจนกระทั่งปี ค.ศ. 1991 ให้มีส่วนในการสังหารหมู่ หน่วยนี้มีถูกกล่าวหาว่ารวมถึงทหารรับจ้างชาวต่างประเทศ รวมถึงทหารอาสาจากกรีก Greek Volunteer Guard ได้มีส่วนร่วมในการสังหารหมู่นี้

กองกำลังนี้ได้ขนย้ายสตรี เด็ก และคนชราชาวบอสเนียจำนวนระหว่าง 25,000-30,000 คนที่ไปร่วมกับผู้ที่ถูกลอบส้งหารหมู่ และเป็นพยานในการสังหารหมู่นี้

Wednesday, May 25, 2011

งานวิชาชีพที่มีรายได้สูงที่สุดและต่ำสุด 20 รายการ

งานวิชาชีพที่มีรายได้สูงที่สุดและต่ำสุด 20 รายการ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: การอาชีพ, การอุดมศึกษา, higher education

ผู้จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่ได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุดและต่ำที่สุด 20 อันดับในสหรัฐอเมริกา ในบทความชื่อ “The 20 Best- and Worst-Paid College Major” โดย Kayla Webley, Time, Tuesday May 24, 2011

รายงานนี้ได้จากการศึกษารายได้จากผู้จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี โดยอาศัยข้อมูลจาก U.S. Census ที่จัดทำโดยศูนย์ของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ Georgetown University) ที่ศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาและแรงงาน รายงานนี้ได้ออกในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 โดยศึกษาทั้งหมดจาก 171 วิชาเอก ซึ่งพบว่าสาขาวิชาที่ได้รับรายได้สูงสุดอาจมากกว่าสาขาวิชาที่มีรายได้ต่ำสุดถึง 300 เปอร์เซ็นต์ หนังสือพิมพ์ Time ได้เลือกนำเสนอเฉพาะส่วนที่สูงที่สุด 10 รายการ และต่ำสุด 10 รายการ

สาขาวิชาที่ให้ค่าตอบแทนสูงสุด (Highest-Earning Majors)

สาขาวิชาเอกในระดับปริญญาตรีที่เมื่อจบไปแล้วมีค่าตอบแทนสูงที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา 10 รายการ จากอันดับ 10 ไปสู่อันดับ 1

10. วิศวกรรมเหมืองแร่ (Mining and Mineral Engineering)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD80,000 หรือปีละประมาณ 2,400,000 บาท

เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเหมืองแร่ การทำเหมือง เช่น ถ่านหิน เพชร และหาวิธีการที่จะนำแร่เหล่านี้ออกจากดินให้ได้ดีที่สุด เป็นการศึกษาเพื่อแสวงหาว่าแหล่งแร่นั้นอยู่ที่ไหน และออกแบบและพัฒนาให้เป็นเหมืองแร่

9. วิศวกรรมโลหการ (Metallurgical Engineering)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD80,000 หรือปีละประมาณ 2,400,000 บาท

คนทั่วไปไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิทยาการวิศวกรรมโลหการนี้ โดยแนวคิดคือ วิศวกรโลหะการมีหน้าที่เรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบชิ้นส่วนโลหะ ศึกษาคุณสมบัติของโลหะ และแก้ปัญหาในกระบวนการผลิต บางส่วนของอาชีพนี้ต้องทำงานร่วมกับพวกวิศวกรเหมืองแร่ เพื่อประสานงานวิธีการสกัดแร่ การจัดการทำให้แร่ดิบนี้เปลี่ยนสู่แร่ที่ต้องการใช้ประโยชน์

8. วิศวกรรมเครื่องกล (Mechanical Engineering)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD80,000 หรือปีละประมาณ 2,400,000 บาท

วิศวกรรมเครื่องกลเป็นอาชีพเก่าแก่และเป็นงานวิศวกรรมที่กว้างที่สุด สาขาวิชาเป็นที่ต้องการสูงตั้งแต่การคิดค้นเครื่องจักรไอน้ำในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา

7. สถาปัตยกรรมออกแบบเรือและวิศกรรมนาวี (Naval Architecture and Marine Engineering)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD82,000 หรือปีละประมาณ 2,460,000 บาท

เป็นงานออกแบบเกี่ยวกับเรือและวิศวกรเกี่ยวกับเครื่องยนต์เรือขนาดใหญ่ งานออกแบบเรือในปัจจุบันจะเกี่ยวกับงานกองทัพเรือ หน่วยยานฝั่ง และในพาณิชย์นาวี เป็นงานออกแบบเรือที่ใช้ในต่างประเทศ แม้งานต่อเรือในเชิงพาณิชย์ในประเทศสหรัฐอเมริการจะเหลือน้อยลงมาก

6. วิศวกรรมไฟฟ้า (Electrical Engineering)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD85,000 หรือปีละประมาณ 2,550,000 บาท

ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 2008 มีวิศวกรไฟฟ้าและอิเลคโทรนิกส์ทำงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา 301,500 คน จำนวนมากทำงานในบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ การสื่อสาร หรืออิเลคโทรนิกส์ อุตสาหกรรมทางด้านนี้กำลังเติบโต ทำให้เกิดความต้องการวิศวกรที่มีคุณสมบัติมาก

5. วิศวกรรมเคมี (Chemical Engineering)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD86,000 หรือปีละประมาณ 2,580,000 บาท

วิศวกรเคมีตามการศึกษาของ Georgetown รายงานว่ารายได้สำหรับผู้จบการศึกษาโดยทั่วไปยุติธรรมโดยไม่จำกัดเพศ แต่รายงานกล่าวว่าผู้จบการศึกษาที่เป็นสตรีจะได้รับรายได้ต่อปีเฉลี่ยต่ำกว่าชายประมาณ USD20,000 ต่อปี แม้ได้รับการศึกษามาในคุณภาพที่ดีเท่าๆกัน

4. วิศวกรรมยานบินและอวกาศ (Aerospace Engineering)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD87,000 หรือปีละประมาณ 2,610,000 บาท

วิศวกรการบินและอวกาศนับเป็นมันสมองในงานสร้างและวิทยาศาสตร์ของเครื่องบินและยานอวกาศ ในขณะที่วิศวกรยานอวกาศอาจสดุดเมื่อสหรัฐได้ปรับรื้อกิจการด้านอวกาศ ซึ่งอาจทำให้ไม่ได้ขยายงานด้านอวกาศ แต่ในด้านงานสร้างเครื่องบินไม่ว่าในสหรัฐหรือยุโรป ต้องถือว่าการแข่งขันกันเป็นไปอย่างสูง และต้องการคนทำงานที่มีศักยภาพสูง

3. คณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Mathematics and Computer Sciences)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD98,000 หรือปีละประมาณ 2,940,000 บาท

งานด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จะยังคงนำเป็นอันดับสูงทางด้านรายได้

2. เภสัชกรรมและวิทยาศาสตร์ยาและการบริหารเภสัชกรรม (Pharmacy and Pharmaceutical Sciences and Administration)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD105,000 หรือปีละประมาณ 3,150,000 บาท

ในแต่ละปีทั่วโลกมีการใช้จ่ายด้านค่ายาหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ และสิ่งเหล่านี้เป็นแรงจูงใจที่ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวกับยาจนถึงการกระจายยาไปยังผู้บริโภคได้รับผลด้านค่าตอบแทนที่ดีตามไปด้วย นอกจากนี้ งานเภสัชกร (Pharmacists) ได้เข้ามาทำหน้าที่แนะนำคนไข้และแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยา การเลือกยา ขนาดของยาที่ควรใช้ (Dosage) ผลกระทบจากการใช้ยา

1. วิศวกรรมปิโตรเลียม (Petroleum Engineering)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD120,000 หรือปีละประมาณ 3,600,000 บาท

ไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่อาชีพเกี่ยวกับธุรกิจน้ำมันจะเป็นอันดับหนึ่งของงานทั้งหมด งานนี้มีทั้งส่วนที่เป็นบวกและลบ วิศวกรปิโตรเลียมหรือจะเรียกว่าวิศวกรน้ำมันก็ได้ เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงหากต้องเป็นการทำงานนอกชายฝั่ง ทำงานบนแท่นขุดเจาะ และอาชีพนี้จะมีขึ้นมีลงไปขึ้นกับราคาน้ำมันในตลาด เมื่อราคาน้ำมันตกลง ก็จะมีการเสี่ยงถูกให้ออกจากงาน แต่ในสภาวะที่น้ำมันกำลังจะหมดโลก และมีการขลาดแคลนน้ำมันเกิดขึ้นหนักขึ้นเรื่อยๆ อาชีพสำรวจขุดเจาะก็ต้องไกลชายฝั่งไปเรื่อยๆ มีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ หากต้องไปอยู่ในส่วนของการสำรวจขุดเจาะ

โดยรวมจะเห็นได้ว่าอาชีพที่เมื่อจบปริญญาตรีออกไปแล้วทำงานมีรายได้สูงที่สุดนั้น จะเป็นพวกวิศวกรและวิทยาศาสตร์ รายได้ที่มากขึ้นอีกประการหนึ่ง คือ งานที่มีความยากลำบากด้วยต้องไปทำในที่ทุรกันดาล หรือในท้องทะเลที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังเช่นวิศวกรเหมืองแร่ หรือวิศวกรปิโตรเลียม เป็นต้น

วิชาเอกที่มีรายได้น้อยที่สุด (Lowest-Earning Majors)

อาชีพที่ผู้จบระดับปริญญาตรีไปแล้วได้ค่าตอบแทนน้อยที่สุด 10 รายการ จากวิชาเอกที่ได้มีการศึกษา 171 รายการ เรียงจากอันดับที่ 10 ไปจนถึงอันดับ 1

10. เตรียมสุขภาพและการแพทย์ (Health and Medical Preparatory Programs)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD40,000 หรือปีละประมาณ 1,200,000 บาท

โปรแกรมนี้มักจะมีการเปิดสอนในระดับวิทยาลัยชุมชน (Community colleges) และโรงเรียนอาชีวศึกษา โปรแกรมเหล่านี้ทำให้ได้ไปทำงานทางด้านการแพทย์หรือสุขภาพ โดยที่ไม่ต้องไปใช้เวลาเรียนหลายๆปีเพื่อเป็นแพทย์ เป็นโปรแกรมที่ใช้เงินเรียนไม่มาก และแน่นอนว่ารายได้ก็ไม่มากด้วยเช่นกัน
งานในลักษณะนี้ได้แก่ ผู้ช่วยแพทย์ ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ เหล่านี้เป็นต้น แต่หากใครคิดอยากเป็นแพทย์ หรือทันตแพทย์ ก็ต้องไปคิดเรียนในอีกแบบหนึ่ง

9. ทัศนศิลป์และศิลปการแสดง (Visual and Performing Arts)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD40,000 หรือปีละประมาณ 1,200,000 บาท

ลักษณะของงานด้านศิลปะทั้งสามรายการที่ปรากฏใน 20 รายการนี้ มีลักษณะเหมือนกับสาย “ศิลปินไส้แห้ง” ซึ่งก็เป็นความจริง ยกเว้นพวกที่สามารถก้าวไปได้ด้วยโชคและความสามารถจนไปถึงในระดับที่เป็นดารา หรือศิลปินที่อยู่ในแนวหน้า

8. วิทยาศาสตร์และบริการผู้มีปัญหาด้านการสื่อสาร (Communication-Disorders Sciences and Services)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD40,000 หรือปีละประมาณ 1,200,000 บาท

นักศึกษาที่อยู่ในสายอาชีพวิทยาการดูแลผู้มีปัญหาด้านการสื่อสาร (Communication-disorders sciences and services) ซึ่งจะไปจบลงด้วยการทำงานกับผู้ที่มีปัญหาทางด้านการฟัง การพูด และปัญหาการรับรู้ ปัญหาทางร่างกาย ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถสื่อสารเป็นภาษาได้ คนที่ทำงานในด้านนี้มักจะพบกับคนไข้ที่มีปัญหาด้าน Tourette's and Asperger's syndromes

7. ศิลปะในสตูดิโอ (Studio Arts)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD40,000 หรือปีละประมาณ 1,200,000 บาท

งานในลักษณะที่ผู้จบด้าน Studio arts นี้ Georgetown รายงานว่า แม้จะเป็นการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาขึ้นไป รายได้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ซึ่งพบว่าผู้ได้รับปริญญาโทขึ้นไป รายได้ที่เพิ่มขึ้นก็เพียงร้อยละ 3 งานด้านศิลปะนั้น คนเขาไม่ได้จ้างกันด้วยปริญญา แต่เขาเลือกกันตามฝีมือที่มักจะเป็นที่รับรู้กันในวงการของเขา

6. ละครและศิลปะการแสดง (Drama and Theater Arts)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD40,000 หรือปีละประมาณ 1,200,000 บาท

