การดูแลโรคเบาหวาน – ให้เลือกทางสายกลาง
Keywords: cw801, Health education, สุขศึกษา,
สุขภาวะ, สุขภาพ, การศึกษา,
เบาหวาน, น้ำหนักตัว, ดรรชนีมวลกาย, Body Mass Index – BMI,
เมื่อสองวันที่ผ่านมา ผมได้ไปพบแพทย์ตามนัด
เพื่อตรวจสุขภาพทั่วไป โดยเน้นการดูแลโรคประจำตัว ที่ผมเป็นเบาหวานประเภทสอง (Type
II Diabetes) มานานกว่า 10 ปี
หลักของการดูแลโรคเบาหวานง่ายที่จะพูด แต่บางทียากที่จะทำ
คนมีการศึกษาสูงก็ยังดูแลตนเองไม่ค่อยดี
ผลการตรวจร่างกายของผมเป็นดังนี้ครับ
ผลตรวจน้ำตาลในเลือดแบบสะสม HbA1C (EDTA
blood) 6.45 ซึ่งเทียบน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยเท่ากับ 138 mg/dl ยังอยู่ในเกณฑ์สูงกว่ามาตรฐาน แต่ยังไม่สูงมาก ระดับปกติเขาให้อยู่ที่ 4.80
– 5.90 และเทียบน้ำตาลเฉลี่ยที่ 100-120 mg/dl ซึ่งสรุปได้ว่า หากต้องการให้เท่ากับระดับคนปกติ
ก็ต้องลดระดับน้ำตาลในเลือดลงอีกสักเล็กน้อย ให้ต่ำกว่า 6.0
สาเหตุของโลกเบาหวานเกิดจากสภาพแวดล้อมมากกว่าพันธุกรรม เหตุเพราะเรากินอาหารไม่ถูกสุขอนามัย กินเกินความต้องการของร่างกาย กินอาหารพลังงานพวกแป้ง ไขมัน และน้ำตาลมากเกินความจำเป็น แต่กินผักและผลไม้น้อย ออกกำลังกายน้อย ทำงานนั่งโต๊ะ พักผ่อนไม่ดีพอ
สาเหตุของโลกเบาหวานเกิดจากสภาพแวดล้อมมากกว่าพันธุกรรม เหตุเพราะเรากินอาหารไม่ถูกสุขอนามัย กินเกินความต้องการของร่างกาย กินอาหารพลังงานพวกแป้ง ไขมัน และน้ำตาลมากเกินความจำเป็น แต่กินผักและผลไม้น้อย ออกกำลังกายน้อย ทำงานนั่งโต๊ะ พักผ่อนไม่ดีพอ
ทางแก้ตรงไปตรงมา คือ
กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะสำหรับคนเป็นเบาหวาน เนื้อที่มีไขมันต่ำ หรือ Lean
meat กินผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด กินอาหารพวกแป้ง ไขมัน
และน้ำตาลในปริมาณควบคุม กินอาหารที่มีเยื้อใยสูง เพื่อดูดซับอาหารพลังงานและน้ำตาลส่วนเกิน
ทำให้การย่อยสลายเป็นน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเป็นไปอย่างช้าๆ
การปรับตัวด้านอาหารของผม คือ กินมื้อเช้าเบาๆ
มื้อกลางวันกินประมาณ ¾ ของคนปกติ แต่มื้อเย็นให้กินเบาๆ
กินผัก เนื้อสัตว์ กินให้พอมีพลังสำหรับขี่จักรยานออกกำลังกาย
โดยประมาณว่าก่อนนอนให้มีระดับน้ำตาลในเลือดที่สัก 90-100 mg/dl คือเป็นปกติแล้วตั้งแต่ก่อนนอน
ภาพ หากิจกรรมออกกำลังกายอย่างที่ชอบสักอย่าง ผมเลือกเอาการขี่จักรยาน เลือกเอาจักรยานแบบ Hybrid น้ำหนักเบา ขนาด 12.5 กก. ราคาไม่แพง มีเกียร์ช่วยให้ขี่ในความเร็วปานกลางได้สบายๆ
คนเป็นเบาหวานต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เรื่องนี้ผมทำได้ค่อนข้างดี โดยได้เลือกการขี่จักรยานในละแวกชุมชน ขี่เป็นวงรอบๆละ
7 กิโลเมตร 2
รอบ 14 กิโลเมตร ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง นับเป็นกิจกรรมควบคุมน้ำตาลที่ดีอีกอย่างหนึ่ง วันไหนกินมาก
ก็ออกกำลังกายให้มากขึ้น การออกกำลังกายแล้วอาบน้ำอุ่นให้ผ่อนคลาย
ช่วยทำให้นอนหลับได้ดีไปด้วย และการนอนที่ดี ให้หลับได้สนิทสัก 4-5 ชั่วโมง ก็นับว่าดีมากแล้ว
การควบคุมโรคเบาหวานมีวิธีการติดตามดูแลง่ายๆที่มีเครื่องมือทำเองได้ที่บ้าน
เช่น
ภาพ เครื่องวัดค่าน้ำตาลในเลือด ที่สามารถทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน หรือใช้ในชุมชนเล็กๆก็ได้
