Monday, December 31, 2012

เครื่องบินพาณิชย์แนวคิดไฟฟ้าลูกประสม SUGAR Volt


เครื่องบินพาณิชย์แนวคิดไฟฟ้าลูกประสม SUGAR Volt

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: พลังงาน, Energy, สิ่งแวดล้อม, ecology,


ภาพ เครื่องบินพาณิชย์แนวคิดไฟฟ้าลูกประสม SUGAR Volt

หากมีการพูดถึงเรื่องเครื่องบินใช้พลังงานไฟฟ้า ใช้แบตเตอรี่ หรือพลังแสงอาทิตย์ในช่วงเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาจะมีคนมองเห็นเป็นเรื่องขำขัน แต่ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินก็ต้องคิดและวิจัยอย่างหนัก  ถึงความเป็นไปได้ในการใช้พลังไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเครื่องบิน เหมือนกับที่อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังวิจัยและพัฒนาอย่างหนัก

เครื่องบินแนวคิด SUGAR Volt มาจากคำว่า Subsonic Ultra Green Aircraft Research หรือเครื่องบินที่บินด้วยความเร็วต่ำกว่าเสียง ส่วน Volt หมายถึงเครื่องบินนี้ใช้พลังไฟฟ้าเพื่อทดแทนการเผาน้ำมันบางส่วน และเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานในอนาคต

SUGAR Volt ออกแบบโดยทีมวิจัยของบริษัท Boeing company ผู้ผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่ของอเมริกา และใหญ่ที่สุดในโลก โดยเป็นคำขอจากองค์การอวกาศแห่งสหรัฐ NASA เพื่อให้สร้างแนวคิดสำหรับอากาศยานในอนาคต ซึ่งน้ำมันในอีก 15-20 ปีจะเป็นสิ่งหายาก และมีราคาแพง

SUGAR Volt เป็นเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์ที่ใช้กังหันแก๊ส (Gas turbine) และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ (Battery technology) ลำตัวเป็นลักษณะท่อตรง ปีกวางตำแหน่งด้านบนของลำตัว มีสายรัดเสริมความแข็งแรง มีปีกโดยรวมที่มีปลายด้านหนึ่งไปสุดอีกด้านหนึ่งที่ยาวกว่าลำตัว และยาวกว่าเครื่องบินทั่วไป โดยหลักการ ปีกที่ยาวสามารถพับได้ เพื่อทำให้สะดวกในการจอดเครื่องและเพื่อความปลอดภัย

และด้วยวิทยาการด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ จะทำให้การใช้เครื่องยนต์พลังงานเทอร์โบไฟฟ้าลูกประสม (Hybrid turbo-electric propulsion system) สามารถใช้พลังได้ทั้งจากเชื้อเพลิงเผาไหม้และไฟฟ้าที่จะไปหมุนกังหันใบพัด มันถูกออกแบบมาเพื่อให้พลังในการออกตัวบินขึ้น (Take off) บินได้ด้วยระดับความเร็ว Mach 0.79 จุผู้โดยสารได้ 154 คน และบินได้ระยะทาง 5,600 กิโลเมตร

ผลในทางสิ่งแวดล้อม SUGAR Volt จะเผาผลาญพลังงานลดลงร้อยละ 70 จากเครื่องบินที่ใช้ในธุรกิจสายการบินปัจจุบัน และระดับมลพิษทางเสียงจะลดลงกว่าเครื่องในสายการบินปัจจุบันเช่นกัน

ผลไม้ที่มีคุณสมบัติเป็นยา - มะม่วงหาวมะนาวโห่ (Carissa carandas)


ผลไม้ที่มีคุณสมบัติเป็นยา - มะม่วงหาวมะนาวโห่ (Carissa carandas)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: โภชนาการ, nutrition, อาหาร, food, ผลไม้, fruit, karonda, มะม่วงหาว มะนาวโห่, cherry, gout, uric acid,

ความนำ

เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีข้อมูลทางการแพทย์และโภชนาการแจ้งมาว่า เชอรี่ (Cherry) เป็นผลไม้ที่มีส่วนเป็นยา สามารถลดหรือขับกรดยูริคในร่างกายของผู้ป่วยได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคเก๊าท์ (Gout) นับเป็นข้อมูลที่ดี เพราะคนป่วยนั้น มักจะถูกห้างกินนั้นกินนี่ แต่ปัญหาก็คือ ผลเชอรี่เป็นผลไม้ที่ปลูกในต่างประเทศ และยากแก่การขนส่งข้ามประเทศ ดังจากสหรัฐต้องขนมาขายในประเทศไทย ดังนั้นจึงมีราคาแพง ตกกิโลกรัมละ 1,500 บาท เขาแบ่งเป็นแพ็คๆละ 500 บาท เหมาะสำหรับเป็นของขวัญให้กับผู้ป่วย แต่ราคาสูงเกินไปที่จะกินเป็นประจำวัน

คงต้องหาพืชผลไม้ที่คุณสมบัติเป็นยา ที่มีปลูกกันในประเทศไทยหรือเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ มีราคาไม่แพง ใช้เป็นอาหารประจำวันได้สะดวกใจยิ่งขึ้น

เมื่อเร็วๆนี้ มีเพื่อนที่เขาสนใจในการรักษาพยาบาลแบบธรรมชาติบำบัด แล้วเขาแนะนำพืชอย่างหนึ่งที่เป็นที่ตื่นตัวกันปลูก คือ “มะม่วงหาวมะนาวโห่” ซึ่งจะขอนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน


ภาพ มะม่วงหาวมะนาวโห่ เมื่อยังอยู่บ้นต้น


ภาพ มะม่วงหาวมะนาวโห่ ที่ยังไม่สุกดีนัก จะมีสีชมพูด แต่เมื่อสุกแล้วจะมีสีแดงเข้มขึ้นไปเรื่อยๆ


ภาพ ผลมะม่วงหามะนาวโห่ ขณะที่ยังอยู่บนต้น มีสีทีแดงแล้ว


จาก Wikipedia - มะม่วงหาวมะนาวโห่ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Carissa carandas เป็นพันธุ์ไม้พุ่มอยู่ในตระกูล dogbane family, Apocynaceae ให้ผลเป็นผลไม้ขนาดเล็ก (Berry-sized fruits) ซึ่งใช้ทำเป็นส่วนของเครื่องปรุงรสอาหาร (condiment) ใส่ในเครื่องปรุงผักดองเปรียวของอินเดีย (Indian pickles)

Condiment = เครื่องปรุงอาหาร
Shrub = ไม้พุ่ม
Berry = ผลไม้เล็ก
Indian pickle = เครื่องปรุงดองเปรี้ยว

มะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูงราว 2-5 เมตร ตามลำต้นและกิ่งก้านหากเด็ด หรือหักออกมา จะมียางสีขาว และมีหนามแหลมยาว ใบเป็นใบเดี่ยว รูปไข่กลับ เรียงตรงข้าม ขอบใบเรียบ ผิวใบมัน เนื้อใบ เรียบ ดอกเล็กสีขาวออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง โคนดอกมีสีชมพูหรือแดงอ่อน และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกตลอดปี ส่วนผลเป็นผลเดี่ยวออกรวมกันเป็นช่อ ผลอ่อนจะมีสีชมพูอ่อนๆ และค่อยๆ เข้มขึ้นเป็นสีแดง กระทั่งสุกจึงกลายเป็นสีดำ

มะม่วงหามะนาวโห่ เป็นพืชที่มีความอดทน ทนความแห้งแล้ง แม้ขาดน้ำบ้าง สามารถปลูกได้ดีในสภาพดินหลายแบบ มีชื่อเรียกต่างๆกันตามท้องถิ่นว่า คารอนดา (karonda : Devanagari: करोंदा), คารัมมาดักกะ (karamardhaka : Sanskrit), วัคเคย์ (vakkay: ในภาษา Telugu), คาลาไก (kalakai: ในภาษาทมิฬ Tamil), และรู้จักกันแต่ไม่กว้างขวางนักในชื่อ rekarau(n)da, karanda, หรือ karamda
ในประเทศมาเลเซียเรียกว่า kerendai แต่ในส่วนของมะลายาและอินเดีย เรียกว่า karaunda และในภูมิภาคเบงกอล เรียก currant หรือ หนามพระเยซู (Christ's thorn) ในอินเดียตอนใต้ ส่วนในประเทศไทยเรียก หนามพร้อม หรือหนามแดง (Nam phrom, หรือ Namdaeng) ในประเทศฟิลิปปินส์เรียกว่า Caramba, Caranda, Caraunda และ Perunkila  ส่วนในรัฐอัสสัมทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เรียกว่า Karja tenga

จากมุสลิมไทยโพสต์ – มะม่วงหาวมะนาวโห่ - หรือ หนามแดงมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Carissa carandas Linn. อยู่ในวงศ์ Apocynaceae มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น มะนาวไม่รู้โห่ (ภาคกลาง), มะนาวโห่ (ภาคใต้), หนามขี้แฮด (เชียงใหม่), หนามแดง (กรุงเทพฯ) เป็นต้น

แสดงว่าที่กล่าวมานี้ เป็นพืชเดียวกัน แต่มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน จึงขอใช้ชื่อเรียกว่า "มะม่วงหาวมะนาวโห่" ตามที่เข้าใจ

การแพร่กระจาย (Distribution)

