การจัดการกับผู้นำเป็นพิษ
ประกอบ คุปรัตน์
Updated: Saturday, August 15, 2009
Keywords: cw059, ความเป็นผู้นำ
ผู้นำบางคนร้ายมากและเป็นพิษต่อองค์การ บทความนี้ได้ความคิดมาจาก PATRICIA WALLINGTON APRIL 15, 2006 | CIO MAGAZINE แต่สิ่งที่เขาได้นำเสนอนั้น น่าคิดและนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบองค์การ การปกครองประเทศ ชุมชน องค์การต่างๆ รวมถึงรัฐวิสาหกิจ และบริษัทภาคธุรกิจในประเทศไทยเรา ที่นับวันองค์การจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีความซับซ้อนที่ยากสำหรับประชาชน และเจ้าของในฐานะผู้ถือหุ้นเล็กๆ น้อยๆ จะเข้าไปจัดการเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ละส่วนเมื่อมีปัญหาผู้นำเป็นพิษ (Toxic Leaders) ก็จะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นได้อย่างมาก และมีผลกระทบกว้างไกล
ก่อนจะเกษียณจาก Xerox ในปี ค.ศ. 1999 Patricia Wallington ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการของบริษัทด้านสารสนเทศ และในระยะต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการของบริษัท CIO Associates ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมือง Sarasota รัฐ Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา หากต้องการเขียนถึง ติดต่อได้ที่ leadership@cio.com..
ความนำ
ในระยะหลังนี้ คนให้ความสนใจกับ “ธรรมาภิบาล” (Good Governance) ในทั้งการปกครองประเทศ สังคม ชุมชน และองค์การมากขึ้น ในองค์การภาคธุรกิจ แม้จะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ แต่มีบริษัทเป็นอันมากได้จัดตั้งเป็นบริษัทมหาชน (Public Company) ที่อาศัยเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้น และเป็นอันมากที่ประชาชนที่มีเงินทองไม่มากนัก ได้ใช้วิธีการนำเงินที่ได้เก็บมาเล็กๆ น้อยๆ มาร่วมลงทุนกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และจากกรณีของบริษัท Enron และ WorldCom บริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่มีทุนจดทะเบียนนับเป็นหลายพันล้านเหรียญ ได้ล่มสลายไปอย่างที่คนภายนอกไม่ทราบเลยว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับบริษัท
ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงเป็นการบริหารงานที่ผิดพลาด ตัดสินใจด้านนโยบายที่ผิด แต่เป็นลักษณะการดำเนินการที่ขาดหลักจริยธรรมอย่างน่าใจหาย ผิดกฎหมาย แต่ก็กระทำกันอย่างเป็นกระบวนการ
ลักษณะผู้นำเป็นพิษ
จากหนังสือเรื่อง "Bad Leadership: What It Is, How It Happens, Why It Matters," โดย Barbara Kellerman (2004) ได้เสนอให้เห็นผู้นำที่เป็นปัญหา 7 ประเภท ดังได้แก่
1. ไม่มีความสามารถ
Incompetent –
ผู้นำและรวมพวกพ้องบางส่วน ขาดแรงจูงใจ ความพยายาม หรือทักษะที่จะทำกิจกรรมใดๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความท้าทายของงานการนำ เขาไม่สามารถดำเนินการปรับเปลี่ยนอะไรได้ ในยุคที่ต้องมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลง
2. แข็งกระด้าง ไม่ยืดหยุ่น
Rigid –
ผู้นำและรวมถึงพวกพ้อง ที่ไม่ยืดหยุ่น และไม่มีการผ่อนปรน อาจจะเป็นคนมีความสามารถ แต่จะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความคิด ข้อมูล และความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามา
3. ควบคุมตนเองไม่ได้
ผู้นำที่ควบคุมตนเองไม่ได้ (Intemperate) ขาดการควบคุมตนเอง และมีลูกน้อง ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่สามารถให้สติ หรือสอดแทรกได้ จึงมีลักษณะที่ควบคุมตนเองไม่ได้ และเป็นผลที่นำให้องค์การได้รับผลพลอยไปด้วย
temperate (1) แปลว่า ที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี ส่วนคำว่า intemperate มีความหมายตรงกันข้าม คือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ดี ผู้นำประเภทนี้อาจดื่มสุรา หรือใช้ของมึนเมา
4. ไม่มีเมตตาและกรุณา
Callous
