Tuesday, June 29, 2010

รถยนต์ไฟฟ้า Mitsubishi i MiEV

ภาพ รถยนต์ไฟฟ้า Mitsubishi i MiEV

รถยนต์ไฟฟ้า Mitsubishi i MiEV

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

The Mitsubishi i MiEV เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (electric car) ที่เริ่มให้บริการขายในปี ค.ศ. 2009 ในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2010 ได้เริ่มขายในประเทศญี่ปุ่นในราคาคันละ ¥3,980,000 หรือเป็นเงินสหรัฐ USD 43,000 มิตซูบิชิคาดว่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลคันละ ¥1,140,000 อันจะทำให้ราคาขายถึงผู้บริโภคลดลงเป็นคันละ ¥2,840,000 USD 30,700

รถนี้จะมีการเปิดตัวขายในฮ่องกง ออสเตรเลีย และในสหราชอาณาจักร

รายละเอียดของรถยนต์นี้ ผู้ผลิต (Manufacturer) คือบริษัท Mitsubishi ของญี่ปุ่น

กระบวนการผลิต (Production) เริ่มต้นในปึ ค.ศ. 2009 จนถึงปัจจุบัน ลักษณะรถยนต์เป็นแบบ (Body style(s) แบบ 5 ประตู (5 door hatchback), เครื่อง (Engine(s) เป็นแบบไฟฟ้าทั้งระบบ ขนาดแรงม้าเทียบเท่า 64 HP permanent-magnet motor[1], ฐานล้อกว้าง (Wheelbase) 2,550 mm (100.4 in), ความยาวตัวถัง Length 3,395 mm (133.7 in), ความกว้างตัวรถ (Width) 1,475 mm (58.1 in)–1,658 mm (65.3 in) (no side-mirrors), ความสูง (Height) 1,600 mm (63.0 in), น้ำหนักรถ (Curb weight) 1,080 kg (2,400 lb)

พลังงาน 16 kW·h จากแบตเตอรี่แบบ Li-ion battery

แบบใกล้เคียง (Related) Peugeot iOn, Citroën C-ZERO ซึ่งเป็นรถยนต์ในความร่วมมือของฝรั่งเศส

Monday, June 14, 2010

ขอแสดงความยินดีต่อมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต จาก ประกอบ คุปรัตน์

ขอแสดงความยินดีต่อมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต จาก ประกอบ คุปรัตน์

ยิ่งเรียนสูงเท่าใด เรายิ่งจะตระหนักว่า สิ่งที่เราได้เรียนรู้นั้นน้อยนิด แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรมีและมั่นใจคือ ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร รับผิดชอบอะไร หากอยู่ในวิสัยที่จะเรียนรู้ได้ ท้าทาย และมีความหมายต่อเราและส่วนรวม เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้ และทำหน้าที่นั้นๆอย่างดีที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

ขอแสดงความยินดีต่อนิสิตมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตสาขาบริหารการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกท่าน ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ทำงานด้วยความเบิกบานใจ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับศิษย์บริหารการศึกษา จาก ณัฐนิภา คุปรัตน์

ขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับศิษย์บริหารการศึกษาทุกคน

ในชีวิตอันยาวนานนั้น มีทั้งที่สำเร็จและผิดพลาด มีทั้งสมหวังและผิดหวัง แต่ความสำคัญของเราคือ หากเราพลาดไป ผิดไป เราก็พร้อมที่จะกลับมาตั้งตัวใหม่ พร้อมที่จะสู้ใหม่อย่างมุ่งมั่น และเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา

ขอให้ท่านรักษาความเป็นมหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาบริหารการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้ตลอดไป

ณัฐนิภา คุปรัตน์
E-mail: nattanipha@gmail.com

Sunday, June 6, 2010

ม 5วางเพลิง ห้องสมุดโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

5 วางเพลิงห้องสมุดโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

วันที่ 06 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 15:19:47 น. มติชนออนไลน์ ม.5วางเพลิงห้องสมุด"มหิดลวิทยานุสรณ์"เครียดเรียน ไม่ทันเพื่อน รับเลียนแบบ"พฤติกรรมเผา"ร.ร.จะได้ปิด

ผมได้อ่านข่าวนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โดยให้เหตุผลว่าเครียดจัด เรียนไม่ทันเพื่อน เพื่อนไม่มีน้ำใจ และรับว่าเลียนแบบพฤติกรรมเผาสถานที่ราชการจากเหตุการณ์การจลาจลย่านถนนราชประสงค์เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553

ในฐานะที่เป็นครูคนหนึ่ง อ่านแล้วมีความไม่สบายใจอย่างมาก เพราะโรคเผาโรงเรียนนี้มีมาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อมาลามมายังจังหวัดภาคอีสาน และในคราวนี้ได้มีการเผาโรงเรียนชั้นนำของประเทศ ที่เป็นสถานที่ราชการ และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 คนหนึ่ง ได้รับสารภาพว่ากระทำไปเพราะเครียดและเลียนแบบจากเหตุการณ์พฤษภาคมมหาวินาศแล้วยิ่งกังวล เพราะมันจะกลายเป็นเรื่องลามปาม คนอยากจะเผาสถานที่ราชการหรือเอกชน ก็ทำกันได้อย่างง่ายดาย และไม่ต้องสำนึกผิดกระนั้นหรือ

จะเป็นการเร็วเกินไปที่จะกล่าวโทษสถานศึกษาว่าเป็นแหล่งสร้างความเครียดให้กับนักเรียน เพราะทางฝ่ายโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนก้าวหน้าต้นแบบให้กับโรงเรียนอื่นๆทั้งประเทศนั้น เขาคงต้องนำเหตุการณ์นี้ไปศึกษาหาสาเหตุอันเป็นกิจกรรมภายใน

แต่ถึง ณ วันนี้ ขอมองในแง่ที่สังคมไทยโดยรวม จะทำอย่างไรที่มีการวางเพลิงเผาสถานที่ทั้งของราชการและเอกชนกันมากมายหลายแห่ง โทษของการวางเพลิงนั้นมีความผิดสูงมากถึงขั้นประหารชีวิต แต่เท่าที่ทราบ ไม่เคยมีการจับคนผิดมาลงโทษได้อย่างจริงจัง หรือมิฉะนั้นสังคมก็ไม่ได้มีการรับรู้ถึงผลของการกระทำผิด จึงเกิดเหตุการณ์เผาสถานที่ดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องเหมือนปกติ ใครๆก็ทำได้

ในเรื่องนี้ ผมเห็นว่าจะต้องมีการเอาผิดจริงจัง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะที่ผ่านมา การเผาโรงเรียนที่เกิดขึ้นไม่เคยมีการจับคนกระทำผิดมาลงโทษได้เป็นหลักเป็นฐาน สำหรับชุมชน เผาอาคารเก่าแล้ว ก็ได้อาคารใหม่ ราชการก็จัดหางบประมาณมาดำเนินการ แล้วก็จบกัน

ถึงเวลานี้ ทางราชการในทุกฝ่าย ต้องหาคนรับผิดชอบต่อการเผาสถานที่ราชการมาลงโทษให้ถึงที่สุดในทุกๆแห่ง มิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนที่คิดจะเอาอย่างอีกต่อไป

Friday, June 4, 2010

วุฒิสมาชิกสหรัฐ Jim Webb ยืนยันการสนับสนุน

วุฒิสมาชิกสหรัฐ Jim Webb ยืนยันการสนับสนุน

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: cw105 สหรัฐอเมริกา, การต่างประเทศ

วุฒิสมาชิกสหรัฐ Jim Webb ยืนยันการสนับสนุนของสหรัฐต่อแผนการสมานฉันท์ของรัฐบาลไทย

US Senator Jim Webb reaffirms the US support for the Royal Thai Government’s reconciliation plan, Ministry of Foreign Affairs, Kingdom of Thailand

ความนำ

การติดต่อกับต่างประเทศที่สำคัญของไทย สำหรับประเทศขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลในโลก ดังเช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร กลุ่มยุโรป จีน เหล่านี้มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาอำนาจ และเป็นมิตรประเทศของไทยมาโดยตลอดนั้น ความสัมพันธ์มี 3 สถาน คือ ฝ่ายรัฐบาลโดยประธานาธิบดี มีกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่านเอกอัครราชฑุตสถานฑูตของเขาในประเทศไทย อีกส่วนหนึ่งที่เป็นอิสระ คือตัวแทนจากฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นอิสระจากรัฐบาล และสาม คือส่วนของสำนักข่าวที่มีอยู่ในประเทศของเขา ทั้งที่เป็นสำนักข่าวโทรทัศน์อย่าง CNN, หนังสือพิมพ์หลักๆของเขา

สำหรับสามส่วนนี้อาจมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน แต่ก็เป็นส่วนที่มีผลต่อการดำเนินการของเขา ส่วนประเทศไทยเองก็มีความเป็นเอกราชและมีความเป็นอิสระที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศของตน โดยมีการฟังเสียงจากโลกภายนอกเป็นส่วนประกอบ

ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น อาจเกิดปัญหาขึ้นได้จาก ส่วนที่เราไม่เข้าใจเขา และอีกส่วนที่เขาไม่เข้าใจเรา แต่โดยหลักแล้ว การมีความเข้าใจที่ดีต่อกันย่อมเป็นนโยบายที่ดีที่สุด เพราะโดยหลักแล้วประเืทศไทยยึดหลักความเป็นประเทศเปิด มีเสรีภาพ และเป็นอิสระ เราเป็นมิตรกับทุกฝ่าย และไม่มีนโยบายที่จะเป็นศัตรูกับใคร

วันนี้ลองทำความเข้าใจกับกิจการฝ่ายรัฐสภาของเขา

June 3, 2010

ในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 2010 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยได้ให้สัมภาษณ์สื่อหลังจากที่เขาได้พบกับนายจิม เว็บ วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกา และประธานอนุกรรมการกิจการเอเชียและแปซิฟิกของคณะกรรมการความสัมพันธืต่างประเทศ ในการเดินทางมาในครั้งนี้ของเขา ได้เยี่ยมประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ไทย พม่า ในช่วงวันที่ 29 พฤษภาคม ถึงวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2010

ภาพ Jim Webb Jr. ถ่ายภาพร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกษิต ภิรมย์

รายละเอียดอ่านได้จากคำแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศ และอ่านสรุปข้อมูลส่วนตัวของเขาได้จากคำแปลและเรียบเรียงของผมเกี่ยวกับ Jim Webb Jr. ในตอนท้าย

On 2 June 2010, Foreign Minister Kasit Piromya gave an interview to the media after his meeting with Mr. Jim Webb, US Senator and Chairman of the East Asia and Pacific Affairs Subcommittee of the Senate Foreign Relations Committee, who is on his trip to Republic of Korea, Thailand and Myanmar during 29 May – 6 June 2010. Gist as follows:

The Foreign Minister briefed Senator Webb about the current political situation in Thailand and related issues such as Royal Thai Government’s measures on the political development, democratic society and public participation, particularly the five–point reconciliation plan proposed by the Prime Minister, establishment of an academic committee to study the constitution, public hearing by all stakeholders in the society, establishment of an independent committee to review the facts of the situation, and relief measures to the affected people. The Foreign Minister also thanked Senator Webb for his active role in supporting the US Senators’ Resolution No. 538 “Affirming the support of the United States for a strong and vital alliance with Thailand” on 24 May 2010. The Resolution stated that “The United States supports the vital alliance of Thailand and calls for peace and stability in the Kingdom. It also urges all parties to renounce the use of violence and encourages the resolution of conflict through dialogue. Moreover, the Resolution supports the reconciliation roadmap proposed by the Prime Minister, and the action plan to hold free and fair elections.”

Senator Webb stated that the US monitored the situation and national reconciliation of Thailand which is an important ally of the US, and hoped for stability of the Kingdom’s political situation and society. After this visit, Senator Webb would travel to Myanmar to meet with the Myanmar’s leaders to discuss about the political situation there.

On this occasion, Foreign Minister Kasit hosted a dinner in honour of Senator Webb, during which both sides further exchanged views on the political situation of both countries.

มารู้จักวุฒิสมาชิก Jim Webb Jr.

วุฒิสมาชิกสหรัฐ Jim Webb ยืนยันการสนับสนุน

ภาพ วุฒิสมาชิก Jim Webb Jr. แห่งวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา

วุฒิสมาชิก หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า James Henry "Jim" Webb, Jr. เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 เป็นวุฒิสมาชิกรัฐสภาสหรัฐอาวุโสจากรัฐเวอร์จิเนีย และเป็นักเขียน และเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการทหารเรือ (Secretary of the Navy) ในรัฐบาลชุดประธานาธิบดีเรแกน (President Ronald Reagan) ในปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคเดโมเครต (Democratic Party) อันเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล

ในปี ค.ศ. 1968 จบจากโรงเรียนนายทหารเรือ (U.S. Naval Academy) แห่งสหรัฐอเมริกา เคยรับราชการทหารในหน่วย Marine Corps infantry officer จนกระทั่งปี ค.ศ. 1972 ได้รับเหรียญกล้าหาญจากสงครามเวียตนาม (Vietnam War) และทำงานในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลเรแกน (Reagan administration) โดยดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกระทวงกลาโหมฝ่ายกำลังหนุน (first Assistant Secretary of Defense for Reserve Affairs) แล้วเลื่อนขั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการทหารเรือ (Secretary of the Navy) ซึ่งตำแหน่ง Secretary ในรัฐบาลกลางของสหรัฐนั้นเทียบได้กับรัฐมนตรี และในสหรัฐไม่ได้ใช้คำว่า กระทรวง หรือ Ministry เหมือนดังหลายๆประเทศ

ในการแข่งขันชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกของรัฐเวอร็จิเนีย (2006 Virginia Senate race) Webb ชนะการซาวเสียงเบื้องต้น ได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ชนะ Harris Miller และชนะตัวแทนพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งเดิม คือ George Allen ด้วยคะแนนเฉียดฉิว จนต้องใช้เวลาอีกสองวัน หลังวันปิดหีบที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 เพื่อการนับคะแนนใหม่ และก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ทำให้พรรคเดโมแครตได้กลับมาครองเสียงข้างมากในรัฐสภาสหรัฐอีกครั้ง

Webb เป็นนักประพันธ์ มีผลงานหนังสือหลายเล่ม และเขากล่าวว่า ผมดำรงชีวิตด้วยการเขียนหนังสือ และการทำงานของผมส่วนหนึ่งก็คือการเขียน

Thursday, June 3, 2010

ไปเที่ยวเรือ ชมอนุสาวรีย์เสรีภาพ (Liberty Statute)

ภาพ อนุสาวรีย์เสรีภาพ เมื่อถ้ายจากเรือในระยะไกล

ไปเที่ยวเรือ ชมอนุสาวรีย์เสรีภาพ (Liberty Statute)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
Pracob@sb4af.org

ศึกษา และเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: cw105, USA, สหรัฐอเมริกา, การท่องเที่ยว, Liberty Statute

ความนำ

การท่องเที่ยวในเมืองนิวยอร์ค (New York City – NYC) อันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และใหญ่ที่สุดในอเมริกา มีความหลากหลาย และมีอะไรให้ได้ศึกษามากมาย และที่สำคัญหากรู้จักการใช้ชีวิตที่นี่ การท่องเที่ยวก็จะเป็นไปอย่างประหยัด เพราะสามารถใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่เขาจัดไว้ให้ ว่าไปแล้ว เมืองนิวยอร์คมีระบบภาษีที่สูงที่สุดของสหรัฐ แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็มีบริการหลายอย่างที่ราคาประหยัด เช่นเรื่องการท่องเที่ยว สวนสาธารณะ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เหล่านี้จะมีให้พร้อม

วันนี้ลองไปเที่ยวอนุสาวรีย์เสรีภาพ (Liberty Statute)ที่คนทั่วโลกรู้จักดี แต่การท่องเที่ยวนี้ กระทำได้อย่างประหยัด ใช้งบประมาณ 200-330 บาทไทยเรา หรือไม่เกิน 10 เหรียญก็ไปหาทางพักผ่อนหย่อนใจได้แล้ว

อนุสาวรีย์เสรีภาพ

ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าการไปเที่ยวกับผมครั้งนี้ ไม่ได้ต้องไปที่เกาะ Ellis Island และไปปีนขึ้นอนุสาวรีย์สูง 93 เมตรจริง ได้แต่ไปแบบผ่านๆไปทางเรือข้ามฟากขนาดใหญ่ แต่ระหว่างที่อยู่บนเรือ แล้วอยากถ่ายภาพ ก็เชิญถ่ายได้ตามสบาย เที่ยวเมื่ออากาศอบอุ่นหรือไม่หนาวเกินไป และเป็นช่วงที่อากาศไม่ขมุกขมัว ฝนไม่ตกจะดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพ

อนุสาวรีย์เสรีภาพ (Statue of Liberty) ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า French: Statue de la Liberté มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Liberty Enlightening the World ในภาษาฝรั่งเศสอ่านว่า la Liberté éclairant le monde สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1886 เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ครบรอบ 100 ปีของการประกาศอิสรภาพ ซึ่งมีการลงนาม United States Declaration of Independence อนุสาวรีย์นี้เป็นของขวัญจากประชาชนฝรั่งเศส เพื่อแสดงมิตรภาพของประเทศทั้งสองที่ได้ร่วมรบกันกับประเทศอังกฤษในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพ

ภาพ อนุสาวรีย์เสรีภาพ ถ่ายจากบนเกาะ

อนุสาวรีย์เป็นรูปหญิงสรวมเสื้อผ้าสตรีแบบโรมัน (stola) บนศีรษะสรวมมงกุฎที่มีแสงส่องสว่าง (radiant crown) ยืนถือโคมไฟที่ยกด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายถือแผ่นจารึกที่มีความว่า JULY IV MDCCLXXVI อนุสาวรีย์ยืนตระหง่านที่เกาะ Liberty Island ในอ่าวนิวยอร์ค(New York Harbor) เป็นการต้อนรับผู้มาสู่สหรัฐที่ผ่านมาทางนิวยอร์ค ที่มีทั้งผู้มาเยือน คนมาปักหลักในสหรัฐ และคนอเมริกันที่เดินทางกลับมาทางเรือ คนออกแบบอนุสาวรีย์ชื่อ Frédéric Auguste Bartholdi และโครงสร้างนี้ได้ขึ้นบัญชีของสหรัฐ Maurice Koechlin วิศวกรใหญ่ของ Gustave Eiffel อันเป็นบริษัทวิศวกรและผู้ออกแบบหอคอย Eiffel Tower ส่วนทางเดินภายนในออกแบบโดย Richard Morris Hunt ส่วน Eugène Viollet-le-Duc เป็นคนตัดสินใจเลือกวัสดุที่ใช้ที่เป็นทองแดง ส่วนโครงสร้างภายในเป็นโลหะเหล็ก บริเวณโคมไฟใช้ทองคำเปลวทาบเป็นสีทอง

อนุสาวรีย์มีความสูง 46 เมตร แต่หากนับจากฐานด้วยแล้ว จะสูง 93 เมตร เป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพของทั้งโลกและสหรัฐอเมริกา นับเป็นเวลานานทีเดียวที่ยังไม่มีการเดินทางโดยเครื่องบิน คนที่จะเดินทางไปมาระหว่างยุโรปกับสหรัฐอเมริกาจะผ่านทางเส้นทางนี้ และได้เห็นอนุสาวรีย์

อนุสาวรีย์เสรีภาพเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริหาร Statue of Liberty National Monument, บริหารโดย National Park Service ซึ่งรวมถึงเกาะ Ellis Island

การเดินทางจากบ้าน

หากต้องการเดินทางไปเที่ยวแบบใช้เงินค่าเดินทางไม่เกิน USD 4.50 หรือประมาณ 144 บาท การเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินที่เรียกว่า MTA หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า Subway เพราะเมื่อเข้าเมืองส่วนใหญ่จะลงใต้ดิน

ที่พักของผมและครอบครัวอยู่ในเขตที่เขาเรียกว่า Brooklyn จัดเป็นเขต (Borough) หนึ่งใน 5 เขตของมหานครนิวยอร์ค ซึ่งในเมืองนิวยอร์คจะมีเครือข่ายการขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน ลอยฟ้า และมีระบบรถโดยสาร (Bus System) รองรับเป็นเครือข่าย หากอยู่ในเขตใดเขตหนึ่งของ 5 เขต ก็จะมีระบบนี้รองรับ เสียค่าใช้จ่ายแบบเชื่อมต่อได้ ทั้งรถไฟฟ้า MTA รถโดยสาร หรือเรือข้ามฟาก โดยเสียเที่ยวละ USD 2.25

การศึกษาเพื่อเดินทางนั้น สามารถเข้าไปใช้บริการ Google Map แล้วเลือกจุดจากบ้าน แล้วหาทางไปยังปลายทาง ในกรณีนี้ ผมเลือกสถานีปลายทางที่ South Ferry Station ที่เป็นสุดปลายทาง ก่อนที่จะต้องเดินไปตามสวนสาธารณะเพื่อขึ้นเรือ Ferry ขนาดใหญ่ที่แล่นระหว่าง South FerryStation ไปยังเกาะ Straten เมื่อศึกษาเส้นทางให้เข้าใจแล้ว ก็ถึงเรื่องของการเดินทาง ซึ่งต้องซื้อตั๋ว จะซื้อที่ไหนก็ได้ หรือจะซื้อที่สถานีก็ได้ หากรู้วิธีการหยอดหรือใส่เงินแล้วกดปุ่มตามคำสั่ง ที่สำคัญต้องมีตัวที่เรียกว่า MetroCard นึกง่ายๆครับ ระบบคล้ายกับ BTS หรือ MRT ในกรุงเทพฯ

ออกจากบ้านย่าน Brooklyn เดินประมาณ 8 นาที ขึ้นที่สถานี Clinton-Washington Aves Station เวลาขึ้นรถทุกที่จะเดินทาง ให้สังเกตว่ามีสายที่เราต้องการเดินทางไปหรือไม่ และเมื่อได้สายการเดินทางที่ตรงแล้ว ให้สังเกตว่าเราเดินทางไปในทิศทางไหน Uptown หรือว่า Downtown, หรือในแต่ละเส้นทางนั้น เขาจะมีทิศทางอยู่ 2 ด้านทั้งสิ้น เราจะเดินทางไปทางไหนก็ให้สังเกตที่เขาบอกว่าไปสุดปลายทางที่ใด มิฉะนั้น อาจกลายเป็นเดินทางไปในทิศทางตรงกันข้าม

จับรถสาย Subway C ไปเส้นทาง (Direction) ซึ่งไปในเส้นทางสุดที่ 168th St - Washington Hts Station ระหว่างขึ้นรถไฟฟ้า ให้คอยสังเกตว่ารถได้เดินทางไปในเส้นทางและถึงสถานีใดแล้ว หากฟังภาษาอังกฤษออก เขาจะบอกว่ากำลังเดินทางไปสถานีต่อไปคืออะไร และเมื่อถึงแต่ละสถานี จะมีป้ายบอกว่าที่นั้นๆเป็นสถานีอะไร

ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ไปถึงสถานี Broadway-Nassau St Station

จับเส้นทางสาย Subway 5 ไปในเส้นทางปลายทาง Bowling Green Station ซึ่งเป็นจุดปลายทางพอดี

ใช้เวลารอประมาณ 5 นาที Subway 5 ไปในเส้นปลายทาง Bowling Green Station

จบที่สถานีสถานี แล้วเดินต่อไปยัง South Ferry Station เพื่อขึ้นเรือที่ท่านี้ เพื่อท่องเที่ยวไปในทะเล ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะ Ferry นี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่งมวลชน ขากลับก็ย้อนกลับในลักษณะเดียวกัน หากจะไปเที่ยวเกาะ Straten Island ก็ขึ้นไปดูเกาะเขาสักเล็กน้อยก็ได้ แต่ต้องทำใจ เพราะที่เกาะนี้เป็นที่พักของคนทำงานในนิวยอร์คเสียเป็นส่วนใหญ่ จะเรียกว่าเป็น Bedroom Community ก็ได้ ไม่มีศูนย์การค้า หรืออย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า Downtown เป้นลักษณะชุมชนผู้พักอาศัย

ขากลับ ก็ย้อนเส้นทางกลับในลักษณะเดียวกัน หากเป็นห่วงเรื่องห้องน้ำ ก็สามารถใช้ห้องน้ำที่สถานีเรือข้ามฟากได้ ที่นิวยอร์คนี้ เรื่องบริการห้องน้ำจัดว่าจำกัดที่สุด เทียบไม่ได้กับในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ในเอเซีย

ภาพ

ภาพ เรือข้ามฟาก (Ferry) ขนาดใหญ่วิ่งประจำระหว่างท่าฟาก Manhattan ไปยังเกาะ Straten Island

Tuesday, June 1, 2010

ประวัติชีวิตของมาเรีย วอน แทรป Maria von Trapp

ประวัติชีวิตของมาเรีย วอน แทรป (Maria von Trapp)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
Pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: cw105, USA, สหรัฐอเมริกา, บุคคล, สตรี

ความนำ

ศึกษาเรื่องนี้เพื่ออะไร

1. น่าสนใจ เป็นแฟนภาพยนตร์เพลงเรื่อง The Sound of Music โดยชอบความเป็นภาพยนตร์เพลงที่มีความไพเราะน่ารัก และเคยดูแล้วดูอีกหลายครั้งในทางโทรทัศน์ และทาง VCD

2. ติดตามสตรีคนหนึ่ง คือ Maria Von Trapp และครอบครัวที่เธอรับผิดชอบ ที่ต้องดูแลต่อมา เมื่อสามีต้องเปลี่ยนสถานะ จากเป็นขุนนาง สู่ความเป็นสามัญชนที่ยังไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไร

3. การประกอบอาชีพในแบบครอบครัวแบบออสเตรีย หรือก็คือ แบบเยอรมันในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาอพยพกันมาจำนวนไม่น้อยสู่ด้านตะว้นออกเฉียงเหนือของสหรัฐ หรือจะเป็นส่วนที่เรียกว่าอังกฤษใหม่ (New English)

4. การดูแลธุรกิจสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศ เขาดูแลต้อนรับอย่างไร

ประวัติย่อ

ภาพ โฆษณาภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music นำแสดงโดย Julie Andrews

ภาพ Maria von Trapp

มาเรีย วอน แทรป
Maria von Trapp


ภาพถ่าย เมื่อมกราคม ค.ศ. 1944
photo from Declaration of Intention, 21 January 1944

เกิดเมื่อ
Born

Maria Augusta Kutschera
26 January 1905(
1905-01-26)
Vienna, Austria-Hungary

เสียชีวิตเมื่อ
Died

28 March 1987 (aged 82)
Morrisville, Vermont, USA

คู่ชีวิต
Spouse(s)

Georg Ludwig von Trapp (1880-1947) (m. 1927–1947) «start: (1927-11-26)–end+1: (1948)»"Marriage: Georg Ludwig von Trapp (1880-1947) to Maria von Trapp" Location: (linkback:http://en.wikipedia.org/wiki/Maria_von_Trapp)

บุตรธิดา
Children

Rosemarie von Trapp (b. 1929)
Eleonore von Trapp (b. 1931)
Johannes von Trapp (b. 1939)

Baroness Maria Augusta von Trapp เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1905 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1987 มีอายุยืนยาว 83 ปี เป็นมารดาบุญธรรม และเป็นดังเจ้าแม่ (matriarch) แห่งวงนักร้อง Trapp Family Singers ที่มีชื่อเสียงก้องโลก เรื่องของเธอและครอบครัวและสามีที่ได้หลบหนีนาซี (Nazis) จาก Anschluss ได้เป็นแรงดลใจในการสร้างภาพยนตร์เพลงเรื่อง The Sound of Music

อัตตชีวประวัติ Biography

เรารู้จักมาเรีย (Maria) ในฐานะตัวนำในภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย Julie Andrews แต่ชื่อจริงเสียงจริงเมื่อเกิด คือ Maria Augusta Kutschera เกิดในรถไฟ ขณะที่พ่อแม่จากหมู่บ้านใน Tyrol กำลังเดินทางไปหาหมอที่โรงพยายาบาลในเมือง Vienna อ้นเป็นเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย (Austria) เธอเป็นกำพร้าตั้งแต่อายุ 7 ปี หลังจากนั้นได้รับการศึกษา โดยเธอจบการศึกษาจากวิทยาลัยครูที่จัดการศึกษาแบบก้าวหน้า (Progressive Education) ในเมืองเวียนนาตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1923 หลังจากนั้นได้สมัครเข้าเป็นแม่ชีที่ Nonnberg Abbey, ในนิกายคาธอลิก เบเนดิกติน (Benedictine, Roman Catholic) โดยมีศาสนสถาน (monastery) ในเมืองซาลสเบิร์ก (Salzburg) เป็นชีบวชใหม่ เพื่อเตรียมตัวที่จะบวชเป็นชี ซึ่งในที่นี้ หากผ่านการเป็นชีบวชใหม่ ก็หมายถึงเป็นไปตลอดชีวิต ในขณะที่เป็นอาสาสมัครเตรียมตัวนั้น ได้รับคำสั่งจากทางสำนักชีให้ไปช่วยสอนลูกคนหนึ่งของครอบครัวหม้ายนายทหารเรือ (naval commander) ชื่อ Georg Ludwig von Trapp ซึ่งภรรยาคนแรก Agathe Whitehead von Trapp ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคไข้อีดำอีแดง (scarlet fever) โดยมาเรียและจอร์จ ได้รักกัน และแต่งงานกันในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1927

ภาพ Georg Ludwig von Trapp

เรื่องชีวิตของผู้การนายทหารเรือและครอบครัวจะไม่ได้เหมือนกับในภาพยนตร์ที่เราชมเสียทั้งหมด

ครอบครัว Trapps ได้ประสบปัญหาทางการเงินในปี ค.ศ. 1935 ช่วงวิกฤติของสงครามแล้ว โดยได้ลงทุนฝากเงินในธนาคารในกรงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อช่วยเพื่อนชื่อ Mrs. Lammer โดยถอนเงินของเขาไปจากธนาคารในอังกฤษไปฝากไว้กับธนาคารของ Mrs. Lammer ซึ่งเป็นความล้มเหลว ประเทศออสเตรียเองได้รับการกดดันทางเศรษฐกิจ และจากเยอรมันในสมัยฮิตเลอร์ และองค์ประกอบอื่นๆ

เพื่อให้คงเอาตัวรอด Trapps ต้องเลิกการจ้างคนรับใช้เกือบทั้งหมด แล้วไปอาศัยอยู่ชั้นบนของคฤหาสน์ ส่วนห้องที่มีอยู่ได้เปิดเป็นหอพัก ให้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Catholic University เช่าเป็นหอพัก ซึ่ง Archbishop ได้ส่งบาดหลวงชื่อ Franz Wasner มาพักเป็นอนุสาสก (chaplain) ครอบครัว Trapps เป็นคนรักดนตรี ได้เข้าสู่อาชีพการแสดงดนตรี โดยในปี ค.ศ. 1935 ได้เปิดตัวในงานแสดงดนตรี และได้ตระเวนแสดงดนตรีหลังจากนั้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปี ค.ศ. 1938 นาซีเยอรมันก็ผนวกออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน ครอบครัวของ Trapps ได้อพยพผ่านมาทางอิตาลี และได้ย้ายมาสู่สหรัฐอเมริกา ส่วนบ้านของครอบครัว Trapps ได้กลายเป็นศูนย์บัญชาการของ Heinrich Himmler แห่งกองทัพเยอรมัน

Franz Mathias Wasner (เกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1905 – เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 1992 ในระยะต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการดนตรีและกำกับดนตรีให้กับวง Trapp Family Singers และใช้ชีวิตหลังจากนั้นเป็นนักบวชสอนศาสนา (missionary)

ในการแสดงช่วงแรกๆ ของตระกูล Trapp เขาใช้ชื่อวงนักร้องนี้ว่า "Trapp Family Choir" ซึ่งเป็นเหมือนนักร้องเพลงของศาสนาในโบสถ์ และครอบครัวก็ได้ตระเวนแสดงทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดา Trapps ได้แสดงแล้วสะกิดใจคนอเมริกันเมื่อแสดงที่ศาลากลาง (The Town Hall) เมืองนิวยอร์ค (New York City NYC) ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1938 โดยหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ (New York Times) ได้เขียนคำยกย่องอย่างน่าประทับใจว่า

พวกเขาน่ารักและดึงดูด ด้วยความเรียบง่าย เป็นกลุ่มนักร้องที่เอาจริงเอาจัง ส่วนคุณนาย Von Trapp ก็แต่งชุดดำในชุดเหมือนชีในนิกายแคธอลิก และชุดชาวออสเตรียพื้นบ้านสีขาวมีโบว์สีแดง ทุกอย่างเป็นไปอย่างประณีต และทุกคนก็ไม่ผิดหวังกับเสียงเพลงของเขา

หลังจากเข้าสู่การแสดงดนตรีกับ Charles Wagner ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก ครอบครัวก็ได้ลงนามสัญญากับ Frederick C. Schang ซึ่งเห็นว่าชื่อวง Trapp Family Choir มีลักษณะเป็นศาสนามากไป หรือไม่ก็เป็นแบบอเมริกันมากไป จึงเปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น "Trapp Family Singers"

ในช่วงนั้นเด็กๆในวง Trapps ได้เพิ่มขึ้นเป็น 10 คน โดยมีบุตรที่เกิดใหม่กับ Maria อีก 3 คน หลังจากวงนักร้องนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้ไปแสดงคอนเสิร์ตทั่วโลก

หลังจากช่วงสงคราม ครอบครัวได้ก่อตั้งองค์กรสาธารณกุศล ชื่อ Trapp Family Austrian Relief, Inc. เพื่อทำงานการกุศล ส่งเงินและอาหารไปช่วยประเทศออสเตรียที่ประสบภัยจากสงคราม

ในช่วงทศวรรษที่ 1940s ครอบครัว Trapps ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองสโตว์ ในรัฐเวอร์มอนต์ (Stowe, Vermont) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นี่เป็นที่พักของพวกเขาในขณะที่ไม่ได้แสดงดนตรี ในช่วงปี ค.ศ. 1944, Maria และลูกเลี้ยงของเธอ Johanna, Martina, Maria, Hedwig, และ Agathe ได้ขอโอนสัญชาติเป็นคนอเมริกัน (U.S. citizenship) แต่ Georg ไม่ได้ขอโอนสัญชาติเป็นอเมริกัน ส่วนลูกชาย Rupert และ Werner ได้กลายเป็นอเมริกันโดยรับใช้เป็นทหารในการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง Rosmarie และ Eleonore ได้สัญชาติอเมริกันตามมารดา ส่วน Johannes ได้สัญชาติด้วยการเกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา

ผู้การเรือ Georg von Trapp เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1947 ในรัฐ Vermont ด้วยโรคมะเร็งในปอด (lung cancer) วงนักร้องประสานเสียง Trapps ได้เข้าวงการอัดแผ่นเสียงกับ RCA Victor และได้มีการอัดแผ่นเสียงออกมาหลายครั้ง รวมถึงการปรากฏตัวในแผ่นเสียงเพลงคริสมาสกับ Elvis Presley นักร้องยอดนิยม ในปี ค.ศ. 1957 เมื่อครอบครัวได้เติบโตแยกย้ายกันไปมีครอบครัวของตนเอง Maria และลูกของเธอ 3 คนได้เข้าทำงานอาสาสมัครรับใช้เป็นผู้เผยแพร่ศาสนา (missionaries) ในหมู่เกาะทะเลแปซิฟิกใต้

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1960s มาเรียได้ย้ายมาอยู่ที่เวอร์มอนต์ โดยทำธุรกิจที่พักตากอากาศ Trapp Family Lodge อันเป็นที่พักของเธอเอง มาเรียได้โอนธุรกิจให้บุตรชาย Johannes von Trapp แต่ยังลังเลที่จะโอนความเป็นเจ้าของให้

มาเรียเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1987 ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว หลังจากเข้าโรงพยาบาล Morrisville, Vermont เธอมีชีวิตยืนยาว 84 ปี มีชีวิตหลังจากสามีเสียชีวิต 40 ปี ซึ่งผู้การนายทหารเรือ ได้เสียชีวิตไปก่อนที่หน้งสือ ดนตรี และภาพยนตร์ The Sound of Music ที่ก้องโลกจะได้ปรากฏต่อประชาชน Maria, สามี Georg, Hedwig von Trapp, และ Martina von Trapp ได้รับการฝังที่สุสานของครอบครัวในบริเวณที่พักตากอากาศ

ในช่วงตั้งแต่มาเรียได้แต่งงานกับ Georg ซึ่งเป็นผู้มีหน้าตา มีฐานะ แต่ต้องประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหมดสิ้นทรัพย์สินไปเป็นอันมาก ครอบครัวต้องหาทางเลี้ยงตัวเองโดยการแสดงดนตรี เป็นศิลปิน ดูแลบุคคลในครอบครัวจำนวนมากอย่างมีวินัย สร้างสรรค์ และมีผลงานไปก้องโลก ตลอดจนในท้ายที่สุด มีการกิจการสถานที่พักตากอากาศที่น่าภูมิใจ เป็นฐานบ้านใหม่ในสหรัฐอเมริกา เป็นที่หาเลี้ยงครอบครัวหลังจากที่เลิกแสดงคอนเสอร์ตไป เมื่อลูกๆหลายคนได้เติบโตมีครอบครัวและแยกย้ายกันไป

Trap Family Lodge ที่เมือง Stowe รัฐ Vermont เป็นสถานที่พักตากอากาศ สมบัติแบบกงสีของครอบครัวที่น่าสนใจ ผมและครอบครัวได้เดินทางมาในช่วงพักวันระลึกทหารผ่านศึก

มาพักที่ Trapp Family Lodge

เมื่อวันที่ 28 – 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 ผม ภรรยา และลูกชายได้ขับรถจากเมืองนิวยอร์ค ออกรถตั้งแต่ 5:30 น. ออกแต่เช้า แล้วหวังหาอาหารกลางวันรับประทานระหว่างทาง ซึ่งในการขับรถมาที่ Trapps Family Lodge ที่เมือง Stowe รัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) ที่เขาอยากจะหาที่พักนอกจากที่ Brooklyn กับบุตรชาย

จากแผนที่ เราต้องเดินทางโดยทางรถยนต์เป็นระยะทางประมาณ 330 ไมล์ หรือประมาณ 528 กิโลเมตรจากที่พักของเราในเขต Brooklyn ในเมือง New York เราเดินทางโดยใช้ระบบนำทาง Global Positioning System หรือ GPS ผมเองก็เรียนรู้เอาไว้เหมือนกัน เพราจะลดความสับสนตอนต้องเดินทางเข้าเมืองและการเดินทางตอนกลางคืน

8:00am. เราพักรับประทานอาหารเช้าแบบสมบูรณ์ที่ร้านชื่อ Family’s ที่เป็นร้านที่มีอาหารเช้าและกลางวันที่เป็นแบบเครือข่าย (Chains) ไปหลายแห่งตลอดทาง

12:30am, หลังจากรับประทานอาหารกลางวันอย่างง่ายๆ ประเภท Sandwich กับ Soup รสเข้มแล้ว มีเวลาว่างก็เลยล้างรถด้วยระบบเครื่องอัตโนมัติที่ใช้แบบน้ำแรงดันสูง และมีเครื่องเป่าแห้ง เสร็จแล้วก็ลองเข้าดูร้านค้าของเมืองสักระยะ ก่อนที่จะขับรถมายังที่พัก ซึ่งเขาให้เวลาเข้าพักไว้หลัง 3:00pm

Trapp Family Lodge ที่นี่เป็นที่พักตากอากาศขนาดใหญ่มาก มีพื้นที่กว่า 2400 เอเคอร์ เป็นที่พักตากอากาศที่ตั้งอยู่บนเนินเขา หากใครเห็นฉากเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music แล้ว คงจะอย่างไรก็อย่างนั้น และโดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เข้าฤดูร้อนดังในปัจจุบัน อากาศสมบูรณ์แบบมาก สบายๆ ไม่ต้องใส่เสื้อหนาว รับลมเย็นๆ ตามธรรมชาติ

คนมาพักที่นี่เป็นผู้สูงอายุจำนวนมาก และก็คงรวมผมและภรรยาด้วยอีกคู่หนึ่ง แต่มองไม่เห็นคนเอเชีย อัฟริกัน หรือลาตินเอาเสียเลย ซึ่งก็เป็นลักษณะเมืองชนบทเพื่อการท่องที่ยวตากอากาศเป็นอันมากในย่านตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา ยกเว้นเมืองใหญ่ๆอย่างนิวยอร์คที่มีลักษณะเป็นชุมชนหลากหลายเผ่าพันธุ์มากกว่า

สถานที่ตากอากาศ Trapp Family Lodge

From Wikipedia, the free encyclopedia

ภาพ สถานที่พักยามหน้าหนาว เป็นอาคารสูง 4 ชั้น ในสไตล์ออสเตรียน
The front of the Austrian-style main building of the Trapp Family Lodge

700 Trapp Hill Road

Stowe, VT 05672-5074, United States


Get Directions

(802) 253-8511

สถานที่ตากอากาศ Trapp Family Lodge ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2400 เอเคอร์หรือประมาณ 9.7 ตารางกิโลเมตร เป็นสถานที่ตากอากาศระดับ 3 ดาวครึ่ง ตั้งอยู่ที่เมืองสโตว์ รัฐเวอร์มอนต์ (Stowe, Vermont) สถานที่พักตากอากาศนี้จัดการโดย Sam von Trapp และบิดาของเขา คือ Johannes von Trapp

ภาพ Johannes von Trapp ชายคนยืนด้านซ้ายของภาพ บุตรคนสุดท้องของ Maria และ Georg ถ่ายที่คฤหาสถ์ที่เคยเป็นของตระกูล ในออสเตรีย

ที่พักตากอากาศนี้ เกิดขึ้นเมื่อ Maria von Trapp และครอบครัว ได้หนีการผนวกออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันนาซี และได้มาตั้งถิ่นฐานในรัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) ในปี ค.ศ. 1942 โดยเลือกบ้านพักที่เมือง Stowe โดยได้ซื้อที่ดินประมาณ 600 เอเคอร์ที่อยู่บนเขาห่างจากเมืองออกไปไม่มากนัก ทำเลที่นี่เหมือนกับที่เธอเคยอยู่ในออสเตรีย คือเป็นภูเขา มีภูมิอากาศใกล้เคียงกัน

ในปี ค.ศ. 1950 ได้มีการสร้างที่พักขนาดเล็กๆ มีห้องพักสำหรับคนเล่นสกีจำนวน 27 ห้อง แต่ที่พักได้ถูกไฟไหม้ไปในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1980 ทำให้คนพักอาศัยจำนวน 45 คนต้องหนีไฟทั้งในชุดนอนรวมถึง Baroness Maria Von Trapp ในปี ค.ศ. 1983 ได้มีการสร้างที่พักหลังใหม่ขึ้นมา มีห้องพัก 93 ห้องเป็นอาคารในสไตล์ออสเตรียน (Austrian-style lodge)

เมื่อ Maria von Trapp เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1987 สมาชิกในครอบครัว 32 คนมีหุ้นอยู่ในธุรกิจที่พักตากอากาศนี้ หลังจากเป็นความกันระยะหนึ่ง Johannes von Trapp สมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดและได้แก้ปัญหาทางกฎหมายเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1999 ปัจจุบัน Trapp Family Lodge ได้เพิ่มห้องพักอีก 23 ห้อง และมีบ้านพักรับรอง อย่างที่เรียกว่า guesthouses อีก 100 หลัง ในบริเวณสถานตากอากาศนี้ มีทางขี่จักรยานภูเขา โรงยิม สนามเทนนิส ที่เล่นกระดานลื่นหิมะ (Sleigh rides) มีร้านอาหารภายในเอง มีที่เล่นสกี อ้นเป็นที่เล่นสกีแบบ Cross Country คือการเล่นสกีในที่ราบหรือเขาไม่สูงชัน เป็นการออกกำลังกายแบบเน้นความอดทน มีทางเล่นสกียาวถึง 45 กิโลเมตร ที่อยู่ในที่ดินของครอบครัว และเป็นทางแบบยังไม่ปรับปรุงนับเป็น 100 กิโลเมตร

ที่นี่มีการผลิตน้ำตาลเมเปิล (maple sugaring) อ้นเป็นของฝากขึ้นชื่อจากบริเวณรัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) นี้ แต่เห็นราคาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำตาลเมเปิลแล้ว แพงมากกว่าน้ำตาลทรายจากอ้อยที่เราผลิตกันในประเทศไทยมาก หากจะซื้อไป ก็เป็นของที่ระลึก ซื้อไปฝากคน

คิดว่าผลิตภัณฑ์น้ำตาลที่ทำจากต้นตาล หรือมะพร้าว ก็คงจะมีลักษณะออกมาในลักษณะเดียวกัน คือมีลักษณะเฉพาะ และราคาไม่ถูก

ที่ห้องพัก

ห้องขนาดใหญ่ สามารถพักได้ 3-4 คน สบายๆ โดยเขามีที่นอนในแบบที่เรียกว่า Sofabed คือเป็นโซฟานั่งขนาดใหญ่ ตอนกลางคืนสามารถลากออกมา แล้วขยายเป็นเตียงมีผ้าปูและผ้าห่มพร้อม ผู้ใหญ่นอนได้ 1 คน หากเป็นเด็กนอนด้วยกัน ก็นอนได้เป็น 2 คน

ในห้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างสบาย โดยเฉพาะห้องน้ำขนาดใหญ่ เป็นอ่างอาบน้ำ มีน้ำอุ่นแบบปรับได้ เป็นมาตรฐานทั่วไปของโรงเรียนมีระดับของอเมริกา

ที่ร้านอาหาร

ที่นี่มีร้านอาหารภายในโรงแรมพร้อม มีบริการที่ดี ตอนเช้าลงมารับประทานอาหารเช้า เขาเลือกจัดให้นั่งรับประทานอาหารในห้องที่มีหน้าต่าง มองออกไปเห็นวิวที่สวยงาม อาหารเช้า เป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายรวมในค่าที่พัก โดยจะเลือกเป็นแบบ Continental Breakfast ซึ่งเป็นแบบ Buffet หรือจะเรียกว่าอาหารเย็น มีกาแฟ และน้ำผลไม้ หรือเป็นแบบอาหารเช้าตามสั่ง คือทำให้อย่างร้อน เช่นจะสั่งเป็น Omelets หรือ Scrambled Eggs พร้อมแฮม ไส้กรอก ขนมปังปิ้งร้อน แล้วแต่จะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

เรื่องปริมาณอาหารนั้นไม่ต้องห่วง เขาบริการเต็มที่ แต่คนกินมีหลากหลาย มีพวกคนหนุ่มสาวที่ไปกับครอบครัว เน้นการไปออกกำลังกาย ขี่จักรยาน เดินทางไกล พวกนี้คงจะกินมากหน่อย แต่พวกผู้เกษียณอายุ ไปเที่ยวกันเป็นกลุ่ม หรือกับครอบครัว ถือเป็นรางวัลของชีวิต พวกนี้ก็คงรับประทานไม่มากนัก ความสำคัญของเขาคือการบริการอาหารที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เหมือนมาพักกับบ้านญาติ กินอยู่สบายๆ มีคนคอยบริการ มองออกไปที่หน้าต่างก็พบท้องทุ่งสีเขียว ลมเย็นสบายในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน

คนบริการอาหาร เป็นสตรีแต่งตัวแบบออสเตรียน (Austrian Style) หรือเยอรมันชนบท ดูเหมาะกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ คนทำงานบริการ เขาบริการกันเหมือนกับคนในครอบครัว พยายามจำแขกผู้มาพักด้วยชื่อ ดังเช่นชื่อนามสกุล ดังครอบครัวผม เขาจะเรียกว่า Cooparat เป็นต้น พนักงานบริการที่นี่จะใช้คนที่ไม่ค่อยเห็นคนจากชนกลุ่มน้อยมากนัก ซึ่งเป็นปกติทั่วไปของเมืองเกษตรขนาดเล็ก ทางเหนือและตะวันตก ที่เขาใช้แรงงานที่เหลือจากการเกษตรในแถบนี้

สิ่งอำนวยความสะดวก

ที่นี่เขามีสถานที่อำนวยความสะดวก คือจูงใจให้คนมาพัก มาอยู่ได้เป็นเวลานาน เช่น ร้านอาหาร สถานที่เดินออกกำลังกาย โรงยิม สระว่ายน้ำ ห้องสมุด ห้องชมภาพยนตร์ และอื่นๆ มีห้องอาหารสำหรับจัดงานแต่งงาน งานเลี้ยงพิเศษ

สภาพทิวทัศน์

ด้านหลังของห้องพักชั้นที่สี่

การออกแบบสถานที่ ทำให้ทุกคน แต่ละห้องมีความเป็นเอกลักษณ์ เหมือนมาอยู่รวมกันในบ้านขนาดใหญ่ มากกว่าจะมาอยู่ในสถานที่ๆมีการจัดบริการเป็นแบบเหมือนอุตสาหกรรม

ภาพชุด

ที่ Trapp Family Lodge

ภาพ ทางเดินในโรงแรมที่พัก ไม่กว้างนัก ประดับภาพที่เกี่ยวกับประวัติของครอบครัว
ภาพ เนื่องจากบ้านสร้างบนภูเขาที่มีลักษณะสูงต่ำไม่เรียบเป็นแผ่นกระดาน ที่พักจึงเป็นแบบต่างระดับ บางส่วนเป็นแบบครึ่งระดับ คนมีอายุ หรือคนพิการจะจัดให้อยู่เต็มระดับ ใช้ Elevator ได้

ภาพ หลังคาอาหารจะทำจากเปลือกไม้ ดูสวยงามเป็นธรรมชาติไปอีกแบบหนึ่ง

ภาพ ด้านหลังของห้องพัก สามารถเปิดออก เป็นสนามเรียบไปยังภูเขา

ภาพ กระถางดอกไม้ที่อยู่ริมหน้าต่างตามสไตล์ตะวันตก เขานิยมไม้ธรรมชาติตามที่มีอยู่ในท้องถิ่น มากกว่าที่จะใช้ไม้หรือดอกไม้พลาสติก

ภาพ ภายในห้องพักมีมุมที่มองออกไปด้านนอกเป็นธรรมชาติ สามารถนั่งดื่มน้ำชากาแฟได้ ผมใช้ส่วนนี้สำหรับนั่งเขียนอ่าน แต่โดยความสัตย์แล้ว ไม่มีเวลาได้ทำอะไรมากนัก เพราะเหนื่อยเท่าๆกับคนอื่นๆ ทำได้เพียง Download ภาพจากกล้องสู่เครื่อง Labtop


ภาพ เครื่อง Laptop วางอยู่ ไม่ค่อยได้มีเวลาใช้ เพราะมีเวลาพักที่นี่ 2 วัน ต้องออกไปเที่ยวชมวิว ชมธรรมชาติ

ภาพ บันไดเชื่อมระหว่างต่างระดับที่ทำด้วยไม้ ที่ทางตอนเหนือของอเมริกา ยังมีไม้ปลู่กอยู่มากมาย ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นไม้สน Pine Trees

ภาพ ทางเดินที่ทำเป็นขั้นด้วยไม้ สวยงาม และดูเป็นธรรมชาติ

ภาพ ทางต่างระดับที่มีไม้ซุงสี่เหลี่ยมจตุรัสทำหน้าที่ป้องกันดินเลื่อนไหล

ภาพ ด้านหลังของห้องพักที่อยู่ขั้นที่ 4 แต่เหมือนกับเป็นห้องชั้นแรก เพราะระหว่างด้านหน้าของโรงแรมที่เป็นชั้นแรก แต่ชั้นที่ 4 ด้านหลัง ก็เป็นที่ๆเื่ชื่อมกับทางลาดของเขาเหมือนกัน

ภาพ ร้านกาแฟในที่พักที่กว้างขวาง และทำเป็นที่ขายของที่ระลึกไปด้วย ยามอากาศดี ก็มีลานที่ออกมาดื่่มกาแฟด้านนอกได้

ภาพ ลานกว้างที่เป็นลานหญ้า แมกไม้ และภูเขาที่เห็นไกลออกไป ทำเลเช่นนี้ที่เป็นภูิเขาใกล้ มีภูมิประเทศและภูมิอากาศใกล้เคียงกับในออสเตรีย (Austria)

ภาพ บริเวณที่พักด้านอนกของห้องที่เป็นเหมือนห้องรับแขกรวม ทำให้โรงแรมตากอากาศขนาดใหญ่ แต่มีความเป็นส่วนตัวเล็กๆ เหมือนบ้านพักของแต่ละคน

การแสดงความตระหนักในสิ่งแวดล้อม

ภาพ มุมหนังสือ

ขวด Bath gel, Conditioner, และ Shampoo แบบติดตั้งบรรจุในชวดใหญ่ 3 ใบ แบบเขาจะมาเติมเต็ม คนจะใช้ก็กดใช้ตามต้องการ ที่นี่ ไม่ใช้ขวดเล็กๆ แบบใช้แล้วโยนทิ้ง เรียกว่าไม่ส่งเสริมนโยบายใช้แล้วโยนทิ้ง (Disposible)

เมือง Stowe, รัฐ Vermont

เมืองตากอากาศ ไปพักผ่อนได้ตลอดปี หน้าหนาวจะคึกคัก แต่หน้าร้อนก็พอไปได้ เพราะอากาศแบบภูเขาจะเย็นสบาย เหมาะแก่การออกกำลังกาย

เมือง Stowe มีประชากรประมาณ 4,000 คน ที่เป็นประชาชนของเมือง และเมื่อมีคนมาพัก อาจขยายเป็นหลายเท่า

เมืองสโตว์ (Stowe)

เมืองสโตว์ (Stowe) เป็นเมืองขนาดเล็ก (town)ในเขต Lamoille County, รัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) ประเทศสหรัฐอเมริกา (United States) มีประชากรทั้งสิ้น 4339 คนจากการสำรวจเมื่อปี ค.ศ. 2000 ซึ่งคาดว่า 10 ปีให้หลังประชากรก็จะไม่เปลี่ยนไปมากนัก ที่นี่การท่องเที่ยวจัดเป็นอุตสาหกรรม เมืองในที่นี้อยู่ในเขตภูเขา เป็นเมืองพักตากอากาศ ยามหน้าหนาว จะเป็นที่เล่นกีฬาฤดูหนาวหลัก คือสกีหิมะ (Mountain Ski) หากเป็นที่ราบก็เป็นทางเล่นสกีเดินทางระยะยาว (Cross Country Ski) นอกจากนี้ก็เป็นการพายเรือ (Canoe) ด้วยเรือบดเล็กๆแบบอินเดียนแดง ซึ่งปัจจุบันทำด้วยวัสดุสังเคราะห์ การขี่จักรยานภูเขา เดินทางภูเขา การวิ่งเยาะๆ (Jogging) จัดเป็นที่พักตากอากาศของผู้มีระดับสำหรับผู้ชื่นชอบธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม



ภาพ ร้านขายของ เสื้อผ้าและของที่ระลึกในเมือง Stowe, Vermont

ภาพ ร้านค้าในเมือง ส่วนใหญ่มีที่จอดรถด้านหลัง ที่จอดรถในเมืองมีอย่างเพียงพอ แม้จะตั้งอยู่้บนเขา เพราะหากไม่มีที่จอดรถแล้ว คงไม่มีลูกค้ามาใช้บริการแน่ เพราะคนที่จะไปเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว

ภาพ ร้านค้าขายในเมืองจะออกมาในสไตล์แบบนี้ ดูน่ารักดี ในเมืองใหญ่ๆอยางนิวยอร์คจะมีลักษณะไปอีกแบบหนึง ส่วนวัฒนธรรมการข้ามถนนในเมืองเล็กๆ ส่วนใหญ่เขาจะให้คนเดินข้ามก่อน เขาจะหยุดรอ ต่างจากเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค ที่หากมีสัญญาณให้รถวิ่งได้ คนเดินข้ามก็ต้องรอ มิฉะนั้นจะอันตรายมาก


รัฐเวอร์มอนต์ (Vermont)

รัฐเวอร์มอนต์ (Vermont) จัดเป็นรัฐ (state) หนึ่งในภูมิภาค อังกฤษใหม่ (New England region) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ (northeastern) ของประเทศสหรัฐอเมริกา (United States of America) จัดเป็นรัฐมีพื้นที่ขนาดเล็ก โดยมีพื้นที่ 24,000 ตารางกิโลเมตร จัดเป็นอันดับที่ 45 หรือเกือบสุดท้ายของสหรัฐ และมีประชากรทั้งสิ้น 621,270 คน จัดเป็นอันดับรองสุดท้ายของประเทศ และเป็นรัฐเดียวในแถบอังกฤษใหม่ที่ไม่มีอาณาบริเวณติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก โดยมีบริเวณติดน้ำ คือทะเลสาบ Lake Champlain ซึ่งนับเป็นร้อยละ 50 ของชายแดนรัฐ ทางด้านเหนือและใต้ติดกับเทือกเขา Green Mountains ซึ่งทาบยาวจากเหนือจรดใต้ ทางตอนใต้ติดกับรัฐ Massachusetts ทางตะวันออกติดกับรัฐ New Hampshire และรัฐนิวยอร์ค New York อยู่ไปทางตะวันตก และทางตอนเหนือติดกับจังหวัด Quebec ของแคนาดา รัฐเวอร์มอนต์จัดเป็นรัฐที่ 14 ของสหรัฐอเมริกา

ภาพ ถนนในชนบทใน Vermont วิ่งเรียบไปตามภูเขา
เมือง Burlington, Vermont


ภาพ ทะเลสาป Champlain from the Burlington wharves

เมือง ฺีBurlington จัดเป็นเมืองใหญ่สุดของรัฐ Vermont มีประชากร 38,889 คนจากการสำรวจในปี ค.ศ. 2000 แต่หากนับบริเวณใกล้เคียงที่เรียกว่า Metropolitan Area จะมีคนประมาณ 200,000 คน ประมาณ 1 ใน 3 ของคนในรัฐนี้

Burlington is the largest city in the U.S. state of Vermont and the shire town (county seat)[5] of Chittenden County.[6] With a population of 38,889 at the 2000 census, the city is the core of one of the nation's smaller metropolitan areas, and is also the smallest U.S. city to be the largest city in its state. The urbanized area consists of the cities of Burlington, South Burlington, and Winooski; the towns of Colchester, Essex, and Williston; and the village of Essex Junction.

As of 2000, the Burlington-South Burlington metropolitan area contained the three northwestern Vermont counties of Chittenden, Franklin, and Grand Isle, with an estimated 2006 population of 206,007, approximately one third of Vermont's total population.[7][8]

ภาพ ขณะที่ไปเมือง Burlington, Vermont เขามีการแข่งขันวิ่งมาราธอนกัน มีคนไปร่วมเขียร์กันดังในภาพ การวิ่งนี้จัดเป็นงานใหญ่ เพราะมีคนร่วมวิ่ง 8000 คน มีคนไปร่วมชมอีกประมาณ 24000-30000 คน

เมืองชนบทในอเมริกาตอนเหนือและตะวันตก จะไม่ค่อยพบคนผิวสีไปทำงานมากนัก คล้ายๆกับบรรยากาศของยุโรปตะวันตก ที่จะดูแปลกมากที่จะมีคนเชื้อสายอื่นๆไปปะปน

คนที่นี่เน้นการทำงาน

อากาศดีๆ เห็นเด็กๆวัยรุ่นออกมารับจ้างล้างรถ หากล้างด้วยเครื่องอัตโนมัติจะเสียประมาณ USD 10 หากล้างด้วยคน คงจะไม่แพง แต่จะสะอาดหรือไม่ ก็ไม่ได้ทดลอง