มะม่วงหามะนาวโห่ เป็นพืชที่ปลูกได้ในเขตร้อน หรือร้อนชื้น ปลูกตามธรรมชาติได้ในแถบเทือกเขาหิมาลัยในระดับสูงจากน้ำทะเลระหว่าง 300 ถึง 1800 เมตร ในเขตเทือกเขาศิวาลิค (Siwalik Hills), ทางตะวันตกของกัตส์ (Western Ghats) พบปลูกในประเทศเนปาล (Nepal) และอัฟกานิสถาน (Afghanistan) ในปัจจุบันมีการปลูกกันในเขต ราชาสถาน (Rajasthan), คุชานาต (Gujarat), พิหาร (Bihar) และอุตรประเทศ (Uttar Pradesh), ของประเทศอินเดีย (India) และในประเทศศรีลังกา (Sri Lanka) พบว่าปลูกในที่ราบเขตป่าฝนชุก

มะม่วงหามะนาวโห่ พืชนี้จึงสามารถปลูกได้ตามธรรมชาติในประเทศไทย และได้พบว่ามีการเผยแพร่ปลูกกันแล้ว

การใช้ประโยชน์ (Uses)

มะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยธาตุเหล็กและมีส่วนผสมของวิตามินซี (Vitamin C) อยู่มาก มีการใช้เป็นอาหารซ่อมเสริมสำหรับผู้ขาดวิตามินซี ดังผู้ป่วยเป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน และบางครั้งสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง (anaemia) ผลที่สุกแล้วจะ มีรสเปรี้ยว เหมาะสำหรับทำผักดอง เมื่อแห้ง มีเปคติน (Pectin) และบดเป็นผง จะเป็นส่วนผสมของอาหารที่ให้ความเป็นเยื่อใย สามารถเป็นส่วนของอาหารพวกเยลลี่ (Jelly), แยม (Jam), น้ำเชื่อม (Syrup) และเครื่องปรุงเติมในอาหาร (Chutney) ให้ได้รสชาติ

เมื่อเด็ดจากต้น จะคายยางสีขาวออกมา ซึ่งทำให้คนที่จะนำไปบริโภค ควรทำให้สุก เพื่อลดผลจากความเป็นยางที่ยังไม่สุก

Pectin = ทำเป็นส่วนประสมอาหารที่ให้เพิ่มความข้น เป็นการเสริมเยื่อใย
Chutney (ชัดนีย์) = เครื่องปรุงแบบอินเดีย ซึ่งทำจากผลไม้ ผัก น้ำส้ม เครื่องเทศ และน้ำตาล เป็นการเพิ่มรสชาติอาหาร

การบริโภคผลไม้สมุนไพร "มะม่วงหาวมะนาวโห่"

วิธีกินทำเป็นอาหาร

น้ำมะม่วงไม่รู้หาว (ใส่เนื้อแก้วมังกร)

นำผลมะม่วงไม่รู้หาวมาล้างให้สะอาด ผ่าครึ่งเพื่อแยกเมล็ดออกแล้วนำไปต้ม

- ส่วนประกอบคือ

น้ำสะอาด 4 ลิตร; น้ำตาลทราย ๒ ขีด; ผลมะม่วงไม่รู้หาว ๒ ขีด
นำผลแก้วมังกรแดงมาล้างให้สะอาด ผ่าแล้วหั่นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสแล้วนำไปเชื่อม
- ส่วนประกอบคือ
น้ำสะอาด 100 ซีซี; น้ำตาลทราย ๒ ขีด หากจะทำให้ผู้ป่วยเป็นเบาหวาน จะลดน้ำตาลลงให้พอเหมาะก็ได้; เนื้อแก้วมังกรแดง ๒ ขีด; น้ำมะนาวคั้น ๑ ผล

ตักแก้วมังกรแดงเชื่อมใส่ก้นขวด แล้วเติมน้ำมะม่วงไม่รู้หาวให้เต็มขวด

ทำเป็นเครื่องดื่ม

เครื่องดื่มสมุนไพร น้ำมะม่วงไม่รู้หาว(ใส่เนื้อแก้วมังกร) ทำแล้วใส่ตู้เย็นไว้ดื่มช่วยให้หายอ่อนเพลีย
ลูกหนามแดงหรือมะม่วงไม่รู้หาวถ้ามีมากก็ผ่าแล้วตากแห้ง เก็บไว้ใช้เหมือนเก็บกระเจี๊ยบแดง อยากทำเมื่อไหร่ก็นำมาใช้โดยไม่ต้องรอตามฤดูกาล

ผลไม้สมุนไพร มะม่วงหาวมะนาวโห่ ช่วยรักษาโรค

เป็นผลไม้สมุนไพร ช่วยซ่อมร่างกาย  รับประทานสด ๆ วันละ 5-7 ลูก สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคปอด   หัวใจ  มะเร็ง  ถุงลมโป่งพอง  เบาหวาน  ไต เก๊าท์ ไทรอยด์ ช่วยขยายหลอดเลือด  เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง  มีหลายท่านว่ากันว่าอาการป่วยโรคดังกล่าว จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และสุขภาพดีขึ้นมาก ๆ

สิ่งที่กล่าวมานี้ เป็นการอ้างที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์อาหาร หรือทางการแพทย์ คงต้องมีการติดตาม ทำการวิจัยเพื่อให้ได้ความรู้ที่ชัดแจ้งด้วย


ภาพ พวงผลเชอรี่ (Cherry) ผลไม้จากตางประเทศ มีคุุณสมบัติเป็นยา ช่วยขับกรดยูริค แต่มีราคาแพงในประเทศไทย


ภาพ ผลเชอรี่ (Cherry) สีแดงเข้ม เป็นผลไม้มีประโยชน์หลายอย่าง แต่ราคาแพงในประเทศไทย เพราะยากในการเก็บรักษาให้สดได้ยาวนาน


ภาพ เครื่องเคียงที่ใช้กินกับอาหารหลักของอินเดีย Chutney ซึ่งใส่มะม่วงหาวมะนาวโห่ลงไปด้วยได้


ภาพ แยม (Jam) ที่ทำจากมะม่วงหาวมะนาวโห่ ซึ่่งมีส่วนผสมของน้ำตาล แล้วแต่จะเป็นสูตรสำหรับคนป่วย หรือคนสูงอายุหรือไม่ ก็สามารถปรับให้มีน้ำตาลในปริมาณควบคุม


ภาพ เครื่องเคียงที่ใช้กินกับอาหารจานหลักของอินเดีย Chutney ที่มีส่วนผสมของมะม่วงหาวมะนาวโห่ และมีหอมหัวใหญ่ (Onion) ด้วย


ภาพ Coriander Chutney สามารถใส่ส่วนผสมของมะม่วงหาวมะนาวโห่ บดหรือป่นลงไปร่วมด้วยได้ เป็นการเพิ่มเยื่อใย และเสริมรสชาติ เป็นเครื่องเคียงแบบอินเดีย


Sunday, December 30, 2012

กังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใบพัดกว้างเท่าๆกับปีกเครื่องบิน Airbus 380


กังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใบพัดกว้างเท่าๆกับปีกเครื่องบิน Airbus 380

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: พลังงาน, Energy, สิ่งแวดล้อม, ecology, กังหันลม, wind turbine, ไฟฟ้า, electricity, เดนมาร์ก, Denmark, Siemens

ศึกษาและเรียบเรียงจาก “The World’s Biggest Wind Turbine Is as Broad as an Airbus 380.” โดย Andrew Tarantola จาก GIZMODO, NOV 20, 2012 4:40 PM


ภาพ ฟาร์มกังหันลม ขนาด 6MW ติดตั้งนอกชายฝั่ง ที่ใช้กังหันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

กังหันลมพัฒนาเชิงพาณิชย์ชิ้นแรกโดยบริษัท Siemens เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มีขนาดใบพัดยาวเพียง 5 เมตร ผลิตไฟฟ้าได้ 30 กิโลวัตต์ (kW) แต่ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาพัฒนาการของกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้าได้เปลี่ยนไปมาก ปัจจุบันกังหันลมล่าสุดของบริษัท ไม่ใช่เพียงใหญ่ที่สุดในทะเล แต่ใหญ่ที่สุดในโลก

กังหันลมนี้มีชื่อว่า รุ่น STW-6.0-154 ผลิตไฟฟ้าได้ 6 ล้านวัตต์ (6MW) หรือประมาณ 25000 เท่าของกังหันไฟฟ้ารุ่นแรกที่ผลิต มันมีใบพัด (Blade) 3 ใบ ขนาดยาว 75 เมตร รวมวงใบพัดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ 154 เมตร ขนาดเท่ากับความกว้างของปีกเครื่องบิน  Airbus 380 อันเป็นเครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถผลิตไฟฟ้าให้สำหรับ 6,000 ครัวเรือน

บริษัท Siemens ผลิตกังหันขนาด 6 MW นี้ เพื่อใช้ในทะเล ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากกังหันที่จะติดตั้งบนบก โดยในทะเลที่อยู่ห่างไกลผู้คน เมื่อติดตั้งแล้ว ต้องให้มีความทนทานไม่เสียง่าย แต่ขณะเดียวกัน เมื่อมีขนาดใหญ่ แต่น้ำหนักเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพแล้วถือว่าเบา

บริเวณห้องเครื่อง ในส่วนหัวที่อยู่ข้างบน (Nacelle) มีขนาดเล็กพอที่จะใช้ปั้นจั่นยกชิ้นส่วนของเครื่องปั่นไฟ (Generator) ขึ้นไปติดตั้ง น้ำหนักเครื่อง (Nacelle) ทั้งหมด 200 ตัน เมื่อรวมห้องเครื่องทั้งหมด (Masthead) 300 ตัน เมื่อคิดรวมกับความคงทนเพราะแบบขนาดใหญ่แล้ว ทำให้ผู้ประกอบการมีผลกำไรที่ดีกว่า