ในขณะที่นักแสดงที่ประสบความสำเร็จในระดับแสดงนำในภาพยนต์ชั้นนำสามารถทำเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แสดงภาพยนตร์หนึ่งเรื่องอาจมีค่าตัวเรื่องละ USD20 ล้าน หรือเป็นเงินไทยเท่ากับ 600 ล้านบาท แต่คนที่ศึกษาทางด้านศิลปะการแสดงและการละครทำเงินได้ไม่มากนัก สิ่งที่ทำให้ผู้มีงานทำทางด้านนี้มีรายได้น้อย เพราะมีคนจำนวนไม่มากนักที่จะประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่ได้แต่เป็นพวกไขว่คว้าหาดวงดาว และอีกเช่นกัน งานการแสดงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับใบปริญญา แต่เป็นเรื่องของฝีมือ พรสวรรค์ และโชคช่วย

5. สังคมสงเคราะห์ (Social Work)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD39,000 หรือปีละประมาณ 1,170,000 บาท

อาชีพด้านสังคมสงเคราะห์จัดเป็นพวกมีรายได้เกือบจะต่ำสุด แต่ Georgetown พบว่า การศึกษาต่อในระดับปริญญาขึ้นสูงขึ้นไปทางด้านสังคมศาสตร์ รวมถึงสังคมสงเคราะห์ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 134 เปอร์เซนต์

4. บริการมนุษย์และชุมชน (Human Services and Community Organizations)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD40,000 หรือปีละประมาณ 1,200,000 บาท

รายได้จากการทำงานในสายบริการมนุษย์และองค์กรพัฒนาชุมชนมีรายได้ต่ำและไม่ดึงดูด แต่ก็มีผู้เข้าเรียนในสายวิชานี้มากขึ้น อาจจะด้วยเหตุที่โครงการเงินยืมเพื่อการศึกษามีโปรแกรมให้สิทธิพิเศษสำหรับงานที่ไม่ได้รับผลตอบแทนสูง แต่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทั้งนี้รวมถึงตัวอย่างประธานาธิบดีอย่างบารัค โอบามา (Barack Obama) เอง ก็เคยทำงานรับใช้ชุมชนด้วยตนเองมาก่อน

3. อาชีพด้านเทววิทยาและศาสนา (Theology and Religious Vocations)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD38,000 หรือปีละประมาณ 1,140,000 บาท

มีคนที่เลือกทำงานในสายศาสนา ที่มองหาสิ่งที่ความหมายมากกว่าการตอบแทนทางด้านวัตถุ คนทำงานในสายนี้จะศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของพระเจ้า ความสัมพันธ์กับมนุษย์ การศึกษาพระคัมภีร์ การให้คำปรึกษาในฐานะเป็นพระ การศึกษาเพื่อรับใช้ศาสนา และดนตรีด้านศาสนา งานเหล่านี้ไม่ได้วัดด้วยค่าตอบแทนอยู่แล้ว เงินรายได้เป็นเพียงเพื่อยังชีพ

2. การศึกษาก่อนวัยเรียน (Early-Childhood Education)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD36,000 หรือปีละประมาณ 1,080,000 บาท ต่อปี

การศึกษาของ Georgetown แสดงให้เห็นว่างานทางด้านนี้มีลักษณะแบ่งแยกชัดเจนทางด้านเชื้อชาติและเพศ งานสายการศึกษาก่อนวัยเรียนจะพบว่าผู้เรียนเป็นสตรีเป็นส่วนใหญ่

1. การแนะแนวและจิตวิทยา (Counseling and Psychology)

รายได้เฉลี่ยปีละ USD29,000 หรือปีละประมาณ 870,000 บาท ต่อปี

งานด้านจิตวิทยาและการแนะแนวมีรายได้ต่ำกว่าสายวิชาชีพใดๆใน 171 วิชาหลัก (Majors) ของการเรียนระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย ตามการศึกษา ผู้จบการศึกษาทางจิตวิทยาจะไปทำงานทางด้านการให้คำแนะแนวในโรงเรียน ซึ่งพบว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีการตกงาน แต่ก็พบสิ่งที่น่ากังวลคือ คนที่สนใจเรียนทางด้านนี้เป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาการว่างงานมากที่สุด คือถึงร้อยละ 16

มารู้จัก iPad คอมพิวเตอร์ยุค Tablet

มารู้จัก iPad คอมพิวเตอร์ยุค Tablet

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ภาพ iPad รุ่นแรกที่ออกสู่ตลาด

iPad อ่านว่า ไอแพด เป็นคอมพิวเตอร์แบบแทบเล็ต (Tablet computers) ที่ออกแบบ พัฒนา และดำเนินการตลาดโดยบริษัทแอพเปิล (Apple Inc) จุดมุ่งหมายคือให้ใช้ประโยชน์เน้นไปที่งานระบบเสียงและภาพ (Audio-visual media) ดังเช่น ใช้อ่านหนังสือ นิตยสาร ชมภาพยนตร์ เล่นเกมส์ การสืบหาและเรียกใช้ข้อมูลจากระบบออนไลน์ ขนาดของ iPad อยู่ระหว่างเครื่องโทรศัพท์มือถือแบบ smartphones ดังเช่นเครื่อง iPhone และเครื่องคอมพิวเตอร์แบบกระเป๋าหิ้ว (laptop) iPad ใช้ระบบปฏิบัติการ (operating system) เหมือนกับระบบของ iPod Touch และ iPhone ซึ่งเป็นของ Apple Inc ด้วยกัน มีหลายระบบที่ใช้ร่วมกันได้โดยไม่ต้องมีการปรับแต่ง ยกเว้นในส่วนของการค้นหา Websites ที่เนื่องจาก iPad มีหน้าจอที่ใหญ่กว่า สามารถเปิดหน้าจอได้เหมือนกับเครื่อง Laptop ทั่วไป แต่โดยทั่วไป ก็จะใช้โปรแกรมที่ได้รับการรับรองโดย Apple ที่มีการให้บริการผ่านร้านในระบบออนไลน์ บางอย่างก็ฟรี และมีบางอย่างต้องซื้อผ่านระบบออนไลน์

iPad มีลักษณะเหมือนกับ iPhone และ iPod Touch ที่ใช้ระบบการควบคุมผ่านหน้าจอแบบสัมผัส เรียกว่า multitouch display โดยระบบเลียนแบบการสั่งงานเหมือนเราใช้ปลายนิ้วแตะและลากเอา ซึ่งเป็นลักษณะที่ต่างจากเครื่องแบบ Tablet computer โดยทั่วไป ซึ่งใช้ระบบ pressure-triggered stylus สำหรับแป้นพิมพ์มีทั้งที่เป็นแป้นพิมพ์แบบเสมือนสัมผัสหน้าจอหรือใช้ต่อเชื่อม Keyboard จริงๆ iPad ใช้ระบบต่อเชื่อมเครือข่ายด้วยระบบไร้สาย (Wi-Fi) ในรุ่นต่อมาสามารถเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตด้วยระบบ 3G ซึ่งทำให้สามารถเชื่อมต่อได้ในทุกพื้นที่ๆมีระบบบริการโทรศัพท์มือถือ จึงทำให้สะดวกในการใช้งาน ทำงานอย่างกว้างขวางเหมือนกับระบบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ สามารถเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายข้อมูล HSPA หรือ EV-DO ระบบสามารถจัดการโอนถ่ายข้อมูล และ synced ด้วยโปรแกรม iTunes ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือแบบกระเป๋าหิ้วผ่านสายเคเบิลแบบ USB

