Tuesday, December 28, 2010

ความริษยากัดกินหัวใจตนเอง

ความริษยากัดกินหัวใจตนเอง

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: cw022, proverb, สุภาษิต,

มีสุภาษิตเยอรมันบทหนึ่งกล่าวว่า "Envy eats nothing but its own heart."

แปลเป็นไทยได้ว่า ความริษยามีแต่จะกัดกินหัวใจตนเอง

คนๆหนึ่งที่มีความริษยาต่อคนอีกคนหนึ่งนั้นสามารถทำลายตนเองลงได้ เพราะคนขี้อิจฉาริษยานั้น เขาไม่ได้ชื่นชมกับสิ่งที่ตนเองเป็นหรือมีอยู่ ความริษยาจึงมีแต่จะทำให้เสียศักดิ์ศรีแห่งตน มองตนเองแต่เป็นเพียงที่สองรองจากคนอื่นๆ ซึ่งทัศนคติดังนี้ไม่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับใครๆ

ยกตัวอย่าง คนที่ร่ำรวยอยู่แล้ว มีฐานะเหลือกินเหลือใช้ แต่กลับไปมองคนที่เขามีฐานะดียิ่งกว่า แล้วเกิดความอิจฉาริษยา เฝ้าแต่มองคนที่เขาดีกว่าอย่างกระแนะกระแหน หรือนินทาว่าร้ายคนอื่นๆเขา คนดังนี้จะไม่มีความสุข ทั้งๆที่ควรจะมีความสุขได้อย่างมากมาย หากรู้จักมีทัศนคติที่ดี

ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่มีความริษยา มีความเชื่อมั่นและมีศักดิศรีในตนเอง มองคนอย่างเป็นมิตร เห็นใครเขาได้ดี ก็ดีใจด้วย เห็นใครเขาทุกข์ยาก ก็มีความห่วงใยหาทางช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ และทำอย่างจริงใจ คนในลักษณะหลังนี้ จะมีแต่ความสุขที่ยั่งยืน ไม่มีศัตรู มีแต่มิตรที่เมื่อเขารู้ลักษณะจิตใจ เข้าใจในความเป็นคนดีมีความน่าคบหา ผู้คนเขาก็จะมองกลับมาในแง่ดี อยากมาคบค้าสมาคมด้วย เมื่อเห็นใครเขาทุกข์ยาก แล้วพอที่จะช่วยเหลือได้ ก็ให้ความช่วยเหลืออนุเคราะห์ โดยไม่ได้เกี่ยงงอน ดังนี้เมื่อเป็นที่ประจักษ์ ก็จะได้รับความชื่นชมจากผู้คน ครั้นจะทำการงานใดๆ ก็จะมีคนสนับสนุน และมีน้อยคนที่จะขัดขวาง

Wednesday, December 22, 2010

ผู้นำต้องมองโลกในแง่บวก

ผู้นำต้องมองโลกในแง่บวก

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียง

Keywords: cw022, สุภาษิต, proverb, optimism, positive thinking, ความเป็นผู้นำ, Leadership

คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง และการมองโลกในแง่บวก แต่การจะมองโลกในแง่บวกหรือแง่ดีนั้น ล้วนแต่มีที่มาที่ไป

มีสุภาษิตชาวสวีเดน ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Fear less, hope more; Eat less, chew more; Whine less, breathe more; Talk less, say more; Love more, and all good things will be yours” - Swedish Proverb

ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า

กลัวให้น้อยลง มีความหวังให้มากขึ้น; กินให้น้อยลง เคี้ยวให้นานขึ้น; สะอื้นให้น้อยลง หายใจให้ยาวมากขึ้น; พูดให้น้อยลง แต่สื่อสารให้มากขึ้น; ให้ความรักแก่สิ่งต่างๆให้มากขึ้น แล้วสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นกับท่าน สุภาษิตชาวสวีเดน

คำว่า Whine คือการหายใจที่มีลักษณะสะอึกสะอื้น อาจจะด้วยความตื่นเต้น กำลังร้องไห้ การหายใจในลักษณะนี้ก็จะทำให้ได้ลมเข้าไม่เต็มปอด ร่างกายก็จะไม่ตื่นตัวที่จะคิดได้อย่างมีสติและปัญญาที่ดี คนจะมีสุขภาพดี ก็ต้องฝึกออกกำลังกายที่ทำต่อเนื่อง แล้วขณะเดียวกันฝึกการให้ใจทีทำให้ปอดทำงานในการใช้อากาศได้เต็มที่

คำว่า Talk เป็นลักษณะของการพูดที่อาจจะพูดไปเรื่อยๆ ดังคนที่พูดมากน่ารำคาญ Talkative คือพูดไปเรื่อยๆเหมือนนกแก้วนกขุนทอง เขาเรียกว่า แต่คำว่า say มีความหมายว่าพูดเหมือนกัน แต่ลึกซึ่งกว่า คือต้องการพูดเพื่อสื่อสารสาระอะไรบางอย่าง

พจนานุกรมฉบับ Oxford English Dictionary ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า optimism เป็นความหวังและความมั่นใจว่าอนาคตจะสดใส จะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับบางสิ่งบางอย่าง เป็นแนวโน้มที่บุคคลจะมีทัศนะที่มองโลกหรือสรรพสิ่งไปในทางที่ดี

คำว่า Optimism มาจากภาษาลาตินว่า optimum ซึ่งมีความหมายว่า ดีที่สุด หรือ best ซึ่งยังต่างกับความว่า Optimal thinking หรือคิดอย่างหวังผลสูงสุด หรือ ดีดลูกคิดรางแก้ว ซึ่งแม้ในทางธุรกิจ เมื่อเขาคิดไปในทางได้ประโยชน์สูงสุดแล้ว เขาจะให้คิดไปในทางตรงกันข้าม หรือได้ผลต่ำสุด แล้วจึงหาค่าความเป็นไปได้ระหว่างสองจุดนั้น

คำว่า Optimism จึงหมายถึงการตระหนักในสภาพธรรมชาติที่เป็นไป แต่ก็มองมันในแง่ที่ดี แต่ไม่ใช่อย่างหลับหูหลับตา แต่มองอย่างเห็นว่าแม้มีปัญหา แต่ปัญหาเหล่านั้นก็แก้ไขได้ โดยที่เรา หรือมนุษย์จะต้องใช้ความคิด สติปัญญา และลงแรงเพื่อทำให้เกิดการปรับเปลี่ยน คนมองโลกในแง่ดี คือคนที่ต้องเข้าใจในความเป็นจริงในสภาวะแวดล้อม แล้วมีจุดมุ่งหมาย มีความหวังว่าจะมีช่องทางในการทำให้เกิดสิ่งดีๆ แต่ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็ด้วยตัวเอง และมนุษย์ทั้งหลายมีส่วนร่วมทำให้สิ่งดีๆได้เกิดขึ้น

คนมองโลกในแง่ดี มองโลกในทางบวก มักจะได้แก่คนที่มีพันธุกรรมมาในลักษณะหนึ่ง แม้จะมีผลไม่มาก แต่ส่วนใหญ่เป็นผลจากสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู (environmental factors) ตัวอย่างเช่น คนที่ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่พ่อแม่ผู้ปกครองทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา หรืออยู่ท่ามกลางความยากจนอย่างสาหัส ช่วยตนเองไม่ได้เลย ดังนี้จะให้เด็กๆ เกิดมาอย่างมองโลกในแง่ดี ก็จะเป็นไปได้ยาก และนอกนั้นยังเกี่ยวกับลักษณะของความฉลาดเฉลียว (intelligence) และสภาพอารมณ์บุคลิกภาพของคน (temperament) ลักษณะการมองโลกในแง่ดียังเกี่ยวกับสุขภาพ คนที่มีสุขภาพดี ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ออกกำลังอยู่เสมอ ย่อมมีส่วนที่จะมองโลกในแง่ดีได้มากกว่าคนที่เจ็บป่วย หรือใกล้เสียชีวิต และแน่นอนว่าหากคนเราเจ็บป่วยตลอดเวลา แม้มีจิตใจที่ดีเป็นพื้นฐาน แต่ก็จะบั่นทอนความสามารถที่จะนึกคิดไปในทางที่ดี คิดอะไรไม่ออก อย่างที่มีสุภาษิตว่า สุขภาพจิตที่ดีอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง

สำหรับท่านที่จะทำงานเป็นผู้บริหาร เป็นหัวหน้าคน ท่านจะต้องมีคุณลักษณะนี้ และต้องมองโลกในแง่บวก มองเห็นสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้น และคนเขาก็คาดหวังให้ท่านต้องมีลักษณะดังกล่าว เมื่อมีการคัดเลือกผู้บริหารในระดับสูง เขาจึงต้องให้มีการนำเสนอวิสัยทัศน์ (Visions) ของนักบริหารว่า เมื่อรับตำแหน่งแล้วคาดว่าจะมาทำอะไร คิดว่ามีโอกาสในการพัฒนาองค์การหรือระบบงานนั้นๆไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่า เขาต้องการให้ท่านมองเห็นสิ่งดีๆที่มีอยู่ในที่นั้นๆ มองเห็นศักยภาพที่มีอยู่ เข้าใจสภาพปัญหาที่มี และมีความมั่นใจว่า เมื่อท่านมาทำหน้าที่นั้น ท่านจะสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดียิ่งกว่าได้ และนอกจากนี้ สิ่งที่ท่านคิด พูด และสิ่งที่เชื่อและจะทำนั้น จะต้องอยู่ในแนวและทิศทางเดียวกัน

เหล่านี้ คือลักษณะของคนคิดในแง่บวก มองโลกในแง่ดี และคนที่จะมีพลังในการเปลี่ยนแปลง อยู่ที่ไหน ทำงานอย่างไร ก็จะเป็นที่ต้องการของผู้คนรอบข้าง

Monday, December 20, 2010

สังคมนิยมยังไม่สูญหายไปไหน

สังคมนิยมยังไม่สูญหายไปไหน

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: society, สังคม, การเมือง, เศรษฐกิจ

ลิโอ ตอยสตอย (Leo Tolstoy) นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย ได้กล่าวเกี่ยวกับความสุขว่า “Joy can be real only if people look upon their life as a service, and have a definite object in life outside themselves and their personal happiness.”