ส่วนน้ำหนักของระบบกังหันลมที่ใช้เทคโนโลยี IntegralBlade technology จะสามารถลดน้ำหนักจากวิธีการผลิตกังหันลมทั่วไปถึงร้อยละ 20 กังหันลมออกแบบมาให้ใช้ใบพัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของวง 154 เมตร แต่ในบางเขตที่ใกล้สนามบิน มีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยให้สิ่งก่อสร้างต้องไม่สูงกว่า 150 เมตร จะเลือกใช้ใบพัดขนาดไม่เกิน 120 เมตรก็ได้

กังหันลมขนาดใหญ่ผลิตไฟฟ้าได้ 6 MW นี้ได้มีการติดตั้งที่ Østerild, ประเทศเดนมาร์ก (Denmark) ซึ่ง DONG บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของเดนมาร์ก ได้สั่งผลิต 300 ตัว ซึ่งในส่วนนี้ บางส่วนเพื่อการผลิตไฟฟ้าเขตนอกฝั่งของประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งได้มีการลงทุนไป 75,000 ล้านปอนด์ โดยหวังว่าภายในปี ค.ศ. 2020 จะใช้กังหันลมผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนร้อยละ 25 ของความต้องการทั้งหมด

ติดตามอ่านข่าว “บริษัท Vestas สร้างกังหันไฟฟ้าขนาด 8 ล้านวัตต์ ใหญ่ที่สุดในโลกhttp://pracob.blogspot.com/2012/10/vestas-8.html

รถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพใช้พลังงานที่สุดในโลก 147 กิโลเมตร/ลิตรเปรียบเทียบ


รถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพใช้พลังงานที่สุดในโลก 147 กิโลเมตร/ลิตรเปรียบเทียบ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: รถยนต์ไฟฟ้า, EV, electric car, microcar,
จากข่าว “Former F1 Designer’s Tiny EV Gets 350 MPGe.” โดย CHUCK SQUATRIGLIA 11.09.11 5:30 PM


ภาพ รถยนต์สุดยอดประหยัดพลังงานที่สุดของโลก T.25 และ T.27

รถยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบโดย Gordon Murray เพื่อแข่งขันใน Future Car Challenge สามารถบรรลุ 350 ไมล์/แกลลอน (mpg) เปรียบเทียบ หรือ 147.4 กิโลเมตร/ลิตร

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คันนี้ คือ Lilliputian T.27 วิ่งโดยใช้พลังงาน 7 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ได้ระยะทาง 57.13 ไมล์ ระหว่างเมืองไบรท์ตันไปยังกรุงลอนดอน ในประเทศสหราชอาณาจักร รถนี้ออกแบบโดยผู้ออกแบบรถยนต์แข่งใน Formula 1 และเป็นการชนะติดต่อกันในการแข่งขัน Royal Automobile Club’s Future Car Challenge การแข่งขันนี้ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าใครจะถึงจุดหมายก่อนกัน แต่เป็นการแข่งว่าใครจะใช้พลังงานน้อยที่สุดในช่วงเวลาและระยะทางที่กำหนด

การทำให้ยานพาหนะมีน้ำหนักเบาที่สุด นับเป็นเครื่องมือที่ดีที่จะแก้ปัญหาพลังงาน

ในปีที่ผ่านมา เขาใช้รถพลังเครื่องยนต์เผาไหม้ ชื่อ T.25 ซึ่งชนะการแข่งขันประสิทธิภาพการใช้น้ำมันมาแล้ว โดยหลักการออกแบบของ Murray คือ ทำให้รถมีน้ำหนักเบาที่สุด สำหรับในปีนี้ เขาพัฒนา T.27 ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบ ไม่ใช้การเผาไหม้ และหวังให้เป็นรถที่มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดที่ประชาชนทั่วไปจะมีใช้ได้

Murray เป็นนักออกแบบที่ให้ความสำคัญต่อน้ำหนักรถยนต์มาก เขาเห็นว่าการลดน้ำหนักรถยนต์เป็นวิธีการที่เร็วที่สุด ถูกที่สุดที่จะลดการใช้พลังงาน เพราะน้ำหนักเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้วิ่งได้ระยะทางน้อยลง หากตัดน้ำหนักออกไปได้ครึ่งหนึ่ง เราก็สามารถลดน้ำหนักของแบตเตอรี่ไปได้ครึ่งหนึ่ง เพราะความต้องการใช้พลังงานลดลงครึ่งหนึ่ง

รถยนต์ไฟฟ้า T.27 ที่ออกแบบมีขนาดกว้างเพียง 120 ซม. ยาว 240 ซม. รถของ Murray มีขนาดเล็กกว่า Smart ForTwo หรือ Scion iQ ของ Toyota สามารถจุคนได้ 3 คน หรือบรรจุของภายในได้ 750 ลูกบาตรลิตร หรือใส่ของได้ 26 ลูกบาตรฟุต มีน้ำหนักรวมแบตเตอรี่แล้ว 680 กิโลกรัม

รถยนต์รุ่น T.25 และ T.27 ใช้ตัวถังที่ประกอบด้วยวัสดุประสม Monocoque หลอมติดกับโครงที่เป็นเหล็กกลวงและตัวถังพลาสติก T.25 ได้รับมาตรฐาน 4 ดาวด้านความปลอดภัยของ Euro NCAP หลักของการออกแบบที่ดี คือทำให้รถยนต์เบากว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า

รถรุ่น T.27 ใช้พลังจากแบตเตอรี่ขนาด 12.5 กิโลวัตต์/ชั่วโมง (Kilowatt-hour) เพื่อเป็นพลังสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 25 กิโลวัตต์ ความเร็วสูงสุด 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง (KPH) ทำความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรในเวลา 15 วินาที สามารถวิ่งได้ระยะทาง 128 - 160 กิโลเมตร ด้วยการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียว รถอาจวิ่งได้ถึง 176 กิโลเมตร แต่จะวิ่งได้ลดลง เมื่อต้องใช้เครื่องทำความร้อนและอุปกรณ์อื่นๆ

การใช้เทคโนโลยีพัฒนาตัวถังแบบ Tube-Reinforced Exoframe ในกระบวนการผลิตแบบก้าวหน้า จะใช้การลงทุน 80 เปอร์เซ็นต์น้อยกว่าระบบการผลิตรถยนต์แบบดั่งเดิม ที่การผลิตใช้ปั๊มชิ้นส่วนตัวถังจากแผ่นเหล็กมาตรฐาน และใช้พลังงานน้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ การใช้เทคโนโลยีที่เขาเรียก iStream นี้ Murray ได้ใช้ในการประดิษฐ์รถขนาดจิ๋ว ไปจนรถโดยสารขนาดเล็ก (Van) นั่งได้ 13 คน และมีน้ำหนักเบากว่ายานพาหนะแบบทั่วไปร้อยละ 20-25


ภาพ รถยนต์ไฟฟ้า T.27 จุผู้โดยสารได้ 3 คน และใช้การเปิดประตู่แบบยกส่วนหน้าครึ่งคัน อำนวยความสะดวกแก่การก้าวขึ้นและลงจากรถ 

Murray ไม่มีความประสงค์ที่จะผลิต T.25 หรือ T.27 เอง แต่หวังว่า ด้วยการสร้างรถต้นแบบที่มีสมรรถนะให้เห็น และมีวิธีการผลิตที่เป็นนวตกรรมกระบวนการผลิต จะมีบริษัทผู้ผลิตนำเทคโนโลยีที่เขาได้พัฒนาขึ้น นำไปสู่กระบวนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอย่างประหยัดไปดำเนินการต่อไป

Photos: Gordon Murray Design

Saturday, December 29, 2012

Ford ออกตัว Fusion Energi รถยนต์ไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก ประกอบ คุปรัตน์

Ford ออกตัว Fusion Energi รถยนต์ไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก


ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: EV, PHEV, Electric car, รถยนต์ไฟฟ้า, รถยนต์ไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊ก, Ford, Fusion Engergi


ภาพ ตราสัญลักษณ์ของ Ford Fusion Energi 2013
 Ford's leaf road logo badge used for the Fusion Energi.


