Thursday, January 30, 2014

2 กุมภาพันธ์ 2557 คือวันปิกนิกแห่งชาติ (National Picnic Day)

2 กุมภาพันธ์ 2557 คือวันปิกนิกแห่งชาติ (National Picnic Day)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com
\
Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, ประชาธิปไตย, Democracy, เผด็จการรัฐสภา, ระบอบทักษิณ, Taksinocracy, คณาธิปไตย, Oligarchy, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, พรรคเพื่อไทย, คอรัปชั่น, Corruption, ปฏิรูปประเทศไทย, Thailand Reform, picnic day, election day, ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง, Reform before Election, วันปิกนิกแห่งชาติ, National Picnic Day


ภาพวาด The Picnic อเมริกาในช่วงก่อนปี 1860 โดย Thomas Cole (1801–1848) สะสม ณ พิพิธภัณฑ์บรูคลิน นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา

ความนำ

กรุงเทพฯ 31 มกราคม 2557 -

แม้การเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ ที่นำโดย กปปส. ที่มีเลขาธิการคือ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณจะเน้นการเคลื่อนไหวแบบอารยะขัดขืน ต่อสู้อย่างสันติวิธี (Non Violence) ไม่ใช้ความรุนแรง โดยปราศจากอาวุธ ซึ่งได้รับการตอบสนองด้วยดียิ่งจากประชาชนคนทั่วไป แต่กระนั้นก็ต้องระวังเมื่อฝ่ายตรงกันข้าม คือ ระบอบทักษิณ อันประกอบด้วยรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณ และพรรคพวก ได้หันมาใช้อาวุธและความรุนแรง ทั้งในกลางคืนและกลางวัน ใช้อย่างเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นแก่คนส่วนใหญ่ จนระดับไม่กล้าเข้าร่วมในขบวนการต่อต้านระบอบทักษิณ

ระบอบทักษิณกำลังใช้ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่นี้ต้องลองศึกษา “กฎของผู้ใช้ความรุนแรง” Rules For Radicals โดย Saul D Alinsky

กฏข้อที่สาม - เมื่อใดที่เป็นไปได้ ให้กระทำการอย่างที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีประสบการณ์มาก่อน ที่ซึ่งท่านสามารถสร้างความสับสน ความหวาดกลัว และทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามต้องล่าถอย - จาก Rules For Radicals โดย Saul D Alinsky

ยกตัวอย่าง

จากการตื่นรู้ว่าระบอบทักษิณกำลังใช้วิธีการอย่างไร ก็จะทำให้ฝ่ายกปปส. สามารถเตรียมทางตอบโต้ได้อย่างเหมาะสม เหมือนกับที่ “พังพอน” รู้ว่างูเห่าจะเคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงการฉก แล้วตอบกลับได้ โดยอาศัยการตอบสนองที่เร็วกว่า

เมื่อฝ่ายรัฐตำรวจภายใต้ระบอบทักษิณ นำตำรวจมานับเป็นหมื่นๆคนมาประจำในกรุงเทพฯ สำหรับเขาแล้ว ดีที่สุดคือมาอยู่ยามเฉยๆ รับเบี้ยเลี้ยง จบงานแล้วกลับบ้าน เมื่อมีการเผชิญหน้า เขาจะหวาดกลัวและอยู่แบบตั้งรับในที่ตั้ง จึงกลายเป็น "ตำรวจเป็ดง่อย" ส่วนประชาชนเลือกต่อสู้อย่างปลอดภัยที่สุด คือ วันที่ 2 กมภาพันธ์ 2557 วัน No Vote และ National Picnic Day จัดโต๊ะอาหารมาร่วมกันกินและเฮฮากันกลางถนน เพราะถนนและบาทวิถีเป็นของประชาชน


การที่ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ ที่ต้องเผชิญกับกำลังตำรวจนับหมื่นคน แต่เมื่อฝ่ายต่อต้านมีคนนับแสนๆคน ที่พร้อมจะเป็นแนวหน้า และมีจำนวนคนเป็นล้านคนเป็นพวก ที่พร้อมจะเดินตาม และออกมาปฏิบัติการณ์พร้อมๆกัน นับเป็นการยากที่ฝ่ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ถูกโดดเดี่ยวอยู่แล้ว จะตอบโต้ได้อย่างเข้มแข็ง เพราะหากตำรวจจะเข้าล้อมกลุ่มต่อต้าน ณ ที่ใด ก็จะถูกจำนวนประชาชนที่มีจำนวนคนที่มากกว่าที่ตื่นตัวแล้ว เข้าห้อมล้อมอีกรอบหนึ่ง เป็นเหมือนดังแซนวิช (Sandwich Format)  ซึ่งตำรวจจะกลัวมากกับการที่ต้องถูกจัดให้อยู่ตรงกลาง และถูกล้อมทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

จำนวนตำรวจนับเป็นหมื่นคนที่ถูกระดมเข้ากรุงเทพฯ ก็จริง แต่จะถูกกระจายกำลังดูแลสถานที่สำคัญหลายๆแห่ง ไม่สามารถกระจุกตัวอยู่เพียงที่ใดที่หนึ่งได้ และตำรวจในเครื่องแบบเหล่านี้ ก็ยากที่จะใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ปราศจากอาวุธ เพราะมีกรอบของกฎหมายกำกับอยู่ และยังมีทหารที่รักษากติกาให้ไม่มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชน เพราะถ้าตำรวจจริงหรือตำรวจปลอมทำอะไรที่เกินเลย ก็เท่ากับเชิญให้ทหารออกมาปิดเกมส์โดยเร็วเท่านั้น

วันปิกนิกแห่งชาติ (National Picnic Day)

ข้อมูล วันปิกนิกแห่งชาติ (National Picnic Day) เลือกเอาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 อันเป็นวันเลือกตั้งทั่วไป เป้าหมายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์คือการทำให้คนออกมาเลือกตั้งกันให้มากที่สุด เพื่อยืนยันความชอบธรรม (Legitimacy) ของฝ่ายตนเอง ทักษิณ ชินวัตร บอกว่า ไม่มีพรรคฝ่ายค้านไม่เป็นไร ก็เหมือนกับรูปแบบประชาธิปไตยสิงคโปร์ มีแต่พรรครัฐบาลพรรคเดียวก็ได้

แต่ฝ่ายกปปส. มียุทธศาสตร์ “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” หรือ Reform Before Election ซึ่งต้องทำให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นั้นเป็น “โมฆะ” ประชาชนบอยคอตการเลือกตั้ง คือ ไม่เข้าคูหากาบัตรให้กับใครๆ หรือ No Vote ไม่ใช่ Vote No ทำให้คนปฏิเสธการเลือกตั้ง ทำให้คนไปเลือกตั้งต่ำกว่า 24 จาก 48 ล้านคน ฝ่ายยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

และช่วงเวลา 2-3 วันก่อนการเลือกตั้ง ก็คือวันอุ่นเครื่อง เรียกผู้คนให้ตื่นตัวต่อการต่อต้านรัฐบาลซึ่งหมดความชอบธรรมลงไปทุกขณะ ด้วยการเดินขบวนไปตามถนนสายหลักๆของกรุงเทพมหานคร ส่วนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 คือวันที่คนกรุงเทพฯหยุดใช้รถยนต์ เปลี่ยนถนนรถวิ่ง ให้กลายเป็นถนนคนเดิน กลายเป็นสถานที่สำหรับปิกนิก (Picnic Streets) คนออกมารวมตัวกันกินอาหาร สังสรรค์กันบนท้องถนนใกล้บ้านของตนเอง และเป็นการออกมาร่วมกันได้ทั้งครอบครัว

ส่วนผลของปฏิบัติการนี้จะเป็นอย่างไร คงรอกันอีกไม่นาน
(ณ วันที่ 31 มกราคม 2557)

ข้อมูลพื้นฐาน

ปิคนิค (Picnic) คือการออกไปแสวงหาความสำราญนอกบ้านแบบไปเป็นหมู่คณะ นิยมไปกันในที่กลางแจ้ง ได้ชื่นชมกับสภาพแวดล้อมที่สวยงาม เช่น สวนสาธารณะ ทะเลสาบ มีงานแสดง นำอาหารและเครื่องดื่มใส่ตะกร้าไปร่วมกินกัน โดยทั่วไปในประเทศอากาศหนาว ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะเหมาะมาก ส่วนประเทศไทย ช่วงไหนๆที่ฝนไม่ตก หาที่บังแดดได้บ้างก็ดี

ศัพท์คำว่า Picnic จึงหมายรวมการออกนอกบ้านไปในกลางแจ้งแล้วร่วมกันรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม กับครอบครัวและชุมชน เป็นคำที่เริ่มใช้กันตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แต่สำหรับประเทศไทยในยุครัฐบาลทรราช ปิกนิกอาจเลือกจัดกันตามถนน เพราะถนนทั้งหลายก็มาจากภาษีอากรของประชาชน วัน National Picnic Day คือวันที่ประชาชนเรียกใช้ถนนบางสายเพื่อจัดกิจกรรมก็ได้


ภาพ ปิคนิคอย่างง่ายๆ หนุ่มสาววันหยุดก็อาหารและเครื่องดื่มไปสวนสาธารณะใกล้ๆ ชื่นชมกับธรรมชาติ อาหารการกิน และได้พูดคุยสนุกสนานกัน



ภาพ วันปิคนิคจัดโดยมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียที่เมืองเดวิส (UC at Davis) ใช้พื้นที่วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยจัดงาน


ภาพ งานปิคนิคที่จัดออกมาในลักษณะมีเดินแฟชั่น

รัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินหน้าเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557

รัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินหน้าเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557


Keywords: , การเมือง, politics, การปกครอง, governance, ประชาธิปไตย, Democracy การเลือกตั้ง, Reform before Election, สมชัย ศรีสุทธิยากร, เผด็จการรัฐสภา, ระบอบทักษิณ, Taksinocracy, คณาธิปไตย, Oligarchy, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, พรรคเพื่อไทย, คอรัปชั่น, Corruption, ปฏิรูปประเทศไทย, Thailand Reform,
---------------


ภาพ สมชัย ศรีสุทธิยากร หนึ่งในห้าคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.)

30 มกราคม 2557 - อีก 3 วันจะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศ แต่ดูเค้าแล้วคงจะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สามารถยุติข้อขัดแย้งได้ ไม่สามารถนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์คงจะลากยาว เพื่อใช้ความชอบธรรมจากการมีการเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาครองอำนาจต่อไป แต่ฝ่ายกปปส.คงจะมีมาตรการต่อต้านการเลือกตั้ง ตามแนวทาง “ปฏิรูปก่อนมีการเลือกตั้ง” (Reform Before Election) ซึ่งในที่สุด การเลือกตั้งครั้งนี้มีโอกาสที่จะโมฆะสูงมาก และคงมีเรื่องฟ้องร้องรัฐบาลอีกหลายประเด็นตามมา สื่อต่างประเทศมีมากขึ้นที่เริ่มต้องมาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่เอาผู้สื่อข่าวธุรกิจ หรือคนรายงานธุรกิจท่องเที่ยวมาทำข่าวอย่างตื้นเขินและเอนเอียง ช่วงหลังสื่อต่างประเทศเริ่มหันมาตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับความชอบธรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เขาให้ความสนใจปัญหาโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งส่อเค้าการทุจริตคอรัปชันอย่ามโหฬาร ที่คนเข้าใจว่า นี่เป็นหนึ่งในสิ่งสกปรกที่รัฐบาลต้องนั่งทับไว้ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “การกวาดขยะไปเก็บไว้ใต้พรม” จะยอมแพ้หลุดออกจากตำแหน่ง เรื่องเลวร้ายต่างๆ ก็จะถูกนำมาแฉโพยอย่างสนั่นเมือง แถมมีชาวนาที่จำนำข้าวออกมาเรียกร้อง เพราะขายข้าวให้รัฐบาลไปแล้วนานถึง 4-5 เดือนก็ยังไม่ได้รับเงิน หนี้สินตกค้างนานาประการก็ประดังมาที่ชาวนา

แต่เพื่อให้ได้รับทราบในบรรดาผู้เกี่ยวข้องถึงสถานภาพการเลือกตั้ง จึงได้นำรายงานของนายสมชัย ศรีสุทธิยากร หนึ่งใน 5 คณะกรรมการการเลือกตั้ง หลังจากได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามคาด คือนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เดินหน้าจัดการเลือกตั้งต่อไป ท่านผู้อ่านโปรดติดตามอ่านรายงานนี้ได้ ต่อไปนี้ครับ – ประกอบ คุปรัตน์ (30 มกราคม 2557)
------------

วันที่ประชุมกับ นายกรัฐมนตรี ได้กราบเรียนให้ท่านทราบ ดังนี้

ประเด็นผลที่เกิดขึ้น หลังการเลือกตั้ง

1. 16 เขตที่มีผู้สมัครรายเดียว อาจมีบางเขตผู้สมัครอาจได้คะแนนน้อยกว่า ร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง หรือน้อยกว่า vote no ในกรณีนี้ ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ทำให้ ได้ สส.ช้าไปประมาณ 1 เดือน หรือ เดือนครึ่ง แต่อย่างไรก็จบ เพราะในการเลือกใหม่รอบที่สาม ได้คะแนนเท่าไหร่ ก็ได้เป็น สส.

