Wednesday, August 3, 2011

จงเป็นคนให้มากกว่ารับ

จงเป็นคนให้มากกว่ารับ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: proverbs, สุภาษิต, คำพังเพย, อุปมาอุปมัย

ในสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี John F. Kennedy เมื่อทำพิธีสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งผู้นำสูวสุดของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1961 เขาได้กล่าวว่า

And so, my fellow Americans, ask not what your country can do for you; ask what you can do for your country. ~John F. Kennedy

ชาวอเมริกันทั้งหลาย อย่าถามว่าประเทศของท่านทำอะไรให้ท่านได้บ้าง แต่ถามว่าแล้วท่านจะทำอะไรให้กับประเทศของท่านได้บ้าง ~ จอห์น เอฟ เคนเนดี้

ในทุกสังคมและประเทศ เราทุกคนมีสิทธิ (Rights) และหน้าที่ (Duties) ทั้งสองสิ่งนี้ต้องดำเนินไปด้วยกัน ในสังคมที่เจริญและเข้มแข็ง ประชากรเขาจะต้องดูแลสิทธิของทั้งตนเองและคนอื่นๆ ไม่ให้มีคนเอาเปรียบ ก้าวล้ำไปในสิทธิของผู้อื่น และขณะเดียวกัน ประชาชนทุกคนก็ต้องตระหนักในหน้าที่ ตั้งแต่หน้าที่ในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ หน้าที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ หน้าที่รับใช้ชาติในราชการทหาร และการทำหน้าที่ตามวิชาการวิชาชีพที่ได้เล่าเรียนมา ได้ฝึกปฏิบัติมาอย่างดีที่สุด

เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บุคลิกภาพของคนอเมริกันคือ แข็งแรง ทำงานหนัก อดทนมัธยัส กินอยู่ใช้จ่ายไม่ฟุ่มเฟือย มีงานหลายๆอย่างที่คนอเมริกันชั้นกลางทั้งหลายต้องทำเอง เช่นการทำกับข้าว อาหาร ตัดหญ้าในสนามหน้าบ้าน การซักรีดเสื้อผ้าเอง ขับรถเอง แต่ขณะเดียวกัน สำหรับลูกหลาน เขาก็ฝึกให้ต้องทำงานช่วยเหลือตัวเองให้ได้ในระดับหนึ่ง เช่นงานส่งหนังสือพิมพ์ งานรับจ้างล้างรถ หรือทำงานในร้านอาหาร

แต่ขณะเดียวกัน คนอเมริกันแต่ละคนเขาทำงานโดยได้รับค่าตอบแทนที่สูงเพียงพอในการดำรงชีพ ในสมัยก่อน เด็กอเมริกันสามารถหาเงินเพื่อซื้อรถยนต์ใช้เองได้ เพราะรถยนต์ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับรายได้ที่หาได้

บุคลิกภาพอีกประการหนึ่งของคนอเมริกันในยุคก่อน คือความซื่อสัตย์ ผู้เขียนจำได้ว่าในตู้หนังสือพิมพ์แบบหยอดเหรียญ เขาหยอดเหรียญไปเพื่อซื้อหนังสือพิมพ์ 1 ฉบับ เขาก็หยิบหนังสือพิมพ์นั้นขึ้นมาเพียงหนึ่งฉบับ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะหยิบมาเกินแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์

อีกหน้าที่หนึ่งที่สำคัญมากสำหรับชายชาวอเมริกันที่ยึดถือมาตลอด คือการรับใช้ชาติในหน้าที่ทหาร เขามีทั้งระบบทหารเกณฑ์ และทหารที่อาสาไปทำหน้าที่ทหารในสงครามต่างๆ อเมริกามักจะมีเรื่องที่ต้องไปรบไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นสงครามเล็กหรือสงครามใหญ่ดังสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 การไปรบเริ่มตั้งแต่สงครามประกาศอิสรภาพ จนสงครามโลกทั้งสองครั้ง และสงครามเวียตนาม คนของเขาต้องไปรบตามหน้าที่ หลายคนต้องเสียชีวิตไปในการรบนั้น แต่หน้าที่ของทหารคือการไม่เกี่ยงที่จะต้องไปทำหน้าที่เสี่ยงตายเพื่อชาติ และเมื่อต้องเสียชีวิตไป ครอบครัวก็ต้องทำใจ แม้จะเศร้าโศกเสียใจ แต่ก็ภูมิใจไปกับลูกหลานที่ได้ทำงานรับใช้ชาติ

แต่มาถึงในยุคปัจจุบัน ค่านิยมของคนอเมริกันเปลี่ยนไปมาก จากที่เคยขยันขันแข็ง บึกบึน ก็กลายเป็นไม่เข้มแข็ง คนอเมริกันร้อยละ 30-40 กลายเป็นโรคอ้วน การเรียนหนังสือก็ไม่เข้มแข็ง เมื่อเปรียบเทียบกับชาติที่เติบโตใหม่อย่างเกาหลี จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และทำให้สูญเสียความเข้มแข็งในการแข่งขันไป ผลก็คือสังคมอเมริกันโดยรวมได้สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันไปในหลายๆเรื่อง ความสามารถในทางร่างกายลดลง ทางวิชาการลดลง และขีดความสามารถที่ลดลงนี้ เป็นผลไปยังระบบเศรษฐกิจของอเมริกันต้องเสื่อมถอย จากชาติที่มีเงินเก็บสะสมมีพลังทางเศรษฐกิจ กลายเป็นชาติที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว

หากอเมริกาจะกลับมารุ่งเรืองได้ใหม่ อเมริกันต้องกลับมาสู่วินัยใหม่ คือวินัยการเรียน และศึกษาหาความรู้ ที่ต้องจริงจังและเข้มแข็งขึ้น วินัยในการทำมาหากิน ทุกคนต้องมีความเข้มแข็งทางแรงงาน เพราะหากมีทัศนคติอยากได้เงินเดือนสูงๆ แต่ทำงานน้อยๆ ดังนี้ก็จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ในทางกลับกัน คนอเมริกันต้องหันมาสู่ท้ศนคติใหม่ คือต้องเป็น “ผู้ทำงานให้ มากกว่าที่จะเป็นฝ่ายรับ” หากอายุมากขึ้น อเมริกันก็ต้องหันมาคิดว่าจะใช้เวลาช่วงเกษียณอายุแล้วอย่างไร ส่วนหนึ่งที่ทำได้คือการอาสาสมัครทำงานที่เป็นประโยชน์ โดยไม่ถือว่าต้องมีรายได้อะไรมากมาย

หากเราต้องการให้สังคมมีความเข้มแข็ง เราทุกคนต้องมีทัศคติ “จงเป็นคนให้มากกว่ารับ” ทุกคนต้องมีงานทำ ไม่เกี่ยงงาน และเมื่อมีเวลาว่างยามเมื่อเกษียณอายุแล้ว ก็ต้องพร้อมที่จะช่วยงานเป็นอาสาสมัคร ทำงานที่มีคุณค่าแก่สังคม โดยไม่ต้องเกี่ยงเรื่องค่าตอบแทน เพราะนั่นคือทางรอดของสังคม ไม่ว่าจะเป็นอเมริกัน หรือจะเป็นในสังคมไทย

No comments:

Post a Comment