ภาพ Ford ออกตัว Fusion Energi 2013 รถยนต์ไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV)

ปี ค.ศ. 2012 และก่อนหน้านี้ จัดเป็นปีที่ทุกบริษัทใหญ่จะสู้กันด้วยการเตรียมงานวิจัยและพัฒนาด้านรถยนต์ไฟฟ้า และรอจังหวะที่ตัวแปรด้านแบตเตอรี่ไฟฟ้าจะถึงจุดที่ทำให้ราคาและประสิทธิภาพของการใช้รถไฟฟ้าแข่งกับรถทั่วไปได้ง่ายขึ้น โดยทั่วไป นับเป็นยุคของรถยนต์ไฟฟ้าลูกประสม (Hybrids) ซึ่งบริษัท Toyota นำตลาดไปข้างหน้าห่างคู่แข่งขันอื่นๆมาก

ในปี ค.ศ. 2013 น่าจะพบว่ามีการเปิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid Vehicles – PHEV) เข้าสู่ตลาดมากขึ้น นับเป็นการพบกันครึ่งทาง ก่อนที่จะเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า (EVs) แบบเต็มตัว และในปีนี้ จะมีบริษัทอื่นๆที่เสนอตัวเข้าแข่งขันในตลาดดังกล่าว และที่สำคัญบริษัทรถยนต์ของอเมริกันเองดังบริษัท Ford ก็สู้อย่างเต็มตัวเช่นกัน

Ford Fusion Energi เป็นรถยนต์ไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก ที่เริ่มเปิดตัวในปี ค.ศ. 2012 ในงานแสดงรถยนต์ทวีปอเมริกาเหนือ (North American International Auto Show) และคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ในต้นปี ค.ศ. 2013 ราคาอยู่ที่ US$39,495 หรือประมาณ 1.2 ล้านบาทไทย ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่ารถยนต์ใช้น้ำมันธรรมดาเกือบเท่าตัว ที่เป็นเช่นนี้เพราะต้องมีระบบพลังมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบการจัดการกำลัง และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่สำรอง แต่รถยนต์รุ่นนี้ เพราะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) จะได้รับส่วนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางของสหรัฐ ด้วยการลดภาษีให้ US$4,000 หรือประมาณ 120,000 บาท และเมื่อมีการขายในแต่ละรัฐอาจได้รับส่วนลดหรือสนับสนุนจากท้องที่อีกต่างหาก

Fusion Energi ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ (ซึ่งรถยนต์อเมริกันขนาดเดียวกันทั่วไปนี้ จะใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร) เพื่อสนับสนุนพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า Fusion Energi สามารถวิ่งได้ไกล 21 ไมล์ หรือ 34 กิโลเมตรด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว และสามารถทำความเร็วสูงสุดด้วย 137 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยการใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว และเมื่อใช้พลังประสม คือทั้งไฟฟ้าและเครื่องยนต์เชื้อเพลิง ก็จะวิ่งได้ 2.4 ต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 41.7 กิโลเมตร/ลิตร

Fusion Energi มีสถิติประหย้ดพลังงานได้ดีกว่า Chevrolet Volt รถไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) ของค่าย GM ถึง 8 MPGe หรือ 3.36 กิโลเมตร/ลิตรเปรียบเทียบ และมีประสิทธิภาพเหนือกว่า Toyota Prius Plug-in Hybrid รถแบบเดียวกันของ Toyota 13 MPGe ใน Mode ใช้ไฟฟ้าอย่างเดียว และเมื่อใช้ในแบบลูกประสม จะวิ่งได้ 47 mpg-US หรือ 20 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งเป็นสถิติที่แข่งขันได้กับ Prius ของ Toyota

30 ธันวาคม ค.ศ. 1922 กำเนิดสหภาพโซเวียต


30  ธันวาคม ค.ศ. 1922 กำเนิดสหภาพโซเวียต

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก History.com “Dec 30, 1922: USSR established.”

Keywords: ประวัติศาสตร์, Europe, ยุโรป, USSR, รัสเซีย, Russia, เบโลรุสเซีย, Belorussia, ยูเครน, Ukraine, สหพันธ์รัฐที่อยู่ในเอเชีย, Transcaucasian Federation, จอร์เจีย, Georgian, อาเซอร์ไบจัน, Azerbaijan


ภาพ วลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) นักคิดสังคมนิยม และผู้นำก่อตั้งสหภาพโซเวียต

ในช่วงหลังการปฏิวัติรัสเซีย ได้มีการก่อกำเนิดสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยม หรือ The Union of Soviet Socialist Republics ซึ่งเรียกย่อๆว่า USSR หรือเรียกย่อๆว่า สหภาพโซเวียตฯ  เป็นสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย รัสเซีย (Russia), เบโลรุสเซีย (Belorussia), ยูเครน (Ukraine), และสหพันธ์รัฐที่อยู่ในเอเซีย (Transcaucasian Federation) ซึ่งในช่วงหลังปี ค.ศ. 1936 ได้แบ่งออกเป็น จอร์เจีย (Georgian), อาเซอร์ไบจัน (Azerbaijan), และสาธารณรัฐอาร์มิเนีย (Armenian republics) ทั้งหมดนี้รวมเป็น "สหภาพโซเวียต (Soviet Union) อันเป็นรัฐใหม่ที่สืบทอดจากอาณาจักรรัสเซีย (Russian Empire) นับเป็นประเทศแรกในโลกที่ก่อตั้งด้วยแนวทางสังคมนิยมมาร์กซิสต์ (Marxist socialism)

ในช่วงปฏิวัติรัสเซีย ปีค.ศ. 1917 และตามมาด้วยสงครามกลางเมืองนาน 3 ปี พรรคบอลเชวิค (Bolshevik Party) ภายใต้การนำของวลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) ได้เป็นแรงหลักในการรวบรวมคนงานและคณะทหาร ก่อตั้งเป็นรัฐสังคมนิยมในอาณาเขตเดิมของอาณาจักรรัสเซีย

ในสหภาพโซเวียต (USSR) ทุกระดับของรัฐบาลถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ (Communist Party) และคณะบุคคลผู้บริหารพรรคเรียกว่า Politburo โดยผู้ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการ (General secretary) มีอำนาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในการปกครองประเทศ อุตสาหกรรมของสหภาพ (Soviet industry) มีรัฐบาลเป็นเจ้าของและเป็นฝ่ายจัดการ พื้นที่การเกษตรเดิมที่เป็นของชาวนาและขุนนางถูกยึดแล้วจัดแบ่งเป็น "นารวม" (Collective farms) ดำเนินการโดยรัฐ

ในช่วงหลายทศวรรษต่อมา ชาติรัสเซีย (Russia) ได้มีบทบาทสำคัญในสหภาพโซเวียตนี้ ซึ่งในที่สุดประกอบไปด้วย 15 สาธารณรัฐ อันได้แก่ Russia, Ukraine, Georgia, Belorussia, Uzbekistan, Armenia, Azerbaijan, Kazakhstan, Kyrgyzstan, Moldova, Turkmenistan, Tajikistan, Latvia, Lithuania, และ Estonia


ภาพ มิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ผู้นำคนสุดท้ายของสหภาพโซเวียต

ในปี ค.ศ. 1991 เมื่อสหภาพโซเวียตที่เติบใหญ่ และกลายเป็นมหาอำนาจทางการทหารของโลก แต่ในทางเศรษฐกิจและสังคมอ่อนแอลง ประสบวิกฤติในประสิทธิภาพและประสิทธิผลการผลิต กลไกราชการแบบรวมศูนย์ไม่สามารถทำให้สภาพการครองชีพของประชาชนดีขึ้น คนงานและเกษตรกรผู้ผลิตขาดแรงจูงใจ การต้องลงทุนไปกับกำลังกองทัพและการรบ ยิ่งทำให้สหภาพโซเวียตทรุดลงหนัก ประชาชนในทุกรัฐที่เคยไม่พอใจและต่อต้านอย่างเงียบๆ แต่ต่อมาก็ต่อต้านเปิดเผยและแพร่กระจายมากขึ้น เขาต่างเรียกร้องเสรีภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และการแยกประเทศออกเป็นอิสระ 

จนในที่สุดในยุคของมิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) เป็นผู้นำ ก็ถึงขั้นต้องยกเลิกสหภาพโซเวียตและการล่มสลายของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่ปกครองประเทศต่างๆทั้งหมด

ฟิลิปปินส์ผ่านกฎหมายคุมกำเนิดและวางแผนครอบครัว


ฟิลิปปินส์ผ่านกฎหมายคุมกำเนิดและวางแผนครอบครัว

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: ฟิลิปปินส์, Philippines, ประชากรศาสตร์, demography, การคุมกำเนิด, contraception, การวางแผนครอบครัว, family planning, คริสตศาสนา, คาทอลิก, Catholic,



ภาพ ประชากรจำนวน 92 ล้านคนของประเทศฟิลิปปินส์ กับอัตราการเกิดของประชากรที่ควบคุมไม่ได้ จะทำให้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

BBC: 29 December 2012 Last updated at 08:20 GMT

ประธานาธิบดีเบนิญโญ อาคิโน (Benigno Aquino) ได้ลงนามในกฎหมายที่ให้บริการคุมกำเนิดและวางแผนครอบครัวเป็นไปได้และฟรี

ฝ่ายสนับสนุนมองว่ากฎหมายเพื่อเปิดทางให้มีการคุมกำเนิดและวางแผนครอบครัวได้ ที่ใช้เวลานานถึง 14 ปี กว่าจะได้รับความเห็นชอบ กฎหมายที่ผ่านมานี้ จะมีส่วนลดความยากจน ลดอัตราการตายของแม่ในระหว่างคลอดในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีอัตราคนเกิดที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ต่อกฎหมายนี้ ฝ่ายศาสนจักรนิกายคาทอลิกได้พยายามยับยั้งกฎหมายหลายครั้ง

ทางฝ่ายวุฒิสภาแม้มีความพยายาม แต่ได้ล้มเหลวที่จะผ่านร่างนี้หลายครั้ง จนกระทั่งในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2012 จึงได้ให้ความเห็นชอบ กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ในกลางเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นไป

Kate McGeown จาก BBC รายงานว่า แม้จะได้มีการผ่านกฎหมายแล้ว แต่ฝ่ายศาสนจักรและพันธมิตรการเมืองก็ยังสามารถขัดขวางกฎหมายดังกล่าวได้

ฝ่ายบิชอป (Bishops) ผู้นำศาสนาหลายท่านได้ขู่ว่าจะยื่นให้ตีความกฎหมายนี้ในระดับศาลสูง ว่ามีความชอบธรรมหรือไม่

ในประเทศฟิลิปปินส์ มีประชากรร้อยละ 80 เป็นผู้นับถือคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก ศาสนามีอิทธิพลต่อนักการเมือง สื่อสารมวลชน และนักธุรกิจหลายคน

