Friday, October 7, 2011

สุภาษิต - ขอให้มีบ้านที่สร้างด้วยรัก


สุภาษิต - ขอให้มีบ้านที่สร้างด้วยรัก

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com


Keywords: สุภาษิต, proverb, house, home, ที่พักอาศัย, บ้าน, ครอบครัว, brick & stone, love


ภาพ บ้านจะมีความสุขมิได้หมายความว่าจะต้องใหญ่โต บ้านเล็กๆก็จัดทำให้มีเป็นบ้านที่มีความสุขได้


มีสุภาษิตหนึ่งที่เป็นภาษาอังกฤษ เขียนว่า “A house is made of bricks and stone, but a home is made of love alone.” ซึ่งเป็นคำสุภาษิตที่อธิบายความหมายที่ลึกซึ้งถึงคำว่า “บ้าน” ซึ่งผมขอแปลเอาไว้ดังนี้
บ้าน (A house) สร้างด้วยอิฐและหิน แต่บ้าน (a home) ในอีกความหมายหนึ่ง ต้องสร้างด้วยรักเท่านั้น ~ สุภาษิตในภาษาอังกฤษ

ในความหมายหลังนี้ A home อาจเป็นบ้านของตัวเองที่ซื้อ ผ่อนส่ง หรือได้รับมรดก หรือจะเป็นที่พักชั่วคราว ที่เราเช่าเขาพักอาศัย แต่หากบุคคลในบ้านมีความรักความห่วงใยต่อกัน ช่วยกันทำให้บ้านอบอุ่น มีลูกๆ ก็ช่วยกันเลี้ยงดู ให้ความรักและดูแล ดังนี้ก็เรียกว่า บ้านได้ แต่ในทางตรงกันข้าม หากบ้านนั้นใหญ่โตเพียงใด เราเป็นคนมั่งมี แต่เราไม่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนในบ้านมีความสุข เต็มไปด้วยความขัดแย้งทะเลาะกัน ลูกๆและสมาชิกไม่อยากกลับมาบ้านในแต่ละวัน ดังนี้ ก็ต้องไม่เรียกว่าบ้าน (a home)

อันคนเรามีเงินเมื่อใด ท่านก็สามารถสร้างบ้านได้อย่างที่ท่านต้องการ ผมมีเพื่อนหลายคนที่ เมื่อเกษียณไม่มีอะไรทำแล้ว ก็หันมาสร้างบ้าน แล้วเท่าที่พบ หลายคนสร้างบ้านหลังใหญ่มากทีเดียว สิ่งที่เขาคาดหวังจากการสร้างบ้านใหญ่นี้ เขาหวังว่าจะมีลูกหลานมาอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่เหงา และคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลก็คือ สร้างบ้านใหญ่ แต่แบ่งเป็นสัดส่วน อยู่ด้วยกันได้หลายครอบครัว ถือเป็นครอบครัวย่อยให้ครอบครัวใหญ่ บางแนวคิด สร้างบ้านใหญ่ในหลังเดียวกัน มีโต๊ะอาหารใหญ่ มาร่วมรับประทานอาหารร่วมกันได้ แต่ขณะเดียวกัน ในแต่ละหน่วยย่อยก็มีสัดส่วนที่จะทำอาหาร มีโต๊ะอาหารแยกย่อยต่างคนต่างอยู่ไปได้ด้วย บางทีผู้ใหญ่พ่อแม่หรือปู่ย่า ตายาย เราคิดแบบนี้ ก็เพราะเราเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีลูกหลานมาล้อมรอบ คนจีนตั้งแต่โบราณมาก็คิดอย่างนี้ เขาเรียกว่า “กงสี” คือการที่ญาติพี่น้องมาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ โดยมีพ่อแม่ หรือพี่ใหญ่เป็นผู้นำครอบครัว มาทำมาหากินร่วมกัน แล้วก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้

แต่ในวิถีการคิดแบบตะวันตก เขาคิดเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในสังคมอย่างอเมริกันที่เขามีธรรมชาติของการโยกย้ายถิ่นมาก ย้ายตั้งแต่ไปหาที่เรียนในที่อื่นๆนอกจากเมืองที่เกิด ย้ายเมื่อต้องไปหางานทำที่มีอนาคตและรายได้ที่ดีกว่า ดังนั้นเขาจึงต้องจากบ้านไปเมื่อจบมัธยมศึกษาบริบูรณ์ แล้วเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านบ้างเป็นครั้งคราวดังในช่วงวันคริสต์มาสและปีใหม่

ในสังคมของเมืองใหญ่ๆในประเทศกำลังพัฒนาก็มีแนวโน้มที่จะเป็นดังกล่าว

ผมพบเพื่อนที่เป็นข้าราชการผู้ใหญ่คู่หนึ่ง ในกรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อก่อนเกษียณเขาได้ลงทุนสร้างบ้านหลังใหญ่ มีหลายห้องนอน โดยคาดหวังว่าลูกๆจะได้มาอยู่ร่วมกัน แต่เขาก็สอนผมในปรากฏการณ์ใหม่ที่พบกันทั่วไป ให้เตรียมพร้อมสำหรับปรากฎการณ์ใหม่ที่เรียกว่า “รังที่ไร้นก” หรือ The Empty Nest คือ พ่อแม่นกสร้างรังไว้ใหญ่และแข็งแรง เอาไว้เลี้ยงลูกนก แต่เมื่อนกน้อยโตขึ้นปีกกล้าขาแข็ง ตามธรรมชาติ เขาก็โผบินไปมีคู่ของตัวเอง รังใหญ่นั้นก็จะว่างเปล่า จึงเรียกว่ารังที่ไร้นก บรรดาคนรุ่นใหม่ เมื่อเขาจะมีครอบครัว เขาก็อยากเป็นผู้ใหญ่ หากพอหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ เขาก็อยากสร้างบ้าน เช่าบ้าน หาบ้านอยู่ของเขาเองแบบพ่อแม่และลูกๆ นั่นคือในความหมายของบ้านและครอบครัวของเขา

ผมยอมรับสภาพดังกล่าว ขอเพียงว่าบรรดาลูกๆของเราให้เขามีความสามารถและรับผิดชอบ ที่จะดูแลลูกๆและสมาชิกครอบครัวของเขา ทำให้บ้านมีความอบอุ่น ช่วยกันทำมาหากิน มีความภูมิใจที่จะยืนบนขาของตัวเอง ทำให้สมาชิกในบ้านทุกคนมีความสุข เท่านี้คนเป็นพ่อแม่ก็ควรจะพอใจแล้ว ส่วนตัวผมก็เตรียมพร้อมที่จะดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด และนานที่สุด มีเวลายังแข็งแรงก็หาโอกาสท่องเที่ยว ขับรถเองบ้าง ไปด้วยรถ เครื่องบิน หรือเรือแล้วแต่จะมีโอกาส

แต่ไม่ว่าเราหรือลูกๆหลานๆ เมื่อเขาจะเลือกที่จะอยู่ที่ใดกับใคร จะอยู่ร่วมกับเรา อยู่ใกล้ๆเรา หรือต้องอยู่ห่างไกลออกไป อยากขอให้เขาระลึกเสมอว่า “A house is made of bricks and stone, but a home is made of love alone.” ~ บ้าน (A house) ด้านหนึ่ง สร้างด้วยอิฐและหิน แต่บ้าน (a home) ในอีกความหมายหนึ่ง ต้องสร้างด้วยรักเท่านั้น

ขอให้ทุกคนมีความสุขในชีวิตครอบครัวของท่านนะครับ

No comments:

Post a Comment