iPad ไม่มีชิ้นส่วนต้องเคลื่อนไหว จึงกินไฟน้อย ประกอบกับระบบแบตเตอรี่ lithium-ion polymer battery (LiPo) สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 10 ชั่วโมงโดยไม่ต้องอัดไฟ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว (Laptop) ทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 ชั่วโมงเป็นอย่างสูง iPad จึงเหมาะสำหรับคนทำงานภาคสนาม ดังเช่นการรายงานข่าว เขียนข่าวเป็นต้น

ภาพ iPad 2 มีขนาดเท่าเดิม แต่ว่าเบาลงไปอีก และมี Option ใช้ระบบเชื่อมต่อ 3G

iPad เป็นสิ่งประดิษฐที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของ Apple โดยเมื่อเริ่มออกสู่ตลาด เดือนเมษายน ค.ศ. 2010 ขายได้ 3 ล้านเครื่องภายในเวลา 80 วัน ภายในปี ค.ศ. 2010 ขายได้รวมทั่วโลก 14.8 ล้านเครื่อง หรือเป็นร้อยละ 75 ของเครื่องในแบบ Tablet PC ทั่วโลก เมื่อมีการออก iPad 2 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 ได้มีการขาย iPad ได้ถึง 15 ล้านเครื่อง มากกว่าเครื่อง Tablet PC ที่มีขายทั้งโลกรวมกัน ในปี ค.ศ. 2011 นี้ จึงคาดว่าตลาด Tablet PC นี้ร้อยละ 83 ในตลาดสหรัฐจะเป็นของ iPad

Tuesday, May 24, 2011

รถยนต์ไฟฟ้า Th!nk City

รถยนต์ไฟฟ้า Th!nk City

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: EV, เทคโนโลยียานยนต์, รถยนต์ไฟฟ้า, Think City,

ภาพ รถยนต์ไฟฟ้า Th!nk City

รถยนต์ไฟฟ้า Th!nk City เป็นรถยนต์ขนาดเล็กนั่งได้ 2+2 โดยสองที่นั่งหลังอาจจะเหมาะสำหรับคนตัวเล็ก หรือเด็กๆ เป็นรถที่เจตนาพัฒนาเพื่อวิ่งในเมือง แต่สามารถวิ่งบนทางด่วนได้ พัฒนาโดยบริษัท Think Global และด้วยความร่วมมือในการผลิตจากบริษัทรถยนต์ Valmet Automotive สามารถวิ่งได้เร็วสูงสุด 110 กม./ชม. เป็นรถไฟฟ้าทั้งระบบ (Electric vehicle – EV) สามารถวิ่งได้160 กม.ด้วยการชาร์ตไฟหนึ่งครั้ง

รถยนต์ไฟฟ้า Th!nk City ปัจจุบัน มีขายในประเทศนอร์เวย์ (Norway), เนเธอร์แลนด์ (Netherlands) สเปน (Spain) ฝรั่งเศส (France) ออสเตรเลีย (Austria) สวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) ฟินแลนด์ (Finland) และสหรัฐอเมริกา (U.S.) จากการสำรวจในช่วงเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 ได้มีการขาย Th!nk City ไปแล้ว 1045 คัน ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2011 รถยนต์ไฟฟ้านี้ได้รับใบรับรองโดยทั่วโลก ร่วมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆ อันได้แก่ Tesla Roadster ของสหรัฐอเมริกา Mitsubishi i MiEV จากญี่ปุ่น Nissan Leaf จากญี่ปุ่น และ Smart ED ว่าเป็นรถยนต์ที่สามารถใช้วิ่งบนทางด่วน (Highway) และปลอดภัยเพียงพอเมื่อมีการชนกัน โดยได้รับการทดสอบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง

รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Roadster

รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Roadster

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: EV, เทคโนโลยียานยนต์, รถยนต์ไฟฟ้า,

ภาพ รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Roadster

รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Roadster เป็นรถไฟฟ้าที่เข้าสู่สายการผลิตแล้ว มีจำหน่ายในตลาดประเทศสหรัฐ (USA) กลุ่มสหภาพยุโรป (EU) และเอเชีย (Asia) ผลิตโดยบริษัท Tesla Motors แห่งสหรัฐอเมริกา เป็นรถยนต์ที่วิ่งได้ด้วยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบ li-ion จัดเป็นรถสปอร์ตหรู ความเร็วสูง วิ่งได้ 394 กม. โดยการชาร์ตไฟเพียงครั้งเดียว อัตราการเร่งสูงสุดได้ 201 กม./ชม. ความเร็วเร่ง 0-97 กม./ชม. ภายในเวลา 3.7 วินาที

Roadster จัดเป็นรถไฟฟ้าคันแรกที่เข้าสู่สายการผลิต ที่สามารถใช้วิ่งบนทางด่วน

ในปี ค.ศ. 2008 Tesla ได้ขาย Roadster ไปแล้ว 1,650 คัน และในปี ค.ศ. 2010 ได้มีการผลิตรถแบบพวงมาลัยด้านขวา ซึ่งทำให้ได้มีการกระจายตลาดไปทั่วใน British Isles, Australia, Japan, Hong Kong และ Singapore.[4]

Roadster เป็นรถยนต์คันแรกที่ใช้พลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบ lithium-ion โดยก่อนหน้านี้ได้มีการพัฒนารถไฟฟ้าที่ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ที่ใช้วัสดุอื่นๆ เช่ Cadmium

Roadster สามารถวิ่งได้ระยะทาง 501 กม. ด้วยการชาร์ตไฟเพียงครั้งเดียว โดยเป็นการแข่งใน Global Green Challenge ในประเทสออสเตรเลีย โดยเป็นการวิ่งในระดับความเร็วต่ำที่ 40 กม./ชม.

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 Tesla Roadster ได้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกที่ชนะการแข่งขันรถยนต์ทางเลือกที่เรียกว่า Monte Carlo Alternative Energy Rally และในการแข่งขันที่ Federation Internationale de l'Automobile ให้การรับรอง Roadster ที่ขับโดย Érik Comas โดยชนะผู้แข่งขันอื่นๆ 96 รายในด้านประสิทธิภาพและความสามารถ โดยเป็นการวิ่งในเวลา 3 วัน ระยะทางเกือบ 1,000 กม.