ในขณะเดียวกัน ถุงยางอนามัยที่ใช้ในการคุมกำเนิด แม้มีขายกันโดยทั่วไปอย่างกว้างขวาง แต่ด้วยราคาที่สูงกว่าที่คนจำนวนมากจะหาซื้อได้

ด้านโรงพยาบาลผดุงครรภ์หลายแห่ง ในปัจจุบันกำลังมีปัญหาคนเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้ ฝ่ายสหประชาชาติ (UN) เองได้ร้องขอต่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ให้ออกกฎหมายเพื่อทำให้เกิดการวางแผนประชากรเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากข้อมูลฝ่ายรัฐบาลในปี ค.ศ. 2011 พบว่าอัตราแม่ที่เสียชีวิตจากการคลอดบุตรได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 ในระหว่างช่วงปี ค.ศ. 2006 และ 2010

ในด้านภูมิศาสตร์ ฟิลิปปินส์มีแผ่นดิน 300,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณร้อยละ 60 ของประเทศไทย และมีเป็นอันมากเป็นภูเขาและเป็นเกาะแก่ง โดยมีพื้นที่เป็นเกาะถึง 7,000 แห่ง ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำการเกษตรได้อย่างเต็มที่ และก็ยังเป็นอุปสรรคในการขนส่งและการเดินทาง เมื่อเทียบกับประเทศไทย และประเทศอื่นๆที่อยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่

ในปี ค.ศ. 2010 ตามรายงานสำรวจประชากร ฟิลิปปินส์มีประชากรถึง 92,337,852 คน สมัยหนึ่งฟิลิปปินส์มีประชากรใกล้เคียงกับประเทศไทย และมีสภาพเศรษฐกิจในระดับไม่ต่างจากไทย แต่เพราะการเมืองและจำนวนประชากร ทำให้มาตรฐานการครองชีพและคุณภาพชีวิตไม่สามารถพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิผล

ในปี ค.ศ. 1960 ฟิลิปปินส์มีอัตราการเกิดของประชากรร้อยละ 3.5 ต่อปี และค่อยๆลดลงจนในปี ค.ศ. 2010 อยู่ในระดับร้อยละ 1.7 ต่อปี ซึ่งก็ยังนับว่าสูงอยู่ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในขณะที่ประเทศไทยในปี ค.ศ. 1960 เคยมีอัตราการเติบโตของประชากรที่ร้อยละ 3.1 ต่อปี แต่ลดลงอย่างต่อเนื่องด้วยการมีการวางแผนครอบครัวอย่างจริงจัง จนในปี ค.ศ. 2010 อัตราการเกิดของประชากรเหลือร้อยละ 0.4 ต่อปี หรือต่ำกว่า 1 ใน 3 ของฟิลิปปินส์ ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากร 69 ล้านคน หรือน้อยกว่าฟิลิปปินส์ประมาณ 23 ล้านคน

ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ นายพลเชอร์แมน (General Sherman)


ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ นายพลเชอร์แมน (General Sherman)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: สิ่งแวดล้อม, ecology, พืช, ต้นไม้, plants, แคลิฟอร์เนีย, California, เซโกย่า, Sequoia, General Sherman

ต้นไม้ที่มีคนตั้งชื่อให้ว่า “นายพลเชอร์แมน” (General Sherman) ได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นไม้พันธุ์ “เซโกย่ายักษ์” หรือ Giant sequoia (Sequoiadendron giganteum) อยู่ที่ป่าสงวนเซโกย่าแห่งชาติ (Sequoia National Park) ในเขตทูแลร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย (Tulare County, California) ประเทศสหรัฐอเมริกา “นายพลเชอร์แมน” ไม่ใช่เป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก ไม่ใช่ต้นไม้ที่มีขนาดรอบลำต้นที่อ้วนใหญ่ที่สุด และไม่ใช่ต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดในโลก

·       ต้นไม้ Hyperion tree, ที่ Coast redwood จัดเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก
·       ต้น cypress และต้น baobab จัดว่ามีขนาดใหญ่กว่า “นายพลเชอร์แมน”
·       ส่วนต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก คือ Methuselah tree,  ซึ่งเป็นไม้พันธุ์ Great Basin bristle cone pine

 “นายพลเชอร์แมน” (General Sherman) โดยรวมสูง 83.8 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7.7 เมตร และเพราะความสูง และเส้นผ่าศูนย์กลางที่มากทั้งคู่ จึงทำให้มีปริมาตรเนื้อไม้ 1,487 ลูกบาตรเมตร ซึ่งเป็นความใหญ่โดยรวมที่มากที่สุดในโลก และด้านความแก่ มีอายุระหว่าง 2,300–2,700 ปี จัดเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่มีขนาดสูงที่สุด อ้วนโดยเส้นรอบที่ใหญ่ที่สุด และมีอายุยืนที่สุด เมื่อเทียบกับต้นไม้ทั้งหมดในโลกนี้

วนอุททยานแห่งชาติเซโกย่า (Sequoia National Park)

“นายพลเชอร์แมน” (General Sherman) อยู่ในป่าต้นเซโกย่าอันเป็นเขตวนอุทยานแห่งชาติ มีชื่อว่า วนอุทยานแห่งชาติเซโกย่า (Sequoia National Park ) เป็นป่าที่อยู่บริเวณเทือกเขา “เซียร่า เนวาดา” (Sierra Nevada) ทางตะวันออกของวาซาเลีย รัฐแคลิฟอร์เนีย (Visalia, California) ประเทศสหรัฐอเมริกา วนอุทยานแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อ 25 กันยายน ค.ศ. 1890 ป่ามีพื้นที่ประมาณ 1,635.18 ตารางกิโลเมตร มีส่วนที่มีความสูงประมาณ 4,000 เมตร

เขาวิทนีย์ (Mount Whitney) มีความสูง 4,421 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยอดสูงสุดมีแนวต่อไปจนถึงวนอุทยานแห่งชาติคิงแคนยอน (Kings Canyon National Park) ทั้งสองวนอุทยานบริหารโดย หน่วยบริการวนอุทยานแห่งชาติ (National Park Service) ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา
วนอุทยานแห่งชาติเซโกย่า มีชื่อเสียงที่เป็นแหล่งของต้นเซโกย่ายักษ์ (Giant sequoia trees) ซึ่งรวมถึงต้นเซโกย่าที่มีชื่อว่า “นายพลเชอร์แมน”


ภาพ ต้นเซโกย่ายักษ์ ชื่อ นายพลเชอร์แมน (General Sherman) จัดเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อวัดโดยปริมาตร


ภาพ ป่าเซโกย่า อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางฝั่งตะวันตก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีเทือกเขาสูง ดักความชื้น มีความอุดมสมบูรร์ด้วยน้ำตลอดปี และมักไม่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าในแต่ละปีเหมือนที่อื่นๆอีกหลายที่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางฝั่งตะวันตกของอเมริกา

ที่ป่าแห่งนี้มีต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด 5 จาก 10 ต้นในโลก ป่าต้นไม้ยักษ์นี้ต่อเชื่อมกับทางหลวงสาย Generals Highway ที่ต่อไปยังวนอุทยานแห่งชาติอีกแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกว่า General Grant Grove ซึ่งเป็นที่อยู่ของต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดของโลกอีกต้น คือ “นายพลแกรนท์” (General Grant tree) วนอุทยานนี้ เป็นส่วนหนึ่งของป่าใหญ่ 81,921 เฮคเตอร์ เป็นป่าไม้เก่า (Old-growth forests) ที่ไม่มีมนุษย์ไปรบกวน ซึ่งเป็นถิ่นของต้นเซโกย่า และวนอุทยาน Kings Canyon National Parks ซึ่งบริเวณป่าเหล่านี้ยังคงเป็นแหล่งของป่าธรรมชาติเซียร่า เนวาดาตอนใต้ (Southern Sierra Nevada) ที่ยังคงสภาพเหมือนก่อนที่มีผู้อพยพชาวยุโรปมาตั้งถิ่นฐานในอเมริกา

Thursday, December 27, 2012

หนังสือ กับการผจญภัยของผมก่อนสิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่


หนังสือ กับการผจญภัยของผมก่อนสิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

การเรียนหนังสือเป็นเรื่องหนักหนา แต่ในความหมายที่ต่างกัน

If you would not be forgotten as soon as you are dead, either write something worth reading or do things worth writing.

หากไม่ต้องการให้คนลืมท่านทันทีเมื่อตาย ก็ต้องเขียนบางอย่างที่มีคุณค่าแก่การอ่าน หรือไม่ก็ทำบางอย่างที่มีคุณค่าแก่ที่คนจะนำไปเขียน

โดย เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) นักวิทยาศาสตร์, นักประดิษฐ, นักการทูต, อัจฉริยะ, หนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา

ศิษย์ที่รัก ...