2. 28 เขต ที่ไม่มีผู้สมัคร ทำให้เปิดสภาไม่ได้ เพราะ มีสมาชิกขาดไปเกิน 25 คน ปัญหาจะถูกแก้ไขได้ในเวลา 2-3 เดือน หากมีการเปิดรับ และ มีผู้สมัครได้ 3 เขตขึ้นไปก็จบ กระบวนการดังกล่าว สามารถแก้ปัญหาได้ในช่วงเวลา 2-3 เดือน หลังจาก 2 ก.พ.

3. สส.บัญชีรายชื่อ 125 คน จะยังไม่สามารถประกาศชื่อ สส.ได้ เนื่องจาก ต้องรอการนับคะแนนจากทุกหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งมีประมาณ 99,000 หน่วย ในกรณีนี้คาดว่าจะมีหน่วยเลือกตั้งจำนวนมาก เป็นหมื่นหน่วยที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้ง และต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ คาดว่าภายใต้สถานการณ์นี้ อาจต้องใช้เวลา 4-6 เดือน หรือมากกว่านั้น

4. สส.เขต 375 คน จะไม่สามารถประกาศได้แม้แต่รายเดียว เนื่องจากการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต ในวันที่ 26 ม.ค. มีผู้ที่ไม่สามารถมาใช้สิทธิ์ได้ประมาณ 2 ล้านคน (ผู้ลงทะเบียนนอกเขต 2.1 ล้าน มาใช้สิทธิ์ 1 แสน) ในกรณีนี้ จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งนอกเขตใหม่ ใน 83 เขต (กำหนดเป็น 23 กพ.) และ สามารถนับคะแนนได้เมื่อคะแนนไปถึงแต่ละหน่วยเลือกตั้งแล้ว คาดว่าภายใต้สถานการณ์นี้ อาจต้องใช้เวลา 3-4 เดือน หรือมากกว่านั้น จึงจะได้ สส.จำนวนหนึ่ง แต่หากจะให้ได้เกณฑ์ ร้อยละ 95 อาจใช้เวลา 4-6 เดือน หรือมากกว่านั้น

5. หลังจากการเลือกตั้ง 2 ก.พ. จะมีผู้ฟ้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะทันที ด้วยสาเหตุที่หยิบยกขึ้นมามากมาย เช่น การเลือกตั้งทั่วไปจะต้องทำในวันเดียว ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายความว่า แนวโน้มที่เงิน 3,800 ล้าน จะสูญเปล่ามีสูงยิ่ง

6. การเผชิญหน้าของคนในชาติ ที่ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนการเลือกตั้ง และอีกฝ่ายหนึ่งคัดค้านการเลือกตั้ง จะไม่อยู่ในกรอบของกฎหมายและสันติวิธีอีกต่อไป การทำผิดกฎหมายเช่น การยึดอุปกรณ์ ยึดบัตรเลือกตั้งทั้งจังหวัด การขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกกต.ในระดับจังหวัด เขตและหน่วยเลือกตั้ง ความรุนแรงจะเกิดขึ้น นับแต่ การทำร้ายและตอบโต้ซึ่งกันและกัน การใช้อาวุธสงคราม การบาดเจ็บ เสียชีวิตจะเกิดขึ้น และมีแนวโน้มการเกิดเหตุจราจลในวงกว้างหลายจังหวัดทั่วประเทศ


ท่านนายกรัฐมนตรียิ้ม ให้กำลังใจ กกต. และบอกว่า ต้องเดินหน้าเลือกตั้งเพื่อรักษาประชาธิปไตย

Monday, January 27, 2014

ถึง รศ. ดร. ธงทอง จันทรางศุ - ลาออกเสียก่อนที่จะสายเกินไป

ถึง รศ. ดร. ธงทอง จันทรางศุ - ลาออกเสียก่อนที่จะสายเกินไป ...

Keywords: ธงทอง จันทรางศุ, Rom Hiranpruk, วิจารณ์ พาณิช, ต่อต้านระบอบทักษิณ, Anti-Thaksinocracy,


ภาพ รศ. ดร. ธงทอง จันทรางศุ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมตรี

ข่าวสารผ่าน Facebook ของ Rom Hiranpruk, January 28, 2014 โดยศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พาณิช เขียนถึงเพื่อนข้าราชการระดับสูงทั้งหลาย ให้ถอนตัวจากระบอบทรราชย์ทักษิณ ด้วยการลาออก สละตำแหน่ง ดังกรณี รศ. ดร. ธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ลาออกแล้วย้ายกลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเสียจะยังเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ดีกว่าไปรับใช้ระบอบทักษิณ เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ และขอส่งต่อ - ประกอบ คุปรัตน์ (28 มกราคม 2557)
-----------------

เพื่อนส่งมา: สารถึง รศ. ดร. ธงทอง จันทรางศุ

ผมได้ข่าวมาว่า ตอนนี้การบริหารงานของภาครัฐทำโดยคนที่เป็น bureaucrat ไม่ถึงสิบคน และคนสำคัญคนหนึ่งคือท่านปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รศ. ดร. ธงทอง จันทรางศุ

จึงขออนุญาตส่งสารไปยังท่าน ว่าลาออกจากตำแหน่งหัวโขนเสียเถิด กลับมาทำงานรับใช้ ชาติในฐานะนักวิชาการดีกว่า แล้วจะได้ช่วยกันปฏิรูปประเทศไทย

การเข้าไปรับใช้ระบอบที่ชั่วช้าโกงกินทำลายชาติ อย่างที่มีการเปิดโปงออกมาเรื่อยๆ รังแต่จะเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล แปดเปื้อนมลทิน

ผมจึงขอส่งสารเป็นกำลังใจให้ท่านลาออกเสีย เพื่อระบอบทักษิณจะได้ล้มครืนลง เราจะได้ช่วยกันกอบกู้ชาติขึ้นมาจากอาจมชั่วร้ายของระบอบทักษิณ อย่าไปมัวเกลือกกลั้วอาจมอยู่เลย

ท่านที่เข้ามาอ่านบันทึกนี้ โปรดช่วยกันส่งสารนี้ไปทาง เฟสบุ๊ก เพื่อจะได้เผยแพร่กว้างขวาง และไปถึงท่าน

วิจารณ์ พานิช
๒๖ ม.ค. ๕๗

เปิดหนังสือ "สตง." จี้ "สลน."ทบทวนจ่ายเงิน “มติชน-สยามสปอร์ต” 240ล้าน

เปิดหนังสือ "สตง." จี้ "สลน."ทบทวนจ่ายเงิน มติชน-สยามสปอร์ต” 240ล้าน

สำนักข่าวอิศรา, วันจันทร์ ที่ 27 มกราคม 2557 เวลา 16:37 น.
เขียนโดย isranews

Keywords: ข่าว, เรื่องเด่น, สำนักข่าวอิศรา, สื่อสารมวลชน, การเมือง, politics, การปกครอง, governance, ความเป็นอิสระ, free press, มติชน-สยามสปอร์ต,


ภาพ จดหมายเตือนรัฐบาล จากสตง. เรื่องจ่ายเงินค่าจัดอีเวนต์ให้กับมติชน-สยามสปอร์ต 240 ล้านบาท

ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่มีการจำแนกการใช้เงินแผ่นดินเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ เราจึงเห็นหน้านายกรัฐมนตรีหราไปทั่วป้ายขนาดใหญ่ของทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด แต่ลองไปตรวจสอบดูจะพบว่าเป็นการจ่ายเงินจากงบประมาณแผ่นดินจากหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่จ่ายโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ หรือพรรคเพื่อไทย กรณีจ่ายเงินจัด Event ให้กับหนังสือพิมพ์โดยงบประมาณแผ่นดิน หากเป็นความบริสุทธิใจและยุติธรรมในการเสนอข่าวสาร ก็สามารถกระจายไปในสื่อประเภทต่างๆ ไม่ใช่มากระจุกตัวที่สื่อที่เอนเอียงอยู่แล้วด้วยเงินก้อนโตระดับ 240 ล้านบาท อย่าง “มติชน”

ลองติดตามข่าวสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินส่งหนังสือให้รัฐบาลทบทวนจ่ายเงินจ้างหนังสือพิมพ์มติชน-สยามสปอร์ต ไปจัดอีเวนต์ 240 ล้านบาท – ประกอบ คุปรัตน์ (28 มกราคม 2557)
-----------

เปิดหนังสือ "สตง." จี้ "สลน."ทบทวนจ่ายเงินจ้าง มติชน-สยามสปอร์ต จัดอีเวนต์ 240 ล้านบาท ชี้มีความเสี่ยงสูงไม่เกิดประสิทธิภาพ - สูญเปล่า

กรณีสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำหนังสือแจ้งถึง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลน.) เพื่อขอให้ทบทวนการจ่ายเงินว่าจ้างเอกชนเข้ามาการดำเนินโครงการโรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย ไทยแลนด์ 2020 ทุกภาคทั่วประเทศ จำนวน 10 จังหวัด  ซึ่งปรากฎรายชื่อ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับจ้าง รวมวงเงินทั้งสิ้น 240 ล้านบาท นั้น 


ล่าสุดผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2557 สตง.ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ ตผ.0019/0236 ถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในการดำเนินการโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 ของ สลน.

โดยหนังสือดังกล่าว ระบุว่า สตง. ได้ติดตามตรวจสอบความคืบหน้าในการใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการจัดโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 พบว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ไม่โปร่งใส และไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นการประชาสัมพันธ์ของโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ

สตง. พิจารณาแล้วมีความกังวล และห่วงใยต่อการใช้จ่ายเงินงบประมาณ 240 ล้านบาท โดยเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะไม่เกิดประสิทธิภาพหรืออาจจะเกิดความสูญเปล่า ไม่ประหยัด ไม่เกิดประโยชน์ที่คุ้มค่าอันเนื่องมาจากการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน และอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายของการประชาสัมพันธ์โครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท

ดังนั้น เพื่อให้การใช้จ่ายเงินแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการป้องกัน และลดความเสี่ยงมิให้เกิดความเสียหายต่อการใช้จ่ายเงินแผ่นดินจำนวนมากจึงมีข้อเสนอแนะให้ สลน. ได้โปรดพิจารณาทบทวนการใช้จ่ายเงินเพื่อจัดโครงการดังกล่าว เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไปหนังสือดังกล่าว ระบุ

(ดูหนังสือ สตง.ฉบับเต็มที  www.isranews.org)







Sunday, January 26, 2014

อวสานทักษิณ - ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไม่มิด

อวสานทักษิณ - ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไม่มิด

-----------

ระบอบทักษิณ (Thaksinocracy) ขึ้นอยู่กับทักษิณ ชินวัตร ที่นิยมระบบอัตตาธิปไตย ทุกการตัดสินใจใหญ่ๆ ต้องโยงใยไปสู่ตัวเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด

ภาพ ทักษิณใช้สื่อต่างประเทศ ร่วมกับลอบบียิสต์  และผลประโยขน์ร่วมกับบริษัทข้ามชาติ และหวังว่าจะมีผลกระทบต่อประเทศทรงอำนาจในตะวันตก


ภาพ ไม่มีผู้นำของไทยคนใด นอกจากทักษิณ ที่ยึดติดกับอำนาจได้อย่างยืดเยื้อ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม

ทักษิณไม่มีอำนาจโดยตรงต่อชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ชาติกลุ่มสหภาพยุโรป เพราะฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติของชาติพัฒนาแล้ว ย่อมต้องทำงานตอบสนองต่อประโยชน์ชาติและประชาชนของเขา ซึ่งรวมถึงบริษัทข้ามชาติ (Multinational corporations) แต่เขาอาศัยระบบลอบบียิสต์ (Lobbyists) ในการดำเนินการแทนเขา เขาในฐานะที่คุมอำนาจในประเทศไทยด้วยสายโยงใย ตัดสินใจได้ง่าย ใจถึง และเร็วในแบบที่กลุ่มผลประโยชน์ตะวันตกต้องการ จึงสมประโยชน์ด้วยกัน เขาสามารถควบคุมสื่อภายในประเทศ โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์กระแสหลัก และโดยการใช้ทั้งเงินส่วนตัว และงบประมาณแผ่นดินของประเทศ จับจ่ายจ้างสื่อเพื่อให้เขียนในทิศทางที่เป็นประโยชน์แก่ตน กลบเกลื่อนข้อเท็จจริงอย่างที่คนไทยเกือบทั้งประเทศรับรู้

แต่มีสุภาษิตไทยอยู่ว่า “ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มิด” แต่ทักษิณจะใช้นโยบายปิดหูปิดตามชาวโลก ประชาคมในภูมิภาค และในประเทศไทยได้เพียงบางเวลา และกับบางคน แต่เมื่อประเทศไทยเป็นประเทศเปิด มีการสื่อสารทางเลือกยุคใหม่เช่นสื่อสังคม (Social media) มีอินเตอร์เน็ต มีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและผ่านอินเตอร์เน็ต มีนักท่องเที่ยวตะวันตกที่เข้ามาเที่ยวและได้เห็นประเทศไทยด้วยสายตาปีละหลายๆล้านคน มีหลายล้านคนที่มีคู่สมรส หรือคนไทยที่อยู่ในต่างแดน สิ่งเหล่านี้ทำให้การปิดบังความจริงหรือเสนอข่าวเพียงด้านเดียวกระทำได้อยาก

แล้วเราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป?