Roadster มีราคาขายในสหรัฐที่ US$109,000 หรือประมาณ 3,270,000 บาท ทั้งนี้เป็นราคาไม่นับรวมภาษี หากมีการนำมาขายในประเทศไทย เนื่องจากใช้ตัวถังจาก Lotus Elise gliders ซึ่งมีสัญญาใช้อยู่ 2400 คัน ซึ่งจะหมดอายุภายในปี ค.ศ. 2011 ส่วนรถรุ่นต่อไปที่จะมีการผลิตต้องรอไปปี ค.ศ. 2013

Saturday, May 21, 2011

ประวัติ อับราฮัม ลินคอล์น (Lincoln, Abraham)

ประวัติ อับราฮัม ลินคอล์น (Lincoln, Abraham)

ภาภัทร อัศวเรขา
แปลและเรียบเรียง

Keywords: CW105, วิทยุชุมชน ประธานาธิบดีสหรัฐ
Updated: Wednesday, January 04, 2006

ความนำ

อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 ในบ้านไม้ที่ทำจากท่อนซุง (log cabin) ในแถบชนบทของฮาร์ดิน เคาน์ตี้ (Hardin County) รัฐเคนตักกี้ พ่อของเขาชื่อ โทมัส ลินคอล์น (Thomas Lincoln) เป็นช่างไม้และชาวนาที่อยู่ไม่เป็นที่และมีฐานะยากจนมาก แม่ของเขาชื่อ แนนซี่ แฮงค์ (Nancy Hank) ซึ่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1818 หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวของเขาได้ย้ายไปตั้งรกรากในบริเวณป่าซึ่งปัจจุบันคือ บริเวณเขตอุตสาหกรรมสเปนเซอร์ เคาน์ตี้ (Spencer County Industry) และได้แต่งงานกับหญิงม่ายชื่อ ซาราห์ บุช จอห์นสตัน (Sarah Bush Johnston) เธอเป็นแม่เลี้ยงที่ใจดีและรักอับราฮัมมาก อับราฮัมแทบจะไม่เคยเรียนในโรงเรียนเลย เขาเรียนด้วยตัวเองจากการอ่านหนังสือ การท่องโลกกว้างครั้งแรกของเขาคือ การล่องเรือตามแม่น้ำไปยังนิวออลีนส์ในปี ค.ศ. 1828 และในปี ค.ศ. 1830 ครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมคอน เคานท์ตี้ (Macon County) รัฐอิลลินอยส์

หลังจากที่ได้ไปที่นิวออลีนส์อีกครั้ง อับราฮัมได้กลับไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองนิวซาเล็ม รัฐอิลลินอยส์ในปี ค.ศ. 1831 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองสปริงฟิลด์นัก เขาได้เริ่มทำงานในร้านขายของและดูแลโรงสี เขาเป็นที่ชื่นชอบของคนในแถบนั้นเพราะความขยันขันแข็งและความสามารถในการเล่าเรื่อง แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะนิสัยของเขาที่ซื่อสัตย์และจริงใจมากกว่า เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่มอาสาสมัครเพื่อเข้าร่วมสงครามแบลค ฮอว์ค (Black Hawk War) ในปี ค.ศ. 1832 แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม

เมื่อกลับมาที่นิวซาเล็ม เขาได้เป็นหุ้นส่วนในร้านขายของชำ ซึ่งต่อมากิจการได้ขาดทุนและทำให้เขาเป็นหนี้จำนวนมาก หลังจากนั้นเขาได้ทำงานเป็นนักสำรวจ หัวหน้าไปรษณีย์หมู่บ้านและทำงานแปลกๆ หลายอย่าง รวมทั้งสับรางรถไฟ ในขณะเดียวกัน ก็ได้พัฒนาการศึกษาของเขาด้วยการเรียนกฎหมาย และได้มีความสัมพันธ์กับแอน รัทเลดจ์ (Ann Rutledge) ในช่วงเวลานั้น

อาชีพทางการเมืองในช่วงแรก

อับราฮัมได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการรัฐในปี ค.ศ. 1834 และได้ดำรงตำแหน่งติดต่อกับถึง 4 สมัย จนถึงปี ค.ศ. 1841 และได้มีบทบาทสำคัญในฐานะกลุ่มพรรครีพับบลิกัน (Republican Party) ในปี ค.ศ. 1836 เขาได้รับใบอนุญาตประกอบอาชีพทนายความและได้ย้ายไปที่เมืองสปริงฟิลด์ (Springfield) ในปีถัดมา โดยได้เป็นหุ้นส่วนทางกฎหมายของจอห์น ที สจ๊วต (John T. Stuart) ซึ่งเขาก็ได้งานว่าความเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จของการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากสตีเฟ่น ที โลแกน (Stephen T. Logan) และวิลเลียม เอช. เฮิร์นดอน (William H. Herndon) ซึ่งบุคคลผู้นี้เป็นผู้เขียนอัตชีวประวัติของอับราฮัมในเวลาต่อมา อับราฮัมได้ฉายแววทางด้านกฎหมายจากการโต้แย้งแสดงเหตุผล ความจริงใจ ประเด็นเรื่องสีผิว และการพูดที่เข้าใจได้ง่ายและชัดเจน

ในปี ค.ศ. 1842 เขาได้แต่งงานกับแมรี่ ทอดด์ (Mary Todd) หลังจากที่มีปัญหาติดพันผู้หญิง เขายังคงสนใจในการเมืองและได้ทำงานในสภาคองเกรส 1 สมัย (ค.ศ. 1847 - 1849) แต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียง ทั้งนี้เขาได้สนับสนุนสงครามเม็กซิกัน (Mexican War) ทำให้เขาเสียความนิยมลงไป เขาได้เตรียมตัวอย่างหนักในการเลือกตั้งผู้สมัครพรรครีพับลิกัน ในปี ค.ศ. 1848 แต่สอบตก เขาจึงหันหลังให้กับการเมืองและกลับไปทำงานด้านกฎหมาย

ประเด็นเรื่องทาสและการอภิปรายหาเสียงระหว่างลินคอล์นกับดักลาส

อับราฮัมได้กลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งในปี ค.ศ. 1854 โดยจับประเด็นด้านความขัดแย้งเรื่องทาส เขาคัดค้านนโยบายของสตีเฟ่น เอ. ดักลาส (Stephen A. Douglas) อย่างชัดเจน และร่างกฎหมายแคนซัส-เนบราสกาเป็นพิเศษ เขาได้โจมตีการประนีประนอมเกี่ยวกับเรื่องทาสและเสนอแนวคิดประชาธิปไตยในการประกาศเอกราชไว้ในสุนทรพจน์ที่เมืองสปริงฟิลด์และพีโอเรีย (Peoria) ในปี ค.ศ. 1855 เขาลงสมัครวุฒิสมาชิกแต่สอบตกอีกครั้ง