เป็นศัพท์ที่มีมาจาก Latin แปลว่าอาการของการแข็งกระด้าง ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความเห็นใจต่อผู้อื่น
Callous หมายความถึงผู้นำที่ไม่มีจิตเมตตา แข็งกระด้าง ไม่ใยดีต่อความต้องการ ความปรารถนาของสมาชิกในกลุ่ม องค์การ ไม่แยแสแม้ต่อผู้ใต้บังคับบัญขาของตนเอง
5. คดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง
Corrupt –
ผู้นำประเภทฉ้อราษฎร์บังหลวง เขาอาจแสดงภาพออกมาอย่างหนึ่ง แต่ในที่จริงของเขาแล้ว คือขี้โกง ขโมย มีพฤติกรรมที่มากกว่าคนทั่วๆ ไป โดยถือเอาความต้องการส่วนตัวเหนือประโยชน์ของส่วนรวม และสาธารณะ
6. ไม่ใยดีต่อคนในองค์การนอกกลุ่มตน
Insular –
insulate - VT. แปลว่า ห่อหุ้มด้วยฉนวน (ป้องกันความร้อน, เสียง, กระแสไฟ, รังสีฯลฯ)
ผู้นำในแบบ Insular เป็นลักษณะผู้นำที่แปลกแยก ถูกห่อหุ้มด้วยฉนวน คนเข้าถึงได้ยาก แบ่งอาณาจักรและความเป็นส่วนตน ห่างไกลจากประชาชนหรือกลุ่มคนที่ตนเองนำ
ผู้นำดังกล่าวอาจมีบุคลิกและพฤติกรรมอันเป็นผลมาจากอายุ สุขภาพ หรือจิตใจ หรืออยู่ในตำแหน่งนาน เมื่อเริ่มต้นในตำแหน่งอาจมีความกระฉับกระเฉง จริงจัง ลงปฏิบัติงาน แต่เมื่ออยู่ในตำแหน่งนานมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเริ่มชินชา หมดกำลัง อ่อนล้า จึงไม่ใยดีต่อความเป็นอยู่ สวัสดิการของกลุ่ม องค์การ หรือคนที่ตนรับผิดชอบ
7. ใช้ทารุณกรรมทั้งทางร่างกายและอารมณ์
Evil –
อาจเรียกว่า “ผู้นำแห่งความชั่วร้าย” (Evil) คือตนเองและพวกพ้องได้ก่อให้เกิดหายนะใหญ่หลวง ใช้ความเจ็บปวด ทารุณกรรม ความหวดกลัว บีบบังคับทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองปรารถนา ตัวอย่างเช่น
มีนักการเมืองประเภทที่ใช้การได้มาซึ่งตำแหน่งด้วยการคุกคามนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม ทั้งข่มขู่ และในบางกรณีคือลอบทำร้าย
มีนักธุรกิจที่ใช้วิธีการข่มขู่ฝ่ายตรงกันข้าม ไม่ให้เข้าร่วมประมูล เพราะจะทำให้เสียราคาที่ต้องแข่งขัน และอาจไม่ได้ วิธีการคือข่มขู่ฝ่ายตรงกันข้ามไม่ให้กล้าส่งซองการประมูล
มีผู้บริหารระดับสูง (Chief Executive Officer – CEO) แสวงหาการเข้าสู่ตำแหน่งในบริษัทมหาชนที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ทั้งนี้ทำให้ขาดกลไกในการดำเนินการอย่างตอบสนองต่อประชาชนโดยรวม หรือเจ้าของเงิน เจ้าของประเทศ เมื่อเข้ามาแล้วก็แสวงหาทางอยู่ในตำแหน่ง แบ่งปันผลประโยชน์ให้กับพรรคพวก พรรคการเมือง เพราะความเป็นองค์การผูกขาดในสมัยหนึ่งทำให้กำไรหรือขาดทุนไม่ได้เกี่ยวกับประสิทธิภาพการบริหาร เพราะมันเป็นระบบผูกขาดอยู่แล้ว หนทางในการอยู่ในตำแหน่งคือการสร้างความพอใจต่อผู้ที่จะมีบทบาทในการแต่งตั้งหรือถอดถอน ซึ่งก็เป็นคนมาจากพรรคการเมือง
เมื่อต้องอยู่ในองค์การ
ปัญหาเหล่านี้เกิดจากปรากฏการณ์ “ผู้นำเป็นพิษ” (Toxic Leaders) เมื่อคนที่อยู่ในระดับนำขององค์การเป็นตัวทำให้องค์การนั้นๆ ต้องอ่อนแอ ดำเนินการอย่างไร้จริยธรรมทางวิชาชีพ ไม่ซื่อสัตย์ต่อสังคม และประชาชนผู้เป็นเจ้าของ
มีหลายฝ่ายถามว่า แล้วคนที่เขาทำงานให้กับองค์การเหล่านี้เขารับรู้หรือไม่ เขาคิดอย่างไร และเขาได้ทำอะไรไปบ้าง
คนเราเมื่อต้องทำงานภายใต้การนำของผู้นำเป็นพิษ จะเหมือนกับต้องกินยาพิษไปอย่างเต็มขนาน และพฤติกรรมของผู้นำเหล่านี้จะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งองค์การ เจ้านายพวกนี้จะเป็นผู้กดขี่ (Despot) มากกว่าจะเป็นผู้นำ เขาจะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องทะเลาะกันเอง หวาดระแวง ไม่ไว้ใจกัน และทำให้องค์การต้องเป็นอัมพาตด้วยความหวาดกลัว
มันเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย
ในประเทศไทย การเมืองของเรายังวนเวียนอยู่กับปัญหาผู้นำที่ซื้อเสียง สร้างภาพหลอกประชาชน และเมื่อเข้าสู่ตำแหน่งก็ฉ้อราษฎร์บังหลวง แสวงหาผลประโยชน์เข้าตน แต่ปล่อยความเสียหายแบบทบเท่าทวีคูณเอาไว้กับสังคมประเทศชาติ และเมื่อเขาเหล่านี้ได้เข้าสู่ตำแหน่ง จะด้วยวิธีการใด เขามีกลไกในการเกาะกุมอำนาจมากยิ่งขึ้น และด้วยวิธีการแบบเผด็จการ จนยากที่จะมีใครเข้าไปแก้ไขได้
