Wednesday, August 31, 2011

กฎข้อที่ 17 ทำให้คนตระหนกและกลัวความไม่แน่นอน

กฎข้อที่ 17 ทำให้คนตระหนกและกลัวความไม่แน่นอน

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail:
Pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก “กฎการใช้อำนาจ 48 ข้อThe 48 Laws of Power”, 1998 โดย Robert Greene and Joost Elffers.

Keywords: power48, Administration, การบริหาร, management, การจัดการ, power, อำนาจ

Keep Others in Suspended Terror: Cultivate an Air of Unpredictability
ทำให้คนตระหนกและกลัวความไม่แน่นอน

กฎข้อ 17 นี้ไม่อยากให้ใช้ หากต้องใช้ก็ต้องเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่ที่แน่ๆมีคนเป็นอันมากที่เขาใช้กฏข้อนี้ เมื่อเขาไม่สามารถใช้วิถีทางปกติในการต่อสู้ได้

ตามคำอธิบายของกฎข้อนี้ มนุษย์มีนิสัยที่ต้องการเห็นสิ่งที่เขาคาดเดาคนอื่นๆได้ การที่เราเป็นคนมีนิสัยคาดเดาได้ (Predictability) ทำอะไรเป็นกิจวัตรตลอดเวลา ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกควบคุมเราได้ ในทางกลับกัน หากเราเปลี่ยนเป็นคาดเดาไม่ได้ มีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยคงเส้นคงวากับวัตถุประสงค์ จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามสับสนทำนายไม่ถูก และเขาจะเหน็ดเหนื่อยกับการต้องพยายามอธิบายว่าเราเคลื่อนไหวอย่างไร กฎข้อนี้คือ “ทำให้คนตระหนกและกลัวความไม่แน่นอน

ตัวอย่างนี้เคยเกิดขึ้นแม้ในสังคมสหรัฐอเมริกา

เมื่อจะใช้ความกลัวให้เป็นประโยชน์ ก็ทำตนให้เป็นคนทำนายได้ยาก คู่ต่อสู้ไม่รู้ว่าจะทำจริงเมื่อใด หรือเมื่อใดเป็นของไม่จริง ในยุค ค.ศ. 1960s ที่ฝ่ายขวาที่เขาเรียกว่า Establishment เป็นคนรุ่นเก่าที่นิยมสงครามในสหรัฐ อเมริกาต้องเข้าเกี่ยวข้องทั้งสงครามเกาหลี และสงครามเวียตนาม คนหนุ่มถูกส่งไปรบ หญิงสาวต้องกลายเป็นหม้าย สงครามเวียตนามที่ถล่ำตัวเข้าไปดูเหมือนไม่มีทางออก แต่รัฐบาลและคนุร่นพ่อก็ต้องตระหนกและเป็นฝ่ายหวาดผวา กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ รุ่นลูกรุ่นหลานของเขาที่ใช้นโยบายการต่อต้านในทุกรูปแบบในประเทศ และปฏิเสธสิ่งที่คนรุ่นพ่อและแม่เคยเชื่อ

นักปฏิวัติในสังคมอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ Saul D. Alinsky ได้เสนอแนวคิดของเขาชื่อ Rules for Radicals: A Pragmatic Primer for Realistic Radicals ซึ่งเสนอแนะให้ฝ่ายต่อสู้ใช้วิธีการเผชิญหน้า (confrontation) ใช้วิธีการที่สร้างความตระหนกให้คนชั้นกลางทั่วไป แต่ก็สามารถเรียกร้องความสนใจ และในท้ายสุดคือการกลับมาสนใจในปัญหาสังคม สงคราม และความไม่เท่าเทียมกันของคนในประเทศ

ในยุคปัจจุบัน มีฝ่ายใช้ความรุนแรง เรียกร้องให้คนส่วนใหญ่ต้องหันมาให้ความสนใจต่อประเด็นที่เขาต้องการนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อด้านศาสนาอย่างรุนแรงและสุดโต่ง ดังพวกที่เรียกว่า Muslim Extremists การต่อสู้เพื่อแบ่งแยกชนชาติและประเทศ การเรียกร้องสิทธิของชนกลุ่มน้อย หรือความเชื่อด้านความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ อย่างสุดขั้ว

Y2K Panic

ภาพ Y2K Panic มีพวกนักคอมพิวเตอร์เป็นอันมากที่สร้างความตระหนกจนกระทั่งเกือบทำให้สังคมหยุดนิ่ง เครื่องบินไม่บิน รอให้ผ่านพ้นช่วงเปลี่ยนผ่านจากปีเริ่มต้นด้วย 19XX เป็น 20XX คือปีค.ศ. 2000

ในช่วงก่อนเปลี่ยนปี 2000 อันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่นักคิดคอมพิวเตอร์ไม่ได้เตรียมรองรับข้อมูลปีคริสตกาล ที่มีเลขนำหน้าว่า 19 XX ฐานข้อมูลเป็นอันมากจึงยึดถือเฉพาะ 2 เลขหลัง แต่เมื่อเปลี่ยนสู่ยุค 2000 จึงสร้างวิกฤติให้เกิดขึ้น เนื่องจากยุคนี้ได้เข้าสู่ยุคที่คอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันไปแล้ว

ภาพ Saul D. Alinsky

การข่มขู่ด้วยความรุนแรง Rules for Radicals: Apragmatic Primer for Realistic Radicals เป็นหนังสือที่เขียนโดย Saul D. Alinsky ก่อนที่เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1972 หนังสือของเขามีอิทธิพลต่อนักต่อสู้ที่ใช้ความรุนแรงในช่วงที่ทศวรรษ 1970 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบต่อต้านการส่งทหารไปรบในสงครามเวียตนามในหลายๆวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา

กัดดาฟี (Gaddafi)

ภาพ Muammar Muhammad al-Gaddafi แห่งลิเบีย

Muammar Muhammad al-Gaddafi อดีตผู้นำของลิเบีย (Libya) ซึ่งครองอำนาจตั้งแต่ค.ศ. 1969 ถึงปี ค.ศ. 2011 แน่นอนว่าเขาปกครองด้วยวิธีการเผด็จการ แต่สิ่งที่เขาใช้ร่วมด้วยคือ การใช้กำลังทหารหลายกลุ่มรวมทั้งทหารรับจ้าง ใช้ความรุนแรง และการทำให้คนไม่สามารถคาดการได้ว่าเขาคิดอะไร เขาจะเดินทางไปที่ไหน และเขาจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป เขาจึงครองอำนาจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง 42 ปี

ในปี ค.ศ. 1973 กัดดาฟีสร้างคณะกรรมการปฏิวัติ (Revolutionary committees) ขึ้นเพื่อควบคุมดูแลไม่ให้มีคนต่อต้านในประเทศ ชาวลิเบียร้อยละ 10-20 ทำงานเป็นสายสืบให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการนี้ การสอดแนมสืบข้อมูล และรายงานข้อมูลลับโดยตรงต่อคณะกรรมการ มีทั้งในระบบราชการ โรงงาน และระบบการศึกษา รัฐบาลเองมีทั้งแสดงการลงโทษฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยด้วยการแขวนคอประจานสาธารณะ การลงโทษแบบเหี้ยมโหด ทำร้ายร่างกาย (Mutilations) และนำเสนอผ่านสื่อโทรทัศน์ของรัฐ ในปี ค.ศ. 2011 สื่อในลิเบียจัดได้ว่ามีการเซนเซอร์มากที่สุดในตะวันออกกลางและในอัฟริกาเหนือ

การใช้ไฟดับไฟ

การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อมีการทำงานแบบผู้ร้ายคาดเดาไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันสามารถหาข่าวจากฝ่ายคนร้ายได้ว่ากำลังจะทำอะไร

ในเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปราบปรามผู้ร้าย หากใช้การตรวจตราแบบกำหนดเวลาเป็นกิจวัตร เช่นตรวจทุกวันเสาร์ เวลาตามเวลาราชการ คนร้ายหรือผู้ทำผิดกฎหมายก็สามารถคาดเดา และสามารถหลบหนีได้ ด้วยเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีประสิทธิผลมักจะมีวิธีการทำงานที่ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ วิธีการ และที่สำคัญคือทำในสิ่งที่คนร้ายคาดเดาไม่ได้ ซึ่งรวมไปถึงการมีสายสืบเข้าไปในกลุ่มผู้ร้ายด้วย เพื่อให้สามารถคาดเดากิจกรรมของฝ่ายอาชญากรว่ากำลังจะทำอะไรต่อไป

ในบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ เขาจะพบปัญหาจากไวรัสในคอมพิวเตอร์ การเจาะเข้าไปล้วงข้อมูลลับ ซึ่งเป็นการทำลายธุรกิจคอมพิวเตอร์ที่มีความเสียหายอย่างมาก แต่ฝ่ายบริษัทเหล่านี้เขาก็มีวิธีการที่จะต้องจ้างมือปราบผู้ร้ายในระบบ โดยต้องเฟ้นหา Hackers ที่มีความเฉลียวฉลาด เพื่อมาทำหน้าที่ปราบพวกอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ และในทุกวันพวกโปรแกรมเมอร์ นักต่อต้าน Hackers ทั้งหลายนี้ ก็จะต้องเข้าไปทดสอบเจาะระบบ แล้วรายงานให้กับบริษัททราบว่าโปรแกรมนั้นๆมีประตูโหว่ที่ไหนบ้าง และจะแก้ไขได้อย่างไร

สรุป

โลกเป็นโลกที่จะไม่มีความบริสุทธิ์ ไม่มีขาวหรือดำแท้ๆ และเมื่อโลกมีเชื้อโรค ก็ต้องมีการสร้างภูมิต้านทาน เหมือนที่ต้องมีการสร้างวัคซีนเพิ่มภูมิต้านทาน

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเองเห็นว่าวิธีการใช้ไฟดับไฟ แบบเกลือจิ้มเกลือ หรือตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดังกล่าวนี้ ต้องเป็นการใช้อย่างมีวัตถุประสงค์ ไม่ใช้อย่างพร่ำเพรื่อ

และทุกคนต้องตระหนักว่า ในที่สุดไม่มีผู้ใช้อำนาจเผด็จการใด หรือคนใช้ความรุนแรงใด จะนำมาซึ่งความสำเร็จและสันติสุขได้อย่างถาวรในระยะยาว แต่หากท่านจะต้องเป็นผู้นำ เป็นนักบริหารการเมืองการปกครอง ท่านคงต้องเรียนรู้และเข้าใจฝ่ายตรงข้ามที่เขาใช้วิธีการเหล่านี้ เพราะในทางการบริหาร ความซื่ออาจกลายเป็นความโง่เขลา การใจดีและยอมตาม อาจกลายเป็นส่งเสริมให้คนทำไม่ดีมากยิ่งขึ้น

สำหรับกฏข้อนี้ จึงอยากแนะนำให้นักบริหารและผู้นำทั้งหลาย ต้องเข้าใจเพื่ออ่านเกมส์ออก และหาทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ต้องรู้เท่าทันกาล ไม่ปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นและบานปลายไปจนยากที่จะแก้ไข

No comments:

Post a Comment