คำตอบคือ นโยบายซื่อสัตย์ดีที่สุด (Honesty is the best policy.) มวลมหาประชาชนชาวไทย สามารถเลือกสร้างสัมพันธ์กับสื่อที่ทักษิณซื้อไม่ได้ เพราะเขาเลือกซื้อได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะฉะนั้นคนไทยผู้รักชาติ จึงต้องใช้สื่ออิสระทั้งหลายให้เป็นประโยชน์แก่การปฏิวัติประชาชน และเมื่อกาลอวสานของระบอบทักษิณมาถึง ทิศทางของสื่อไทยและตะวันตก ก็จะต้องเปลี่ยนไปเสนอข้อเท็จจริงมากขึ้น ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วในหลายๆประเทศตลอดประวัติศาสตร์หลายสิบปีที่ผ่านมา

ลองอ่านบทความเรื่อง “สื่ออังกฤษเปิดโปงทักษิณจ้าง บ.พีอาร์อื้อฉาวระดับโลกปั้นภาพ ชินวัตร” ? วันจันทร์ ที่ 16 ธันวาคม 2556 เวลา 17:05 น. บทความโดย: บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์, ผ่านเว๊บไซต์ isranews แม้จะนานมาถึง 40 วัน แต่ก็จะช่วยให้เราเข้าใจสื่อตะวันตกได้ดียิ่งขึ้น ประกอบ คุปรัตน์ (27 มกราคม 2557)
--------------

สื่ออังกฤษเปิดโปงทักษิณจ้าง บ.พีอาร์อื้อฉาวระดับโลกปั้นภาพ ชินวัตร” ?
วันจันทร์ ที่ 16 ธันวาคม 2556 เวลา 17:05 น.

บทความโดย: บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์, isranews

ข้อมูลประกอบเนื้อหาและภาพจาก: theguardian

สงสัยมานานหลายปีแล้วว่าเหตุใดสื่อยักษ์ใหญ่ของตะวันตก รวมไปถึงโทรทัศน์บีบีซี.ของอังกฤษ สถานีข่าวซีเอ็นเอ็นของสหรัฐ ตลอดจนสำนักข่าวไม่ว่าจะเป็นเอพี,เอเอฟพีและรอยเตอร์ ซึ่งในช่วงหลังมีสำนักข่าวซินหัวของจีนและอัลจาซีราในกาตาร์เข้ามาเกาะกลุ่มอยู่ด้วย จึงมักจะนำเสนอภาพของประเทศไทยในมุมมองที่เต็มไปด้วยอคติหรือมีธงอยูในใจ ภาพลักษณ์ของประเทศไทยจึงบูดเบี้ยวไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่สมกับเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ที่คุยว่ามีเครือข่ายกว้างขวางครอบคลุมไปทั่วทุกมุมโลกแม้แต่นิดเดียว 

ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นได้ชัดก็คือการนำเสนอตัวเลขจำนวนของคนที่เข้าร่วมการเดินขบวนครั้งใหญ่สุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา จากภาพถ่ายดาวเทียมล้วนแต่ระบุตรงกันว่าจำนวนผู้ประท้วงมีมากกว่าหนึ่งล้านคน และมากกว่าจำนวนผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ซึ่งในครั้งนั้น มีการคำนวณตามหลักมาตรฐานสากลแล้วได้ตัวเลขคร่าวๆว่ามีผู้เข้าร่วมราว 1 ล้าน 2 แสนคน

แต่การชุมนุมเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ซึ่งมีคนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด สื่อต่างประเทศต่างอ้างตัวเลขของรัฐบาลว่ามีแค่ 1 แสน 5 หมื่นคน โดยสื่อเหล่านั้นไม่คิดจะออกไปดูด้วยตาตัวเองแล้วรายงานตามสถานการณ์ที่เป็นจริงให้สมกับเป็นสื่อมืออาชีพแม้แต่น้อย

ยิ่งกว่านั้น สื่อต่างประเทศยังจงใจนำเสนอแต่ข่าวการแถลงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มากกว่าจะไปสัมภาษณ์ความเห็นของแกนนำการประท้วงหรือผู้ประท้วงว่าเหตุใดจึงออกมาชุมนุมมากผิดปรกติเช่นนี้ หรือไม่มีการวิเคราะห์สาเหตุที่คนไทยนับล้านๆ คนรวมไปถึงนักวิชาการชื่อดังต่างปฏิเสธรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ มุ่งแต่นำเสนอว่าคนไทยควรจะไปเลือกตั้ง ราวกับว่าการเลือกตั้งจะช่วยแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ไม่ปาน โดยไม่พยายามวิเคราะห์ว่าสาเหตุใดจึงมีกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองและพรรคการเมืองก่อนมีการเลือกตั้ง

อคตินี้ยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อสหรัฐประกาศสนับสนุนให้คนไทยไปเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. กลับตาลปัตรกับการประกาศสนับสนุนให้ชาวยูเครนซึ่งกำลังประท้วงขับไล่รัฐบาลด้วยวิธีการรุนแรงให้ออกไปล้มรัฐบาลให้ได้เพียงเพราะรัฐบาลนี้เตรียมจะผละจากอกประชาคมยุโรป (อียู) หันไปซบออกรัสเซียแทน

ส่วนหนึ่งของคำตอบจึงมาถึงบางอ้อว่าเป็นเพราะรัฐบาลประเทศมหาอำนาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ในไทยและยังเดินหน้าในนโยบายสองมาตรฐานหรืออีกนัยหนึ่งไร้มาตรฐานบนเวทีโลกอยู่เหมืนเดิม
เหนืออื่นใด เป็นความสำเร็จของนโยบาย "โลกล้อมประเทศไทย" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฟอกตัวเองและรัฐบาลของน้องสาวผ่านบริษัทโฆษณาชื่อดังแห่งหนึ่งของอังกฤษที่ช่วยเป็นสื่อกลางทำประชาสัมพันธ์ให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนภาพลักษณ์ออกมาดูดี ทั้งๆ ที่คนไทยต่างเห็นกันทั่วว่าเธอให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษฟังแล้วแทบไม่รู้เรื่อง แต่สื่อตะวันตกส่วนใหญ่กลับสามารถเขียนข่าวจนออกมาดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เครื่องมือสำคัญของของพ.ต.ท.ทักษิณในการล้อมประเทศไทยให้อยู่หมัดก็คือการจ้างบริษัท เบลล์ พ็อตทิงเจอร์  (Bell Pottinger) บริษัทพีอาร์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอังกฤษให้ช่วยทำหน้าที่ปั้นภาพลักษณ์ของตัวเองและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ดูดีในสายตาของชาวโลก

เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์หนังสือพิมพ์การ์เดียนของอังกฤษได้นำเสนอบทความพิเศษชิ้นหนึ่งของแอนดี้ เบคเค็ตต์ว่าด้วยประวัติความเป็นมาและปรัชญาการทำงานของบริษัทเบลล์ พ็อตทิงเจอร์ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำพีอาร์ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังรับจ้างทำประชาสัมพันธ์เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับบรรดาเผด็จการ ทรราช ทั้งในอดีตและปัจจุบันอีกนับไม่ถ้วน อาทิ รัฐบาลศรีลังกาในช่วงที่จะเปิดเจรจากับนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีทั้ง(อดีต) ประธานาธิบดีผิวขาว เอฟ ดับเบิลยู เดอ เคิลร์กแห่งแอฟริกาใต้ช่วงที่กำลังหาเสียงแข่งกับนายเนลสัน แมนเดลา ผู้นำขบวนการต่อต้านนโยบายเหยียดผิว มีทั้งนางอัสมา อัล อัสซาด สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งซีเรีย รวมไปถึงนายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก เผด็จการแห่งเบลารุส  มีนางรีเบคาห์ บรู้กส์ ที่เข้ามาใช้บริการหลังเกิดคดีอื้อฉาวเรื่องการดักฟังทางโทรศัพท์ 

นอกจากนี้ก็ยังเป็นตัวแทนรัฐบาลบาห์เรนและอิยิปต์ เป็นตัวแทนของการบริหารของสหรัฐที่ยึดครองอิรัก ตัวแทนบริษัทน้ำมันทราฟิกุรา ต้นเหตุของการปล่อยมลภาวะ ตัวแทนบริษัทคัวดริลลา ที่กำลังมีปัญหาอย่างหนัก 

เป็นตัวแทนของออสการ์ พิสตอเรียส นักกีฬาที่ถูกฟ้องในข้อหาฆาตกรรม เป็นตัวแทนของมูลนิธิปิโนเชต์ระหว่างรณรงค์คัดค้านกรณีอังกฤษกักขังอดีตเผด็จการของชิลีผู้นี้ รวมทั้งยังเป็นตัวแทนของบริษัทอาวุธยักษ์ใหญ่ บีเออี ซิสเต็มส์ ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ฯลฯ

บทความชิ้นนี้เริ่มด้วยการโปรยหัวว่า "จากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปจนถึงบริษัทคัวดริลลาและอัสมา อัล อัสซัดที่กำลังมีปัญหา ล้วนแต่เป็นลูกค้าชื่อกระฉ่อนของบริษัทเบลล์ พ็อตทิงเจอร์ บริษัทพีอาร์ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้  และ ทิม เบลล์ ผู้วางแผนรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งให้กับนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้เผยถึงเบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจนี้"
ทิม เยลล์ หรือ ลอร์ด เบลล์ แห่งเบลกราเวีย ซึ่งได้รับยศนี้เมื่อปี 2533 จากการเสนอของนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าแก่มายาวนานไม่นับรวมเรื่องที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเหมือนกัน แม้จะมีอายุ 72 ปีแล้ว แต่ก็ยังทำงานเต็มเวลาและก็ยังแต่งตัวเหมือนกับนักพีอาร์รุ่นเก่าผู้สามารถสร้างความเป็นกันเองด้วยรอยยิ้มง่ายๆ 

มาร์ค บอร์คอฟสกี นักพีอาร์ชื่อดังและนักประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมการประชาสัมพันธ์ในอังกฤษให้ความเห็นว่าลอร์ดเบลล์ ถือเป็นคนต้นแบบของธุรกิจนี้ มีคนจำนวนมากพยายามจะเขียนข่าวมรณกรรมหรืออีกนัยหนึ่งความล้มเหลวของเขา แต่พวกนั้นประเมินความมุ่งมั่นดุจเหล็กกล้าของลอร์ด เบลล์ต่ำไป เขามีเครือข่ายที่ทรงพลังมาก มีการติดต่อกับทั่วทุกมุมโลก เปรียบไปแล้วเบลล์ พ็อตทิงเจอร์ เป็นคนหลากหลายเชื้อชาติที่มีอำนาจน่ากลัวมาก เป็นเวลานานหลายๆปีมาแล้วที่ลอร์ด เบลล์ จะทำงานอยู่หลังฉาก เป็นเหมือนกับตัวแทนของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ"

น้อยครั้งนักที่เบลล์จะยอมให้สัมภาษณ์และปรกติจะให้สัมภาษณ์เฉพาะหนังสือพิมพ์เอียงขวาหรือคนดังในวงการหนังสือพิมพ์ที่ตัวเองชื่นชอบเท่านั้น 