ในองค์การต่างๆ ยิ่งมีขนาดใหญ่ โอกาสที่จะมีการเล่นการเมือง และละทิ้งระบบคุณธรรม คนดีสูญหาย แต่คนไม่ดีได้ครองอำนาจด้วยวิธีการต่างๆ นานา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเมืองภายนอก และอีกส่วนหนึ่งเป็นจากภายในที่ไม่สามารถมีกระบวนการสรรหาและคัดเลือกคนดีเข้าสู่ระบบที่ดีพอ
ท่านอาจเป็นผลพลอยในองค์การ
ในบางช่วงของชีวิตการทำงานในองค์การของท่าน อาจเป็นบริษัทมหาชน รัฐวิสาหกิจ ระบบราชการ ระบบปกครองท้องถิ่น ระบบการศึกษา ฯลฯ ท่านอาจต้องประสบกับผู้นำเป็นพิษเหล่านี้ หรือบางทีท่านอาจพบผู้นำที่มีสัญญาณบอกเหตุปรากฏขึ้นในหน่วยงานของท่าน และหวังว่าท่านคงไม่เป็นเขาคนนั้นเสียเอง และต่อไปนี้เป็นคำแนะนำทีท่านจะมองหาและสังเกตเห็นผู้นำเป็นพิษ ทำอย่างไรท่านและทีมงานจะป้องกันพิษร้ายจากผู้นำเหล่านี้ และทำอย่างไรจึงจะกำจัดผู้นำเหล่านี้ออกจากองค์การของท่านได้
เราจะสังเกตเห็นเจ้านายเป็นพิษได้อย่างไร
ผู้นำเป็นพิษมีลักษณะบางอย่างเหมือนๆกัน เขาจะยึดติดกับเป้าหมายที่มีลักษณะอุดมคติของเขาอย่างแข็งกระด้าง และเขาจะเห็นว่าใครก็ตามที่ท้าทายวิสัยทัศน์ของเขา จะเป็นพวกทรยศ ท่านจะเป็นพวกของเขา 100 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็เป็นศัตรูของเขา
ในสุภาษิตไทยมีคำที่ว่า “ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” นั่นหมายความว่า อันที่จริงเราจะไม่มีใครรู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มิฉะนั้นเราคงหาทางทำลายเผด็จการชั่วร้ายได้เสียตั้งแต่เมื่อเขายังไม่มีอำนาจ ไม่มีใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้อย่างเที่ยงแท้แน่นอน แต่เราพอจะสังเกตได้
เมื่อเราจะดูช้าง ดูว่าตัวจะใหญ่แค่ไหนในอนาคต ให้ดูที่หาง จะดูว่าเด็กคนนั้นๆ จะเติบโตแล้วร่างกายจะสูงใหญ่แค่ไหน เราอาจดูที่สายพันธุ์ของเขา หรือดูที่มือ เท้า แขนขา หรือขนาดกระดูกของเขา คนที่มือเท้าใหญ่ ก็จะมีแนวโน้มว่าเมื่อโตขึ้น เขาจะมีขนาดร่างกายที่ใหญ่โต
“จะดูนางให้ดูที่แม่” กล่าวคือ เราอยากรู้ว่าหญิงสาวที่เราจะแต่งงานด้วยนั้น เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้ว เขาจะเป็นคนอย่างไร ก็ให้ดูที่ลักษณะแม่ เพราะแม่เป็นคนเลี้ยงดูสั่งสอน แม่เป็นสายพันธุ์ ลูกจะฉลาดหลักแหลมหรือไม่ ก็ดูได้จากสายพันธุ์ของพ่อแม่
ให้สังเกตผู้นำลักษณะต่อไปนี้
1. ทำอะไรอย่างคิดเอาตนเองเป็นหลัก
Self-centeredness. – คิดจากต้นเองเป็นหลัก ผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อจะทำให้ตนเองเด่น จึงพร้อมที่จะทำร้ายผู้อื่น เพื่อให้ตนเองได้ไต่เต้าสู่ที่สูง การคิดอะไรอย่างเอาตนเองเป็นหลัก มิได้หมายเพียงคิดหาผลประโยชน์เข้าสู่ตนและพวกพ้อง แต่หมายรวมถึงคิดอะไร โดยถือเอาตนเองเป็นใหญ่ ทำตามอำเภอใจ โดยไม่ฟังเสียหรือคำนึงถึงผลกระทบต่อคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน หรือสังคมภายนอก
2. ความคิดผู้นำเป็นใหญ่ แล้วจะปลอดภัย
Messianic visions. - มีวิสัยทัศน์ดุจดังในคัมภีร์ ทิศทางการดำเนินการต้องเป็นดังที่ผู้นำคิดเท่านั้น ผู้ใต้บังคับบัญชามีวิสัยทัศน์ที่ไม่ดีพอ ไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้ ผู้นำเป็นพิษ จะคิดทำผิดๆ ด้วยเหตุเชื่อว่าเขากำลังทำในสิ่งที่เป็นคุณ และจะไม่ยอมรับคำแนะนำจากผู้อื่น
3. ลักษณะอหังการ
Arrogance. - แสดงลักษณะยโส โอหัง เยาะเย้ยความคิดเห็นของคนอื่น และไม่ฟังความคิดเห็นของใคร ยิ่งอยู่นาน ก็ยิ่งฟังคนลดน้อยลง ยิ่งมีความสำเร็จจากการงานบ้าง ก็ยิ่งเหิมเกริม
4. ปล่อยให้ลูกน้องรับโทษ
Blame-shifting. – แม้จะเป็นคนสั่งให้คนทำ แต่เมื่อเกิดข้อบกพร่องเสียหายขึ้น จะไม่รับผิด และปล่อยให้ลูกน้องที่รับคำสั่งไปทำนั้นต้องรับผิดไปตามลำพัง ในภาษาไทยมีคำพังเพยอยู่ว่า “เอาความดีใส่ตัว เอาความชั่วให้คนอื่น”