เมื่อเริ่มเข้าใจว่า เขามาผิดทาง จึงได้เข้าพรรครีพับลิกัน (Republican Party) ในปี ค.ศ. 1856 และกลายเป็นตัวเด่นในพรรคอย่างรวดเร็วในฐานะผู้คัดค้านเรื่องทาส ซึ่งด้วยท่าทีของเขา ทำให้สามารถได้รับการยอมรับจากทั้งกลุ่มก้าวหน้า ผู้ต้องการเลิกล้มระบบทาสและกลุ่มรัฐอิสระที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมและยังไม่ฝักไฝ่ด้านใด ในการประชุมระดับประเทศของพรรคในปี ค.ศ. 1856 เขามีความสำคัญในฐานะตัวเก็งผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี สองปีต่อมาทางพรรคฯได้แต่งตั้งให้เขาเป็นตัวแทนเพื่อชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกในรัฐอิลลินอยส์กับดักลาส

หลังจากนั้นเขาได้ประกาศสนับสนุนสหภาพ (The Union) ซึ่งหมายถึงรัฐที่ยังร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ ว่า สภาที่ถูกแบ่งแยกออกจากกันจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ โครงการรณรงค์ที่ตามมากประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ อับราฮัมได้ท้าทายดักลาสด้วยประเด็นเกี่ยวกับความจำเป็นในการอยู่ร่วมกันและความเป็นประชาธิปไตย เขาไม่ได้เป็นพวกเลิกล้มทาส แต่เห็นว่า ทาสเป็นเรื่องของความอยุติธรรมและเป็นความชั่วร้าย

การเป็นประธานาธิบดี

ถึงแม้ว่าดักลาสจะชนะการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก อับราฮัมก็ยังคงอภิปรายหาเสียงต่อไปในฐานะผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาออกปราศรัยครั้งแรกที่คูเปอร์ ยูเนี่ยน (Cooper Union) เมืองนิวยอร์คซิตี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1860 เขาได้รับความนิยมจากรัฐที่ต่อต้านระบบทาส และต้องชิงตำแหน่งกับดักลาส จอห์น ซี. เบร็คคินริดจ์ (John C. Breckinridge) และจอห์น เบลล์ (John Bell) ในที่สุดอับราฮัมก็ชนะการเลือกตั้งจากเสียงข้างมากของกลุ่มผู้แทนรัฐ แต่ได้รับเสียงไม่มากนักจากเสียงประชาชน (Popular Vote)

สำหรับฝ่ายใต้ การเลือกตั้งของอับราฮัมถือเป็นสัญญาณของการแบ่งแยกดินแดน แผนการประนีประนอมทั้งหมดที่เสนอโดยจอห์น เจ คริทเทนเดน (John J. Crittenden) ได้ตกไปและในขณะที่อับราฮัมเข้ารับตำแหน่ง ได้มีรัฐทางใต้ 7 รัฐที่แยกตัวออกไปแล้ว

รัฐทางใต้ 7 รัฐที่ได้แยกตัวออกมาและตั้งชื่อใหม่เป็น "The Confederate States" ในวันที่ 4กุมภาพันธ์ คงศ. 1861 รัฐทางใต้ 7 อันเป็นรัฐที่สนับสนุนการมีระบบทาส ได้แก่ (1) South Carolina (2) Mississippi (3) Florida (4) Alabama (5) Georgia (6) Texas และ (7) Louisiana

แม้รัฐทางใต้ได้ประกาศแยกตัวออกไป แต่อับราฮัมก็ยังมุ่งที่จะรักษาสหภาพไว้ และเขาได้ประณามการแยกตัวของรัฐเหล่านั้น โดยให้สัญญาว่า จะไม่ใช้กำลัง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สั่งให้ทหารเตรียมประจำการไว้ที่ป้อมซัมเทอร์ (Fort Sumter) โดยผ่ายใต้ถือว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการก่อสงคราม เมื่อป้อมฯถูกยิง สงครามกลางเมืองจึงเริ่มขึ้นในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861

ถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับการบริหารประเทศของอับราฮัม เขาก็ได้ใช้ความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งในการจัดการปัญหาต่างๆ โดยได้ออกหมายเรียกทหารทันที และส่งเรือรบปิดเมืองท่าต่างๆของรัฐทางฝ่ายใต้ซึ่งเรียกตัวเองว่า สหพันธรัฐอเมริกา (The Confederate) และได้ระงับหมายเรียกตัวผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่คุมขังมายังศาลเพื่อพิจารณาว่า ถูกคุมขังโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แต่อับราฮัมก็ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยใช้อำนาจที่มีอยู่แต่ก็มีข้อผูกมัดและอุปสรรคต่างๆที่เป็นผลมาจากสงครามและความขัดแย้งของคนในพรรคเดียวกัน คณะรัฐมนตรีซึ่งเต็มไปด้วยความริษยาและความเกลียดชังกันเอง กลุ่มผู้สนับสนุนการเลิกทาสได้ประณามเขาว่า เขาใช้วิธีที่นุ่มนวลเกินไป ในขณะที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมต่างหมดหวังที่จะได้ชัยชนะในสงคราม

ในช่วงสงคราม อับราฮัมได้ใช้ความอดทนและสติปัญญาในการเริ่มทำสงครามกับฝ่ายเหนือก่อน เขาได้ตัดสินใจผิดพลาดทางด้านการทหาร เช่น การสั่งบุกรัฐเวอร์จิเนียที่ทำให้ฝ่ายสหภาพพ่ายแพ้ในสงคราม Bull Run ในช่วงแรกของสงคราม เขาได้ยกเลิกคำสั่งของจอห์น ซี เฟรมอง (John C. Fremont) และ การปลดปล่อยทาสในกองทัพของเดวิด ฮันเตอร์ (David Hunter) อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของฝ่ายสหภาพที่แอนเทียทัม (Antietam) ได้เป็นรากฐานที่สำคัญที่ทำให้เขาออกประกาศการเลิกทาส (Emancipation Proclamation) ได้ สงครามครั้งนี้ อับราฮัมมีจุดประสงค์หลักคือ การรักษาสหภาพไว้ ความเศร้าสลดและความจำเป็นทำให้เขาสะเทือนใจและได้กล่าวสดุดีเพื่อไว้อาลัยให้กับทหารที่สุสานในเมืองเกทตี้สเบิร์ก (Gettysburg) ในปี ค.ศ. 1863 ในขณะนั้นเขาถูกคุกคามจากการลาออกของหัวหน้าพรรครีพับบลิกันและพรรคฝ่ายค้านในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ที่ย่ำแย่ในปี ค.ศ. 1864 แต่สิ่งที่ดีทางด้านการทหารได้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง หลังจากที่แกรนท์ (Grant) ได้มาเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่วิลเลียม ที เชอร์แมน (William T. Sherman) ยึดแอตแลนต้าได้

อับราฮัมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหลังจากที่ได้คะแนนเสียงข้างมาก โดยชนะจอร์จ บี แมคเคลแลน (George B. McClellan) สุนทรพจน์ในการเข้ารับตำแหน่งครั้งที่ 2 นี้กล่าวเมื่อสงครามใกล้จะยุติลง โดยเรียกร้องให้ประเทศใหม่ที่เกิดท่ามกลางเถ้าถ่านของฝ่ายใต้ ซึ่งมีมุมมองด้านการให้อภัยที่ได้กล่าวไว้ว่า ไม่ประสงค์ร้ายใคร และด้วยกุศลจิตสำหรับทุกคน (With malice to none: with charity to all) เขามีชีวิตอยู่จนได้เห็นสงครามยุติลง แต่ไม่ได้มีโอกาสดำเนินแผนการบูรณะประเทศ ในคืนวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1865 เขาถูกลอบยิงในโรงละครฟอร์ดเธียร์เตอร์ (Ford’s Theater) และเสียชีวิตในเช้าวันต่อมา ฆาตกรเป็นนักแสดงชื่อ จอห์น วิลกี้ส์ บู้ธ (John Wilkes Booth) การตายของเขายังความเศร้าสลดแม้แต่ในกลุ่มฝ่ายค้านและหลายคนเห็นว่าเขาคือ ผู้เสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์

ตำนานลินคอล์น

เมื่อเวลาผ่านไป อับราฮัมกลายเป็นเสมือนสิ่งที่ได้รับการสรรเสริญเยินยอ ตำนานลินคอล์นจึงเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีความผิดพลาดหลายอย่าง แต่เขาก็เป็นที่ยอมรับในฐานะรัฐบุรุษที่มีวิสัยทัศน์ด้านคุณธรรม มนุษยธรรมและทักษะด้านการเมืองที่โดดเด่น จึงไม่น่าประหลาดใจว่า คนสับรางรถไฟรัฐอิลลินอยส์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยของอเมริกา ภาพเขียน รูปปั้นและสถาปัตยกรรมต่างๆที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่เขาได้มีอยู่ดาษดื่น อนุสรณ์สถานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอยู่ที่บ้านเกิดของเขาที่เมืองสปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์และอนุสรณสถานลินคอล์นเ (Lincoln Memorial) ณ กรุงวอชิงตันดีซี

จงมีเมตตาแม้แต่กับศัตรู - อับราฮัม ลินคอล์น

จงมีเมตตาแม้แต่กับศัตรู

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: proverb, quote, สุภาษิต, คำสอน, คำกล่าว, ความเมตตา, ความเป็นผู้นำ

I have always found that mercy bears richer fruits than strict justice. - Abraham Lincoln
ฉันพบว่าความเมตตาให้ผลที่ดีกว่าใช้เพียงหลักความยุติธรรมอย่างเคร่งครัด อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln)

ภาพวาด ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln)

อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 เสียขขีวิตเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1865 ด้วยการถูกลอบสังหาร รวมอายุได้ 56 ปี

ในฐานะประธานาธิบดีผู้นำประเทศสหรัฐอเมริกา เขาได้นำประเทศฟันฝ่าวิกฤติทางรัฐธรรมนูญ ทางการทหาร และทางศีลธรรม ที่ตัดสินกันด้วยสงครามกลางเมืองที่เรียกกันว่า American Civil War เพื่อรักษาความเป็นสหรัฐ (Union) ที่เป็นหนึ่งเดียว และดำรงหลักการเลิกทาส และส่งเสริมความทันสมัยก้าวหน้าทางเศรษฐกิจใหม่

ลินคอล์นเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนทางด้านตะวันตกของประเทศในขณะนั้น เขาได้รับการศึกษาด้วยการต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง จนกระทั่งเขาได้กลายเป็นนักกฎหมายในเขตชนบทที่ประสบความสำเร็จ เขาได้เข้าทำงานการเมือง ด้วยการรับเลือกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์ (Illinois state legislator) ต่อมา ได้ทำงานหนึ่งสมัยในฐานะตัวแทนในสภาผู้แทนราษฏรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States House of Representatives) แต่ล้มเหลวทั้งสองครั้งที่จะได้เข้าไปทำงานในวุฒิสภาของสหรัฐ (United States Senate) เขาเป็นพ่อที่ให้ความรักต่อลูกๆทั้ง 4 คน เป็นสามีที่ดีของภรรยา แม้เขาจะห่างเหินด้วยหน้าที่การงาน

ในฐานะนักการเมือง เขาเป็นคนยืนหยัดต่อต้านการค้าและใช้แรงงานทาสในสหรัฐอเมริกา (Slavery in the United States) อย่างแข็งขัน โดยเขาทั้งรณรงค์โต้วาทีและกล่าวสุนทรพจน์ ลินคอล์นได้รับการเสนอชื่อโดยพรรครีพับลิกันให้เป็นตัวแทนแข่งขันเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แล้วเขาก็ได้รับเลือกในปี ค.ศ. 1960 (Elected president in 1860) ซึ่งหมายถึงสหรัฐอเมริกา จะเป็นหนึ่งเดียว และต้องจริงจังกับการเลิกการค้าทาส ซึ่งทำให้ขัดกับพวกฝ่ายใต้ ซึ่งยังมีการใช้แรงงานทาสในทางการเกษตรกันอย่างกว้างขวาง

เมื่อรัฐฝ่ายใต้ประกาศแยกประเทศ จึงได้เกิดสงครามขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 1861 และในช่วงนี้ ลินคอลน์ในฐานะประธานาธิบดีต้องให้ความสำคัญต่อการทหารและการเมือง ทำสงครามเพื่อยังคงรักษาประเทศให้ยังเป็นหนึ่งเดียว เขาใช้อำนาจในการทำสงครามอย่างที่ไม่เคยมาก่อน รวมถึงการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพวกแบ่งแยกดินแดน (suspected secessionists) จำนวนหลายพันคน โดยไม่มีการสอบสวน