หนังสือ 12 เล่มที่ผมได้จัดหา เพื่อเป็นคู่มือในการเรียนวิชาหนึ่ง ราคาลดแล้วประมาณเล่มละ 722 บาท แต่กว่าหนังสือเล่มนี้จะถึงมือท่านมันมีเรื่องราวที่อยากจะเล่าให้ฟัง


ภาพ หนังสือที่อยากให้มีไว้เป็นคู่มือในการเรียนวิชา Human Capital Development 

ผมได้เลือกหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Human Resource Management โดย Gary Dessler ฉบับนานาชาติ พิมพ์ครั้งที่ 13 โดยสำนักพิมพ์ Pearson ปี ค.ศ. 2013 มันมีทั้งหมด 712 หน้า มันอาจไม่ใช่หนังสือที่ดีที่สุดในโลก แต่เหมาะสำหรับการใช้เป็นคู่มือสำหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับวิชา Human Capital Development ที่ผมและผศ.ดร. วสัญชัย กากแก้ว สอน หนังสือเล่มนี้ ราคาไม่แพง หากทำได้ ไม่ต้องไปถ่ายสำเนา แต่ซื้อหนังสือของเขาทั้งเล่ม เพราะราคาเล่มละ 722.5 บาท

ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เมื่อผมได้ไปส่งภรรยาจับจ่ายแถว Central World ราชประสงค์ แล้วนัดพบกันที่ร้าน Supermarket ชื่อ Gourmet Market ที่ศูนย์การค้า Siam Paragon แล้วผมก็เดินมาหาซื้อหนังสือที่ “ศูนย์หนังสือจุฬาฯ” ส่วนที่อยู่ติดกับวิทยาเขตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ภาพ กล่องบรรจุหนังสือ 12 เล่ม หนักรวม 18 กิโลกรัม

เดินหาหนังสือสักพัก ก็ให้เจ้าหน้าที่หาหนังสือให้ เมื่อตกลง รวมจ่ายค่าหนังสือไป 8670 บาท ซื้อ เจ้าหน้าที่เขาเอาหนังสือบรรจุใส่กล่อง แล้วถามผมว่า “จะให้ไปส่งที่รถอาจารย์ไหมครับ จอดรถที่ไหน” ผมบอก “ไม่ได้จอดรถที่นี่ แต่นัดไปเจอกันที่ Gourmet Market” ผมจะแบกหนังสือไปเอง ที่นั่นจะมีรถเข็นสามารถใส่ของขนไปได้

คุณพระช่วย ผมลืมไปว่า กล่องหนังสือ 12 เล่ม รวมแล้วหนักประมาณ 18 กิโลกรัม แล้วระยะทางที่ผมจะต้องแบกของไปให้ถึงเป้าหมาย คือประมาณ 350-500 เมตร และในระยะทางนั้น ต้องเดินแบกของขึ้นสะพานลอยโดยไม่มีบันไดเลื่อน ไม่มีล้อเลื่อนที่จะช่วยลากของ ต้องแบกของและเดินเอาล้วนๆ
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

ผมเดินแบกกล่องกระดาษที่ดูเหมือนจะหนักยิ่งขึ้นเอาไว้ด้วยบ่า เดินข้ามศูนย์การค้าสยามสแควร์ (Siam Square) สลับบ่าซ้ายและขวาเพื่อรับน้ำหนัก เดินแบบไม่เร็วแต่เดินเรื่อยๆ แต่ไม่ปล่อยของวางกับพื้น เพราะมันจะสกปรก แบกมาจนถึงสะพานเดินข้ามถนนไปยัง Siam Paragon มองไม่เห็นบันได้เลื่อนที่จะลดความเหนื่อยล้า เหงื่อท่วมเสื้อแล้ว พักอีกสักระยะ ก่อนอึดใจช่วงสุดท้าย ยกของใส่บ่า แล้วเดินขึ้นบันไดสูงเทียบเท่ากับตึก 3 ชั้น อย่างช้าๆ จนข้ามสะพานคนข้ามได้ แล้วพักวางของบนราวสะพาน ก่อนรวบรวมแรงช่วงสุดท้าย เดินแบกของไปยังจุดหมาย Gourmet Market ขณะแบก สลับบ่าซ้ายและขวาอีก 3-4 ครั้ง อากาศเย็นๆในที่ร่มปรับอากาศของศูนย์การค้า ทำให้รู้สึกสบายขึ้น จนในที่สุด ก็มาถึงเป้าหมาย เอาของใส่รถเข็นแล้วฝากของไว้กับร้าน สำรวจตัวเองอีกครั้ง เหนื่อยแน่นอน แต่หัวใจยังเต้นปกติ

ต้องกลับมาชื่นชมเวลาที่ต้องออกกำลังกาย เดินบนสายพาน และขี่จักรยานออกกำลังกายทุกเช้า การออกกำลังกายสม่ำเสมอมีประโยชน์จริงๆ ไม่เช่นนั้นคงแบกของหนักเดินไกลดังที่เล่ามาให้ฟังนี้ไม่ได้
ผมเขียนเล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี้ ก็เพื่อบอกพวกท่านทั้งหลายว่า ขอให้ตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่าน เลือกใช้ประโยชน์อย่างค่อยเป็นค่อยไป เรียนเรื่องการบริหาร (Management) ไปด้วย พร้อมกับเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (English Skills) ไปพร้อมๆกัน หากจะค้นคว้าอะไรเพิ่มเติม ก็ให้เริ่มจากบทเรียนในหนังสือ แล้วค้นหาต่อเบื้องต้นจาก Wikipedia และระบบการแปลคำจาก Google

หากขี้เกียจเมื่อใด ให้นึกถึงความพยายามที่ผมแบกของ เพื่อนำหนังสือนี้ เดินทางติดตัวมายังจังหวัดสุรินทร์ อีก 450 กิโลเมตร ตลอดจนค่าหนังสือที่ท่านต้องจ่าย โปรดใช้หนังสืออย่างมีคุณค่าสมกับประวัติความเป็นมาของมัน

สวัสดีปีใหม่ ปี 2556 ขอให้เป็นปีแห่งความหวัง ความพยายาม ใช้สติ ปัญหา และจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในทุกด้านต่อไป

ผมมีเพื่อนเก่าแก่รู้จักมาตั้งแต่เด็ก ชื่อแอสม่า (Asthma)


ผมมีเพื่อนเก่าแก่รู้จักมาตั้งแต่เด็ก ชื่อแอสม่า (Asthma)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงส่วนหนึ่งจาก Wikipedia และประสบการณ์ชีวิต

Keywords: Health, สุขภาพ, asthma, หอบหืด, allergy, การแพ้, pets, สัตว์เลี้ยง, air pollution, มลพิษทางอากาศ

ตั้งแต่เป็นเด็กจำความได้จนโตเป็นวัยรุ่น และจนจบมหาวิทยาลัย ผมมีเพื่อนที่รู้จักติดตัวมาตลอดเวลา โดยเฉพาะในหน้าหนาว มีชื่อว่า แอสม่า หรือ Asthma หรือโรคหอบหืด


ภาพ เด็กเล็ก เมื่อมีอาการหอบหืด (Asthma) ขั้นรุนแรง นอกจากจะต้องให้ยาแล้ว อาจต้องให้ออกซิเจนช่วยหายใจด้วย แต่ทั้งหมดเป็นการรักษาตามอาการ ต้องหาสาเหตุให้พบว่า โรคนั้นเกิดจากอะไร

โรคแอสม่า หรือหอบหืด (Asthma) เป็นโรคเรื้อรังที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ มักเกิดขึ้นบ่อยๆในผู้ป่วย ที่ทางเดินหายใจเกิดอาการหลอดลมตีบตัน (Bronchospasm) ทำให้หายใจไม่สะดวก เมื่อหายใจมีเสียงดังฮืดๆ (Wheezing) , มีอาการไอ (Coughing), แน่นหน้าอก (Chest tightness), และหายใจได้เป็นช่วงสั้นๆ (Shortness of breath) และด้วยความยากลำบากยิ่ง

ในทางการแพทย์เข้าใจกันว่า โรคหอบหืดเป็นผลมาจากส่วนประสมของ 2 สิ่ง คือพันธุกรรม (Genetic) และองค์ประกอบสภาพแวดล้อม (Environmental factors) ในส่วนของพันธุกรรมนั้น เราคงต้องเรียนรู้กันมากขึ้นในทุกครอบครัว ตัวอย่าง ในกรณีของครอบครัวของผม มีพี่น้อง 6 คน มีพี่สาวคนโต และผมที่เป็นโรคหอบหืด แต่ผมเมื่อเป็นจะมีอาการหนักกว่าพี่สาว ในอีกด้าน คือองค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อม โรคหอบหืดเป็นอันมากเป็นอาการของโรคภูมิแพ้ (Allergy) ซึ่งอาการแพ้มีได้หลายอย่าง เช่น มีผื่นขึ้น เกิดอาการคัน บวมตามผิวหนัง หากเกิดในระบบทางเดินหายใจ ดังในโพรงจมูก ก็จะเกิดการจาม และในกรณีที่อาจมีอันตรายมาก คือหลอดลมเกิดอาการตีบตัน คืออาการที่เราเห็นคนเป็นโรคหอบหืดนี้ หากเป็นหนัก หายใจไม่ออก หายใจไม่ทัน ก็อาจถึงกับเสียชีวิตได้

การรักษาพยาบาล ก็มักเป็นการรักษาพยาบาลตามสภาพอาการ เมื่อเกิดอาการหลอดลมตีบ ก็พ่นยา หรือกินยาเพื่อขยายหลอดลม ซึ่งต้องไปพบแพทย์ อย่าใช้ยากหรือกินยาเอง

การป้องกันที่ดีคือ ดูแลสภาพแวดล้อมที่ทำให้เราไม่ต้องไปอยู่ในสภาพที่เสี่ยงจะเกิดโรคหืด เช่น การหลีกเลี่ยงที่นอนสกปรก มีไรฝุ่น ที่นอนที่มีวัสดุที่คนแพ้ได้ง่าย เช่น นุ่น ขนนก ฯลฯ หรือทำงานในที่ๆมีฝุ่นละอองมาก เช่น โรงสีข้าว โรงทอผ้า โรงเลี้ยงสัตว์ที่เราแพ้ เช่น เป็ด ไก่ หมู หรือวัว ในสวนที่มีดอกไม้ ละอองเกสร ในโรงเพาะเห็ดที่ต้องมีความชื้น เห็ด เชื้อรา ในปล่องภูเขาไฟ ที่มีควันของสะสารที่ระเหยออกมา แล้วทำให้บางคนเกิดอาการแพ้