ผู้นำประเภทนี้ แม้เมื่อก่อน เขาอาจจะยังไม่เคยกระทำผิดพลาดให้เราเห็นได้มาก แต่บางทีเราจะเห็นพฤติกรรม “ปีนป่ายบันไดสังคม” มุ่งแสวงหาความก้าวหน้าสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูง แต่ไม่เคยมีผลการทำงานที่เป็นเรื่องเป็นราวก็มี บางที่เป็นพวกวิ่งเต้น หาผู้ใหญ่สนับสนุน เพื่อให้ได้ดำรงตำแน่งระดับสูง แม้จะต้องยอมแลกหรือเสียอะไรก็ยอม
พฤติกรรมติดสินบนเพื่อขอกินเมือง ดังในประเทศจีนสมัยโบราณ ดังที่เขาเรียกว่า “ส่งไปกินเมือง” ปัจจุบันนี้ ก็ยังมีปรากฏในระบบราชการ และบางทีก็แพร่เข้าไปในองค์การภาคเอกชน ที่มีการวิ่งเต้นเส้นสาย ผู้นำเป็นพิษบางส่วนมีประวัติดังกล่าวมาแล้วให้เห็น เมื่อเขาปีนป่ายกว่าจะได้มาอยู่ ณ ที่เขาเป็นอยู่ในปัจจุบัน
5. มีลักษณะอหังการ คิดว่าตนเองถูกเสมอ
ผู้นำเป็นพิษจะมีลักษณะอหังการ ในใจของเขา เขาจะถูกเสมอ เขาจะรับความคิดเห็นจากพวกที่เป็น Yes-men/women คือพวกที่เดินตามเขาอย่างไม่โต้แย้ง คนเหล่านี้จะได้รับข้อมูล แต่คนพวกนี้ก็จะไม่ได้ทำอะไรให้บรรลุล่วง ไม่มีการพูดคุยกันว่าจะทำงานกันอย่างไร
6. ระคายเคืองเมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างทันทีหรือเต็มที่
ผลกระทบจากผู้นำเป็นพิษจะรุนแรงสำหรับผู้ที่ไม่สนับสนุนเขาหรือการตัดสินใจของเขา เขาจะประพฤติปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเย็นชา เขาจะโทษคนอื่น แต่จะรับความดีความชอบเข้าหาตนเอง หากมีอะไรผิดพลาดแม้ด้วยการนำของเขา เขาจะกล่าวว่าเป็นความเสี่ยงร่วมกัน แต่หากมีอะไรที่เป็นเครดิต เขาจะรับมันไว้
แล้วทำไมผู้นำเหล่านี้จึงประพฤติเช่นนี้ บางคนให้เหตุผลว่าเป็นเพราะความโลภ ไม่ใช่โลภในทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว แต่เป็นความอยากในอำนาจหรือไม่ก็เป็นความต้องการยอมรับ เพราะความไม่มีความสามารถก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง เพราะผู้นำเป็นพิษจะกลัวว่าคนจะรู้และจับได้ว่าเขาไม่มีความสามารถเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ผลเสียจากการมีผู้นำเป็นพิษ
เมื่อองค์การใดปล่อยให้มีผู้นำเป็นพิษเข้าสู่ความเป็นผู้นำ ก็จะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
1. ทำให้กำลังและความเข้มแข็งขององค์การหมดไป
ผู้นำเป็นพิษจะทำให้พลังความเข้มแข็งขององค์การกร่อนลงไป ความต้องการความสวามิภักดิ์อย่างมาก ทำให้ลูกน้องกลัวว่า เมื่อเขาทำอะไรลงไปแล้วผู้นำจะเห็นว่ามันผิดพลาด ในบรรยากาศที่ทำลายขวัญและกำลังใจ และไร้ความเป็นมนุษย์เช่นนี้ ผู้นำเป็นพิษจะทำให้องค์การกลายเป็นอัมพาต ภาษาที่ใช้กันในปัจจุบัน เรียกว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาจะ “ใส่เกียร์ว่าง” คือไม่ทำอะไร และเมื่อคนทำงานไม่ทำอะไร หรือทำไปตามสิ่งที่เป็นงานประจำที่เคยๆ เท่านั้น องค์การก็จะเสื่อมและหมดความเข้มแข็ง
2. ผู้ใต้บังคับบัญชาหยุดความคิดสร้างสรรค์ ผลงานตกต่ำลง
คนทำงานจะหยุดความคิดสร้างสรรค์ ผลิตผลจากการทำงานจะต่ำลง เขาจะพลาดเป้าหมาย ในกรณีที่เป็นอย่างรุนแรง คนทำงานจะต้องพยายามเอาใจเจ้านายด้วยความกลัวความไม่มั่นคงในการทำงาน และจะทำให้ยอมทำในสิ่งที่ผิดหลักศีลธรรมหรือการคดโกง (Corruption)
ทำไมคนจึงอดทนต่อผู้นำเป็นพิษ
แล้วคนจะถามว่า แล้วคนทำงานเขาทนผู้นำเป็นพิษได้อย่างไร
ประการแรก ผู้นำเป็นพิษจะมีบุคลิกที่น่าสนใจเป็นหน้ากาก ผู้นำพวกนี้จะเป็นนักแสดง เป็นคนเล่นไปตามที่จะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายในท้ายสุด
ประการที่สอง ในหลายๆองค์การธุรกิจจะมีความสำเร็จที่เกิดขึ้น และจะบดบังเงาความอ่อนด้อยของผู้นำเหล่านี้ ผู้นำบางคนจะก้าวร้าวกับลูกน้อง แต่จะทำตัวน่ารักกับเจ้านายเหนือขึ้นไป และแม้ว่าเจ้านายเหนือขึ้นไปจะจับพฤติกรรมของเขาได้ แต่ก็จะไม่มีใครว่าอะไร เพราะเจ้านายเป็นพิษพวกนี้จะยังสามารถทำงานให้กับองค์การได้ตามเป้า จนกระทั่งเมื่อมีการลาออกของคนทำงานสูงจนผิดสังเกต และเขาเริ่มทำงานไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่ก็ยังไม่ได้ถูกดำเนินการอย่างไร