เขาป้องกันอังกฤษที่จะรับรองฝ่ายใต้ (Confederacy) โดยใช้การอ้างถึงข้อตกลง Trent affair ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1861 ในปี ค.ศ. 1863 เขาได้ประกาศ “การปลดปล่อยทาศ” (Emancipation Proclamation) ปรับแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 13 (Thirteenth Amendment) ให้การค้าทาสเป็นสิ่งผิดกฏหมายในสหรัฐ

ในช่วงสงคราม ลินคอลน์ดูแลกิจการเกี่ยวกับสงคราม โดยเฉพาะการเลือกนายพลที่จะเข้าทำหน้าที่รบ รวมถึงการสั่งให้นายพล Ulysses S. Grant เป็นผู้นำทัพของรัฐบาลกลาง เขาต้องนำผู้นำจากหลายฝ่ายภายในพรรคของเขาเองที่ยังขัดแย้งแตกแยกกัน ให้เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรี และบีบให้คนเหล่านี้ต้องทำงานอย่างร่วมมือกัน เขาเลือกใช้คนตามความสามารถ แม้ว่าคนเหล่านั้นอาจเป็นเคยเป็นศัตรูทางการเมือง ที่อาจชอบหรือไม่ชอบเขา

ภายใต้การนำของเขา กองทัพของรัฐบาล (Union) ได้เข้าควบคุมบริเวณพรมแดนของร้ฐฝ่ายใต้ (border slave states) โดยพยายามรุกเข้าไปถึงเมืองหลวงของรัฐฝ่ายใต้ที่ตั้งอยู่ที่เมือง Richmond ในแต่ละครั้งที่นายพลนำทัพกระทำการไม่สำเร็จ เขาเปลี่ยนคนนำใหม่ จนกระทั่งนายพลแกรนท์ (Grant) กระทำการสำเร็จในปี ค.ศ. 1865

ในฐานะนักการเมือง เขาใช้อำนาจเข้าไปในแต่ละรัฐ เพื่อเข้าถึงพรรคฝ่ายตรงกันข้ามที่เข้าร่วมสงคราม (War Democrats) และทำให้เขาได้รับเลือกตั้งอีกครั้งที่จะเป็นประธานาธิบดีต่อเป็นสมัยที่สอง (1864 presidential election) ในฐานะผู้นำของฝ่ายสายกลางของพรรครีพับลิกันเอง ลินคอลน์ถูกโจมตีจากหลายฝ่ายรอบด้าน ฝ่ายรีพับลิกันหัวรุนแรง (Radical Republicans) ต้องการให้เขาจัดการกับฝ่ายใต้ผู้แพ้สงครามอย่างรุนแรง ฝ่ายที่เป็นพรรคดีโมแครตอันเป็นพรรคฝ่ายตรงข้าม ต้องการให้มีการประนีประนอมมากกว่า แต่พวกที่แบ่งแยกดินแดนมองเห็นเขาเป็นศัตรู แต่ลินคอล์นตอบกลับ โดยเรียกร้องประชาชนอเมริกันด้วยอำนาจจากความเป็นนักพูด ดังปรากฏในคำกล่าวสุนทรพจน์แห่งเกตติสเบอร์ก (Gettysburg Address) ในปี ค.ศ. 1863 ซึ่งเป็นสุนทรพจน์ที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน มันเป็นคำประกาศของอเมริกันที่อุทิศให้กับหลักการแห่งชาติที่เป็นหนึ่งเดียว การให้สิทธิประชาชนอย่างเท่าเทียม การยึดมั่นในเสรีภาพ และหลักการประชาธิปไตย

ในช่วงสุดท้ายของสงคราม ทัศนะของลินคอล์นเป็นสายกลาง (Reconstruction) เน้นการกลับมาสร้างชาติ เร่งรัดการกลับมาเป็นหนึ่งเดียว โดยใช้หลักสมานฉันท์ แม้ทั้งสองฝ่ายจะยังมีความขัดแย้งครุกรุ่นหลังสงครามที่สร้างความเสียหาย การบาดเจ็บล้มตายของทหารและพลเรือนของทั้งสองฝ่าย

ลินคอล์นถูกยิงหลังจากที่ฝ่ายใต้ โดยนายพล Robert E. Lee ประกาศยอมแพ้แล้ว เพียง 6 วัน และนับเป็นการลอบสังหารบุคคลระดับประธานาธิบดีของสหรัฐเป็นครั้งแรก ลินคอล์นได้รับการจัดอันดับโดยผู้ศึกษาเกี่ยวกับอเมริกันส่วนใหญ่ให้เป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

ผู้นำที่ดีต้องมีความมั่นใจ

ผู้นำที่ดีต้องมีความมั่นใจ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

จากบทความเรื่อง “Seven Personal Characteristics Of A Good Leader” โดย Barbara White

A good leader is confident.
ผู้นำที่ดีต้องมีความมั่นใจ

ในการนำและกำหนดทิศทาง ผู้นำจำเป็นต้องฉายภาพของคนที่มั่นใจในสิ่งที่จะทำ และต้องแสดงอยู่ในบทบาทของผู้นำ (Leadership role) และคนที่จะเป็นผู้นำนั้นต้องมีแรงดลใจที่จะทำให้คนอื่นๆเกิดความมั่นใจที่จะตามมา เกิดความไว้วางใจและคนทำงานมีความทุ่มเทให้กับทีมงานที่จะทำงานนั้นๆให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผู้นำต้องสามารถสื่อความมั่นใจในวัตถุประสงค์ที่นำเสนอ อาจจะสื่อด้วยเหตุผลคำอธิบาย ด้วยประสบการณ์ หรือด้วยวิสัยทัศน์ และท้ายสุดสามารถดึงความพยายามในการทำงานจากสมาชิกร่วมงานได้อย่างดีที่สุด

อันบทบาทผู้นำนั้น ไม่จำเป็นต้องทำในทุกเรื่องที่ได้คิด หรือมีคนเสนอ ผู้นำต้องศึกษาความจำเป็น หาทางเลือกในการดำเนินการไปสู่เป้าหมายนั้นๆ และตัดสินใจในทางเลือกนั้นๆ อาจจะด้วยหมู่คณะ หรือต้องนำด้วยตนเองในการตัดสินใจ ก่อนการตัดสินใจ ก็อาจต้องฟังกันให้มากๆ สื่อสารกันให้ดี แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ไม่ลังเลที่จะเดินหน้าเพื่อทำงานนั้นๆไปสู่ความสำเร็จ การนำก็เหมือนกับศิลปินวาดภาพจีนที่ต้องตระหวัดพู่กันไปแต่ละครั้งอย่างมั่นใจ เมื่อมีการออกคำสั่งแต่ละครั้ง ผู้นำก็ต้องตรวจสอบให้ดี สั่งให้ชัดเจน ไม่ใช่สั่งแล้วเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คนตามก็จะเกิดความสับสน