แปลเป็นไทยได้ว่า ความรื่นเริงจะเป็นจริงได้ เมื่อประชาชนได้มองชีวิตของตนเพื่อการรับใช้ และมีวัตถุประสงค์ชีวิตที่นอกเหนือจากตนและความสุขส่วนตน

การให้ความสุขในยุคของลิโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) ในช่วง 1-2 ศตวรรษที่ผ่านมา มีลักษณะเฉพาะที่คนยุคปัจจุบันยากที่จะเข้าใจ เพราะเป็นช่วงที่รัสเซียประสบความยากลำบากทั้งจากสงคราม การต่อสู้ทางการเมือง และภัยธรรมชาติ ตอลสตอยเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีงานเขียนอมตะเรื่อง สงครามและสันติภาพ (War and Peace) เขาเกิดในปีค.ศ. 1828 และมีชีวิตจนถึงช่วงปีค.ศ. 1910 นับเป็นช่วงที่รัสเซียภายใต้กษัตริย์ใกล้ล่มสลายแล้ว และก้าวสู่ความเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ในระยะต่อมา

ส่วนอีกท่านหนึ่งเป็นสตรีในวงศ์สกุลสูง และเป็นภริยาของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คือ อิลิเนอร์ รูสเวลท์ (Eleanor Roosevelt)ได้กล่าวว่า “Since you get more joy out of giving joy to others, you should put a good deal of thought into the happiness that you are able to give.”

แปลเป็นไทยว่า เมื่อท่านมีความรื่นเริงจากการได้ให้ความสุขแก่คนอื่นๆ ท่านก็จะต้องคิดอย่างดีว่า แล้วความสุขแบบไหนที่เราจะสามารถให้แก่คนอื่นๆได้

หลักของการให้ความสุขแก่คนนั้น คือให้ในสิ่งที่เขาอยาก (Desire) นั้นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งคือให้ในสิ่งที่เขาต้องการ (Needs) ในช่วงแห่งความอดอยาก การให้อาหารย่อมเป็นความจำเป็น ยามคนหนาว เครื่องนุ่งห่มและบ้านอันอบอุ่นย่อมเป็นความจำเป็น ยามเขาเจ็บป่วย การให้ที่สำคัญคือการให้ได้ทีการดูแลรักษาอันควร ไม่ว่าเขาจะยากดีมีจน แต่เมื่อเจ็บป่วย สังคมอารยะต้องมีที่พึ่งให้แก่ผู้คน แต่ที่เหนือกว่าสิ่งเหล่านี้ สำหรับนักการเมืองที่จะเป็นรัฐบุรุษ คือ การให้ศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์แก่เขา ให้เขามีงานที่จะหาเงินอย่างสุจริตเพื่อเลี้ยงครอบครัวของเขาได้เองนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

อิลิเนอร์ รูสเวลท์ (Eleanor Roosevelt) ภริยาของประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดิลาโน รูสเวลท์ (Franklin Delano Roosevelt) ผู้รับตำแหน่งในช่วงปี ค.ศ. 1933 หลัววิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นต้นมา ซึ่งผู้คนในระดับรากหญ้าต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจ หากเป็นคนงานในเมืองก็ตกงาน หากเป็นชาวนาก็ไม่สามารถขายพืชผลได้

ในยุคสองศตวรรษที่ผ่านมา โลกตะวันตกได้เคลื่อนไปสู่ความเป็นสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ คนเมื่อมีฐานะ ก็ต้องรู้จักที่จะให้แก่คนอื่นๆ มิฉะนั้นสังคมก็อยู่ไม่ได้ ในศตวรรษที่ 20 ตะวันตกต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจหลังวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1929 โดยเริ่มต้นที่ในสหรัฐ และอีกครั้งหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ในปี ค.ศ. 1985, Mikhail Gorbachev ได้เป็นผู้นำของสหภาพโซเวียตรัสเซีย และได้เริ่มคลายอำนาจแบบเผด็จการของประเทศ เปลี่ยนสู่นโยบายเปิด glasnost (openness) และการปรับโครงสร้างสังคมใหม่ หรือ perestroika (restructuring) ในช่วงดังกล่าวโซเวียตไม่ได้แทรกแซงเมื่อ Poland, East Germany, Czechoslovakia, Bulgaria, Romania, และ Hungary ได้ละเลิกระบบคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1990 และในปี ค.ศ. 1992 ประเทศสหภาพโซเวียตเองก็ต้องล่มสลายตามไปด้วย

ในช่วงหมดยุคสงครามเย็น สหภาพโซเวียตรัสเซียล่มสลายเริ่มตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1989 เป็นการพิสูจน์ว่าแนวทางเผด็จการคอมมิวนิสต์ในแบบที่ชนชั้นกรรมกรและชาวนายึดครองอำนาจ และเปลี่ยนสังคมเป็นเผด็จการแห่งชนชั้นนั้น ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในช่วงเวลายาวนาน ท้ายที่สุดก็ต้องล่มสลาย ในเยอรมันตะวันออกได้มีการลุกฮือทำลายกำแพงเบอร์ลินที่ขวางกั้นคนสองประเทศได้ถูกทำลายลง ไม่ใช่เพราะความอดอยาก แต่เพราะคนเยอรมันตะวันออกต้องการเสรีภาพ ต้องการสิทธิในการปกครองตนเอง และหลุดพ้นจากระบอบคอมมิวนิสต์และเผด็จการทางชนชั้น

คอมมิวนิสต์ล่มสลาย แต่ความเป็นสังคมนิยมล่มสลายไปด้วยหรือ

ประเทศจีนในสมัยเติ้ง เสี่ยวผิงได้มีการปฏิรูปสังคมจีนใหม่ สู่ยุค แมวดำหรือแมวขาวไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ นั่นคือ การไม่ติดยึดกับอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ผู้นำเติ้งไม่ต้องการใช้แนวคิดสุดขั้ว แต่ใช้การเปิดรับทุนนิยมและตลาดเสรีมากขึ้น ยอมรับในความแตกต่างของคนได้มากขึ้น แม้จะยังไม่ได้ปล่อยหรือผ่อนปรนในด้านการเมือง ในปัจจุบันประเทศจีนได้พัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวหน้ารวดเร็ว จีนในปัจจุบันมีคนชั้นกลางที่มั่งคั่งไม่น้อยกว่า 300 ล้านคน แม้ว่าคนทั้งประเทศยังอยู่ในสถานะยากจน แต่ก็กินดีอยู่ดีกว่าในสมัยก่อนอย่างมาก

จีนแม้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ แต่ในทางปฏิบัติจริงไม่ได้เหลือแนวทางของ Karl Marx เจ้าทฤษฎีไว้ให้เห็นมากนัก แม้จะเรียกว่าเป็นประเทศทุนนิยมก็คงไม่สนิทปากนัก

จึงอาจกล่าวได้ว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบอุดมการณ์ได้เสื่อมถอยไปในเกือบจะทุกจุดของโลก ในอเมริกาใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เสื่อมถอยไปเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นชิลี โคลัมเบีย และอื่นๆในอเมริกาใต้

คอมมิวนิสต์เสื่อมถอย แต่ยังคงมีประเทศอย่างเกาหลีเหนือ และคิวบา ที่ยังคงความเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ แต่จากแนวโน้มแล้ว สภาพความโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจ คงจะทำให้คงระบบเดิมเอาไว้ไม่ได้นานนัก

เผด็จการคอมมิวนิสต์กำลังตายจากไป แต่ไม่ใช่สังคมนิยม (Socialism) จะเสื่อมถอยไปเสียทั้งหมด ดังจะเห็นได้ว่าในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา หลายประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มสแกนดิเนเวียและยุโรปตะวันตก มีลักษณะการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยในทางการเมือง แต่ในทางเศรษฐกิจก็มีส่วนของความเป็นสังคมนิยม หรือจะเรียกว่าระบบรัฐสวัสดิการ (Social Welfare States) คือนอกจากจะให้สิทธิเสรีภาพทางการแสดงออกแก่ประชาชนแล้ว ยังยึดหลักประชาธิปไตยสังคมนิยม ที่ให้หลักประกันแก่คนทางด้านการศึกษา สาธารณสุข และการมีงานทำ

แม้ในระยะหลังจะเกิดปัญหาค่าใช้จ่ายด้านรัฐสวัสดิการจะหนักหนา จนกระทั่งต้องมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างเพื่อให้สังคมประเทศสามารถยืนอยู่ได้อย่างมีวินัยทางการเงินการคลังมากขึ้น แต่โดยรวมแล้วหลักของสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐานนั้นยังคงอยุ่