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ก็มีเครื่องมือตรวจวัดน้ำตาล (Blood Sugar Monitor) หาซื้อได้ในราคา
1,800-2,200 บาท ใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที
เสียค่าแถบวัดน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 20 บาท/ครั้ง
ผมวัดเป็นประจำ ส่วนใหญ่จะดูแลไม่ให้เกิน 120 Mg/dl และระวังไม่ให้ต่ำกว่า
80 Mg/dl เพราะเมื่อน้ำตาลต่ำเกินไปเรียกว่า Hypoglycemia อาจเป็นลม หมดสติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ภาพ การขั่งน้ำหนักทุกเช้า ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องเจ็บตัว ถ้ารู้ว่าน้ำหนักตัวมาก ก็ลดอาหารและออกกำลังกายเพิ่ม
การควบคุมน้ำหนักตัว ง่ายๆใช้เครื่องชั่งน้ำหนัก
(Weight monitor) ปัจจุบันเป็นแบบ Digital ราคา 2,000-3,000 บาท มีความแม่นยำสูง เครื่องรุ่นใหม่สามารถวัดค่าไขมันในร่างกายได้ด้วย
หนึ่งเครื่องใช้ได้ทั้งบ้าน ผมชั่งน้ำหนักตัวเป็นประจำเกือบทุกวัน
ชั่งในช่วงเช้าในห้องน้ำโดยไม่ใส่เสื้อผ้า ถือว่าเที่ยงตรงดีที่สุด
เมื่อไปชั่งที่โรงพยาบาล เราถอดเสื้อผ้าไม่ได้ บางทีใส่รองเท้า แถมมีเสื้อ กางเกงยีนส์หนาและหนัก
โทรศัพท์มือถือ พวงกุญแจ ฯลฯ น้ำหนักต่างไปจากที่บ้านอีก 2.0-2.5 กิโลกรัม
น้ำหนักตัวปัจจุบันของผมอยู่ที่ 97.5 กิโลกรัม (9 สิงหาคม 2558)
ส่วนสูง 183 ซม. คิดออกมาเป็นดรรชนีมวลกาย (Body Mass
Index – BMI) ที่ 29.1 สำหรับมวลกายปกติอยู่ที่
(Normal weight) 18.5 - 24.9 หากผมจะทำให้อยู่ในระดับ BMI ปกติ
หากผมต้องการลดให้ได้ระดับคนทั่วไป (Normal weight) ต้องลดน้ำหนักให้ต่ำกว่า
83.5 กิโลกรัม หรือต้องลดลงอีก 14 กิโลกรัม
จะทำได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความตั้งใจ ผมใช้หลักทางสายกลาง
ลดไปตามธรรมชาติใน 2-3 ปีลดลงได้ครึ่งหนึ่งของ 14 กิโลกรัม หรือปีละ 3.5 กิโลกรัม
ซึ่งน่าจะทำได้ไม่ยาก ดีกว่าเร่งลดน้ำหนัก แล้วทนไม่ไหว ปล่อยน้ำหนักขึ้นมาอีก ลดน้ำหนักช้าๆใช้เวลา
2-4 ปี นับเป็นเป้าหมายที่พอทำได้ และไม่รู้สึกทรมานจนเกินไป
เหตุจูงใจให้ต้องลดน้ำหนัก
ผมวางแนวทางในการลดน้ำหนักดังนี้ครับ
ผมเลือกทางสายกลางในการลดน้ำหนัก ผมจะลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ด้วยการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และกินยาตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งเป็นการใช้ยาอย่างปานกลาง
ในด้านอาหาร
ผมขอกินมื้อกลางวันให้เป็นใกล้คนปกติ กินอาหารที่หลากหลาย แต่อะไรที่จะเป็นข้าวมากๆ
มีไขมัน หรือน้ำตาลมากเกินไป ก็จะหลีกเลี่ยง แต่การกินที่เคร่งครัดจนเกินไปก็จำให้ใจหดหู่
เกรงว่าหากใจหดหู่แล้ว เราก็จะทนไม่ไหว เกิดเป็นความทุกข์ในชีวิต
ผมมีแรงจูงใจที่จะลดน้ำหนัก เพราะ
การที่ทำให้น้ำหนักลดลงได้ก็เป็นเรื่องดี
เพราะจะลดความเสี่ยงเรื่องข้อเข่าเสื่อม
และเป็นการควบคุมน้ำตาลในเลือดให้เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ลดน้ำตาลในเลือดได้
ก็ลดปัญหาน้ำตาลขึ้นตา ซึ่งทำให้ตาบอดได้ ลดโอกาสหลอดเลือดแข็งตัว
เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง ลดโอกาสไตเสื่อม โรคหัวใจ ล้วนเป็นเรื่องหนักๆ
สู้อดทนดูแลร่างกายให้ได้ดีที่สุด ดีกว่าเกิดปัญหาที่รุนแรง
แล้วก็เป็นการยากที่จะแก้ไข
No comments:
Post a Comment