"ผมเองก็หากินกับรัฐบาลของแทตเชอร์ สิ่งที่ผมทำให้เธอนั้นบางคนก็ว่าเกินจริงอย่างเห็นได้ชัด บางคนก็ว่าประเมินต่ำเกินไปอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน" จากหนังสือเรื่อง "The Ultimate Spin Doctor" ของมาร์ค ฮอลลิงเวิร์ธ ว่าด้วยชีวประวัติของเบลล์ เผยว่า เบลล์ได้แนะนำเธอทุกอย่างตั้งแต่วิธีการผ่อนคลายเพื่อจะละลายท่าทางที่แข็งมะรือทื่อของเธอ ไปจนถึงกลวิธีโจมตีพรรคเลเบอร์ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในขณะนั้น ด้วยการจัดทำโปสเตอร์ชุด "Labour Isn't Working" ซึ่งโด่งดังไปทั่ว เป็นภาพคนตกงาน (ซึ่งอันที่จริงเป็นเด็กหนุ่มสังกัดพรรคอนุรักษ์นิยมที่ยืมตัวมาเข้าฉาก)ที่ต่อแถวยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาอยู่หน้าสำนักจัดหางาน โปสเตอร์นี้มีส่วนทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลฮีธ วิลสัน คัลลาฮานในช่วงปลายทศวรรษ 2513 ลดลงฮวบฮาบ ก่อนที่ชาวอังกฤษจะตระหนักหลังจากนั้นไม่นานนักว่า รัฐบาลแทตเชอร์ทำให้คนตกงานมากยิ่งกว่า

"สิ่งที่ผมเชื่อมั่นมากที่สุดก็คือคำเพียงไม่กี่คำที่สามารถสร้างภาพที่แจ่มชัด ก็สามารถเปลี่ยนแปลงการคิดของคนได้" ลอร์ด เบลล์ ซึ่งได้ร่วมก่อตั้งบริษัทเบลล์ พ็อตทิงเจอร์เมื่อปี 2541 กล่าวถึงหลักการทำงานของบริษัทนี้ว่า "เราจะบอกเรื่องราวต่างๆ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการโกหก เราทำงานให้กับคนที่ต้องการจะบอกเรื่องราวในแง่มุมของเขา"

ขณะที่อเลค แมตทินสัน ผู้ช่วยบรรรณาธิการนิตยสาร "พีอาร์วีค" ให้ความเห็นว่า "บรรดาคนที่เกี่ยวข้องอย่างมากกับสถานการณ์พิเศษนั้นๆ เป็นทั้งชื่อเสียงและวิกฤติของการพีอาร์ ในแง่ของชื่อเสียงก็คือพวกเขาสามารถหาบริษัทที่พร้อมจะรับงานให้ ขณะที่บริษัทอื่นๆไม่กล้ารับงานนั้น"

จากนโยบายนี้ทำให้บริษัทเบลล์ พ็อตทิงเจอร์ตกเป็นเป้าโจมตีหลายครั้ง อาทิ ถูกสำนักตรวจสอบด้านการหนังสือพิมพ์ของอังกฤษประณามว่าปกปิดข้อมูลหรือนำเสนอข้อมูลด้านเดียวระหว่างเป็นพีอาร์ให้กับรัฐบาลศรีลังกาช่วงที่พบเจรจกับนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จนนำมาซึ่งการประท้วงหน้าสำนักงานแห่งนี้ 

เช่นเดียวกับที่ชาวชิลีและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนต่างไม่พอใจที่เบลล์ พ็อตทิงเจอร์ รับทำโฆษณาให้กลุ่มผู้สนับสนุนอดีตเผด็จการมือเปื้อนเลือดปิโนเชต์ที่ต้องการให้อังกฤษปล่อยตัวเผด็จตัวผู้นี้ และเบลล์ได้โหมโฆษณาด้วยข้อความว่า "ปรองดองไม่ใช่แก้แค้น" ฟังแล้วคล้ายๆกับที่นางสาวยิ่งลักษณ์พูดไว้ขณะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ๆว่า "มุ่งแก้ไขไม่แก้แค้น"  พร้อมกับนำเสนอภาพปิโนเช์ที่ดูอ่อนล้า ไม่มีแรงเนื่องจากป่วยเรื้อรังทำให้คนสงสาร 

สุดท้ายอังกฤษก็ยอมปล่อยตัวปิโนเชต์ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าเป็นกระบวนการปลอกต้มที่ไม่โปร่งใส
อย่างไรก็ดี ลอร์ด เบลล์ยืนยันว่าบริษัทนี้เป็นพลังในด้านดี "เราต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด เหตุผลที่เรารับงานของลูคาเชนโกแห่งเบราลุส เป็นเพราะเจ้าตัวออกปากเองว่า"เราต้องการก้าวไปสู่ประชาธิปไตย และเราก็ได้ปล่อยนักโทษการเมืองแล้ว 6 คน"

ขณะที่ เจมส์ เฮนเดอร์สัน หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ซึ่งเพิ่งมาอยู่ที่บริษัทนี้แค่ 3 ปี และมีบุคลิกของนักพีอาร์รุ่นใหม่ยืนกรานว่า ขณะนี้บริษัทไม่รับลูกค้าที่มีปัญหาชื่อเสียงฉาวโฉ่อีกแล้ว อาทิได้ปฏิเสธไม่รับข้อเสนอของนายโรเบิร์ต มูกาเบ  เผด็จการแห่งซิมบับเว เป็นต้น ด้านเว็บไซต์ของบริษัทนี้ก็เอ่ยชื่อลูกค้าที่ไม่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ส่วนใหญ่จะเน้นลูกค้าประเภทบริษัทน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ บริษัทเหมืองแร่ สถาบันการเงินและรัสเซีย เป็นต้น

แมตทินสันแห่ง"พีอาร์วีค"ก็ยอมรับเช่นกันว่าแนวคิดที่จะรับงานบริษัทหรือลูกค้าที่มีปัญหานั้นเป็นเรื่องผิดพลาดของบริษัทพีอาร์ เบลล์ พ็อตทิงเจอร์

ในส่วนของผู้อ่านบทความชิ้นนี้ ได้เข้าไปแสดงความคิดเห็นและวิจารณ์การทำงานของเบลล์ พ็อตทิงเจอร์ จำนวนไม่ใช่น้อย 

ชิ้่นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการแสดงความคิดเห็นว่า อนาคตของโลกจะเป็นเช่นใดขึ้นอยู่กับมุมมองและการประชาสัมพันธ์ ซึ่งเนื้อแท้ก็คือการโฆษณาชวนเชื่อ ที่เข้าไปมีบทบาทแทนที่รัฐสภาและโครงการต่างๆ
 บางความเห็นก็เตือนบริษัทพีอาร์ให้คำนึงเรื่องของจริยธรรมและเรื่องของเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวต่างๆ

Friday, January 24, 2014

ปชป.-ส.ว.ยื่นศาลรธน.ฟันยิ่งลักษณ์-รมต.ออกพรก.มิชอบ

ปชป.-ส.ว.ยื่นศาลรธน.ฟันยิ่งลักษณ์-รมต.ออกพรก.มิชอบ

โพสต์ทูเดย์, 24 มกราคม 2557 เวลา 10:15 น.
------------
Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, government, กปปส., พรก.ฉุกเฉิน, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, ไพบูลย์ นิติตะวัน, วิรัตน์ กัลป์ยาศิริ, การเลือกตั้ง, Thailand Reform, Reform before Election

นายกรัฐมนตรีรักษาการยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะรัฐมนตรี เข้าตาจนหนักยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อการประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินมีเค้าส่อผิดรัฐธรรมนูญ เมื่อมีประกาศการเลือกตั้งแบบเลื่อนไม่ได้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่กลับไปใช้พรก.ฉุกเฉิน อันเป็นกฎหมายจำกัดสิทธิในการแสดงออก และสิทธิของประชาชนในขั้นพื้นฐาน ทำให้หาเสียงไม่ได้อย่างเป็นธรรม เมื่อรัฐบาลเป็นฝ่ายผูกขาดสื่อทุกด้านอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์เสรี วิทยุ แต่ขณะเดียวกันก็จำกัดสิทธิฝ่ายที่เห็นต่างไม่ให้นำเสนอ แล้วจะให้ฝ่ายตรงกันข้ามหาเสียงได้อย่างเสรีกับประชาชนได้อย่างไร ท่ามกลางสภาวการณ์ข่มขู่และไม่ปลอดภัยเช่นนี้ – ประกอบ คุปรัตน์ (25 มกราคม 2557)
------------

ภาพ วิรัตน์ ควง สว.ไพบูลย์ ยื่นศาลรธน.ระงับ พร้อม เอาผิด ยิ่งลักษณ์ รัฐมนตรีรวม 18 คน ออกพรก.ฉุกเฉิน มิชอบพ่วงยุบพรรคเพื่อไทย

วันที่ 24 ม.ค. นายไพบูลย์ นิติตะวัน สว. สรรหา พร้อมด้วย นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ทีมทนายความพรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นคำร้องต่อ เจ้าหน้าศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายไพบูลย์ ระบุว่า ในวันนี้เป็นการยื่น 2 คำร้อง ขอให้ศาลวินิจฉัยตามมาตรา 68 เกี่ยวกับการกระทำของพรรคเพื่อไทย ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีรวม 18 คน ร่วมกระทำการตามต้องห้ามมาตรา 68 ออกประกาศพรก ฉุกเฉิน ทั้งที่ไม่มีเหตุฉุกเฉินใดๆและเป็นไปตามต้องห้ามมาตรา 164 ที่ครม. มีมติ โดยมีการใช้ทรัพยากรของรัฐซึ่งขัดระเบียบการเลือกตั้ง มาตรา 237 ที่มีหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รู้เห็น ดังนั้น เมื่อมีการรู้เห็น จึงเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 68 เข้าตามอำนาจที่ศาลรัฐธรรมนูญสามารถวินิจฉัยได้ โดยคำร้องของนายวิรัตน์ เป็นคำร้องที่ 1 และของตนเป็นคำร้องที่ 2 ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี ครม. พรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรค รวม 18 คน ร่วมกระทำเพื่อให้ได้มาเพื่ออำนาจการปกครอง ไม่เป็นตามรัฐธรรมนูญ และขอให้ทั้งหมด ยุติการกระทำ ระงับพรก. ฉุกเฉิน รวมถึงขอให้ศาล วินิจฉัยยุบพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้หากคำวินิจฉัย ศาลออกมาจะ มีผลผูกพันไปที่กกต. ด้วย ในการให้ใบแดงผู้สมัคร ในฐานะผู้รู้เห็น

ขณะที่นายวิรัตน์ ย้ำว่าพรก.ฉุกเฉิน ขัดต่อรธน. เพราะไม่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น ซึ่งต่างจากปี 2553 ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน ประกอบกับ กฎหมายนี้ออกในช่วงมีพระราชกฤษกาการเลือก อีกทั้งยังมีการห้ามสื่อนำเสนอข่าว จึงเข้าข่ายขัดมาตรา 181 (1,3,4) ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต เที่ยงธรรม และเป็นการกระทำของพรรคการเมือง


ภาพ @js100radio

Wednesday, January 22, 2014

เมื่อกำนันมาเยี่ยมหน้าบ้าน - กรณ์ จาติกวณิช


เมื่อกำนันมาเยี่ยมหน้าบ้าน - กรณ์ จาติกวณิช

Korn Chatikavanij, Facebook, 22 มกราคม 2557,

Keywords: การเมือง, การปกครอง, ความเป็นผู้นำ, สุเทพ เทือกสุบรรณ, กรณ์ จาติกวณิช, ทักษิณ ชินวัตร, Transformational leaders, Transactional leaders, toxic leaders,
-----------

นักการเมืองส่วนใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์เป็นนักการเมืองในระบอบรัฐสภา คุณอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หรือกรณ์ จาติกวณิช แม้เป็นนักการเมืองชั้นดีรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง แต่ก็ยังจัดอยู่ในนักการเมืองกลุ่มนี้ ที่ผมเรียกว่า Parliamentarians คือเล่นการเมืองแบบประชาธิปไตยในกรอบรัฐสภา แต่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักการเมืองแบบไร้กรอบ ไม่ต้องยึดติดกับหลักจริยธรรม 12 ปีของการครองอำนาจ มันจึงทำให้ระบอบทักษิณมีเยื่อใยโครงข่ายครอบคลุมไปทั่วประเทศ แม้ประชาชนจะรู้ว่าทักษิณและระบอบทักษิณเลวร้ายแรงอย่างไร แต่ก็สลัดทิ้งได้ยาก ทักษิณเป็นผู้นำเป็นพิษ (Toxic leader) โดยแท้

ดังนั้นเมื่อมีนักสู้ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองและอย่างรอบด้าน อย่างกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก้าวหลุดพ้นจากการเมืองปกติ ออกมาสู้กับระบอบทักษิณ ดังชื่อเพลงที่เขาใช้ “สู้ไม่ถอย” บทความสั้นที่กล่าวถึงกำนันสุเทพ โดยกรณ์ จาติกวณิชย์ จึงเป็นการตอกย้ำ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงในมิติใหม่ของนักการเมืองภาคประชาชนที่ดีที่สุด สุเทพ เทือกสุบรรณ จัดเป็นนักการเมืองแบบ Transformational leaders อันเป็นตัวอย่างที่หากได้ยากในประเทศไทย – ประกอบ คุปรัตน์ (22 มกราคม 2557)
--------------