ความเป็นสังคมนิยมมิได้หมดไป จิตวิญญาณของความเป็นสังคมนิยมนั้นเป็นสิ่งที่ดี ความเอื้อเฟื้อแก่กันจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ล้าสมัย แท้ที่จริง หากสังคมใดให้การศึกษาแก่คนให้กระทำตนประพฤติปฏิบัติอย่างไม่เห็นแก่ตน มีแรงงานมีความคิดก็ทำประโยชน์ให้แก่สังคมเป็นหลัก กินอยู่ใช้จ่ายเองอย่างประหยัด ดังนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และจริงๆแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นในตะวันตกปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เพราะเป็นสังคมนิยม แต่เป็นเพราะคนหรือประชาชนของเขา เริ่มที่จะคิดต้องการประโยชน์จากสังคมและสวัสดิการ มากกว่าที่จะอุทิศตนให้กับสวัสดิการของสังคมส่วนใหญ่ คืออยากทำน้อย แต่อยากได้ประโยชน์เพื่อส่วนตนมากๆ และนั่นคือจุดอ่อนของการศึกษาและค่านิยมในระยะหลังด้วย และอันที่จริง หากสังคมใดที่มีแต่คน อยากได้มากกว่าอยากให้ เห็นแก่ตัว มากกว่าที่จะเอื้อเฟื้อให้กับคนอื่นๆ ที่นั้นๆก็จะเป็นสังคมที่ล่มสลายได้ทั้งสิ้น แต่ในทางตรงกันข้าม สังคมใดที่มีคนมีความเสียสละ มองเห็นประโยชน์ของส่วนรวมเป็นใหญ่ พร้อมเสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อทำให้สังคมประเทศส่วนใหญ่ได้มีความมั่งคั่ง มั่นคง ดังนี้ ประเทศนั้นย่อมมีความแข็งแกร่งไม่ล่มสลาย

คนเรามีสิทธิรักตนเอง และควรจะรักตนเองเสียก่อน ก่อนที่จะไปทำประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ ความรักตนเอง รักครอบครัว ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่จะทำให้เราไม่รักในสังคม เพราะความรักในลักษณะดังกล่าวสามารถดำเนินควบคู่กันไปได้

ในศตวรรษที่ 21 นี้ ระบบเศรษฐกิจและสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป โลกมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีค่านิยมใหม่ที่จะต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคล และรวมไปถึงการมีทรัพย์สินส่วนบุคคล ให้ความสำคัญแก่สิทธิในการคิดและการแสดงออกของคน การอดทนที่จะรับฟังและยอมรับความคิดที่แตกต่าง แต่ในอีกด้านหนึ่ง สังคมยุคใหม่ก็ต้องการพลังความคิดและแรงงานจากแต่ละคน ที่จะสร้างสังคมใหญ่ ให้มีความกินดีอยู่ดี มีสวัสดิการด้านต่างๆอันควร ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพ การมีบริการสาธารณสุข การมีที่พักอาศัยในราคาไม่แพง และการมีงานทำ และสิ่งเหล่านี้ต้องการคนที่รู้จักให้ นอกเหนือไปจากสิ่งที่ได้รับจากสังคม

มองในอีกด้านหนึ่ง การสั่งสอนให้คนรุ่นใหม่มีจิตบริการ คิดอย่างเห็นอกเขาอกเรา รับผิดชอบในงานและหน้าที่อย่างทุมเท และมีจิตใจเพื่อการเสียสละแก่สังคมบ้างนั้น จะเป็นการดีต่อสังคมโดยรวม ไม่ว่าสังคมนั้นจะได้ชื่อว่าปกครองด้วยระบอบอะไร

Sunday, December 19, 2010

คริสปินสัมภาษณ์นายกฯอภิสิทธิ - ทางเลือกการเป็นนักประชาธิปไตย และเผด็จการที่ลังเล

คริสปินสัมภาษณ์นายกฯอภิสิทธิ - ทางเลือกการเป็นนักประชาธิปไตย และเผด็จการที่ลังเล จาก "Crispin interviews Abhisit : Tentative democrat, reluctant autocrat"

ชอน คริสปิน (Shawn Crispin) เป็นผู้สื่อข่าวของ Asia Times (ATol) ในการสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีของไทย นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ใน Bangkok Pundit วันที่ 20 ธันวาคม 2010 เวลา 8:00AM UTC

ประกอบ คุปรัตน์ การได้อ่านบทความของสื่อต่างประเทศที่เกี่ยวกับประเทศไทยเป็นระยะนั้น นับเป็นความจำเป็นของคนไทยยุคใหม่ ที่เราต้องได้เข้าใจคนภายนอกที่เขาสนใจเกี่ยวกับประเทศไทย

ผมได้แปลบางส่วนที่เกี่ยวกับคนเสื้อแดงกับสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้ดังนี้

ATol: ท่านเชื่อหรือไม่ว่ามีความพยายามที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์

นายกฯอภิสิทธิ: คงมีบางส่วน ผมไม่อาจกล่าวได้ว่านั่นเป็นเสียงส่วนใหญ่ของนปช. และผมมั่นใจว่าคนจำนวนมากที่เข้าร่วมกับนปช.ไม่ได้เห็นด้วยกับแนวทางล้มสถาบันฯนี้

เก็บความและแปลเป็นไทยโดย

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

นางลอร่า บุชได้คุยกับอองซาน ซูจีทางโทรศัพท์

นางลอร่า บุชได้คุยกับอองซาน ซูจีทางโทรศัพท์

Saturday, December 18, 2010

ข่าวจาก Associated Press ณ เมืองดัลลัส, สหรัฐอเมริกา - อดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง ลอร่า บุช (Laura Bush) ผู้รณรงค์อย่างแข็งขันให้มีการเลือกตั้งเสรีในพม่า ได้มีโอกาสพูดกับนางอองซาน ซูจี ผู้นำเพื่อประชาธิปไตยในพม่า ซึ่งได้ถูกกักบริเวณให้อยู่เพียงในบ้านพักมานานกว่า 7 ปี

นางบุชได้กล่าวกับผู้สื่อข่าว Associated Press ว่า "รู้สึกยินดียิ่งที่ในที่สุดได้มีโอกาสพูดคุยกับนางอองซาน ซูจีทางโทรศัพท์" และ "รู้สึกมีความสุขมากที่ได้ยินเสียงของอองซาน ซูจีที่ยังแข็งแรง และแข็งขัน" นางบุชกล่าว

แปลและเรียบเรียงโดย
ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ประธานาธิบดีคาสโตรเตือนการปฏิวัติคิวบาจะประสบวิกฤติ

ประธานาธิบดีคาสโตรเตือนการปฏิวัติคิวบาจะประสบวิกฤติ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

เก็บข่าวจากBBC News เรื่อง “President Raul Castro warned, "Cuba revolution is at stake if economic reforms are not adopted.”

คิวบาจัดเป็นประเทศจำนวนน้อยมากที่ยังมีการปกครองในแบบคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย และคิวบาต้องยืนได้ตามลำพัง โดยไม่สามาราถพึ่งพาประเทศลูกพี่ได้เหมือนเดิม เมื่อเร็วๆนี้ คิวบาได้ประกาศดังต่อไปนี้

แนวโน้มคิวบาแก้วิกฤติ โดยลดคนทำงานภาครัฐ ลดค่าใช้จ่ายสวัสดิการ และกระตุ้นให้เกิดธุรกิจขนาดย่อย

คิวบาจะตัดคนทำงานภาครัฐ 1 ล้านตำแหน่งหรือร้อยละ 20 ของคนทำงานภาครัฐ 5.1 ล้านคน เริ่มในมีนาคม 2011

บทเรียนเศรษฐศาสตร์การเมืองของคิวบาอย่างสั้นๆ

ในทางการเมืองคิวบามีฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro) ที่นำประเทศปฏิวัติ และครองอำนาจอย่างต่อเนื่องอยู่ถึง 50 ปี และในปีค.ศ. 2008 ได้มีการถ่ายโอนอำนาจสู่น้องชาย คือ Raul Castro ซึ่งได้ครองอำนาจในปีค.ศ. 2008 แต่ยังยึดแนวทางสังคมนิยมในการบริหารการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ

ในทางเศรษฐกิจ สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายไม่ค้าขาย หรือที่เรียกว่า Embargo กับคิวบา เริ่มตั้งแต่ปีค.ศ. 1961 และหลังจากนั้นโซเวียตได้กลายเป็นประเทศคู่ค้าสนับสนุนให้คิวบายังดำรงสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่ได้ตลอดมา แต่เมื่อสหภาพโซเวียต (USSR) ล่มสลายในราวปีค.ศ. 1989 เงินช่วยเหลือจากโซเวียตหมดไป คิวบาจึงต้องหาทางออกด้วยการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยมีหลายแนวทาง

ในขณะเดียวกัน ทางการเมือง นานาชาติ สหรัฐ กลุ่มสหภาพยุโรปได้กดดันให้คิวบาเปลี่ยนไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ในปัจจุบันคิวบาได้รับการวิพากษ์มากในด้านสิทธิมนุษยชน ส่วนพันธมิตรอย่างเหนียวแน่นของคิวบาคือเวเนซูเอล่า (Venezuela) ภายใต้การนำของ Hugo Chavez

ความจำเป็นในการปฏิรูปเศรษฐกิจดูได้จากความเคลื่อนไหวดังนี้

- เมษายน ค.ศ. 2010 คิวบาได้เปลี่ยนสถานะของร้านตัดผมทำผมหลายร้อยร้าน ซึ่งดำเนินการโดยรัฐ ให้กลายเป็นสถานเสริมความงาม ดำเนินการโดยลูกจ้างเอง

- สิงหาคม 2010 ประธานาธิบดี Raul Castro ได้กล่าวว่า บทบาทของรัฐจะต้องลดลงในหลายๆส่วน โดยคนทำงานที่อยู่ในภาครัฐเดิม จะได้รับอนุญาตที่จะจัดตั้งหน่วยธุรกิจของตนเอง

- กันยายน 2010 คิวบาได้ประกาศแผนขั้นเฉียบขาดที่จะต้องปลดคนงานจำนวนมากจากหน่วยงานที่รัฐเคยเป็นเจ้าของ ทั้งนี้เพื่อฟื้นฟูก่อนที่เศรษฐกิจจะวินาศไปมากกว่านี้

Saturday, December 18, 2010

การดำรงอยู่อย่างร่วมทุกข์และร่วมสุข

การดำรงอยู่อย่างร่วมทุกข์และร่วมสุข

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

มีสุภาษิตเยอรมันบทหนึ่งกล่าวว่า "Geteiltes Leid ist halbes Leid." ในภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า "Trouble shared is trouble halved--joy shared is joy doubled."