ในบางกรณี ผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปคิดอย่างมีจริยธรรม เมื่อเห็นว่าเขามีปัญหาก็จะพยายามช่วย เช่นจัดกิจกรรมปรับปรุงแก้ไข เช่น ให้เขาได้รับโอกาสใหม่ ได้ทำเข้าโครงการฝึกอบรมขณะปฏิบัติงานภายใต้ครูฝึก (Job Coaching) อันเป็นกิจกรรมสำหรับนักบริหารระดับกลางและสูงขึ้นไป เขาก็ปรับตัวได้อย่างทันทีทันใด แต่นั้นก็เป็นเพียงการปฏิบัติตนเปลี่ยนแปลงเพียงหน้ากาก (Mask) และนี่ก็เป็นความเสี่ยงขององค์การที่เท่ากับว่าเกื้อหนุนให้รางวัลสำหรับผู้นำเป็นพิษเหล่านี้ได้ประสบความสำเร็จต่อไป
ผู้นำเป็นพิษในขณะไต่เต้า มีขีดความสามารถที่จะปรับหน้ากากไปตามสภาพการณ์ แม้ความเป็นตัวตนของการเป็นผู้นำเป็นพิษนั้นจะยังคงอยู่
หนทางแห่งการอยู่รอด
A Survival Guide – ท่านจะอยู่กับหน่วยงานที่มีผู้นำเป็นพิษได้อย่างไร
หากท่านต้องเผชิญกับผู้นำเป็นพิษ เขาอาจเป็นเจ้านายของท่าน หรือไม่ก็ตาม ท่านสามารถดำรงอยู่ได้โดยท่านจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการ
ท่านจะอยู่หรือจะไป
ประการแรก ท่านต้องตัดสินใจก่อนว่าท่านจะอยู่หรือจะไปจากองค์การนี้ สภาพแวดล้อมอาจทำให้ท่านจำเป็นต้องอยู่ต่อไป อาจจะด้วยหลายสาเหตุ บางทีในองค์การอาจมีการโยกย้ายเจ้านายพวกนี้ไปยังตำแหน่งอื่นๆ ท่านก็อดทนรอจังหวะนั้น หรือไม่เช่นนั้น ก็จงทำดีมีผลงานเอาไว้ สิ่งที่ท่านได้มีฝีมือ การทำดีเอาไว้จะเป็นเกราะป้องกันตนเอง ท่านอาจแข็งแรงพอที่จะไม่ได้รับพิษภัยเหล่านี้
เมื่อจะอยู่ คิดจะเผชิญหน้า หรือจะหลบ
ในกรณีที่ท่านตัดสินใจที่จะอยู่ต่อไป ก็ต้องตัดสินใจว่าจะเผชิญหน้ากับพฤติกรรมดังกล่าวอย่างไม่ปล่อยวาง หรือจะทำตัวเงียบเฉย การจะให้คำแนะนำแก่เจ้านายพวกนี้ ต้องหมายความว่าท่านได้เข้าไปอยู่ในกระแสวงใน และการให้คำแนะนำที่อาจจะจำเป็นมากๆ นั้น อาจทำให้เขาคิดว่าจะตัดท่านออกไปจากกลุ่ม และในอีกลักษณะหนึ่ง การเลือกที่จะเผชิญหน้ากับผู้นำดังกล่าวจะต้องได้รับความเสี่ยงในลักษณะคล้ายๆกัน ดังนั้นท่านต้องตัดสินใจว่าท่านจะมีกำลังพอที่จะดำเนินการเผชิญหน้าไปได้ไกลสักเพียงใด
และเมื่อต้องการจะเผชิญหน้ากับผู้นำเหล่านี้ ท่านจะต้องมีข้อมูลที่สอดคล้องแน่นหนา มีการบันทึกเวลาและสถานที่ และมีแผนที่จะนำประเด็นเหล่านี้เพื่อเดินหน้าต่อไป
หาการสนับสนุนจากเจ้านาย หรือผู้ใหญ่คนอื่นๆ
ในขณะเดียวกัน ท่านอาจจะหาการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารคนอื่นๆ ในองค์การ และสร้างสัมพันธภาพที่แข็งแกร่ง มีจังหวะก้าวย่างที่ทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ต้องไปปกป้องหรือไปช่วยผู้นำเป็นพิษเหล่านี้ นอกเหนือจากงานแล้ว ต้องพยายามทำกิจกรรมต่างๆ ที่จะยังรักษาระดับศักดิ์ศรีและความเชื่อมั่นของตนเอง
ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ต้องพยายามปกป้องคนทำงานที่ท่านรับผิดชอบจากผู้นำเหล่านี้ ต้องดูแลรักษาคนที่อาจถูกทำร้ายจากเบื้องบน การที่เราไม่กล้าดูแลคนที่เรารู้ว่าเขาได้ทำงานอย่างถูกต้องและเสียสละ ปล่อยให้คนเหล่านี้ต้องถูกทำร้าย ถูกโจมตีอย่างไม่เป็นธรรมและไม่เป็นข้อเท็จจริง เราก็เป็นคนขี้ขลาด ไม่รับผิดชอบ และนั่นก็เป็นสัญลักษณ์ของตัวเราเองที่ขาดความเป็นผู้นำ หรืออาจเป็นผู้นำเป็นพิษเสียเองในอีกแบบหนึ่ง แต่สิ่งที่ยากยิ่งคือ คนโดยธรรมชาติ ก็ต้องการความมั่นคงปลอดภัย ไม่มีใครอยากเสี่ยงตกงาน แต่ท่านต้องทำใจให้ได้ ผู้นำที่ดีต้องไม่ทิ้งลูกน้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้บุคลิกภาพ ความเป็นตัวตนของเราเท่านั้นที่จะทำให้เราต้องทำในสิ่งที่เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งตน
บางทีเราต้องมีเข็มทิศแห่งคุณธรรม (Moral Compass) ต้องมีสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดีที่มีอยู่ในตัวเรา เราทำดี ทำในสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจ แม้คนทั่วไปไม่รู้ แต่ฟ้าดินจะเป็นพยาน
การแสวงหาพวก
Seek safety in numbers. - การต้องไม่หยุดเฉย การต้องออกมาแสดงบางอย่าง