ภาพ อภิสิทธิ เวชชาชีวะ กับกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ


ภาพ กรณ์ จาติกวณิช ขณะร่วมเดินไปกับกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เยี่ยมชวนประชาชนออกมาร่วมกระบวนการปฏิรูปการเมืองไทย

กระแสตอบรับกำนันสุเทพในการเดินทัวร์ไปถนนสายต่างๆนั้น ต้องถือว่าเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน พอมีการประกาศว่ากำนันจะไปเส้นทางไหน ประชาชนในเส้นทางนั้นก็จะตื่นตัวเตรียมต้อนรับทันที บ้างก็เตรียมเงินมาบริจาค บ้างก็ตั้งโต๊ะเตรียมเครื่องดื่มไว้ต้อนรับผู้มาร่วมเดินขบวน การบริจาคเงินก็จะมีตั้งแต่เด็กนักเรียนที่ให้ ๒๐ บาทจนถึงพ่อค้านักธุรกิจที่ใส่ซองมาเป็นแสน

เมื่อวานนี้ บนถนนนางลิ้นจี่ มีสาวออฟฟิศใส่ซองและเขียนบนซองว่า 'ขอหุ้นด้วย ๑ หุ้น ด้วยเงิน ๕๐๐ บาท' สำหรับผมแล้ว นี่คือพลังในกระบวนการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน เมื่อชาวบ้านได้ออกมาสัมผัสขบวนกำนัน ความรู้สึกเป็น 'หุ้นส่วน' จะเกิดขึ้นทันที และเมื่อใครได้ยื่นเงินบริจาคให้กำนัน ความเป็นเจ้าของร่วมกับกระบวนการต่อสู้ยิ่งทวีคูณ

เมื่อวานนี้กำนันเดินผ่านเขตเลือกตั้งเก่าของผม และเดินผ่านทั้งหน้าบ้านและหน้าที่ทำงานของผมเอง ออกเดินจากเวทีลุมพินีตั้งแต่ ๙.๓๐ น. กว่าจะมาถึงจุดหน้าบ้านซึ่งเลยครึ่งทางมาไม่มากก็ ๔ โมงเย็น ผมเห็นกำนันเหนื่อยมาก แต่ก็ไม่มีการปฏิเสธที่จะถ่ายรูปกับใคร มือแกบวมตุ่ยจากการจับการบีบโดยผู้คนทั้งวันและทุกวัน แต่แกก็ยังตบหลัง เซ็นชื่อ รับเงิน รับจดหมายเองตลอดเส้นทาง นี่ยังไม่นับการปราศรัยทุกคืน และการใช้สมองในการกำหนดยุทธศาสตร์การต่อสู้

ผมอดคิดไม่ได้ว่า ทักษิณนั่งดูอยู่ทางโทรทัศน์ ควรต้องนึกละอายอยู่ในใจที่ไม่เคยออกมานำมวลชนด้วยตัวเองอย่างนี้ แต่เพียงกำกับในลักษณะ 'เจ้านาย' และ 'นายทุน' เท่านั้น และถ้าเราวิเคราะห์ว่ากระแสตอบรับมวลมหาประชาชนมีที่มาจากอะไร เราปฏิเสธไม่ได้แน่นอนว่าส่วนสำคัญมาจากการยอมรับและเห็นใจท่านกำนัน พูดง่ายๆก็คือกำนันได้ใจเรา และสำหรับคนไทยไม่มีอะไรสำคัญกว่าการได้ใจ ส่วนเรื่องอื่นอย่างเช่น ความต้องการการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป หรือแม้แต่ความเกลียดชังทักษิณที่อาจมีในใจ ล้วนมีส่วนเป็นแรงบันดาลใจ แต่ถ้าไม่มีกำนัน คงยากที่จะมีวันนี้

เวทีสามเสนหรือการเป่านกหวีดที่สีลม เป็นเสมือนความทรงจำดีๆจากเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว และผมยังไม่ลืมคำปรามาสของอดีตอัยการสูงสุดในฐานะรัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่พูดไว้ในวันแรกๆของการเคลื่อนไหวของเราว่า "ประชาชนที่ออกมาร่วมนั้นจริงๆแล้วไม่ได้รู้เรื่องอะไร แค่เห่อตามกระแสไปเอง"

จนถึงวันนี้ผมว่ารัฐบาลก็ยังประเมินสถานการณ์ไม่ถูกต้อง และยังประเมินประชาชนตํ่าไป

แต่ปัญหาหลักของบ้านเมืองคือ ทางออกที่ทำให้ประชาชนทุกคนทุกฝ่ายได้ประโยชน์นั้นมีแน่นอน เพียงแต่ทางออกนั้นจะทำให้มีผู้เสียประโยชน์ และกลุ่มผู้นั้นก็คือทักษิณและพวกที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน

แม้แต่ผู้ที่ไม่เห็นดีด้วยกับแนวคิดทั้งหมดของกำนัน ก็ไม่ควรยอมให้สังคมเดินหน้าสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นเพียงเพื่อปกป้องนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่พยายามรักษาอำนาจของตน

ประชาชนมีประโยชน์ร่วมกันโดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะสนับสนุนฝ่ายใดทางการเมืือง อย่าให้นักการเมืองมากลบความเป็นส่วนร่วมและชูส่วนต่างเพียงเพื่อใช้เราเป็นเครื่องมือ

Tuesday, January 21, 2014

“กรณ์” จวก รบ.อย่าโทษใคร ถ้าไม่โกงจำนำข้าวมีเงินจ่ายชาวนา


กรณ์จวก รบ.อย่าโทษใคร ถ้าไม่โกงจำนำข้าวมีเงินจ่ายชาวนา


ภาพ นายกรณ์ จาติกวณิช (แฟ้มภาพ)

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   21 มกราคม 2557 02:42 น.

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, ประชาธิปไตย, Democracy, เผด็จการรัฐสภา, ระบอบทักษิณ, Taksinocracy, Thaksinocracy, คณาธิปไตย, Oligarchy, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, พรรคเพื่อไทย, คอรัปชั่น, Corruption,ปฏิรูปประเทศไทย, Thailand Reform, คนระดับล่าง, grass-rooted people, farmers, peasants, proletariat
--------------

นโยบายรับจำนำข้าวที่ราคา 15000 บาท/ตัน ข้าวหอมมะลิ 20,000 บาท/ตัน นับเป็นนโยบายสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยของทักษิณสามารถชนะการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2554 เข้ามามีอำนาจจนถึงในปัจจุบัน แต่ประเด็นสำคัญก็คือ พรรคเพื่อไทยและทักษิณไม่ได้บริหารกิจการข้าวอย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์แก่ชาวนา แต่ตรงกันข้าม ได้ทำให้เกิดการรั่วไหล ทุจริตคอรัปชัน เกิดการขาดทุนไปเกือบ 500,000 ล้านบาทในช่วงเวลา 2 ปี และล้มเหลวในการผลักดันข้าวออกต่างประเทศ จนมีข้าวค้างสต๊อกในประเทศถึง 17-18 ล้านตัน โดยไม่สามารถขายออกไปนอกประเทศ เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินหมุนเวียนของโครงการได้

นโยบายรับจำนำข้าวอาจเป็นตัวก่อปัญหาให้กับรัฐบาลทักษิณ จนถึงขั้นไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งต้องติดตามดูต่อไป ในช่วงไม่กี่วันต่อไปนี้ – ประกอบ คุปรัตน์ (21 มกราคม 2557)
-----------

กรณ์ตอกย้ำล้มเหลวจำนำข้าว ซัดโกงจนขาดเงินหมุนเวียน ปูดชาวนาทุกข์หนักสถานการณ์บังคับจำใจขายข้าวให้โรงสีเกวียนละ 6,000 ขายสิทธิ์ให้นายทุนไปฟันกำไรเกวียนละ 6,000 เหนาะๆ วอนอย่ามัวโทษใคร ไม่มีเหตุผลอื่น ไม่ว่า กปปส.จะไปล้อมธนาคารไหนก็ไม่มีผลต่าง เพราะขณะนี้รัฐบาลไม่มีสิทธิ์กู้จากใครอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 20 ม.ค. เมื่อเวลา 20.00 น.ที่ผ่านมา นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Korn Chatikavanij ถึงกรณีชาวนายังไม่ได้รับเงินจากโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลว่า การที่รัฐบาลพยายามวิ่งหาแหล่งเงินมาจ่ายชาวนาที่ค้างชำระในโครงการจำนำข้าวนั้น สะท้อนข้อเท็จจริงว่าโครงการนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และที่ล้มเหลวเป็นเพราะโครงการบกพร่องแต่แรก และซํ้าร้ายยังมีการทุจริตคอร์รัปชั่นจนทำให้ขาดเงินหมุนเวียน ผู้ที่ต้องรับเคราะห์ก็คือชาวนานั่นเอง

วันนี้อดีต ส.ส.ในพื้นที่เล่าให้ฟังว่าขณะนี้สถานการณ์บังคับให้ชาวนาต้องขายข้าวให้กับโรงสีในราคาเพียงประมาณเกวียนละ 6,000 บาท แทนที่จะเข้าโครงการจำนำ และขายสิทธิจำนำให้กับนายทุนในราคาเกวียนละ 2,000 บาท ซึ่งนายทุนก็จะสามารถนำไปเข้าโครงการที่ราคาประมาณ 14,000 บาท เท่ากับชาวนาลงทุนลงแรงได้เงินเกวียนละ 8,000 หรือเรียกว่าแทบจะไม่คุ้มทุน ในขณะที่นายทุนแทบไม่ต้องออกแรง แต่ได้กำไรเกวียนละ 6,000 บาท

นี่คือความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของการจำนำข้าว แต่แฝงอยู่ในความล้มเหลวนั้นคือผลประโยชน์มหาศาลของคนไม่กี่คน

ในขณะนี้ ชาวนายังรอการชำระเงินทั้งสิ้นอีกประมาณ 160,000 ล้านบาท ชาวนาไม่ได้เงินเพราะมัวแต่โกงกินกันอยู่ ไม่ต้องโทษใคร ไม่มีเหตุผลอื่น ไม่ว่า กปปส.จะไปล้อมธนาคารไหนก็ไม่มีผลต่าง เพราะขณะนี้รัฐบาลไม่มีสิทธิกู้จากใครอยู่ดี

Saturday, January 11, 2014

แด่นักวิชาการโลกสวย และนักวิชาการลิ้นสองแฉก โดย ศ. ดร. อภิชัย พันธเสน


แด่นักวิชาการโลกสวย และนักวิชาการลิ้นสองแฉก โดย ศ. ดร. อภิชัย พันธเสน

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, ประชาธิปไตย, Democracy, เผด็จการรัฐสภา, ระบอบทักษิณ, Taksinocracy, Thaksinocracy, คณาธิปไตย, Oligarchy, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, พรรคเพื่อไทย, คอรัปชั่น, Corruption, ปฏิรูปประเทศไทย, Thailand Reform, นักวิชาการโลกสวย, นักวิชาการลิ้นสองแฉก
---------------


ภาพ ศาสตราจารย์ ดร. อภิชัย พันธเสน

ศาสตราจารย์ ดร. อภิชัย พันธเสน เป็นนักวิชาการถนัดเขียน มักจะไม่ค่อยได้เห็นขึ้นเวทีปราศรัยแบบดุเดือดเผ็ดมัน ผลงานเขียนที่ท่านถนัดจะนำเสนอที่สุดคือเรื่องเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ หรือเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง

 และเพราะความเป็นคนตรงไปตรงมา เวลาเขียนอะไรจึงเขียนได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องอ้อมค้อม และสิ่งหนึ่งที่ผมให้ความเคารพท่านในฐานะนักวิชาการรุ่นพี่ คือ การรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นนักวิชาการอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คิดและเขียนอย่างมองประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ดังนั้นในยามที่มีวิกฤติในสังคม จึงนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะอ่าน หรือฟังจากนักวิชาการท่านนี้ ขอฝากคารวะมา ณ ที่นี้ด้วยครับ – ประกอบ คุปรัตน์ (12 มกราคม 2557)
------------

ขณะนี้ได้มีความพยายามจะรวมตัวกันของนักวิชาการที่อ้างตนเองว่าจะเป็น มวลมหานักวิชาการในนามของเครือข่าย 2 เอา และ 2 ไม่เอา ซึ่งตามข่าวของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2557 ต้องการสนับสนุนการเลือกตั้ง ต้องการคัดค้านรัฐประหาร รวมถึงไม่เอาการเปลี่ยนแปลงจากอำนาจนอกระบบ 

โดยกลุ่มนักวิชาการเหล่านี้สามารถแยกออกได้เป็นสองส่วนคือ

พวกหนึ่งคือพวกนักวิชาการโลกสวย พวกนี้มองเห็นความเลวร้ายของระบอบทักษิณและความเลวร้ายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยคัดค้านโครงการจำนำข้าวและร่วมแสดงความคิดเห็นคัดค้านการคอรัปชั่น ตลอดจนการนิรโทษกรรมสุดซอย แต่หวั่นเกรงว่าการประท้วงของมวลมหาประชาชนอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดในที่สุดโดยไม่ยอมรับรู้ว่าใครเป็นต้นชนวนในการก่อเหตุ ประกอบกับความไม่แน่ใจในความคลุมเครือของกฎหมาย 

โดยไม่ให้ความสำคัญแก่มาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม 

และที่สำคัญ นักวิชาการพวกนี้ไม่เคยได้ลงไปคลุกคลีสัมผัสและมีส่วนร่วมชุมนุมกับมวลมหาประชาชน จึงไม่เข้าใจความมุ่งมั่นในการต่อสู้และความรู้สึกของพวกเขาอย่างแท้จริง 

พวกนี้จึงเป็นพวก นักวิชาการลอยลมหรือ นักวิชาการตีนไม่ติดดิน 

ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นเป็นนักวิชาการที่มีเป้าหมายหลักอยู่เป้าหมายเดียว คือ ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่นักวิชาการพวกนี้จะสรรหามาอธิบาย และเมื่อไม่เชื่ออย่างนี้จึงทำให้ให้ความสนับสนุนอย่างหัวปักหัวปำแก่นักการเมือง กลุ่มการเมือง และพรรคการเมืองที่ตนคิดว่ามีความเชื่อคล้าย ๆ ตน จนกระทั่งมองข้ามความเลวร้ายของนักการเมืองเหล่านี้ที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศชาติบ้านเมือง 

ช่วยแก้ต่างให้นักการเมืองเหล่านี้โดยอาศัยการตีความตามตัวอักษรโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี 

ถึงแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินว่าพรรคการเมืองพรรคเดิม ๆ ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า พวกนี้ก็จะตะแบงไปว่าศาลตัดสินภายใต้อิทธิพลของอำนาจนอกระบบและเข้าข้างฝ่ายที่ยังครองอำนาจสืบไป ถึงแม้ฝ่ายนั้นจะมีตำรวจ อันธพาล ทั้งชุดแดง ชุดดำ นักวิชาการกลุ่มนี้ก็ไม่เคยให้ความสนใจและไม่ยอมทำความเข้าใจ

สาเหตุที่สถานการณ์ในปัจจุบันได้มาถึงจุดใกล้จะเกิดความรุนแรงเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความหน้าด้านของรัฐบาลรักษาการณ์ปัจจุบันที่ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพราะถ้าเป็นต่างประเทศ ที่มีการทำความผิดอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้แล้ว รัฐบาลเขาลาออกไปนานแล้ว มวลมหาประชาชนก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังมากเท่านี้

นอกจากนี้ สื่อที่ร้ายที่สุดนั้นก็ไม่ใช่สื่อของเอกชน แต่กลายเป็นสื่อสาธารณะที่ดำเนินการอยู่ได้ด้วยเงินภาษีอากรของประชาชน ถึงแม้จะเป็น ภาษีบาปก็ตามที 

ทั้งนี้เพราะสื่อดังกล่าวก็มีการเลือกข้างตั้งแต่ต้น เปิดโอกาสให้เฉพาะนักวิชาการประเภทโลกสวยกับนักวิชาการประเภทลิ้นสองแฉกเท่านั้น ให้มาแสดงความคิดเห็น 

ส่วนนักวิชาการส่วนใหญ่ที่ได้หลอมรวมเข้ากับมวลมหาประชาชนและเป็นมวลมหานักวิชาการที่แท้จริงกลับไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นในสื่อสาธารณะแห่งนี้แต่อย่างไร 

สื่อสาธารณะดังกล่าวถ้าหากยังมีจรรยาบรรณจริงอย่างที่กล่าวอ้าง ควรจะเลิกขอรับการสนับสนุนจากเงินภาษีอากรของประชาชน และไปขอรับเงินจากระบอบทักษิณแทน 

เหตุที่เครือข่าย 2 เอา และ 2 ไม่เอา ออกมาเคลื่อนไหวหนักในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นพวกฉวยโอกาสจากที่มวลมหาประชาชนจะออกมาปิดล้อมกรุงเทพฯ โดยไม่มีกำหนด เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2557 เป็นต้นไป 

พวกนี้จึงคิดจะแย่งเอาหน้าโดยไม่ได้ลงทุนต่อสู้ เสนอตัวเป็นคนกลาง หรือมิฉะนั้นก็ช่วยยืดอายุรัฐบาลรักษาการณ์โดยไม่มีความจำเป็น จากการใช้เหตุผลว่าไม่ต้องการเห็นความรุนแรง โดยไม่ตระหนักว่าความรุนแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2552 และ 2553 ถึงปัจจุบัน เกิดจาก ชายชุดแดง ชายชุดดำ และตำรวจเป็นหลัก 

มิได้เกิดจากมวลมหาประชาชนที่รักความเป็นธรรมที่เคลื่อนไหวโดยปราศจากอาวุธ สันติ และอหิงสา แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเคลื่อนไหวแบบสันติเชิงรุกนั้นต้องมีบ้าง แต่ถ้ารุกโดยไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเดือดร้อน เช่น อดอาหาร เชื่อว่าผู้ประท้วงคงตายเปล่า เพราะฝ่ายทรราชย์นั้นดื้อด้านเหลือทน 

อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงที่เครือข่าย 2 เอา และ 2 ไม่เอา นั้นหวั่นเกรงก็คงจะไม่เกิด

เพราะฝ่ายทหารได้ออกมายืนยันแล้วว่า กองทัพรับไม่ได้หากเกิดเหตุรุนแรง ระบุชัด พร้อมใช้ชีวิตป้องกัน นอกจากนั้น ทหารยังกล่าวว่า กองทัพยังคงทำหน้าที่ภายใต้กรอบกฎหมาย ดังนั้น ไม่ควรกล่าวเชิงบีบบังคับให้กองทัพต้องเลือกข้างใคร เพราะกองทัพมีหน้าที่และความรับผิดชอบ คือ ประชาชนต้องปลอดภัย เรื่องใดที่เป็นความขัดแย้งทางกฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาดูแล 

ดังนั้นเมื่อมวลมหาประชาชนทำการต่อต้านด้วยวิธีการที่สันติ สงบ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ความรุนแรงจากฝ่ายมวลมหาประชาชนก็ไม่มี ถ้าไม่มีความรุนแรงจากฝ่ายตรงข้าม คือ จากรัฐบาลรักษาการณ์ จากฝ่ายเสื้อดำ เสื้อแดง และฝ่ายตำรวจพวกที่จะแฝงตัวมา และถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้น ทหารจำเป็นต้องป้องกันและระงับเหตุ อีกทั้งทหารจะวางตัวเป็นกลาง 

ดังนั้น จึงไม่ควรมีทั้งความรุนแรง ไม่มีการรัฐประหารโดยทหาร และไม่มีการใช้อำนาจนอกระบบตามที่เครือข่าย 2 เอา และ 2 ไม่เอา ออกมาเคลื่อนไหว ถ้าจะมีก็คือการใช้อำนาจอธิปไตยทางตรงจากมวลมหาประชาชน ซึ่งได้มีการรับรองไว้ในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน 

ดังนั้น เครือข่าย 2 เอา และ 2 ไม่เอา จึงไม่ควรออกมาตะแบงอีกต่อไป 

เพราะเรารู้ดีว่าพวกคุณเป็นนักวิชาการ โลกสวยและนักวิชาการลิ้นสองแฉกที่ออกมาทำหน้าที่ชักใบให้เรือเสียเท่านั้นเอง ดังนั้น จึงขอร้องให้นักวิชาการโลกสวย หันมาดูข้อเท็จจริงจากการที่มีเด็กและเยาวชนหลายหมื่นออกมาให้กำลังใจลุงกำนันสุเทพ เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา 

พร้อมกับขอบคุณลุงกำนันที่ทำการต่อสู้รัฐบาลทรราชย์เพื่อพวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีกว่าในอนาคต เมื่อนักวิชาการโลกสวยเข้าใจ ความจริงดังกล่าวมาแล้ว 

โปรดหันมาร่วมสนับสนุนมวลมหาประชาชนเสียเถิด และปล่อยให้นักวิชาการลิ้นสองแฉกมีอันเป็นไปตามกรรมที่พวกเขาก่อไว้เองในที่สุด

Friday, January 10, 2014

หากต้องการรู้อนาคตของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ต้องลองอ่านเรื่องของเบนอาลี (Ben Ali)


หากต้องการรู้อนาคตของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ต้องลองอ่านเรื่องของเบนอาลี (Ben Ali)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, ประชาธิปไตย, Democracy, เผด็จการรัฐสภา, ระบอบทักษิณ, Taksinocracy, คณาธิปไตย, Oligarchy, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, พรรคเพื่อไทย, คอรัปชั่น, Corruption, ปฏิรูปประเทศไทย, Thailand Reform, เบนอาลี, Ben Ali, ตูนิเซีย, Tunisia


ภาพ เผด็จการ อดีตผู้นำแห่งตูนิเซีย เบนอาลี (Ben Ali)

มีคนถามผมบ่อยว่าแล้วอนาคตประเทศไทยต่อไปนี้จะเป็นอย่างไร อนาคตของยิ่งลักษณ์-ทักษิณจะจบลงอย่างไร ผมไม่ได้เป็นหมอดูหรือนักทำนาย แต่บอกได้ว่า ประชาชน หรือมวลมหาประชาชนจะเป็นฝ่ายชนะในที่สุด หากนั้นเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยืนอยู่บนหลักการและความถูกต้อง ต้องการปฏิรูปประเทศไทยสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ส่วนเผด็จการรัฐสภา ระบอบทักษิณ การคอรัปชั่น การเล่นพรรคเล่นพวกในระบบราชการ และการครอบงำสื่อสารมวลชน ในที่สุดก็จะต้องล่มสลายไป

เผด็จการหรือทรราชย์ ไม่เคยมีใครจบชีวิตลงด้วยดี ลองดูชีวิตของจอมเผด็จการ เบนอาลี (Ben Ali) แห่งตูนิเซียไว้เป็นตัวอย่าง

ซิเน เอล อาบิดีน เบนอาลี (Zine El Abidine Ben Ali) เกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1936 เป็นนักการเมืองชาวตูนิเซีย เป็นประธานาธิบดีของตูนิเซียคนที่สองในช่วงปี ค.ศ. 1987 และถูกโค่นล้มไปในช่วงอาหรับสปริง (Arab Spring) ในปี ค.ศ. 2011

เบนอาลีได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศตูนิเซียในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1987 และเขาได้ครองอำนาจด้วยวิธีการยึดอำนาจโดยไม่เสียเลือดเนื้อจากประธานาธิบดีฮาบิบ บูร์กีบา (Habib Bourguiba) ซึ่งถูกประกาศว่าไร้สมรรถภาพ ไม่สามารถปกครองประเทศต่อไปได้ ต่อมาเบนอาลีได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น แต่ละครั้งได้รับคะแนนกว่าร้อยละ 90 และครั้งล่าสุดเขาได้รับเลือกตั้งในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2009 แต่การเมืองแบบตูนิเซียก็เป็นที่รู้กันว่า เป็นระบอบเผด็จการ โดยมีระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งเป็นการบังหน้า สื่อสารมวลชนในตูนิเซียไม่เคยมีเสรีภาพในการนำเสนอ กลไกตำรวจและทหารถูกครอบครองเหมือนเป็นสมบัติส่วนตัว เช่นเดียวกับระบบการเมืองการเลือกตั้งในประเทศอียิปต์ ในช่วงของประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค (Hosni Mubarak)ที่ครองอำนาจในช่วง ค.ศ. 1981 ถึง 2011 นานถึง 30 ปี และถูกขับออกจากอำนาจไปในระยะเวลาไม่ห่างกันนัก อำนาจของเบนอาลีกับมูบารัคคล้ายกัน ดูเหมือนแน่นหนาถาวร มีฐานสนับสนุนที่ถูกวางเอาไว้อย่างลงตัวในด้านผลประโยชน์ ฝ่ายตรงข้ามแทบไม่มีโอกาสการต่อสู้เลย แต่ในที่สุด เมื่อเวลามาถึงอำนาจเผด็จการแบบนี้ จะด้วยเป็นเผด็จการรัฐบาลทหาร หรือเผด็จการทางรัฐสภา แต่ในที่สุดก็จะพังไปอย่างรวดเร็วคล้ายปราสาททรายที่ชายหาด เมื่อน้ำทะเลและคลื่นมาถึง มันก็จะพังทลายไปอย่างรวดเร็ว

ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2011 หลังจากการประท้วงโดยมหาชนต่อระบบการปกครองของเขาเป็นเวลาหลายเดือน ในที่สุด เบนอาลีก็ต้องสละอำนาจ แล้วลี้ภัยอยู่ในประเทศซาอุดิอาเรเบีย (Saudi Arabia) พร้อมกับภรรยา คือ นางไลลา เบนอาลี (Leïla Ben Ali) และบุตรธิดาอีก 3 คน ฝ่ายรัฐบาลใหม่ของตูนิเซียได้ขอให้ตำรวจสากลดำเนินการจับกุมเบนอาลีในโทษฐานการฟอกเงิน (Money laundering) และการค้ายาเสพติด (Drugs trafficking) ในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2011 ศาลของตูนิเซียได้ตัดสินคดีลับหลังให้เบนอาลีต้องถูกจำคุกตลอดชีวิต และภรรยาถูกจำคุก 35 ปี ด้วยข้อหาการขโมย การมีเงินและเพชรพลอยที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย

และในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ศาลตูนิเซียได้ตัดสินโทษเบนอาลีอีกครั้งในข้อหาทางการเมือง ให้จำคุกเบนอาลีตลอดชีวิตฐานใช้ความรุนแรงและเข่นฆ่าประชาชน และอีกโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยศาลทหารในเดือนเมษายน ค.ศ. 2013 ในฐานใช้ความรุนแรงต่อประชาชนผู้ประท้วงที่เมืองสแฟกซ์ (Sfax) ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต

Thursday, January 9, 2014

ไม่ใช่แค่กกต.!สตง.ร่อนหนังสือจี้"ยิ่งลักษณ์"ทบทวนจัดเลือกตั้ง2ก.พ.ด้วย


ไม่ใช่แค่กกต.!สตง.ร่อนหนังสือจี้"ยิ่งลักษณ์"ทบทวนจัดเลือกตั้ง2ก.พ.ด้วย

วันศุกร์ ที่ 10 มกราคม 2557 เวลา 11:39 น.เขียนโดย isranews,

Keywords: สำนักข่าวอิศรา, isranews, ปฏิรูปประเทศไทย, Thailand Reform, ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง, Reform Before Election, ระบอบทักษิณ, Thaksinocracy


ภาพ การประท้วง "ปฏิรูปประเทศไทย ก่อนมีการเลือกตั้ง" (Thailand Reform, Reform Before Election) ที่เกิดขึ้น และจะไปสู่ยกระดับการประท้วงปิดกรุงเทพฯ (Occupy Bangkok, Bangkok Shutdown) เวลาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยิ่งเหลือน้อยลงไป และยิ่งเนิ่นนานก็จะยิ่งอ่อนแอลง (ภาพ จาก Beautiful Thailand)

ไม่ใช่แค่ กกต.! สตง.ร่อนหนังสือจี้"ยิ่งลักษณ์"ทบทวนจัดเลือกตั้ง2 ก.พ. เผยให้เหตุผลเหมือนกัน หวั่นงบประมาณแผ่นดิน 3.8 พันล้าน "สูญเปล่า-ใช้จ่ายไม่คุ้มค่า" มิได้ผลตามเป้าหมาย

นอกเหนือจากการที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)  ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงนายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ที่จะถึงนี้ ตามที่ปรากฎเป็นข่าวไปแล้ว

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า สตง. ได้ทำหนังสือถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เช่นกัน โดยมีการระบุข้อความและเหตุผลประกอบในการพิจารณาแบบเดียวกัน 

"สตง.พิจารณาแล้วมีความกังวลและห่วงใยต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินจำนวน 3,885 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเลือกตั้งของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งในและต่างประเทศ ที่จะต้องเสียไป เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความสูญเปล่า ไม่ประหยัด ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่า อันเนื่องมาจากการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินมิได้ผลตามเป้าหมายของการเลือกตั้ง ส.ส. และอาจจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลายครั้งในระยะเวลาใกล้เคียงกัน"

การจัดเลือกตั้งแต่ละครั้งต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงมิให้เกิดความเสียหายต่อการใช้จ่ายเงินแผ่นดินจำนวนมาก จึงมีข้อเสนอแนะให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีการพิจารณาทบทวนการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไปสตง.ระบุในหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี

Thursday, January 2, 2014

แนวทางการจัดการความขัดแย้งในยุคทักษิณ-ยิ่งลักษณ์

แนวทางการจัดการความขัดแย้งในยุคทักษิณ-ยิ่งลักษณ์

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com

Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, ประชาธิปไตย, Democracy, เผด็จการรัฐสภา, ระบอบทักษิณ, Taksinocracy, คณาธิปไตย, Oligarchy, ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, พรรคเพื่อไทย, คอรัปชั่น, Corruption, ปฏิรูปประเทศไทย, Thailand Reform, การแก้ปัญหาความขัดแย้ง, Conflict management
---------------

ความนำ

ยุคประเทศภายใต้ระบอบทักษิณกว่า 10 ปีนี้ ทำให้หลายท่านเป็นทุกข์ โดยเฉพาะผู้ใหญ่มีการศึกษา รับรู้มามาก ประสบการณ์มาก มีเวลา มีทรัพยากร แต่ไม่มีแรง ผมได้รับฟังความทุกข์แบบนอนไม่หลับจากท่านเหล่านี้ และในช่วงที่เราจะเข้าจุดวิกฤติ จึงเสนอหลักวิชาในการจัดการกับความขัดแย้งเหล่านี้ทั้งของตัวเองและบ้านเมือง ขอเวลาเขียนและนำเสนอเป็นลำดับ


บัดนี้เขียนเป็น Draft แรกเสร็จแล้วครับ รอฟังทัศนะจากท่านทั้งหลาย เพื่อปรับปรุงให้ดีอีกครั้งหนึ่ง
แนวทางการจัดการความขัดแย้งของโธมัส-คิลแมน เรียกว่า Thomas-Kilmann Conflict Mode Instrument (TKI) มีอยู่ 5 แนวทางด้วยกัน คือ การแข่งแล้วเอาชนะ (Competing); การให้ความร่วมมือ (Collaborating); การประนีประนอม (Compromising); การหลีกหนี (Avoiding); และ การอำนวยความสะดวก (Accommodating) เราจะใช้แนวทางจัดการ 5 แบบนี้อย่างไร

ทั้ง 5 วิธีการนี้ ไม่มีอะไรดีที่สุด หรือเลวที่สุด มันขึ้นอยู่กับเป้าหมาย และสภาพแวดล้อม ตามแนวทางทฤษฎีนี้ มีอยู่ 2 แกน คือ จะให้ความร่วมมือกับเพื่อความพอใจของคนอื่นๆ มากน้อยเพียงใด และในอีกด้านหนึ่ง เราจะใช้พลังในการผลักดันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (Unassertative – Assertive) มากน้อยเพียงใด

1. การหลบเลี่ยง หลีกหนี (Avoiding)

แนวทางนี้คือ “ถอย” เหมือนการรบก็คือเป็นระยะหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือ ถอยเพื่อรอจังหวะในการบุก
แม้ในเกมส์ที่ต้องการชัยชนะในที่สุด แต่ระหว่างทางเดินนั้น ก็ต้องใช้วิธีการหลีกเลี่ยง หลีกหนีเป็นครั้งคราว และกระทำอย่างมียุทธศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น

ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ เดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งเพื่อจะหาอาหารรับประทาน แล้วมาพบว่า ร้านนี้ปักธงแดง ประกาศตนเป็นฐานของคนเสื้อแดง เปิดทีวี AsiaUpdate ของคนเสื้อแดง ลูกค้าหลักเป็นเครือข่ายแทกซี่เสื้อแดง ดังนี้ก็ต้องทำตัวเฉยๆ รับประทานอาหารเสร็จ ก็เดินออกมา อย่าไปมีเรื่องโดยไม่จำเป็น แล้วจำไว้ว่าก็ไม่ต้องไปอุดหนุนเขาต่อไป

ในการเข้าร่วมกับ กปปส. หรือกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ก็ต้องเดินทางผ่านด่านที่มีตำรวจตรวจตรา ก็เก็บพวกนกหวีด สายสีธงชาติ 3 สี สัญลักษณ์ของการต่อสู้เอาไว้ในกระเป๋า สงบปากสงบคำ ทำทุกอย่างให้ถูกกฎหมาย ไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับคนในชุดตำรวจในยามวิกาล เพราะในเวลามืดและห่างไกลผู้คนนั้น เราไม่รู้ว่าจะต้องพบกับอะไรในประเทศที่ใกล้ความเป็น “รัฐตำรวจ” เข้าไปทุกที

หากเป็นนักธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ แต่เกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากระบอบทักษิณ เสี่ยงต่อความเสียหายจากฝ่ายทักษิณ ก็ทำตัวเฉยๆ เป็นกลาง แต่หาทางหลีกเลี่ยงจากระบอบทักษิณ อยู่ให้ห่าง และขณะเดียวกัน แต่หากเราเห็นด้วยกับแนวทางปฏิรูป ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ ก็สนับสนุนทางการเงินกับฝ่ายต่อต้านทักษิณ มีลูกน้อง เจ้าหน้าที่ ก็ปล่อยให้เขาสามารถเข้าร่วมทางการเมืองได้อย่างอิสระ

2. การเอื้ออำนวย (Accommodating)

Accommodating การเอื้ออำนวยหรืออำนวยความสะดวก

คือการเข้าถึงกลุ่มคนที่เราจะหวังวัตถุประสงค์เป้าหมายระยะยาวอย่างยิ่งนั้นยังกระทำไม่ได้ ต้องกระทำการอะไรก็ตามกับกลุ่มเป้าหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กับเขาเหล่านั้น ยกตัวอย่าง

ศาสนาคริสต์ในนิกายแคธอลิก ต้องการมีอิทธิพลในหมู่คนไทยที่ฐานเดิมนับถือพุทธศาสนา แต่เขาใช้นโยบายมาสร้างโรงเรียนที่ให้การศึกษาที่ดีที่สุด สร้างโรงพยาบาลประกาศเมตตาธรรม สร้างทัศนคติที่ดีให้เกิดขึ้นแก่ท้องถิ่นนั้นๆ โดยยังไม่ถือว่าต้องการเปลี่ยนศาสนาของกลุ่มเป้าหมาย แต่อย่างน้อยก็สร้างความปรารถนาดีให้กับกลุ่มคนไทยดังกล่าว

ยกอีกหนึ่งตัวอย่าง - ในการเข้าถึงคนระดับรากหญ้าในกลุ่มคนเสื้อแดง คนยากจนในชนบท ซึ่งคนกลุ่มเหล่านี้ผูกพันติดยืดอยู่กับนโยบายและประโยชน์ที่เห็นๆของระบอบทักษิณ เช่น โครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ดในราคาตันละ 15,000 บาท เงินเดือนราชการผู้จบปริญญาตรีที่ 15,000 บ่าท/เดือน ฝ่ายต่อต้านทักษิณ ต้องคิดถึงวิธีการนำเสนอในสิ่งที่ดีกว่านโยบายประชานิยมของระบอบทักษิณ ที่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน แต่นโยบายที่จะเสนอนั้น คืออะไร ซึ่งก็ต้องให้ชัดเจน และมีจุดขายที่ดีที่จะเป็นทางเลือกแทน “นโยบายประชานิยม” ที่กำลังหมดมนต์ขลัง

3. การเอาชนะ (Competing)

ในการแข่งขัน เป้าหมายคือเอาชนะ (To win) เหมือนกับการเล่นกีฬา เทนนิส บาสเก็ตบอล รักบี้ มวย ฯลฯ เขาออกแบบเกมส์มาเพื่อให้สู้กันถึงที่สุด จนฝ่ายหนึ่งชนะ แม้ชนะเพียงแต้มเดียวก็ถือว่าชนะ คนเล่นก็ต้องทุ่มที่สุดเพื่อชนะ แต่ทั้งนี้เขาต้องวางกฎ กติกา ที่ทำให้การแข่งขันเกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรม โปร่งใส และคนมีโอกาสแพ้ชนะได้อย่างสนุกสนาน

ในระบอบทักษิณ (Thaksinocracy) เขาจะคิดในทางการเมืองว่า ทำอย่างไรจึงจะชนะอย่างเด็ดขาด และโดยใช้ระบบเลือกตั้งสร้างความชอบธรรม คือการชนะการเลือกตั้ง (Election) ที่จะชนะและผูกขาดระบบการเมืองการปกครองและการเข้าควบคุมระบบเศรษฐกิจต่อไป