ในด้านสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนเราแพ้ (Allergy) แล้วเกิดอาการหอบหืด เป็นเรื่องที่สามารถดูแลป้องกันได้ หากเรารู้ว่าเป็นโรคแพ้อะไร ก็ต้องหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมนั้นๆ

โดยทั่วโลก โรคหอบหืดได้เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพแวดล้อมที่เสื่อมลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ในปี ค.ศ. 2010 เข้าใจว่ามีผู้ป่วยได้รับผลกระทบจากโรคหอบหืด 300 ล้านคนทั่วโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 มีสำรวจพบมีผู้เสียชีวิตทั่วโลก จากโรคหอบหืดปีละ 250,000 คน

ในกรณีของผม โชคดีที่พระเจ้าให้เพื่อนที่น่ากลัวชื่อ “แอสม่า” มา แต่มันก็ทำให้ผมได้รับพรสวรรค์จากธรรมชาติ ทำให้ผมเป็นคนช่างสังเกต (Observer) และไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เมื่อเด็กๆ มีคนบอกว่า หากร่างกายเราแข็งแรง เล่นกีฬาที่ทำให้ปอดใหญ่ โรคหอบหืดก็จะหายไป ผมก็ทำ เล่นกีฬา ฟุตบอล ว่ายน้ำ วิ่งทน จนถึงเล่นรักบี้ ฯลฯ พร้อมกับกินอาหารดีๆ ที่ทำให้ร่างกายเติบโตเร็ว ก็พบว่าจริงส่วนหนึ่ง หากร่างกายเติบใหญ่ แข็งแรง โรคหืดก็กำเริบน้อยลง

อีกด้านหนึ่ง เมื่อผมพบว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมอะไรแล้วทำให้เกิดอาการแพ้ ก็หลีกเลี่ยงสิ่งนั้น เช่นพบว่า แพ้แอลกอฮอล (Alcohol) เหล้า เบียร์ ไวน์ เมื่อดื่มแล้วเกิดอาการผื่นแดง คัน ก็ไม่ดื่ม ผมมีน้องชายคนเล็ก (ปัญจะ คุปรัตน์) ที่แพ้แอลกอฮอล ดื่มเบียร์แล้ว เกิดผื่นคัน เหมือนกับผม แต่เขาเลือกค่อยๆดื่มที่ละน้อยๆ ดื่มจนไม่แพ้ แต่ผมต้องเลือกไม่ดื่ม เพราะมันคันและทรมานมากกว่าจะสนุกกับการดื่ม

ในด้านอากาศ ผมรู้ตัวเองว่าหลอดลมและปอดวัยต่อสภาพอากาศมาก ก็ไม่สูบบุหรี่ที่ทำให้ปอดและระบบหายใจแย่ลงไปอีก ตั้งแต่วัยรุ่นเป็นต้นมา ก็ไม่เที่ยวบาร์ คลับ หรือในที่ๆมีคนสูบบุหรี่มากๆ อัดกันในที่แคบๆ

เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นมาก โดยเฉพาะฝุ่นสกปรกในบ้าน ในห้องนอนที่ต้องใช้ชีวิตวันละกว่า 8 ชั่วโมง ก็ทำบ้านให้สะอาด และใส่ใจกับห้องนอนมากที่สุด เมื่อพบว่าเมื่อไปอยู่ต่างประเทศ ตามบ้านและหอพัก เขาใช้ที่นอนแบบสปริง (Coil spring) ใช้ผ้าห่มแบบใยสังเคราะห์ แล้วอาการหอบหืดลดลงหรือหายไปอย่างมาก ก็เลือกที่จะทำห้องนอนให้ไม่มีวัสดุ หรือสารที่ทำให้เราแพ้ได้ง่าย สำหรับผม ห้องนอนเล็กๆก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ปลอดฝุ่น ปรับอากาศอุณหภูมิสัก 25c เพื่อป้องกันสิ่งที่เป็นเกสรดอกไม้ หรือฝุ่นที่ผมอาจแพ้ ผมใช้ชีวิตในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา หลังจากจบการศึกษากลับจากต่างประเทศ ก็ใช้ชีวิตแบบควบคุมสภาพแวดล้อมนี้แหละ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่พบว่าลูกมีอาการแพ้อะไรง่าย และแพ้แล้วเป็นที่ระบบหายใจ เป็นหอบหืด ก็ขอให้กำลังใจครับ ขอให้ตั้งสติให้ดี อย่าตกใจ หรือใช้อารมณ์ ใช้สติและปัญญา ให้เวลาใกล้ชิดลูก โดยเฉพาะที่ยังเล็กๆ ใช้การสังเกตให้เป็นประโยชน์ โรคหืดเป็นอันมากเกิดจากสภาพแวดล้อมที่เด็กแพ้ ตั้งแต่อาหารการกิน น้ำ อากาศ วัสดุเครื่องใช้ สัตว์เลี้ยงที่ใกล้ตัว ค่อยๆทำความเข้าใจ ตั้งวงสนทนากับกลุ่มคนที่ลูกมีอาการป่วยอย่างเดียวกัน คุยกับหมอ อ่านตำรา หรือเขียนมาพูดคุยหรือถามจากผมก็ได้ครับ

ด้วยความรักและปรารถนาดีจาก ผม “ลุงกอบ”

Wednesday, December 26, 2012

วัฒนธรรมการขายหรือกำจัดของเหลือใช้ (Garage sale)


วัฒนธรรมการขายหรือกำจัดของเหลือใช้ (Garage sale)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia

Keywords: USA, สหรัฐ, อเมริกา, market, การตลาด, materialism, วัตถุนิยม, ecology, สิ่งแวดล้อม

ในโลกทุนนิยมและวัตถุนิยม เรามักจะถูกกระตุ้นให้ซื้อหาของมากินหรือใช้ ซึ่งบ่อยครั้งเป็นไปอย่างเกินต้องการ ต้องมีการกำจัดทิ้งเสีย กลายเป็นขยะ แต่ทำอย่างไรจึงจะทำให้ของที่เราไม่ต้องการใช้นี้ยังได้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป ซึ่งนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการลดสภาวะโลกร้อนได้อีกส่วนหนึ่ง

ดังนั้น จึงมีวัฒนธรรมการขายของเหลือใช้ ดังในประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา เขามีกิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นระยะ โดยขนของเหลือใช้ออกมาขายเป็นครั้งคราว อาจเรียกกันในหลายๆชื่อว่า

Garage sale เมื่อใช้โรงรถของบ้านตนเองเปิดเป็นสถานที่ขาย


Yard sale หรือ Lawn sale เมื่อใช้สนามหญ้าหน้าบ้าน เป็นเป็นสถานที่ขาย

Rummage sale โดยคำว่า Rummage แปลว่าการขุดคุ้ย หรือไปค้นของเก่าๆที่พอจะมีประโยชน์มาขาย อีกคำคือ Junk sale ซึ่งเป็นสิ่งของที่เจ้าของเขาใช้ไม่ได้แล้ว (Junk)

Tag sale หมายถึงของที่นำมาขายนั้น เขาจะติดป้าย (Tags) บอกราคา ซึ่งมักจะเป็นของถูกไม่ต้องมาต่อรองอีกแล้ว

Attic sale หมายถึงของเก่าที่เขามักจะเก็บไว้ที่ห้องใต้หลังคา (Attic) แต่โดยทั่วไป เขาจะขนของมากองวางขายในบริเวณที่ผู้คนมาหาซื้อได้โดยสะดวก เช่นที่โรงรถ หรือสนามหญ้าหน้าบ้าน

Moving sale หมายถึงเจ้าของกำลังจะย้ายสถานที่ จึงขายของส่วนเกิน ไม่ต้องขนย้ายไปให้เสียเวลาและค่าใช้จ่าย

การขายของเหล่านี้ เป็นการขายของเก่า (Used goods) เป็นการขายโดยบุคคล ขายจนหมด เป็นการขายเฉพาะกิจ ผู้ขายไม่ต้องมีใบประกอบการธุรกิจ (Business licenses) หรือถูกเก็บภาษีการค้า (Sales tax) โดยเจ้าของบ้านเป็นคนขายเอง สินค้าบางรายการเป็นของใหม่ หรือเหมือนใหม่ (Like-new) หรือเพียงยังใช้ได้ (Usable) ของเหล่านี้ เพราะเจ้าของไม่ต้องการมันอีกต่อไป เขาต้องการลดพื้นที่จัดเก็บของในบ้าน และเป็นการระดมทุน เพื่ออาจนำไปใช้ประโยชน์บางอย่าง หรือบริจาคให้กับสาธารณกุศล

แรงจูงใจโดยทั่วไป เนื่องจากเป็นช่วงทำความสะอาดบ้านในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (Spring cleaning) หรืออาจต่อจนถึงช่วงฤดูร้อน ที่อากาศภายนอกเหมาะสมที่จะนำของออกมาขาย หรือเพราะเจ้าของบ้านกำลังจะย้ายบ้าน หรือต้องการหาเงินพิเศษ