ตัวอย่างของคนที่ออกมาแสดงออก เรียกว่า Whistle-blower ดังกรณีของ Sherron Watkins ที่เป็นรองประธานกรรมการดูแลฝ่ายการเงินขององค์การที่มีปัญหานี้ ได้แสดงถึงการเป็นตัวอย่างในการที่ต้องพูดหรือแสดงออกมาในองค์การที่มีสภาพแวดล้อมเป็นพิษแล้ว โอกาสก็คือผู้นำเป็นพิษนี้มักจะมีอำนาจควบคุมองค์การอย่างเบ็ดเสร็จ การทำตัวเป็นหมาป่าที่โดดเดี่ยว (Lone Wolf) ทำงานใหญ่ด้วยตัวคนเดียวไปตามลำพัง มีแต่จะต้องเตรียมตัวถูกจัดการหรือถูกทำให้ตายในทางสังคมได้ หากท่านต้องการที่จะเป็นตัวแทนของเสียงที่ไม่พอใจ ในที่สุด ท่านก็จะถูกเชิญออกหรือไล่ออกจากองค์การด้วยวิธีการต่างๆ Lipman-Blumen (2004) แนะนำว่า หากไม่มีกลุ่มคนหรือผู้สนับสนุนอย่างเพียงพอ โอกาสที่จะแสดงความเป็นวีรบุรุษหรือสตรีที่จะประสบความสำเร็จคงมีไม่มาก
กรณีตังอย่าง Erin Brockovich.
From Wikipedia, the free encyclopedia
กรณีการต่อสู้กับองค์การที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคมจากภายนอก ดังกรณีของ Erin Brockovich นับเป็นกรณีพิเศษ
Erin Brockovich-Ellis เกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1960 ที่เมือง Lawrence รัฐ Kansas ทำงานเป็นเสมียนฝ่ายกฎหมาย ด้วยความที่แม้ขาดการศึกษาที่จะเป็นทนายความ แต่ความจริงจังและติดตามงานอย่างไม่ปล่อย จึงเป็นคนสำคัญในการฟ้องร้องบริษัท Pacific Gas & Electric Company (PG&E), อันเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีขนาดธุรกิจ 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ตั้งอยู่ในรัฐ California ในปีค.ศ.1993.
กรณีบริษัท Anderson, et al v Pacific Gas & Electric
กรณีดังกล่าวเป็นการฟ้องร้องบริษัทฯ ที่ได้ปล่อยให้มีสารพิษ hexavalent chromium ไหลรั่วลงไปในระบบน้ำดื่ม ในเมืองเล็กๆ ชื่อว่า Hinkley ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย กรณีดังกล่าวได้เกิดขึ้นยาวนาน นับแต่ปี ค.ศ. 1952 ที่ได้มีการก่อสร้างระบบปั้ม (The Hindley Compressor Station) ท่อส่งแก๊สธรรมชาติไปยังบริเวณอ่าวของ San Francisco กรณีที่ได้เกิดขึ้นและกว่าจะรู้ผล และได้มีการฟ้องร้อง จนทำให้บริษัทฯ ต้องทดแทนความเสียหายที่ได้เกิดแก่ชาวเมืองทั้งทางด้านสุขภาพร่างกายและชีวิต เป็นมูลค่า 333 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ
ความสำเร็จเกิดจากการที่มีคนในเมืองผู้ได้รับความเสียหายร่วมด้วย มีคนภายในบริษัท PG&E ที่เป็นฝ่ายให้ข้อมูลภายในอย่างลับๆ และมีคนทำงานอย่าง Erin Brockovich ที่แม้ไม่มีปริญญาหรือใบประกอบวิชาชีพทนายความ แต่เป็นคนสู้อย่างไม่ถอย
การทำให้ฝ่ายเขาต้องรับผิดชอบ
Hold them accountable. - การต้องจัดทำหลักฐานอย่างเป็นระบบ อย่าปล่อยให้คนไม่ดีได้ลอยนวล
บางครั้งคนทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูง ทำให้องค์การต้องเสียหายไปนับเป็นพันๆล้านบาท แต่ตัวเองเมื่อจะออกมีสวัสดิการต่างๆ รองรับอย่างสบาย เรียกว่าล้มแล้วไม่เจ็บ เพราะมีฟูกรองรับ แต่สำหรับคนทำงาน เมื่อองค์การเกิดวิกฤติ หรือต้องปิดกิจการไป คนงานต้องถูกระบายออกจากองค์การ
คนที่เป็นนักการเมืองก็ดี หรือหัวหน้างานก็ดี บางทีสั่งงานด้วยวาจา แล้วให้มีคนดำเนินการมาให้ คนที่จะดำเนินการนั้น ก็ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ แต่จะไปเอาผิดกับฝ่ายเหนือที่สั่งงานมาอย่างด้วยวาจาได้ยาก ดังนี้ ต้องให้ทุกอย่างมีบันทึกและลงความเห็นสั่งการมา หากเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล และหากเราไม่เห็นด้วยก็ต้องแทงเรื่องบันทึกความเห็นเอาไว้
การจะทำเช่นนี้ได้จะต้องทำให้ฝ่ายที่ทำผิดไว้ ทำให้องค์การต้องเสื่อมถอย ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ทั้งนี้โดยฝ่ายคนทำงานต้องมีการบันทึกในทุกเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล เช่นต้องบันทึกว่า อะไรคือการได้ตัดสินใจ มีความเห็นเบื้องต้นมาอย่างไรเพื่อวัตถุประสงค์อะไร หากมีความบกพร่องเกิดขึ้น เจ้านายหรือหัวหน้าได้รับในความบกพร่องผิดพลาดหรือไม่ ไม่มีใครที่จะไม่เคยทำผิดพลาด เจ้านายที่แสดงตนว่าเป็นคนไม่เคยบกพร่องนั้นแหละมักจะเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ มีการปิดบังอำพราง และไม่กล้าเผชิญกับความผิดพลาดที่ตนได้ก่อขึ้น และผู้นำเช่นนั้นมักจะเป็นผู้นำที่ไวใจไม่ได้ และเขาจะมีผลกระทบต่อคนทำงานในองค์การในที่สุด