แปลเป็นไทยได้ความว่า "ความทุกข์ที่แบ่งปัน คือรับทุกข์คนละครึ่ง ความสุขที่แบ่งปันได้คนละ 2 เท่า"

เป็นข้อแนะนำว่า เมื่อเรามีทุกข์ เรารับไว้คนเดียวได้ ก็จงรับไป ไม่ต้องให้คนอื่นเขามาทุกข์ด้วย แต่หากจะต้องเล่าให้คนอื่นรับรู้ เพราะทนไม่ไหวแล้วนั้น ก็ให้ทำเถิด เพราะการที่มีคนมาแบ่งปัน รับความเศร้าที่ยากจะทานทนนั้น ยังทำให้เราพอบรรเทาทุกข์ไปได้บ้าง หรือหากเรามีปัญหาและแก้ปัญหานั้นๆไม่ได้ด้วยตนเอง ก็จงแสวงหาความช่วยเหลือเถิด ดีกว่าอยู่เฉยๆแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ หรือกระทำการตัดสินใจอย่างคิดสั้น กระทำไปตามลำพัง

ดังเช่น เมื่อเรามีทุกข์แล้วนำความทุกข์ไปปรึกษากับภรรยา แม้เขาจะไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด แต่บางครั้ง การได้ระบายทุกข์บ้าง ก็เป็นการลดแรงกดดันลงไป และแม้เขาจะต้องร่วมทุกข์ไปกับเรา ก็กระทำเถิด ดีกว่าเก็บกดไว้คนเดียว กลายเป็นทุกข์สองเท่า

ในอีกด้านหนึ่ง แต่หากเรามีความสุข มีความรุ่งเรืองมีอาหารการกินเหลือเฟือ มีทรัพย์สินเกินพอ แล้วเราแบ่งปันให้กับคนอื่นๆที่เขาขลาดแคลนนั้น นอกจากเราจะได้กินได้ใช้อย่างเพียงพอด้วยตนเองแล้ว เราก็ได้ความพึงพอใจที่เพิ่มขึ้น ด้วยการมีความปิติในการได้แบ่งปันความสุขนั้นแก่คนอื่นๆ และส่วนคนที่เขาได้รับการแบ่งปันนั้น หากเขาเป็นคนขลาดแคลน การได้รับย่อมหมายถึงการได้ปลดทุกข์บางอย่างไป และยังได้ซึ้งใจในสิ่งที่ดีๆที่ผู้อื่นมีต่อตนเอง นับเป็นการได้แบบสองเท่า ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ให้และผู้รับ

Thursday, December 16, 2010

การจับกุมพวกรู้ข้อมูลภายในของบริษัทขนาดใหญ่

การจับกุมพวกรู้ข้อมูลภายในของบริษัทขนาดใหญ่

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาจากข่าว "U.S. arrests 4 in widening insider trading probe" โดย Matthew Goldstein และ Grant McCool

NEW YORK | Thu Dec 16, 2010 9:50pm EST

ที่นิวยอร์ค ข่าวจากสำนักข่าว Reuters มีคน 4 คนที่ถูกจับกุมในข้อหาปล่อยความลับรั่วไหลเกี่ยวกับบริษัทด้านเทคโนโลยีให้กับบริษัทพวกกองทุน (Hedge funds) ข้อมูลเหล่านี้รวมถึงภายในบริษัท Apple Inc ที่ออก iPad ก่อนที่บริษัทจะออกผลิตภัณฑ์สู่ตลาดจริง

ฝ่ายเจ้าหน้าที่แจ้งว่าหนึ่งในสี่คนนี้เป็นอดีตลูกจ้างของบริษัทคอมพิวเตอร์ใหญ่ Dell Inc ที่ยอมสารภาพผิดในวันที่ 10 ธันวาคม 2010 ที่เขาได้ให้ข้อมูลภายในของบริษัทในช่วงปี ค.ศ. 2007 จนถึงสิงหาคม ค.ศ. 2010 โดยได้ให้กับบริษัทวิจัยหลายแห่ง และรวมถึงแก่ผู้จัดการบริษัทกองทุนต่างๆที่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

ในสหรัฐอเมริกา และประเทศที่มีระบบตลาดหลักทรัพย์ การที่มีคนรู้ข้อมูลภายใน แล้วนำไปบอกแก่บุคคลภายนอก ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย เพราะความรู้เกี่ยวกับข้อมูลภายในก่อนหน้าคนอื่นๆเพียงไม่กี่ชั่วโมง อาจทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบต่างกันแก่ผู้ทำการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อย่างมากและกว้างขวาง

ผู้มีส่วนร่วมได้เสียในส้งคมและสิ่งแวดล้อม กรณีศึกษาของบริษัทข้ามชาติของสหรัฐและเอเซีย

ผู้มีส่วนร่วมได้เสียในส้งคมและสิ่งแวดล้อม กรณีศึกษาของบริษัทข้ามชาติของสหรัฐและเอเซีย

Societal, Environmental and Stakeholder Value Drivers
A Case Analysis of US and Asian International Firms

Salil K. Sen is Doctoral Researcher, School of Management, Asian Institute of Technology, Khlong Luang, Pathumthani 12120, Bangkok, Thailand. E-mail: Salil.sen@ait.ac.th, salil.sen@gmail.com, csrfanviet@ait.ac.th

Fredric William Swierczek

Fredric William Swierczek is Associate Professor, School of Management, Asian Institute of Technology, Bangkok. E-mail: fredric@ait.ac.th.

Abstract

There is a shift in the role of business in society where societal, environmental and stakeholder value drivers could reshape the basis of economic competitive advantage. Investors are willing to pay a premium for well-governed companies because of positive perceptions of CSR. Organizations respond to the value drivers to endure and function effectively along the societal, environmental and stakeholder dimensions. In this article case analysis is performed for four international firms, chosen from USA/Europe and Asia, with distinguished records of sustainability. The case studies were based on the company sustainability reports and related material published in EthicalCorp, CSRWire and Covalence online publications. Assessments were performed using publicly available information. The non-parametric correlation analysis shows that firms with better commitment to CSR respond more to societal, environmental and stakeholder drivers through strategic initiatives. This improves their competitive advantage as assessed by economic value added.

Saturday, December 11, 2010

ความสำคัญของการเป็นครู

ความสำคัญของการเป็นครู

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Japanese Proverb: Education Quotes

สุภาษิตของชาวญี่ปุ่นบทหนึ่งที่ปรากฏในภาษาอังกฤษกล่าวว่า “Better than a thousand days of diligent study is one day with a great teacher.”

แปลเป็นไทยได้ว่า การใช้เวลาศึกษานับพันวัน ไม่เท่ากับหนึ่งวันกับครูผู้ยิ่งใหญ่ ในการศึกษาของทางตะวันออกนั้น ให้ความสำคัญกับบุคคลมาก คนในที่นี้หมายถึงครูบาอาจารย์ ผู้ให้ความรู้แก่เรา เพราะความรู้ที่เขากล่าวถึงนี้ ไม่ใช่เป็นความรู้แบบที่อ่านได้โดยทั่วไป แต่การได้ใกล้ชิดกับคนที่เก่ง เป็นคนดี ส่วนหนึ่งที่จะได้รับไป คือการมีแบบอย่าง การได้รับแรงดลใจจากครูที่จะมีถึงสิทธิ

ในเอเชีย การให้ความสำคัญของความเป็นครู และการเป็นศิษย์ของครูผู้ยิ่งใหญ่ ในอดีตนานมาแล้ว จึงให้ความสำคัญกับครูขนาดต้องดั้นด้นเดินทางไปหาครูที่อยู่ไกลแสนไกล ในอินเดีย การจะเรียนรู้คือการนำลูกหลานไปฝากกับพระดาบส ฤๅษี ซึ่งอาจอยู่ในป่า ห่างไกลผู้คน

แม้ในไทยปัจจุบัน เมื่อคนหนุ่มจะบวชเรียน ก็จะไปแสวงหาพระอาจารย์ที่มีวัตรเป็นที่น่ายกย่อง ได้คอยปฏิบัติรับใช้ ได้เห็นชีวิตของท่านในแต่ละวัน และได้รับความเมตตาสั่งสอนให้เป็นคนดี เป็นสิ่งที่จะเป็นมงคลแห่งชีวิตไปอีกนานแสนนานในชีวิต

ในโลกยุคใหม่ คอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้เข้ามาแทนบทบาทบางส่วนของครู แต่ส่วนใหญ่จะว่าด้วยความรู้ และวิธีการแสวงหาความรู้ และว่าที่จริงแล้วมาช่วยเป็นเครื่องมือให้ครูผู้สอน แต่ครูก็ยังต้องมีความสำคัญอยู่ แต่ความสำคัญนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นบทบาทใหม่ของครูรุ่นใหม่ที่จะต้องรู้จักสื่อใหม่ ที่จะช่วยทำให้จัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่บทบาทครูก็จะไม่หมดไป ตรงกันข้าม ครูจะต้องเป็นคนขวนขวาย ทำตนเป็นต้นแบบที่ดีในการศึกษาเล่าเรียน หิวกระหาย และแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาคุณภาพการศึกษา (Quality Improvement) จึงจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการต้องพัฒนาครูผู้สอน ครูที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง เพียงแต่ว่า เราต้องการครูที่สอนมากกว่าความรู้ แต่เราต้องการครูที่สอนและเป็นต้นแบบของบุคลิกภาพนักเรียนอย่างที่เราอยากให้เป็น เราต้องการเด็กที่เก่ง แต่ยิ่งกว่านั้น เราต้องการเขาให้เป็นคนดี เช่นเดียวกัน เราต้องการครูที่มีความสามารถในการเรียนการสอน แต่ยิ่งกว่านั้น เราต้องการครูที่เขาจะสามารถพัฒนาบุคลิกภาพของผู้เรียนได้ด้วย

ประเพณีการเผาศพ (Cremation)

ประเพณีการเผาศพ (Cremation)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia สารานุกรมเสรี ในชื่อเรื่อง Cremation

Keywords: ประเพณีความตาย, death, การเผาศพ, การฝังศพ

การเผาศพ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Cremation เป็นกระบวนการที่ทำให้ศพผู้เสียชีวิตได้กำจัดไปด้วยวิธีการเผา กลายเป็นแก๊ส และมีส่วนกระดูกที่เหลืออยู่เป็นจำนวนน้อย วิธีการนี้ต้องใช้ความร้อนในระดับสูง และเป็นการฆ่าเชื้อโรคไปด้วยในตัว ลดปัญหาการเกิดโรคระบาดที่ต้องระวังในเขตชุมชนต่างๆ

ภาพ เตาเผาศพในยุคใหม่ ใช้ความร้อนจากไฟฟ้า หรือเชื้อเพลิงให้ความร้อนสูงอื่นๆ

ในประเทศไทย อันเป็นสังคมที่คนส่วนใหญ่ในประเทศเป็นชาวพุทธ ที่มีพิธีงานศพที่ใช้การเผาศพ (Cremation) เป็นหลัก มากกว่าในหลายประเทศที่ใช้การฝังในสุสานฝังศพ (Cemetery) การเผาศพส่วนใหญ่เป็นการเผาไปพร้อมกับโลงศพ (casket) ซึ่งทำด้วยไม้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม้ตามธรรมชาติจะมีราคาแพง โลงศพมักทำจากไม้อัด หรือไม้หรือกระดาษอัดที่สามารถไหม้ไฟเป็นเชื้อเพลิงได้จนหมด ประเทศไทยส่วนใหญ่จะมีการเผาไฟที่วัดในพุทธศาสนา (Wat, Monastery) และวัดส่วนใหญ่ปัจจุบันจะมีเตาเผาศพ ซึ่งอาจใช้พลังเชื้อเพลิง น้ำมัน ฟืน หรือไฟฟ้าเป็นพลังงานในการเผาไฟ

ภาพ เมรุเผาศพ ที่มีอยู่ตามวัดในพุทธศาสนาในประเทศไทย

ในหลายประเทศมีพิธีเผาศพเหมือนกัน แม้จะไม่ใช่ในพุทธศาสนา สถานที่เผาศพ เขาเรียกว่า Crematorium บางแห่งเป็นการเผาไฟในสภาพอากาศเปิด (open-air cremation) ดังในประเทศอินเดีย (India) ในประเทศตะวันตกก็มีพิธีการเผาศพเหมือนกัน เป็นพิธีกรรมสำหรับผู้ตายที่เลือกที่จะให้เผาศพของเขา เป็นการไม่เปลืองพื้นที่ในการฝังศพ ซึ่งนับวันจะเป็นปัญหา ดังเช่นในกรณีของประเทศที่มีพื้นที่จำกัด ดังเช่น ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ เป็นต้น

Thursday, December 9, 2010

การขึ้นค่าเล่าเรียนในประเทศอังกฤษ

การขึ้นค่าเล่าเรียนในประเทศอังกฤษ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก ข่าว BBC News, “Q&A: University funding” 9 December 2010Last updated at 19:58 GMT

Keywords: UK, England, higher education, finance, การอุดมศึกษา, เศรษฐกิจ

ในที่สุดรัฐสภาอังกฤษก็ออกคะแนนเสียงขึ้นค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นของรัฐบาล ซึ่งทำให้มีผลเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มได้สูงสุดถึง £9,000 ต่อปี ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่ได้มีการตัดงบประมาณการอุดมศึกษาซึ่งจะทำให้มีผลต่อคุณภาพการเรียนการสอน หากไม่มีเงินจากส่วนอื่นๆมาสนับสนุน

ในการเปรียบเทียบค่าเงินปอนด์ของอังกฤษ 1 ปอนด์ = 47 บาทไทย

การที่ต้องขึ้นค่าเล่าเรียนนี้ เพราะได้มีการตัดงบประมาณการอุดมศึกษาไปถึงร้อยละ 40 เมื่อมีการทบทวนการตัดงบประมาณในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2010

การที่รัฐบาลกลางได้มีแผนขึ้นค่าเล่าเรียน ซึ่งอนุญาตให้ขึ้นได้สูงถึงปีละ £9,000 จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ £3,290 ซึ่งทำให้มหาวิทยาลัยจัดเก็บค่าเล่าเรียนได้ถึง £6,000 และหากมีการจัดการเรียนการสอนในช่วงฤดูร้อนหรือโปรแกรมการสอนอื่นๆ ก็จะสามารถเรียกเก็บค่าเล่าเรียนได้ถึงปีละ £9,000

รัฐบาลยังคงมีเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ซึ่งทำให้ผู้เรียนไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในทันที โดยจะสามารถใช้เงินกู้ยืมที่ก็เพิ่มกรอบจาก £15,000 ไปเป็น £21,000 และกรอบเก็บค่าเล่าเรียนนี้สามารถปรับเพิ่มได้ทุกปีตามค่าเงินเฟ้อ ไม่ใช่ปรับเพิ่มทุก 5 ปีอย่างที่เคยมีแผนงาน

ส่วนนักศึกษาเมื่อจบการศึกษาแล้ว จะต้องจ่ายเงินกู้ยืมคืนในอัตราร้อยละ 9 เมื่อเงินเดือนถึงระดับพร้อมที่จะจ่าย นักศึกษาที่พ่อแม่มีฐานะดี ก็จะจ่ายค่าเล่าเรียนทั้งหมด หรือกู้ยืมไม่มาก เพื่อเมื่อได้ทำงานแล้ว ภาษีการศึกษาที่เรียกว่า Graduate Tax ก็จะไม่มี

สำหรับคนที่ต้องกู้ยืมเพื่อการศึกษา ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เคยมีปีละ 1.5 ก็จะมีอัตราขึ้นในระดับก้าวหน้า จากที่มีรายได้ £21,000 ต่อปีขึ้นไป จนถึงรายได้ที่เกิน £41,000 ก็จะบวกขึ้นไปร้อยละ 3 พร้อมปรับค่าเงินเฟ้อ (RPI) ตามไปด้วย แต่หากในช่วง 30 ปี ภาษีบัณฑิต (Graduate Tax) นี้ หากผู้กู้ยืมยังจ่ายไม่หมด ด้วยเพราะรายได้ไม่มากพอแก่การจัดเก็บ ก็จะยกเลิกไปโดยปริยาย ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าในสหราชอาณาจักรและประเทศพัฒนาแล้ว การเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคลนั้น เขาเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและถ้วนทั่วกว่าในประเทศกำลังพัฒนาแบบไทย การจะหลบเลี่ยงภาษีรายได้ส่วนบุคคลเป็นไปได้ยาก

โครงสร้างการเก็บค่าเล่าเรียนใหม่นี้ จะทำให้มหาวิทยาลัยสามารถจัดเก็บรายได้จากค่าเล่าเรียนคิดเป็นประมาณร้อยละ 35 ของงบประมาณมหาวิทยาลัยจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะเก็บได้ที่ร้อยละ 29 ส่วนอีกประมาณร้อยละ 30 มาจากงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล และส่วนที่เหลือจะมาจากเงินทุนวิจัย เงินกองทุน (Endowment) การมีรายได้จากทรัพย์สินทั่วไปและทรัพย์สินทางปัญญา

จากการศึกษา พบว่าค่าใช้จ่ายสำหรับจัดการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่อคนต่อปีนั้นจะตกที่ประมาณ £7,000 การขึ้นค่าเล่าเรียนใหม่ที่ระดับตั้งแต่ £6,000 จนถึง £9,000 พรรคแรงงานอันเป็นพรรคฝ่ายค้านปัจจุบันเห็นว่าเป็นการผลักภาระไปสู่ครอบครัวของนักศึกษามากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจประสบปัญหาวิกฤติดังที่เป็นในปัจจุบัน

ส่วนกรอบที่ให้จัดเก็บได้จนถึงระดับ £9,000 นี้ คาดว่าทุกมหาวิทยาลัยก็คงจะเพิ่มการจัดเก็บไปจนถึงกรอบสูงสุด เพราะความต้องการของผู้เรียนมีมากพออยู่แล้ว ในแต่ละปีมีความต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาเกินขีดความสามารถจะรับได้ และนอกจากนี้ ประเทศอังกฤษยังมีนักศึกษาจากประเทศกลุ่ม EU และจากทั่วโลกเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษอีกเป็นจำนวนมาก หลายๆแห่งมีผู้เรียนจากต่างชาติเข้าศึกษากว่าร้อยละ 20 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สูงกว่าในสหรัฐอเมริกาทั่วไป

รัฐมนตรีกระทรวงมหาวิทยาลัย David Willetts กล่าวว่าการจะอนุญาตให้เก็บค่าเล่าเรียนได้จนถึงปีละ £9,000 นั้นเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น เช่น มหาวิทยาลัยมีค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาที่สูงกว่าปกติ เช่นในสายการแพทย์ วิทยาศาสตร์ หรือการมีระบบเรียนเร่งรัด คือเรียนทั้งปี จบได้ภายใน 2 ปี ดังนี้ก็จะมีการจัดเก็บค่าเล่าเรียนเพิ่มไปได้จนถึง £9,000 ซึ่งปกติต้องมีการเรียน 3 ปี ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือประถมและมัธยมศึกษารวมกัน 13 ปี ก่อนการได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในขณะที่ประเทศไทยเรียน 12 ปี (6+6 = 12)

อย่างไรก็ตามกฎหมายที่ออกนี้จะมีผลต่อนักศึกษาใหม่ที่จะเข้าเรียนในปี ค.ศ. 2012 ซึ่งจะทำให้ในปีการศึกษา 2011 นี้จะมีนักศึกษาใหม่และคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจศึกษาต่อ ต้องรีบสมัครเรียน เพราะผลของค่าเล่าเรียนจะไม่กระทบไปตลอดช่วงการเรียนจนจบการศึกษา

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าเล่าเรียน (Tuitions & Fees)

- ข้อมูลด้านค่าเล่าเรียน England, Wales, และใน Northern Ireland: ปัจจุบันสูงสุดอยู่ที่ £3,290 ต่อคน/ปี

- ใน Scotland: ค่าเล่าเรียนสำหรับคนสก๊อตฟรี และสำหรับนักศึกษาจากกลุ่มประเทศ EU เสีย £1,820 ต่อปี หากเป็นนักศึกษาจากที่อื่นๆในสหราชอาณาจักรเสีย £2,895 หากเรียนในสายการแพทย์

- โดยทั่วไป นักศึกษาจากประเทศอื่นๆในกลุ่ม EU จะเสียเท่ากับนักศึกษาในท้องถิ่นของอังกฤษ

- นักศึกษานานาชาติจากที่อื่นๆนอกจากกลุ่มประเทศ EU มหาวิทยาลัยสามารถเรียกเก็บได้ในอัตราสูงโดยไม่มีกรอบบังคับ

- สำหรับนักศึกษาไทยที่ไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษและอื่นๆในสหราชอาณาจักร จะมีค่าเล่าเรียนปีละ 500,000 บาทไทย และเมื่อรวมค่าใช้จ่ายด้านที่พัก อาหาร การเดินทาง ฯลฯ จะตกที่ประมาณ 900,000-1,000,000 บาทเป็นรายเฉลี่ย แต่หากเรียนในเมืองใหญ่ หรือเมืองขนาดรองลงมา หรือระดับมหาวิทยาลัยที่เขาอนุญาตให้เก็บค่าเล่าเรียนนักศึกษาต่างชาติได้ไม่จำกัดกรอบนั้น ก็ทำให้ค่าเล่าเรียนอาจสูงขึ้นไปอีกตามสาขาวิชาและมหาวิทยาลัย

Tuesday, December 7, 2010

รถยนต์ไฟฟ้า BYD F3e ตายตั้งแต่ยังเป็นทารก

รถยนต์ไฟฟ้า BYD F3e ตายตั้งแต่ยังเป็นทารก

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: technology, transportation, energy, EV, PHEV, china, ประเทศจีน

เรียบเรียงจาก "BYD F3e all-electric car dies in infancy" โดย Amanda Zheng จาก Gasgoo.com นำเสนอในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2010

ภาพ รถไฟฟ้า ฺBYD F3E

บริษัท BYD Co ซึ่งได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบ (EV) ในงานแสดงรถยนต์ในปี ค.ศ. 2006 ซึ่งในงานเรียกว่า BYD F3e ได้ประกาศว่าทางบริษัทจะไม่ผลิตรถรุ่น F3e เนื่องจากสภาพแวดล้อมในประเทศจีนไม่เหมาะสมที่จะผลิตรถไฟฟ้าออกมาในจำนวนมาก

บริษัท BYD ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีฐานอยู่ ณ Shenzhen ซึ่งเริ่มแรกได้ทุ่มเทให้กับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งระบบ แต่เมื่อได้ศึกษาสภาพตลาดในประเทศจีน ได้พบปัญหาหลายประการ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและตลาดไม่รองรับได้เพียงพอ จึงได้หันไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลูกประสม ที่ใช้ได้ทั้งระบบเสียบปลั๊กร่วมกับพลังเครื่องยนต์เผาไหม้แบบทั่วไป ที่เรียกว่า PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) โดยรถรุ่นลูกประสมแบบเสียบปลั๊กนี้เรียกว่า BYD F3DM

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น F3E นั้นแต่แรกหวังจะผลิตออกมาภายใน 3 ปีในราคาคันละ 150,000 หยวน หรือประมาณ USD22,400 หรือคิดเป็นเงินไทยที่คันละ 672,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ตลาดรองรับได้หากรถมีคุณภาพอย่างที่ประกาศ และบริษัทสามารถผลิตได้หากมีการผลิตในจำนวนที่มากพอ

แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดทั้งในประเทศจีนและทั่วโลกไม่ได้มีการขานรับต่อรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทดีเพียงพอ ดังนั้นในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2008 จึงได้ประกาศ BYD F3DM ใหม่ที่เป็นแบบลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก แล้วรุ่น F3e ที่ประกาศตัวก่อนหน้านั้น ก็ได้ยกเลิกโครงการผลิตไป

ภาพ BYD F3DM รถยนต์ไฟฟ้าลูกประสมแบบเสียบปลั๊ก

BYD เป็นแนวทางการผลิตรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบสู่ระบบลูกประสม และแทนที่จะผลิตรถยนต์ส่วนบุคคลป้อนตลาดเอกชน ก็หันไปผลิตรถให้กับระบบการขนส่งสาธารณะสของราชการแทน

ในขณะเดียวกัน เมือง Shenzhen ก็ได้ร่วมมือในการสร้างระบบสถานีชาร์ตไฟขึ้น 7,500 จุดในปี ค.ศ. 2011 และในปี ค.ศ. จะเป็น 12,750 จุด

ขณะนี้ รัฐบาลจีนได้ให้การสนับสนุนผู้ซื้อระดับบุคคลที่เลือกใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก โดยเน้นที่เมืองต้นแบบ 12 แห่ง นาย Zhang Laiwu รองประธานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Ministry of Science and Technology - MST) กล่าว เมืองที่จะได้รับการสนับสนุนมี 13 เมือง ดังเช่น Beijing, Shanghai, Shenzhen, Chongqing, Wuhan เป็นต้น แต่ในปัจจุบัน การสนับสนุนจะยังเป็นที่หน่วยงานราชการ ที่ทางรัฐและผู้ผลิตสามารถดำเนินการได้ในระดับรถต้นแบบจำนวนหนึ่ง

แต่ในขณะนี้ จีนคงยังไม่คิดที่จะต้องเร่งเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า แต่ความที่จีนจะมีความได้เปรียบในการผลิตชิ้นส่วนป้อนให้กับรถยนต์ไฟฟ้าของหลายประเทศในโลก ในที่สุด จีนก็อาจจะตามมาทันประเทศอื่นๆได้ในภายหลัง

Monday, December 6, 2010

Samsung เปิดตัว Nexus เป็น SmartPhone ใช้โปรแกรม Android 2.3

Samsung เปิดตัว Nexus เป็น SmartPhone ใช้โปรแกรม Android 2.3

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: news, ข่าวเทคโนโลยี, การสื่อสาร, 3G, Smartphone

เรียบเรียงจากข่าว “Samsung Nexus S with Android 2.3 Launching from T-Mobile”

ภาพ Samsung Nexus S

โทรศัพท์มือถือ SmartPhone ของ Samsung ตัวใหม่ Nexus S โดยใช้โปรแกรมเสรีจาก Google ชื่อ Android 2.3 เปิดตัวที่ร้าน T-Mobile ในราคา USD199 หรือประมาณ 6,000 บาท โดยมีสัญญาผูกการใช้ระบบเครือข่าย แต่หากซื้อแบบอิสระ จะมีราคาที่ USD529 ในสหรัฐอเมริกา หรือ 15,870 บาท หาซื้อได้ที่ร้าน Best Buy โดยเริ่มในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2010

ภาพ iPhone4 ของค่าย Apple

Samsung Nexus นับเป็นตัวเลือกสำหรับเครื่องมือสื่อสารใหม่ในรูปดังคอมพิวเตอร์มือถือได้ที่ใช้ร่วมกับโทรศัพท์ โดยก่อนหน้านี้ได้มี iPhone ของ Apple ที่ออกมาสู่ตลาดและได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง

Sunday, December 5, 2010

รถยนต์เล็กเครื่องดีเซล Opel Corsa ecoFLEX วิ่งได้ 22.3 กม./ลิตร

รถยนต์เล็กเครื่องดีเซล Opel Corsa ecoFLEX วิ่งได้ 22.3 กม./ลิตร

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: news, ข่าวเทคโนโลยี, Corsa ecoFlex, eurodiesel

เรียบเรียงจาก “Opel debuts 53-mpg Corsa ecoFLEX at Bologna Motor Show” นำเสนอโดย Autoblog Staff (RSS feed) เผยแพร่วันที่ 5 ธันวาคม 2010 เวลา 6:02PM Green

ที่งานแสดงรถยนต์นานาชาติที่เมือง Bologna ประเทศอิตาลี

บริษัทรถยนต์เยอรมันเชื้อสายอเมริกัน Opel Motors เปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็ก Corsa ecoFlex ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแบบ CDTI Turbodiesel คุยว่าสามารถใช้พลังงานได้ประหยัดเยี่ยมที่ระดับ 53 ไมล์ต่อแกลลอน (US) หรือ 22.3 กิโลเมตร/ลิตร และมีผลสร้าง CO2 emissions ต่ำที่ 95 กรัมต่อกิโลเมตร ให้พลังขับเคลื่อนได้ที่ 95 แรงม้า น้ำหนักเครื่องเบา ใช้ระบบประหยัดพลังงานแบบจอดแล้วเครื่องดับ (stop-start technology) มีระบบ 5 เกียร์เดินหน้า ทำให้ประหยัดพลังงานได้ดีมาก

ภาพ Corsa ecoFLEX รุ่น 2011

ในด้านอัตราเร่ง Corsa ecoFLEX ทำความเร็ว 100 กม.ภายใน 12.3 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 176 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ให้พลังเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 และประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นจากเครื่องตัวเดิมร้อยละ 10

แต่อย่างไรก็ตามรถโฟล์คสวาเก้น VW Polo BlueMotion ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในยุโรป มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีกว่าเล็กน้อย คือวิ่งได้ 25 กม./ลิตร และปล่อย CO2 ที่น้อยกว่าคือที่ 87 กรัม/กิโลเมตร

ภาพ VW Polo BlueMotion รุ่น 2011

ในยุโรป เราจะเห็นความพยายามในการใช้พลังงานน้ำมันที่จะมีอย่างจำกัด โดยการคิดค้นเครื่องยนต์แบบใหม่ และหันมาใช้น้ำมันดีเซลที่ผลิตและใช้ได้จากพืช 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วเขาก็ไปหาทางคิดค้นอีกด้านหนึ่งทางวิทยาการชีวภาพ เพื่อหาทางปลูกพืชหรือสาหร่ายในน้ำจืดหรือทะเล เพื่อหาวิธีการผลิตน้ำมัน Biodiesel ที่มีต้นทุนต่ำและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

ในอเมริกาเหนือ สหรัฐอเมริกาจะมองว่าน้ำมันดีเซลเป็นน้ำมันสกปรก สร้างมลพิษในอากาศ แม้ให้พลังงานต่อลิตรสูง แม้มีมวลที่หนาแน่นให้พลังงานมากว่าพวก Gasoline แต่เมื่อใช้กับเครื่องยนต์ที่จะใช้ในรถยนต์จะทำให้ออกตัวช้า ไม่เหมาะแก่รถยนต์ โดยเฉพาะพวกที่มีขนาดเล็ก

แต่ในยุโรป เขาได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ที่หลายคนเรียกว่า Eurodiesel ที่ขจัดปัญหาของเครื่องดีเซลแบบเดิมไปได้มาก คือ ทำให้สั่นไหวน้อยลง น้ำหนักเครื่องเบาลง ให้พลังงานได้มากขึ้น เพราะเขาใช้ระบบ Turbodiesel ทำให้เร่งเครื่องได้ดี รถออกตัวได้ดี ให้พลังขับเคลื่อนได้ดี โดยเฉพาะเมื่อวิ่งในระยะไกล แต่อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังตื่นตัวในการใช้รถยนต์นั่งเครื่องดีเซลกันไม่มากนัก เครื่องส่วนใหญ่จึงใช้กับรถบรรทุกขนาด 1 ตัน ขนาดเครื่องยนต์ส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 2.5 ลิตรขึ้นไป ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีฐานเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น

เมื่อน้ำมันดีเซลกับเบนซิน หรือ Gasoline มีราคาใกล้เคียงกัน และน้ำมันดีเซลผลิตได้จากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ เครื่องยนต์ดีเซลจึงเป็นทางออกในการประหยัดและลดการใช้พลังงานจากปิโตรเลียมได้อย่างดีอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งเราต้องติดตามเทคโนโลยีดังกล่าวในยุโรปต่อไป

Saturday, December 4, 2010

วิล โรเจอร์ส (Will Rogers) ศิลปินตลกอเมริกัน

วิล โรเจอร์ส (Will Rogers) ศิลปินตลกอเมริกัน

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: cw105, USA, arts, movie, creativity, ศิลปะ, ความคิดสร้างสรรค์, comedian, ตลก

วิล โรเจอร์ส
William "Will" Rogers

ภาพ Will Rogers

เกิด
Born

วันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1879
November 4, 1879(
1879-11-04)
Oologah, ในเขตอินเดียนแดง ปัจจุบันคือรัฐโอคลาโฮม่า
Indian Territory (now Oklahoma)

เสียชีวิตเมื่อ
Died

วันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1935
August 15, 1935(
1935-08-15) (aged 55)
ที่ Point Barrow, ในเขตรัฐอลาสก้า
Alaska Territory

การอาชีพ
Occupation

นักแสดง (Actor), ตลก (comic), นักเขียนหนังสือพิมพ์ (columnist), ทำรายการวิทยุ (radio personality)

พรรคการเมือง
Political party

พรรคดีโมแครต
Democratic

ภรรยา
Spouse

Betty Blake (1879–1944)

บุตรและธิดา
Children

William Vann "Bill" Rogers
Mary Amelia Rogers
James Blake Rogers
Fred Stone Rogers

William Penn Adair Rogers เป็นนักแสดงที่รู้จักกันในนาม Will Rogers เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1935 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1935 เป็นชาวอเมริกัน (American) คาวบอย (cowboy) ศิลปินตลก (comedian) นักเขียนอารมณ์ขัน (humorist) ผู้บรรยายและวิพากษ์สังคม (social commentator), นักแสดงละครเรื่องสั้น (vaudeville performer) และนักแสดง (actor) เป็นบุคคลที่มีคนรู้จักอย่างที่เรียกว่า Celebrities ในช่วงทศวรรษ 1920s ถึง 1930s

ดังที่เราทราบ ยุคสมัยของเขาเป็นยุคที่อเมริกาเติบโตอย่างรวดเร็ว มีทั้งที่ฟู่ฟ่าและทั้งตกอับ ดังยุควิกฤติเศรฐกิจปีค.ศ. 1929 และความยากลำบากในช่วงต่อๆมา

Will Rogers รู้จักในนาม ลูกโอคลาโฮม่า (Oklahoma Son) เขาเกิดในถิ่นอินเดียนแดงในครอบครัวเผ่า Cherokee Nation ในเขตอินเดียนแดงในขณะนั้น (Indian Territory) ซึ่งต่อมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐโอคลาโฮม่า (Oklahoma) แม้ในยุคของเขา การเดินทางไม่สะดวกอย่างในปัจจุบัน แต่เขาได้เดินทางรอบโลกถึง 3 ครั้ง แสดในภาพยนตร์ 71 เรื่อง ในจำนวนดังกล่าว 50 เรื่องเป็นภาพยนตร์เงียบ และ 21 เรื่องเป็นภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม เขียนบทความกว่า 4,000 รายการในหนังสือพิมพ์ระดับชาติ เป็นคนที่มีคนรู้จักดีทั่วโลกในราวกลางทศวรรษที่ 1930s เขาได้รับการยอมรับอย่างมากจากคนอเมริกัน เป็นคนที่มีไหวพริบทางการเมืองในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า Progressive Era เขาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ที่ได้รับค่าตอบแทนสูงของฮอลลีวูด (Hollywood movie star) ในยุคสมัยนั้น และเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1935 พร้อมกับนักบินชื่อ Wiley Post เมื่อเครื่องบินเล็กได้ตกลงในเขต Barrow ในรัฐอลาสก้า (Alaska) ด้วยวัย 56 ปี

การแสดงละครตลกสั้นสลับฉากกับการแสดงของคณะ Ziegfeld Follies ประสบความสำเร็จอย่างมาก และนำไปสู่การได้สัญญาแสดงภาพยนตร์มากมายในยุคต่อมา ในช่วงทศวรรษ 1920s เขาได้เขียนหนังสือพิมพ์ และมีรายการวิทยุ ยิ่งทำให้เขาได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นไปอีก ในยุคนั้นมีการบุกเบิกทางด้านการบิน ทำให้เขาได้มีโอกาสตระเวนไปทั่วโลก การแสดงของเขามีลักษณะเป็นลูกทุ่ง ความที่เป็นคนมีไหวพริบและอารมณ์ขัน ทำให้เขาล้อเลียนได้แม้กับนักเลงอิทธิพล พูดถึงสิ่งต้องห้าม นักการเมือง โปรแกรมของรัฐบาล โดยไม่ทำให้คนฟังรู้สึกกระทบกระเทือน คำพูดของเขาจึงได้รับการนำไปกล่าวต่อบ่อยครั้ง ดังที่เขาเคยพูดว่า "I am not a member of an organized political party. I am a Democrat." ซึ่งแปลไดว่า ผมไม่ได้เป็นสมาชิกของแก๊งการเมืองอย่างว่านะ ผมเป็นดีโมแครต เขาใช้คำว่า “Organized” ซึ่งเป็นคำที่พูดในบางลักษณะในยุคนั้นฟังดูไม่ดี ดังคำที่ว่า Organized Crime คือเป็นแก๊งอิทธิพลผิดกฎหมาย

Rogers พูดติดตลกและพูดไปได้ทุกเรื่อง แม้กระทั้งแผ่นป้ายหลุมฝังศพของเขาซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง

When I die, my epitaph, or whatever you call those signs on gravestones, is going to read: "I joked about every prominent man of my time, but I never met a man I dident like." I am so proud of that, I can hardly wait to die so it can be carved.[4]

เมื่อผมเสียชีวิต แผ่นป้ายหลุมศพ หรืออะไรที่ติดไว้ที่หน้าหลุมศพ ขอให้เขียนว่า ผมพูดตลกเกี่ยวกับคนมีชื่อเสียงแห่งยุคไว้มากมายในช่วงชีวิตของผม แต่ไม่เคยพบใครเหล่านั้นที่ผมไม่ชอบ ผมภูมิใจกับคำที่คิดจะให้เขียนนี้มากเสียจนอยากรีบตาย เพื่อคนเขาจะได้รีบไปสลักหินโดยเร็ว

บ๊อบ โฮป (Bob Hope)

บ๊อบ โฮป (Bob Hope)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: cw105, USA, arts, movie, creativity, ศิลปะ, ความคิดสร้างสรรค์, comedian, ตลก

บ๊อบ โฮป (Bob Hope)

ภาพ Bob Hope ถ่ายที่บ้านของเขาในปี ค.ศ. 1986, โดย Allan Warren

เกิด
Born

Leslie Townes Hope
May 29, 1903(
1903-05-29)
Eltham, London, England

เสียชีวิต
Died

July 27, 2003(2003-07-27) (aged 100)
Toluca Lake, California, U.S.

อาชีพ
Occupation

นักแสดง (Actor), ตลก (Comedian), นักประพันธ์ (Author)

ปีที่ทำงาน
Years active

1925–2001

คู่ครอง
Spouse

Grace Louise Troxell (m.1933)
Dolores Hope (1934–2003)

บ๊อบ โฮป (Bob Hope), KBE, KCSG, KSS เมื่อเกิดเขามีชื่อว่า Leslie Townes Hope

เขาเกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 เขาเป็นนักแสดงตลกชาวอเมริกัน (American comedian) เป็นนักแสดง (actor) ที่ปรากฏตัวใน vaudeville, ละคอนเวทีที่ Broadway, ทั้งในงานวิทยุ (radio) โทรทัศน์ (television) และภาพยนตร์ (movies) เขาทำงานให้กับกองทัพสหรัฐเพื่อไปแสดงสร้างขวัญและกำลังใจ ทั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และในกาปฏิบัติหน้าที่ของทหารอเมริกันในระยะต่อๆมา ในปี ค.ศ. 1996 วุฒิสภาสหรัฐ (U.S. Congress) ได้มอบประกาศว่า เขาเป็น ทหารผ่านศึกกิตติมศักดิ์คนเดียวในกองทัพสหรัฐ ที่กล่าวดังนั้น เพราะเขาไม่ได้รับราชการเป็นทหารในหน่วยใดๆ แต่ได้ทำหน้าที่เป็นส่วนสร้างขวัญกำลังใจให้กับกำลังพลของกองทัพอย่างเสมอมา เขาได้ร่วมไปในงานสร้างขวัญกำลังใจแก่กำลังพลในกองทัพถึง 199 ครั้ง

บ๊อบ โฮป เป็นตัวอย่างของนักแสดงที่มีอารมณ์ดี ไม่เครียด เมื่อเขาเป็นนักแสดงตลก เขาจะแสดงตลกด้วยความมีเชาว์วัยไหวพริบ ไม่หยาบคาย หรือตลกแบบใช้กำลัง เป็นสไตล์ที่คนดูหรือคนฟังได้นั่งอมยิ้ม หัวเราะสนุกสนานร่วมด้วยอย่างผ่อนคลาย เขาเป็นนักแสดงที่ทำงานด้านบันเทิงของเขาอย่างสม่ำเสมอ เขามีอายุยืนยาวถึง 100 ปี

เขาเป็นนักแสดงชั้นแนวหน้าที่ไม่ได้รับรางวัลออสก้า แต่ได้เป็นพิธีกรของการประกาศรางวัลถึง 18 ครั้ง (the Academy Awards ceremony) ในระหว่างปี ค.ศ. 1939 ถึง 1977 มากที่สุดกว่าใครๆ

100 อันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทยปี 2553

100 อันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทยปี 2553

วันศุกร์ ที่ 3 ธันวาคม 2553

100 อันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทยปี 2553 (ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ)

Posted by พฤจิกา , ผู้อ่าน : 2425 , 17:55:42 น.

หมวด : การศึกษา

ผลการจัด อันดับโรงเรียนที่เก่งที่สุดในประเทศไทย ประจำปี 2553 โดยพิจารณาจาก โอลิมปิกวิชาการ O-net โควตา รับตรง admission แพทย์ กสพท, ทุนรัฐบาล ทุน กพ ทุน พสวท. และ อื่นๆ

1. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

2. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

3. โรงเรียนบดิทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)

4. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย

5. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา

6. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย

7. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง

8. โรงเรียนสตรีวิทยา

9. โรง เรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่

10. โรงเรียนเซนต์คาเบรียล

11. โรงเรียน อุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี

12. โรงเรียนอัสสัมชัญ

13. โรงเรียนสาธิต มศว.ปทุมวัน

14. โรงเรียน สาธิต ม.เชียงใหม่

15. โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ

16. โรงเรียน สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

17. โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่

18. โรงเรียน เบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช

19. โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่

20. โรงเรียน เทพศิรินทร์

21. โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย

22. โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี

23. โรงเรียนนครสรรค์

24. โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี

25. โรงเรียนสตรี วิทยา 2

26. โรงเรียน สาธิต ม.ขอนแก่น

27. โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง

28. โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น

29. โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

30. โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่

31. โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว

32. โรงเรียน สุราษฎร์ธานี

33. โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพรชบุรี

34. โรงเรียน ภูเก็ตวิทยาลัย

35. โรงเรียน โยธินบูรณะ

36. โรงเรียน สาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี

37. โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

38. โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย จ.นนทบุรี

39. โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี

40. โรงเรียนหอวัง

41. โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น

42. โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ

43. โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน

44. โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา

45. โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์

46. โรง เรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา

47. โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา

48. โรงเรียน ศึกษานารี

49. โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก

50. โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร

51. โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน

52. โรงเรียนร้อยเอ็ด วิทยาลัย จ.ร้อยเอ็ด

53. โรงเรียนนารี รัตน์ จ.แพร่

54. โรงเรียน สิรินธร จ.สุรินทร์

55. โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา

56. โรงเรียน บุรีรัมย์พิทยาคม จ.บุรีรัมย์

57. โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.สตูล

58. โรงเรียน บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี 2 )

59. โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย

60. โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่

61. โรงเรียนลำปางกัลยาณี จ.ลำปาง

62. โรงเรียน สระบุรีวิทยาคม

63. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า

64. โรงเรียน ระยองวิทยาคม

65. โรงเรียน ชลราษฎร์อำรุง

66. โรงเรียน พัทลุง

67. โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม

68. โรงเรียน เซนต์โยแซฟคอนแวนต์

69. โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง

70. โรงเรียน สุรศักดิ์มนตรี

71. โรงเรียน กำแพงเพชรพิทยาคม

72. โรงเรียนทวีธาภิเศก

73. โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม

74. โรงเรียนจุฬา ภรณ์ราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร

75. โรงเรียนมารี ย์วิทยา จ.นครราชสีมา

76. โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล

77. โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม

78. โรงเรียน สายน้ำผึ้ง

79. โรงเรียนเบญจมราชาลัย

80. โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย

81. โรงเรียน พัทลุง

82. โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีรรมราช

83. โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี

84. โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม

85. โรงเรียนชลกันยานุกูล โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย

86. โรงเรียน เบญจมราชรังสฤษฎิ์

87. โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา

88. โรงเรียน เบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี

89. โรงเรียน วิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี

90. โรงเรียน นวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี

91. โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์

92. โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี

93. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช

94. โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร

95. โรงเรียนสาธิต(พิบูลบำเพ็ญ) ม.บูรพา

96. โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ

97. โรง เรียนอัสสัมชัญธนบุรี

98. โรงเรียนวัดสุทธิวราราม

99. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต

100. โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : กระทรวงศึกษาธิการ