เมื่อต้องการจะขายของ ก็มีการติดประกาศให้คนที่ผ่านไปมาได้รับทราบ แจกใบปลิว (Flyers) ในปัจจุบันเมื่อมีการสื่อสารในระบบออนไลน์ได้ ก็มีการประกาศขายกันผ่าน Facebook, Twitter หรือประกาศหนังสือพิมพ์ก็มี บางคนมีของไม่มาก ก็อาศัยขายผ่านวัด หรือสถานสาธารณกุศล แล้วบริจาคเงินเข้ากองทุนส่วนรวม ก็ทำได้

สถานที่ขายที่คุ้นๆกันคือบริเวณบ้านของตนเอง ได้แก่ โรงรถ (Garage), ทางรถสู่โรงรถ (Driveway), ที่จอดรถแบบเปิด (Carport), สนามหญ้าหน้าบ้าน (Front yard), และ ระเบียงหน้าบ้าน (Porch)


 ภาพ การขายของใช้แล้วประเภทแผ่นเสียง หรือวิดิโอ


ภาพ สถานที่ขายอาจเป็นที่สาธารณะที่เขาเปิดโอกาสให้แต่ละบ้านได้นำของเหลือใช้มาระบายขายกันเอง


ภาพ การระบายของที่แต่ละร้านค้านำออกมาระบายขายราคาถูก เรียกว่า Sale เหมือนกัน


ภาพ ร้านค้านำของตกรุ่นออกมาระบายขาย เรียกว่า Sale เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ Garage/Yard Sale

ในบางเมืองที่เขาเข้มงวดเรื่องระเบียบและความสวยงามของเมือง ดังเช่น Beverly Hills, California, Gettysburg, Pennsylvania, Sweden, New York และ Bessemer City, North Carolina จะต้องมีการขอใบอนุญาตขาย และในบางที่อนุญาตให้ขายได้เฉพาะสนามหญ้าหลังบ้าน ไม่ใช่เปิดขายหน้าบ้าน แต่โดยทั่วไปค่าใบอนุญาตขายมีราคาไม่สูง เพียงอาจราว $10 หรือประมาณ 300 บาท

Tuesday, December 25, 2012

ในเมืองใหญ่ ต้องเน้นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ


ในเมืองใหญ่ ต้องเน้นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

สถานที่จอดรถ (Parking spot) ที่แพงที่สุดในโลกอยู่ที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ที่จอดรถนี้เป็นที่จอดรถสงวนพิเศษสำหรับผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่งในเมืองนิวยอร์ค (New York City – NYC, USA) ขนาดกว้าง 12 ฟุต ยาว 23 ฟุต ที่จอดรถนี้อยู่ที่ถนน 66 E. 11th St. สำหรับบางคนที่ต้องการความเป็นอิสระส่วนตัว

การซื้อที่จอดรถนี้ ต้องลงนามในโฉนดร่วม สัญญาการขาย และต้องจ่ายค่าบำรุงรักษา (Maintenance fees) ค่าที่จอดรถนี้สูงกว่าราคาบ้านเฉลี่ยทั่วไปในประเทศสหรัฐถึง 6 เท่า

ก่อนหน้านี้ ปีค.ศ. 2002 Jerry Seinfeld นักแสดงตลกชื่อดังได้จ่ายเงินมากกว่า 1 ล้านเหรียญเพื่อสร้างสถานที่จอดรถเฉพาะของเขาเอง แต่นั่นเป็นที่จอดรถแบบยกระดับ จอดได้ถึง 20 คัน

ที่เขียนเล่ามานี้ เพื่อให้ตระหนักถึงสภาพเมืองใหญ่ที่ เขาไม่ส่งเสริมให้ใช้รถยนต์เป็นพาหนะส่วนตัวในการเดินทางแต่ละวัน (Commuting) เพราะในเมืองใหญ่นั้น เมื่อจะพูดถึงระบบการเดินทางไปทำงานหรือทำธุระใดๆในแต่ละวัน เขาจะเน้นไปที่การใช้ระบบขนส่งสาธารณะ อันได้แก่ ระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือบนดิน หรือเหนือพื้นดิน ที่สามารถขนคนจำนวนมากหลายล้านคนในแต่ละวันด้วยระบบราง (Rail system) ตามมาด้วยการใช้รถประจำทาง (Bus system) ที่จะประสานเส้นทางกับระบบขนส่งรางความเร็วสูง และรถแทกซี่ นอกนั้นก็คือใช้การเดินด้วยเท้า โดยต้องมีทางเดินทางขนาดกว้างเพียงพอ ที่ทำให้คนได้เดินได้อย่างสะดวก รวมทั้งคนพิการ คนชราที่ต้องมีทางเรียบเพื่อใช้รถเข็น หรือเก้าอี้เคลื่อนย้ายได้ด้วยไฟฟ้า เพื่อให้คนที่มีข้อจำกัดเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด

หากใครต้องการใช้รถส่วนตัว ระบบสังคมจะมีกลไกโดยธรรมชาติ ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องที่สูง ตั้งแต่ ค่าที่จอดรถ ซึ่งอาจจะตกถึงวันละ 500-1,000 บาท ค่าเข้าสู่เขตรถยนต์หนาแน่นที่เรียกว่า Congestion Controlled Zone - CCZ ที่คนใช้รถยนต์ส่วนตัวต้องเสียค่าใช้จ่าย นับเป็นวันละ 500 บาทขึ้นไป ดังในกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร ใครที่จะไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ในโลก ไม่ว่าจะเป็น นิวยอร์ค ในสหรัฐอมริกา ลอนดอนในประเทศอังกฤษ ปารีสของฝรั่งเศส หรือเอเชีย ดังใน โตเกียว ฮ่องกง สิงค์โปร์ เหล่านี้ก็อยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน คือต้องเรียนรู้ที่จะใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่เขามีอยู่ในเมืองนั้นๆ

ย้อนกลับมาดูในประเทศไทย รัฐบาลกลับมีนโยบายสนับสนุนให้คนใช้รถยนต์ส่วนตัว ดังมีโครงการลดภาษีให้กับคนมีรถยนต์เป็นคันแรก ซึ่งอาจได้รับลดหย่อนภาษีถึงคันละ 100,000 บาท ทั้งๆที่ประเทศไทยไม่มีน้ำมันเอง ต้องมีการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ

แทนที่ไทยเราจะเน้นไปที่การมีนโยบายไม่ส่งเสริมการมีหรือใช้ยานพาหนะส่วนตัว การมีระบบขนส่งทางเลือกอื่นๆ ที่มีการใช้พลังงานน้ำมันที่น้อยกว่า หรือประหยัดกว่า ดังเช่นใช้พลังงานไฟฟ้า ดังเช่นรถยนต์ไฟฟ้า (Electric cars) รถจักรยานไฟฟ้า (Electric bicycles) พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ หรือพลังคนถีบดังระบบรถจักรยานธรรมดาทั่วไป เป็นต้น

ระบบขนส่ง การเดินทางในเมืองนิวยอร์ค

ดูตัวอย่างเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค (New York City) ไว้เป็นข้อมูลพื้นฐาน


ภาพ การขนส่งผู้คนหลักคือรถไฟฟ้าใต้ดิน เรียกว่า Subway ซึ่งในบางส่วนเมื่อวิ่งนอกเมือง จะวิ่งเหนือดิน


ภาพ ระบบรถโดยสารในเมือง ซึ่่งสามารถใช้ร่วมกับรถไฟฟ้าใต้ดิน

ระบบขนส่งมวลชนของมหานครนิวยอร์ค (New York City) เขามีการขนส่งมวลชนระบบรางความเร็วสูง 16 สาย ขนส่งคน 11,574,566 เที่ยว/คน ในช่วงวันทำงาน ทั้งด้วยระบบ รถวิ่งบนรางในเมือง (Commuter rail), รถโดยสารวิ่งในเมือง (Local and express bus), รถไฟฟ้าใต้ดิน (Subway), รถประจำทางแบบด่วน (Bus rapid transit)

มีรถไฟวิ่งระหว่างชานเมืองกับเมือง 2,290 คัน รถไฟฟ้าใต้ดิน (Subway) 6,399 คัน และรถประจำทาง 5,920 คัน

เฉพาะระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน (Subway) มีความยาวเส้นทาง 337 กิโลเมตร แต่มีรางจริงยาว 1,355 กิโลเมตร แต่ละวันมีคนใช้บริการในวันทำงาน 5 ล้านคน/เที่ยว หรือประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของระบบการเดินทางในแต่ละวัน


ภาพ รถแทกซี่ ซึ่งเป็นยานพาหนะเสริม สำหรับคนที่ต้องมีการซื้อของ จับจ่ายในร้านใจกลางเมือง ก็มักจะใช้บริการเดินทางและขนของด้วยรถแทกซี่ 

ในการให้บริการรถแท๊กซี่ นิวยอร์คมีแท๊กซี่สีเหลือง (Yellow taxis) จำนวน 13,237 คัน และมีแท๊กซี่สีอื่นๆ ที่ร่วมบริการอีกรวมไม่เกิน 40,000 คัน คนขับรถแท๊กซี่ส่วนใหญ่ คือร้อยละ 82 เป็นคนต่างชาติ ในแต่ละกะ (Shift) จะวิ่งประมาณ 288 กิโลเมตร โดยเฉลี่ยในแต่ละปีมีคนใช้บริการแทกซี่ 241 ล้านคน/เที่ยว โดยเฉลี่ยคนขับแท๊กซี่โดยทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา มีรายได้ปีละ $22,440 หรือเดือนละ 56,100 บาท ซึ่งถือเป็นรายได้ระดับต่ำ เมื่อต้องทำงานและดำรงชีพในเมือง