ทางแก้ไขระยะยาว
หากมองสังคมไทยเราคงต้องยอมรับว่ามีปัญหาของผู้นำเป็นพิษอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในระบบการปกครองประเทศ ที่มักจะมีปัญหาการเมืองแบบไม่พัฒนา คือการใช้เงินซื้อเสียง ปูทางเข้าสู่อำนาจ แล้วเมื่อมีอำนาจ จะใช้กลไกที่จะสร้างขึ้นนี้ ผูกขาดอำนาจ ตัดโอกาสคู่แข่งขัน เพื่อรักษาอำนาจไว้ให้ได้นานที่สุด และในขณะเดียวกัน ใช้อำนาจสร้างความนิยม อย่างที่เรียกว่า “ประชานิยม” (Populism) คือใช้เงินของแผ่นดินนั้นเพื่อการสร้างคะแนนนิยม แม้นโยบายนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อสังคมโดยรวมในระยะยาว แต่เป็นการผูกใจฐานเสียงและฐานอำนาจ
การเมืองในระดับประเทศหรือการเมืองในระดับชุมชน ก็มีลักษณะใกล้เคียงกัน คือมีการซื้อเสียง ใช้ฐานอำนาจ สร้างอิทธิพลทั้งในที่มืดและในที่สว่าง
ในองค์การขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะยังมี
บริษัทที่บริหารไม่โปร่งใส อย่างไม่มี “ธรรมาภิบาล” (Good Governance) อีกมาก
ในการที่จะแก้ไขไม่ให้มีหัวหน้าหรือผู้นำที่เป็นพิษ อันจะทำให้องค์การได้รับความเสียหาย จะต้องมีแนวทางบางประการ เพื่อให้เป็นหลักประกันได้ว่า องค์การจะมีภูมิต้านทานกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น และจะมีกลไกในการจัดการกับระบบความเป็นผู้นำที่เป็นพิษ ซึ่งได้รวบรวมไว้ดังนี้
ต้องเปลี่ยนทิศทางขององค์การ
องค์การยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าใด ก็จะต้องยิ่งสูญเสียอำนาจในการบริหารอย่างเป็นประชาธิปไตย เพราะในข้อเท็จจริง เราก็ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า องค์การทุกแห่งต้องมีการแข่งขัน มีคู่แข่งขัน ไม่มีอะไรจะเปิดเผยกันได้หมดทุกเรื่อง ทุกองค์การยังมีความลับ และสิ่งไม่เปิดเผย ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของนั้น เขาจะคิดว่า ไม่ว่าผู้นำจะเป็นอย่างไร ตราบที่เขายังทำหน้าที่ได้ดี ก็ต้องปล่อยให้เขาบริหารกันไป
แต่ความคิดการปล่อยวางเช่นนี้ไม่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อมีผู้นำที่เป็นพิษนั้น เขาอาจเข้ามาครอบงำ และใช้เวลาปิดบัง ซ่อนเงื่อน และบางทีความสำเร็จที่เห็นนั้นอาจเป็นการสร้างภาพระยะสั้น และยิ่งระยะยาวออกไป เขากลับยิ่งเข้ามาครอบงำ และนำพาองค์การไปสู่ความเสียหายได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
หากองค์การใดมีผู้นำเป็นพิษ และไม่นำพา ปล่อยให้ครองอำนาจ บริหารองค์การยิ่งนานเท่าใด ก็ยิ่งสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้น ระบบคุณธรรม ระบบความกล้าหาญทางการบริหาร และความคิดสร้างสรรค์ของคนในองค์การก็จะหมดไป องค์การนั้นๆ ก็จะอ่อนแอและอยู่ได้ยาก แต่หากจะรอให้องค์การต้องเสียหายไป น่าจะมีวิธีการริเริ่ม และมีภูมิต้านทานผู้นำเป็นพิษจากภายใน
การแสดงความคาดหวังที่ชัดเจน
ท่านอาจเป็นระดับผู้นำ เป็นกรรมการบริหารขององค์การ อาจเป็นผู้บริหารระดับกลาง หรืออาจเป็นเจ้าหน้าที่ในระดับล่าง หากท่านไม่นำพา องค์การในระยะยาวอยู่ไม่ได้ ท่านก็จะได้รับผลกระทบ คนทุกคนจึงต้องมีส่วนร่วมในองค์การอย่างใดอย่างหนึ่ง และสิ่งหนึ่งที่ต้องมีส่วนร่วมคือ องค์การของท่านจะไม่ต้อนรับผู้นำประเภท “ผู้นำเป็นพิษ”
การมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนลักษณะผู้นำที่กำลังจะขึ้นมาใหม่ว่า ท่านต้องการและแสดงความคาดหวังที่ชัดเจนในลักษณะผู้นำ ว่าท่านและองค์การต้องการผู้นำอย่างไร นอกจากนี้คือการต้องสังเกตลักษณะขวัญและกำลังใจในองค์การ และหาทางแก้ที่ต้นเหตุ นอกจากนี้คือต้องมั่นใจได้ว่ามีการบันทึก (Document) เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็นพิษที่ได้เกิดขึ้น และทำให้คนที่ก้าวล้ำได้เข้าใจว่าการไม่ดูแลคนอื่นๆจะมีผลทำให้อาชีพและอนาคตของเขาต้องสั้นลง และในอีกด้านหนึ่งคือการต้องส่งเสริมและรับทราบในผู้นำที่ไม่มีลักษณะเป็นพิษ กล่าวคือ ต้องส่งเสริมคนดีให้ได้รับกรรมดี ได้ก้าวหน้า และในทางตรงกันข้าม ต้องไม่ให้คนไม่ดีได้มี
อำนาจที่จะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับองค์การและส่วนรวม
ผู้นำและผู้ตามที่ต้องสำรวจตัวเองเสมอ
นอกจากนี้ ผู้นำคนหนึ่ง ไม่ได้ดีไปหมด และไม่ได้เลวไปเสียทุกอย่าง เมื่อท่านเป็นผู้นำหรือคิดจะเป็นผู้นำ
ต้องตระหนักในจุดอ่อนและดำเนินการแก้ไขมัน ทำตนเป็นคนพร้อมที่จะรับฟัง และปรับปรุงแก้ไขตนเองได้ ต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนมีศักดิ์ศรี ตรงไปตรงมา ทำงานอย่างไม่ย่อท้อที่จะอำนวยประโยชน์ให้กับทีมงานและส่วนรวม ผู้นำเป็นพิษนั้น อาจจะก้าวหน้าได้ในบางขณะ แต่จะไม่เจริญก้าวหน้าได้ตลอดไป พยายามปกป้องไม่ให้ผู้นำเป็นพิษสามารถมานำท่านหรือคนที่ท่านนำเขาได้กลายเป็นผู้นำเป็นพิษ และนั่นจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้ท่านและองค์การของท่านดำเนินไปสู่ความสำเร็จ
ขจัดพิษสำหรับคนรุ่นต่อไป
Detoxifying the Next Generation – ต้องขจัดพิษสำหรับผู้นำในยุคต่อไป
ในบางยุค คนที่จะเป็นผู้นำ ถือว่ารางวัลสำคัญของการทำงานคือการได้รับผิดชอบในงานที่สังคมมอบให้ เกียรติคือความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในองค์การ คนญี่ปุ่นในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เขาจะมีจิตใจรักชาติ ต้องการฟื้นฟูชาติให้กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ความกินดีอยู่ดีมีมาก การฉ้อราษฎร์บังหลวง ก็เกิดขึ้นในระบบราชการ บริษัทห้างร้าน ความอยากได้อยากมีก็ยิ่งมากขึ้น วัตถุนิยมก็กลายเป็นค่านิยมใหม่ขึ้นมา
ในประเทศจีน หรือประเทศไทยก็เช่นกัน วัตถุนิยม ความอยากได้อยากมี ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ยิ่งมีมาก และคนที่มีแล้ว จะนึกว่าเขาจะไม่โลภมากนั้นเป็นความเข้าใจผิด เขามีสิทธิที่จะยิ่งอยากมาก และโกงได้มาก
ในปัจจุบันนี้ เราอยู่ในช่วงของกระแสทุนนิยมรุนแรง มีการแข่งขันสูง มีการชิงไหวชิงพริบในธุรกิจสูง ไม่ว่าจะได้มาด้วยอะไร คนเป็นอันมาก พร้อมที่จะทำเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เขาปรารถนา ปัญหาผู้นำเป็นพิษจะยิ่งมีมากขึ้น
ผู้นำไม่ได้เกิดมาเป็นพิษ แต่เป็นเพราะประสบการณ์ของเขาสั่งสมมาให้เป็นเช่นนั้น หากท่านพบแววว่าจะมีคนประเภทดังกล่าวในองค์การของท่าน เขาอาจจะยังเป็นผู้น้อยภายใต้ท่าน ที่สักวันเขาต้องเติบโตขึ้นในองค์การ หรือจะเป็นในที่ใดๆ เราก็จงหาทางปรับปรุงแนะนำพฤติกรรมของเขา ให้รู้จักทำในสิ่งที่ชอบที่ควร ท่านอาจสังเกตเห็นสัญญาณของผู้นำเป็นพิษเหล่านี้ได้ตั้งแต่เมื่อเขายังเป็นผู้น้อยอยู่ จงอย่าปล่อยเฉย ต้องหาทางแก้ไขเขาได้เสียแต่เนิ่นๆ
การควบคุมตนเอง
Control yourself ในคำพังเพยไทยมีว่า “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเสียเอง”
ในขณะที่เรากำลังจะจัดการกับเจ้านายที่เป็นพิษ เราในฐานะคนทำงานต้องไม่ไปเป็นพนักงานเป็นพิษ (Toxic Employee) เสียเอง คนหมู่มาก มัจจะเป็นฝ่ายผลักดันให้ผู้นำต้องตัดสินใจอย่างรีบเร่ง และไม่เป็นการตัดสินใจที่ดี ทำให้องค์การทั้งองค์การต้องเป็นพิษ ทั้งนี้จะทำอะไรต้องคิดถึงผลประโยชน์ของกลุ่ม และ
เป็นผลประโยชน์ระยะยาว มากกว่าที่จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และแก้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อป้องกันโอกาสที่จะเกิดปัญหาหมักหมมระยะยาวในองค์การ
บางครั้งเอง ลูกน้องโดยเฉพาะลูกน้องที่มีพลังกลุ่มอยู่ในมือ ก็กลายเป็นฝ่ายเสริมเร่งให้หัวหน้าต้องดำเนินการไปสู่การเป็นผู้นำเป็นพิษในที่สุด
Saturday, August 15, 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment