Thursday, June 11, 2009

โคลนในบ้านเกิดฉ้น ก็ยังหวานกว่าน้ำผึ้งในที่อื่นๆ

โคลนในบ้านเกิดฉ้น ก็ยังหวานกว่าน้ำผึ้งในที่อื่นๆ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
มูลนิธิก้าวไกลในเอเซีย
SpringBoard4Asia Foundation (SB4AF)
Tel: +66 2 3548254, +66 2 3548255
Fax: +66 2 3548255
Email: pracob@sb4af.org
Blogger: http://pracob.blogspot.com และ www.itie.org/eqi/

Updated: Friday, June 12, 2009
Keywords: สุภาษิต, patriotism

กลับบ้านแล้ว

ผมได้กลับมาบ้านในกรุงเทพฯแล้ว จากสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 ในการเดินทางกลับ ได้ออกเดินทางจากสนามบิน John F. Kennedy International Airport, New York City โดยสารการบิน British Airway (BA) มาลงยังสนามบิน Heathrow Airport กรุงลอนดอน ใช้เวลาบินไม่นาน ประมาณ 6-7 ชั่วโมง แต่ต้องมารอเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินประมาณ 12 ชั่วโมง

หลังจากนั้นได้เดินทางด้วยสายการบิน ETIHAD ของ United Arab Emirates เดินทางกลับกรุงเทพฯ เพื่อมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิกลับบ้าน โดยระหว่างนั้นได้แวะพักสั้นๆที่เมือง Abu Dhabi เมืองหลวงของประเทศเจ้าของสายการบิน มองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินระหว่างจะลงจอด มองเห็นแต่ทะเลทราย ดูสว่างขาวโพลนไปหมด มีสีเขียวจากหญ้าและต้นไม้น้อยมาก พักรอเครื่องที่สนามบินของเขาสัก 2-3 ชั่วโมง
สายการบิน ETiHAD ของเขานั้นมีบริการที่เทียบแล้วดีกว่าสายการบิน BA ตรงเครื่องที่ใหม่กว่า อาการการกินเครื่องดื่มที่บริการบนเครื่องก็ดีมาก และค่าโดยสารที่ไม่แพง เห็นสายการบินของเขาแล้ว ก็มาเป็นห่วงสายการบินไทยเรา คือ Thai International Airline ที่ดูจะมีอาการเพียบหนัก ทั้งๆที่มีคนที่มีคนทำงานที่เป็นคนไทย มีอัธยาศัยดี มีชื่อที่คนทั่วไปให้การยอมรับ แต่เห็นทีต้องไปปรับระบบบริหารกันอย่างยกเครื่อง ไม่ใช่ศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า

บ้านของเรา

เมื่อมองเขาแล้ว ก็ต้องมามองตนเอง มีสุภาษิตอัลเบเนียหนึ่งว่า

Balta -- m'ë ëmbël se mjalta. --Vlorë ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า The mud [in Albania] is sweeter than honey [elsewhere] หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “โคลนในบ้านเกิดฉ้น ก็ยังหวานกว่าน้ำผึ้งในที่อื่นๆ” ซึ่งเป็นความหมายที่ต่างจากสุภาษิตที่ว่า “สนามหญ้าของเพื่อนบ้าน มักจะเขียวกว่าของตน”
โคลนในบ้านเกิดฉัน ก็ยังหวานกว่าน้ำผึ้งในที่อื่นๆ มีความหมายง่ายๆว่า อันบ้านเกิดของเรานั้น แม้จะดีๆชั่วๆ ก็ยังเป็นที่ๆเรามีความสุขที่จะอยู่อาศัย

ระหว่างเวลาเกือบสองเดือนครึ่งที่อยู่ในประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ผมได้เดินทางไปทัศนศึกษา ติดต่อธุระ พบเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง และหามุมสงบและหาเวลาเขียนงานที่อยากจะเล่าสิ่งต่างๆที่เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่บรรดาเพื่อนฝูง ศิษย์ และเพื่อนร่วมวิชาการ

ความขัดแย้งเดือนเมษา 2552

ระหว่างนั้น ได้ติดต่อรับข้อมูลจากทางบ้าน ผ่านทาง Internet Radio และข่าวออนไลน์ทั้งหลาย ได้รับทราบเรื่องความขัดแย้งในช่วงเดือนเมษายน เดือนที่แสนร้อนของไทยนั้น ก็ยิ่งร้อนหนักขึ้นไปอีก ด้วยคนเสื้อแดง แต่หลังจากนั้น ก็ได้ติดตามข่าวเรื่อยมา ที่ดูว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น โอกาสจะมีปฏิวัติรัฐประหารคงจะไม่มี โอกาสที่คุณ ทักษิณ ชินวัตรจะกลับมามีอำนาจ ก็คงจะห่างไกลยิ่งขึ้นไปอีก ผมติดตามดูตลาดหลักทรัพย์ ก็เห็นว่าได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ข่าวจากประเทศไทยดูจะไม่มีอะไร ดูเหมือนข่าวน่าเบื่อ แต่นั่นแหละ เขาบอกว่า No news is good news. คือไม่มีข่าว (ร้าย) ก็ถือเป็นข่าวดี’
มองโลกในแง่ดี