นโปเลียนแห่งฝรั่งเศส ระบอบคอมมิวนิสต์ในช่วงศตวรรษที่ 20 หรือเผด็จการฮิตเลอร์ของเยอรมัน เขาและคณะบุคคลเหล่านี้ต้องหาทางชนะอย่างเด็ดขาด แล้วผลตอบแทนก็จะไหลมาอย่างมหาศาล
ระบอบทักษิณก็คล้ายกับสิ่งที่กล่าวมาแล้ว เมื่อต้องการชนะเด็ดขาด แล้วผูกขาดระบอบการเมือง ฝ่ายตรงข้าม และคนที่เสียประโยชน์ อันได้แก่มวลมหาประชาชน ก็ต้องไม่ยอม และต้องเอาชนะให้ได้ การจะชนะให้ได้ก็ต้องมีพวก (Alliance) หรือมีพวกที่โดยจำนวนบวกกับอำนาจต่างๆ ต้องให้มีอำนาจเหนือกว่า แต่โดยหลักก็คือการต้องโดดเดี่ยวฝ่ายตรงข้าม ให้เหลือจำนวนให้น้อยที่สุด พวกที่ไม่เกี่ยวข้องหากไม่เป็นพวก ก็ต้องให้ถอยออกไป

อังกฤษเอาชนะฝรั่งเศสภายใต้นโปเลียนเองไม่ได้ แต่สร้างพันธมิตรชาติต่อต้านฝรั่งเศสทั่วยุโรป รวมทั้งเยอรมัน (ปรัสเซีย) รัสเซีย และชาติขนาดกลางและเล็กๆอื่นๆ

เยอรมันนาซีในยุคฮิตเลอร์ ต้องแพ้สงครามโลกครั้งที่สองไปในที่สุด เพราะศัตรูเริ่มมีมากขึ้น และรวมไปรัสเซีย ชาติในยุโรป จนถึงมีพันธมิตรมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่เข้าร่วมรบด้วย

ชาติในระบอบคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าจะเป็นสหภาพโซเวียต และจีน ในที่สุดก็ต้องล่มสลาย เพราะระบบมีจุดอ่อนที่ การผูกขาดอำนาจ การฝืนใจประชาชน การไม่มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ท้ายสุดระบอบก็ต้องเปิดทางให้กับระบอบอื่นที่มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และดำรงอยู่ได้ในทุนนิยมเสรีของตลาดที่แข็งแกร่งกว่า จีนเอง ก็ต้องเปลี่ยนไปสู่ระบอบทุนนิยมลูกประสม ยังยืดเผด็จการทางการเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ก็ต้องปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเป็นตลาดเสรี

ระบอบทักษิณมีจุดอ่อนมากมาย (อ่านข้อเขียนจาก ธีรยุทธ บุญมี, ไสว บุญมา, วิจารณ์ พานิช, ฯลฯ) เพราะความต้องการมีอำนาจมากจนนำไปสู่การคอรัปชั่น การเล่นพรรคเล่นพวก และในที่สุดก็ต้องสูญสลาย ข้อสำคัญ ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณจะต้องสร้างฐานมวลชนที่กว้างขวาง และจัดกรอบฝ่ายแกนของระบอบทักษิณให้เหลือให้น้อยที่สุด คือเพียง 1 ใน 100 ส่วนที่เหลือคือ 99 เปอร์เซ็นต์ต้องกลายเป็นพวก หรืออย่างน้อย ไม่รู้สึกว่าถูกคุกคาม สามารถอยู่เฉยๆได้อย่างสะดวกใจ

4. การประนีประนอม (Compromising)

ในการทำธุรกิจโดยทั่วไป มักจะต้องมีการต่อรอง เช่น ฝ่ายผู้ขายต้องการได้กำไรสูงสุด แต่ผู้ซื้ออยากได้ของหรือบริการที่ดีที่สุด ในราคาที่ต่ำที่สุด เสร็จแล้วการต่อรองก็จะทำให้ฝ่ายผู้ซื้อให้ราคาที่สูงขึ้น และฝ่ายผู้ขายยอมลดราคาลง จนสู่ระดับที่ตกลงกันได้ เรียกว่า พบกันครึ่งทาง

การดำเนินการทางการเมืองปกติมักจะต้องมีการเจรจาต่อรอง ฝ่ายรัฐบาลต้องการอย่างหนึ่ง ฝ่ายค้านเห็นต่าง แล้วท้ายสุดต้องมีการตั้งคณะกรรมการร่วม ในสภาเรียก “กรรมาธิการ” เพื่อจัดทำรายละเอียดจนเป็นที่ตกลงกันของทั้งสองฝ่าย แล้วจึงนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง แม้การอภิปรายในสภาก็ต้องเป็นการเจรจาต่อรอง รัฐบาลเองก็ต้องประนีประนอม ฟังเสียงฝ่ายค้าน ตอบข้อซักถามและท้วงติงให้ได้ชัดเจน อะไรที่ตกลงกันได้ก็ตกลงกัน แต่ทั้งนี้ต้องกระทำอย่างเปิดเผยต่อประชาชนได้ ไม่ใช่ไปร่วมกันสมยอมอย่างผิดหลักการ หรือผิดกฎหมาย

แต่เหตุที่เกิดความขัดแย้งในช่วงเดือนตุลาคมถึงต้นปี 2557 ก็เพราะพรรคเพื่อไทย ใช้เผด็จการเสียงข้างมาก ดังเช่น “พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแบบสุดซอย” หวังช่วยให้ทักษิณ ชินวัตรพ้นผิดในทุกกรณีรวมถึงการคอรัปชั่นด้วย แม้การออกเสียงในวาระที่สาม ก็ยังไม่ได้ให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายถึงที่สุด โดยรวบรัดออกเสียงกันในเวลาตีสี่ของวันใหม่ พฤติกรรมการพยายามเอาชนะอย่างเด็ดขาด เพราะคิดว่าสามารถกระทำได้แบบพวกมากลากไป โดยไม่ตระหนักว่ามีความไม่พอใจของประชาชนครุกรุ่นอยู่แบบเงียบๆมานานแล้ว

ดังนั้นการเจรจาต่อรอง หรือประนีประนอมกับระบอบทักษิณนั้น ต้องระวังอย่างที่สุด แล้วก็จะยังพบว่า คำพูดหรือคำสัญญาจากเขานั้นมักไม่เป็นความจริง

5. การให้ความร่วมมือ (Collaborating)

แนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยการให้ความร่วมมือ (Collaborating) ทำให้ทุกฝ่ายสมประโยชน์แบบชนะด้วยกัน (Win-win solution) ถือเป็นสถานะที่สูงสุดสำหรับหลักการนำและการบริหารประเทศ
ความจริงการชนะด้วยกันทุกฝ่ายสำหรับสังคมไทยนั้นเป็นไปได้ ทั้งนี้โดยให้ทั้งสองฝ่ายที่อาจเห็นแตกต่างกันถอยออกไปก่อน ดังเช่น แนวคิดปฏิรูปประเทศไทยก่อน (Reform Before Election) แล้วจึงเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายเห็นชอบ การใช้แนวทาง Collaborating หรือการใช้นโยบายความร่วมมือ จะเป็นไปได้ด้วยเงื่อนไขต่อไปนี้

คน 1% ที่เป็นแกนกลาง หากินกับระบอบทักษิณ ที่ค้าขายอย่างเอาเปรียบชาวบ้าน ต้องหยุดเฉย ปล่อยให้คนอีก 99% ในประเทศเขาได้มีโอกาสปฏิรูปประเทศไทย

การจะเกิดขึ้นได้ดังนี้ จำเป็นต้องมีคนกลาง (Mediator) ทำหน้าที่ประสานฝ่ายที่เห็นขัดแย้ง ต้องมีนักคิดสร้างสรรค์ (Creative, architect) ที่สามารถให้ภาพของสิ่งที่ยังเป็นนามธรรม ให้เกิดความชัดเจนเป็นรูปธรรม คนจะไม่กล้าเดินไปข้างหน้า หากทางที่จะเดินไปนั้นมันมืดและมองไม่เห็น แต่หากมีคนฉายไฟส่องนำไป และคนมองเห็นทาง เขาจึงจะกล้าเดินไป

การที่พรรคเพื่อไทย (มีส่วนที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับทักษิณ) และพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นฝ่ายการเมือง ที่คนเขาเห็นว่าระบบการเมืองของไทยเรานั้นเป็นปัญหามากมายที่ต้องการปรับเปลี่ยนปฏิรูปเสียก่อน การที่ให้ฝ่ายการเมืองหลักทั้งสองฝ่ายถอยออกไปก่อนนั้น ให้ถือว่าฝ่ายที่เป็นคู่ที่อาจขัดแย้ง จะเป็นด้วยหลักการ หรือผลประโยชน์ทางการเมืองก็ตาม กลุ่มนี้ต้องถอยออกไปก่อน

การต้องสร้างวิสัยทัศน์ประเทศไทย อะไรที่เขาต้องการ และอะไรที่เขาไม่ต้องการ สังคมไทยควรเดินไปในทิศทางใด และอย่างไร แทนที่จะติดกับอยู่กับความขัดแย้งอยู่กับระบอบทักษิณ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน วิธีการ Win-Win คือสร้างเป้าหมายที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันได้ก่อน และไม่สามารถปฏิเสธได้ เช่น นโยบายการปราบคอรัปชั่น การเลิกการเล่นพรรคเล่นพวกในระบอบราชการ การไม่มีสองมาตรฐาน ความโปร่งใส การยึดหลักประชาธิปไตย สิ่งเหล่านี้ โดยเปิดเผยแล้ว ไม่มีใครปฏิเสธได้

ฐานอำนาจ (Locus of Control) อยู่ที่ตัวเรา

อย่าเป็นเพียงผู้เฝ้าสังเกตสังคม แต่ต้องเชื่อมั่นในอำนาจของตนเอง และเข้าร่วมด้วยอย่างใช้สติและปัญญา

ในช่วงต่อไปนี้ เราต้องมองวิกฤติ (Crisis) อย่างที่เห็นโอกาส (Opportunities) และต้องมองว่า ฐานอำนาจ (Locus of Control) นั้นอยู่ที่ตัวเรา และตัวเราทุกๆคน ไม่ใช่ที่คนอื่นๆ ไม่ใช่สิ่งแวดล้อม ดังนั้นเราจึงเรียกในภาษาไทยว่า “มวลมหาประชาชน” หรือทุกๆคนของพวกเรา คนที่อยู่ในประเทศไทย คนที่เกิด หรือใช้ชีวิต หรือจะตายในประเทศไทย แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราเองต้องมีบทบาทเป็นผู้เข้าร่วม มีการกระทำด้วยวิจารณญาณของเรา เราจะไม่ปล่อยให้สังคมเป็นไปตามยถากรรม หรือได้แต่เป็นไทยเฉย

ในช่วงนี้ฟังเพลง Imagine ของ Beatles ไปก่อน ต้องมีจินตนาการหลุดออกจากปัจจุบันบ้าง เป็นระยะๆ อย่าหมกมุ่นอยู่กับความโกรธ เกลียด หลง หรือกลัว #Thailand Reform http://www.youtube.com/watch?v=RwUGSYDKUxU

สรุปปิดท้าย

สังคมไทยท้ายสุดจะต้องเลือก เอาชนะระบอบทักษิณอย่างเด็ดขาด (To win) แต่โดยส่วนใหญ่ 99% ต้องใช้หลักให้ความร่วมมือ (Collaborating) เปิดทางให้มีการปฏิรูปประเทศไทย หยุดโกงกินบ้านเมือง หยุดการเล่นพรรคเล่นพวกในราชการ หยุดระบบสองมาตรฐาน แต่สร้างความโปร่งใสในราชการ เลิกแบ่งแยกเป็นพวกเขาพวกเรา มีแต่พวกเราทั้งนั้น เป้าหมายของประเทศคือ Win-Win

หลังความขัดแย้ง การปกครองและบริหารบ้านเมือง จะเน้นการมีระบบรัฐสวัสดิการ การศึกษาที่มีคุณภาพแก่ทุกคน การสาธารณสุข สุขภาพดีถ้วนหน้า และการประกันสังคมและรายได้แก่คนระดับล่างและผู้ตกงาน ในด้านการนำ เราจะหันมาใช้การกระจายอำนาจการปกครอง (Decentralization) เป้าหมายคือเลือกผู้ว่าราชการจังหวัด เราจะต้องสรรหาและเลือกคนที่จะนำสังคมไทยในทุกระดับ ที่จะให้ได้คนดีคนเก่งมานำและจัดการบ้านเมือง

โดยรวม สังคมไทยตื่นแล้ว และได้เห็นแล้วว่า การนิ่งเฉยก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศชาติอย่างไร ต่อไปนี้ แต่ละคนจะต้องเรียนรู้การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ใช้สติปัญญา เรียนรู้ พัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในทุกระดับ อย่าปล่อยให้สังคมต้องหยุดชะงักติดกับกับระบอบที่ไม่ใช่ของจริงที่ยั่งยืน