ผมมองไม่เหมือนกับหลายๆคนที่หลังจากความรุนแรงแล้ว ทำให้เขามีความไม่มั่นใจ เกรงกลัว ระแวง จะทำงานทำการก็ดูไม่ค่อยเต็มที่ แต่สำหรับผมมองอย่างนี้ครับ ผมมองว่า ประเทศไทยนั้นได้ผ่านพัฒนาการทางการเมืองมาดีแล้ว มีเจ็บมีตายก็จริง แต่โดยภาพรวมแล้ว ยังไม่รุนแรง เราควรใช้เวลาในอนาคตที่จะมองและทำให้สิ่งที่ดีๆกันต่อไป โอกาสยังมีอีกมาก ผมไม่มองโลกในแง่ร้าย

ตาบอดสี

ในบรรยากาศที่คนแบ่งออกเป็นขั้ว เป็นสีแดง สีเหลือง สีฟ้า สีเขียว หรือสีขาว ผมเป็นคนตาบอดสี หากจะใส่เสื้อก็ไม่อยากให้มองเป็นสัญลักษณ์ของการเข้ากับฝ่ายใด คนไทยเรานั้น เรามาแบ่งกันที่สีเสื้อ ถ้าถอดออกแล้วไม่ใส่ คนไทยเราก็มีลักษณะไม่แตกต่างกัน ผมอยู่ในนิวยอร์ค คนเขามีสี (ผิว) โดยไม่ว่าจะใส่อะไร สีผิวก็เป็นเช่นนั้น แต่การแบ่งแยกคนด้วยสีผิวนี้ ก็ได้เปลี่ยนไปมาก คนผิวสีลูกครึ่งอัฟริกันอเมริกัน อย่าง Barack Obama ก็ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนผิวสีเป็นครั้งแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา และเขามีโอกาสเป็นผู้นำที่ดีด้วย ปัญหาในเรื่องสีผิวในอเมริกานั้นยังไม่หมดไป แต่มองในแง่ดี มันก็ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

ในแง่เศรษฐกิจที่ตกต่ำ ผมกลับมาได้มีโอกาสไปเดินในร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับงานก่อสร้าง เห็นคนทำงานมากกว่าคนไปซื้อสินค้า ส่วนหนึ่งมองอย่างเน้นประสิทธิภาพการใช้คน เหมือนกับว่าบริษัทฯเขาใช้คนงานมากเกินเหตุ แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องชื่นชมเขา ที่แม้ในช่วงตกต่ำ เขาก็ยังพยายามรักษาคนของเขาไว้ ไม่ปลดออกไล่ออก เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น คนก็จะได้มีงานเต็มตามสมควร

Welcome Home

ประเทศไทยไม่ใช่เป็นประเทศที่สมบูรณ์ เรายังยากจน เรายังมีอวิชชา ความไม่ใส่ใจที่จะพัฒนาตนเอง แต่เมืองไทยก็ยังเป็นบ้านเรา เราเกิดที่นี่และก็คิดว่าจะตายที่นี่

เมื่อกลับมาทำงาน ก็ได้ไปเยี่ยมคุยกับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ (ก้าวไกลในเอเชีย) เป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยน เพื่อเสริมขวัญ และให้กำลังใจแก่กัน ผมรับปากที่จะทำหน้าที่เดินทางไปเยี่ยมโครงการต่างๆ โดยเฉพาะในกิจการของมูลนิธิฯ ที่ต้องการส่งเสริมการเรียนการสอนยุคใหม่ที่ใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสนับสนุน วางแผนจะเดินทางอีกแล้ว ผมจะไปเยี่ยมตามโรงเรียนและสถานศึกษาในส่วนภูมภาค

ผมกลับมาแล้ว มาพักทีบ้าน ร้อนก็เปิดเครื่องปรับอากาศเอาบ้าง อาบน้ำบ่อยหน่อย หิวก็กลับมากินข้าวแกง อาหารที่คุ้นๆ ขอต้อนรับตนเองเข้าสู่เมืองไทยอีกครั้งครับ

No comments:

Post a Comment