Monday, November 29, 2010

John Marshall ตุลาการศาลสูงสหรัฐ (2)

John Marshall ตุลาการศาลสูงสหรัฐ

ประกอบ คุปรัตน์Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: History, politics, the United States, constitution, laws, ประวัติศาสตร์, การเมือง, สหรัฐอเมริกา, ตุลาการ, กฏหมาย, รัฐธรรมนูญ
ภาพ John Marshall ในปี ค.ศ. 1831 วาดโดย Henry Inman

ความนำ


สหรัฐอเมริกามีรัฐธรรมนูญมาพร้อมๆกับมีประเทศ และรัฐธรรมนูญนี้กำหนดให้มีอำนาจประชาธิปไตยผ่าน 3 เสาหลัก คือ (1) ฝ่ายบริหารอันมีประธานาธิบดี (President) เป็นผู้นำที่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน (2) ฝ่ายนิติบัญญัติ คือรัฐสภา ซึ่งอเมริกามีสองสภา คือสภาผู้แทนราษฎร และสภาสูง หรือ Senate และ (3) ฝ่ายตุลาการ ซึ่งมีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย ในปัจจุบัน ศาลสูงมีคณะบุคคลที่แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับการรับรองโดยวุฒิสภา ศาลสูงมีหน้าที่บริหารกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญอันเป็นอำนาจสูงสุด

รัฐธรรมนูญสหรัฐนั้นมีบทที่เขียนเอาไว้ไม่มากนัก แต่ที่สำคัญคือการตีความ ซึ่งกระทำโดยศาลสูงของสหรัฐ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ และทำให้เกิดแนวทางในการใช้อำนาจหน้าที่ ตลอดจนสิทธิของประชาชนตามกรอบของรัฐธรรมนูญในยุคต่อๆมา

จอห์น มาร์แชล John Marshall

ประธานศาลสูงคนที่ 4 ของสหรัฐ
4th Chief Justice of the United States
อยู่ในตำแหน่ง (In office)
January 31, 1801[1] – July 6, 1835
31 มกราคม ค.ศ. 1801 – 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1835
เสนอเพื่อการแต่งตั้งโดย
Nominated by
จอห์น แอดัมส์
John Adams
ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้า
Preceded by
ผู้ดำรงตำแหน่งต่อมา
Succeeded by

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ (เทียบเคียง
4th United States Secretary of State
อยู่ในตำแหน่ง
In office
วันที่ 13 มิถุนายน 1800 – 13 มีนาคม 1801
June 13, 1800 – March 13, 1801
ประธานาธิบดี
President
ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้า
Preceded by
ผู้สืบทอดตำแหน่ง
Succeeded by
สมาขิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
Member of the U.S. House of Representatives
from Virginia's 13th district
ดำรองตำแหน่ง (In office)
มีนาคม ค.ศ. 1799 - 7 มิถุนาย ค.ศ. 1800
March 4, 1799 – June 7, 1800
ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้า
Preceded by
ผู้สืบตำแหน่งต่อมา
Succeeded by
เกิด
Born
September 24, 1755
GermantownColony of Virginia
เสียชีวิตเมื่อ
Died
July 6, 1835 (aged 79)
PhiladelphiaPennsylvaniaU.S.A.
สังกัดพรรคการเมือง
Political party
พรรคนิยมรัฐบาลกลาง
(
Federalist)
คู่ครอง
Spouse(s)
Mary Willis Ambler
การอาชีพ
Profession
กฎหมายและศาล
LawyerJudge
ศาสนา
Religion
การรับราชการทหาร
Military service
หน่วยงาน
Service/branch
ตำแหน่ง
Rank
การเข้าร่วมสงคราม
Battles/wars

John Marshall อ่านว่า จอห์น มาร์แชล เกิดเมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1755 – 6กรกฎาคม ค.ศ. 1835 เป็นผู้พิพากษาและรัฐบุรุษชาวอเมริกัน ผู้ได้มีส่วนกำหนดทิศทางของกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา และทำให้ศาลสูง (Supreme Court) ได้เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางอำนาจหนึ่งในสามของสหรัฐอเมริกา
Marshall ได้ทำหน้าที่เป็นประธานผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐ (Chief Justice of the United States) ทำหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1801 จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1835 เขาเคยทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐสภาสหรัฐ (United States House of Representatives) ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1799 ถึงวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1800 และทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งในสหรัฐเรียกว่า Secretary of State โดยทำงานในสมัยประธานาธิบดี John Adams ซึ่งทำหน้าที่ในช่วงวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1800 – 4มีนาคม ค.ศ. 1801 หรือเพียงประมาณ 1 ปี

Marshall มาจากรัฐเวอร์จิเนียในสมัยที่ยังเป็นเมืองในปกครองของอังกฤษ และเป็นหนึ่งในผู้นำของพรรค Federalist Party

เขาเป็นประธานศาลสูงสหรัฐที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ นับเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ นับว่ามีอายุการทำงานมากเสียกว่าอายุพรรคFederalist Party ที่เขามีส่วนร่วมสร้าง และได้ทำหน้าที่อันสำคัญในการวางรากฐานของระบบศาลของอเมริกา

หน้าที่อันสำคัญของเขาคือการทำหน้าที่ศาลของรัฐบาลกลาง ใช้อำนาจทางตุลาการ (judicial review) โดยตรวจสอบความชอบธรรมในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารที่อาจก้าวข้ามอำนาจที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ มาร์แชลทำหน้าที่ของเขาอย่างเข้มแข็ง และทำให้ระบบศาลสูงของสหรัฐมีความเป็นอิสระและมีสถานะอันมั่นคงในฐานะอำนาจหนึ่งในสาม คือฝ่ายบริหารอ้นมาประธานาธิบดี ฝ่ายนิติบัญญัติ อ้นหมายถึงวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร และฝ่ายอำนาจตุลาการ หรือศาล

ศาลสูงภายใต้การนำของ Marshall ได้ให้การตัดสินที่สำคัญเกี่ยวกับอำนาจของรัฐบาลกลาง (federalism) ซึ่งเป็นดุลยภาพระหว่างอำนาจของรัฐบาลกลาง (federal government) และรัฐต่างๆที่เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐ และที่สำคัญเขาได้แสดงให้เห็นอำนาจสูงสุดของกฎหมายรัฐบาลกลาง (federal law) ที่ต้องอยู่เหนืออำนาจของกฎหมายรัฐ (State law) งานการตัดสินของเขา ได้กลายเป็นแนวทางการกำหนดบทบาทและอำนาจของหน่วยงานและองค์การต่างๆที่ทำให้เกิดความชัดเจนในการปกครองประเทศในยุคสมัยนั้น และสำหรับยุคต่อๆมา

มาร์แชลได้ทำหน้าที่หัวหน้าศาลสูง (Chief Justice) อยู่ในช่วงของประธานาธิบดีอันเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารถึง 6 คน อันได้แก่ John Adams ผู้แต่งตั้งเขาในช่วงปลายสมัย, Thomas Jefferson ประธานาธิบดีที่มาจากหัวหน้ากลุ่มที่เป็นพรรคดีโมแครต, ตามมาด้วย James Madison, James Monroe, John Quincy Adams ผู้เป็นบุตรชายของประธานาธิบดีคนที่สอง และ Andrew Jackson และความที่เขายืนยงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าศาลสูงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองในอเมริกา จึงเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบการเมืองของประเทศ ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งอยู่ ฝ่ายประธานาธิบดีหลายคนไม่พอใจการทำงานของมาร์แชล แต่เพราะมาร์แชลที่ทำหน้าที่อย่างกล้าหาญและยืนหยัดในหลักการของระบบศาล ในช่วงความขัดแย้งทางความคิดของสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือพวกยึดหลักประชาธิปัตย์ที่รัฐบาลที่ดีที่สุดคือรัฐบาลกลางที่เล็กที่สุด และอำนาจสำคัญอยู่ที่ประชาชน และรัฐ (States) ไม่ใช่รัฐบาลกลาง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง คือพวก Federalist เป็นพวกที่เห็นว่าสหรัฐจะก้าวหน้าได้ต้องมีรัฐบาลกลางที่แข็งแกร่ง ต้องมีระบบการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง มีระบบการเงิน ธนาคารที่ทำให้มีความเชื่อมั่นในการที่อเมริกาจะต้องทำการค้ากับทางยุโรป มาร์แชลต้องทำหน้าที่อย่างยุติธรรมและอย่างมีหลักการ จึงทำให้เขาทั้งอยู่ในหน้าที่ได้อย่างยืนยาว และเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับทั้งระบบศาลและการเมืองของสหรัฐอเมริกา

ระหว่างที่เขาทำหน้าที่ ได้เขียนคำตัดสินกว่า 1,000 รายการ และเขียนเหตุผลของเขาเองถึง 519 รายการ สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของการตัดสินในระยะต่อๆมา และเป็นสิ่งที่นักกฏหมายต่างๆต้องนำไปศึกษา

ประธานาธิบดีจอห์น แอดัมส์ ผู้แต่งตั้งมาร์แชลสู่ตำแหน่งหัวหน้าศาลสูง ได้กล่าวคำชมเขาว่า “ของขวัญสำคัญที่ผมมอบให้กับประชาชนชาวสหรัฐคือจอห์น มาร์แชล ซึ่งผมมีความภูมิใจที่สุดในชีวิตของผม”

โรงสีสีข้าวไม่ได้เมื่อน้ำได้ไหลผ่านไปแล้ว

โรงสีสีข้าวไม่ได้เมื่อน้ำได้ไหลผ่านไปแล้ว

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: cw022, สุภาษิต, proverbs, กาลเวลา, mill, โรงสี

ภาพ โรงสีข้าว (Mill) ใช้พลังงานจากน้ำ

มีสุภาษิตอเมริกันบทหนึ่งกล่าวว่า "A mill cannot grind with water that is past." แปลเป็นไทยได้ว่า "โรงสีสีข้าวไม่ได้เมื่อน้ำได้ไหลผ่านไปแล้ว" ซึ่งอธิบายถึงสภาพโรงสีในสมัยก่อน ที่อาศัยพลังน้ำตามลำธาร หรือสายน้ำ การสีข้าวจะกระทำได้เมื่อมีกระแสน้ำไหลผ่าน หากน้ำเหือดแห้ง หรือน้ำหยุดไหล ถึงเราอยากจะสีข้าว ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว

ภาพ โรงสีข้าว (Mill) ที่ใช้พลังงานน้ำจากลำธารหรือแม่น้ำ ภาพโรงสีเก่าอายุกว่า 180 ปี ในรัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา

สุภาษิตนี้จึงเป็นคำสอนที่เตือนใจว่า เมื่อเรามีโอกาส ก็จงใช้โอกาสนั้นๆให้เป็นประโยชน์ หากโอกาสและเวลานั้นได้ผ่านไปแล้ว เราจะไปถวิลหามันในภายหลังก็จะไม่เป็นประโยชน์

เมื่อเราเป็นคนหนุ่มสาว มีเวลาศึกษาเล่าเรียน หรือสร้างอนาคต สร้างครอบครัว ก็พึงทุ่มเทให้กับมัน เพราะเมื่อเวลาผ่านไป โอกาสเหล่านั้น แม้จะยังมีอยู่ ก็จะไม่มีความหมายความสำคัญอย่างที่มันเคยเป็นแล้ว

เมื่อเรามีลูก เมื่อเด็กๆเขาต้องการเวลาและการเอาใจใส่จากเรามากกว่าสิ่งอื่นใด แต่เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะไม่ต้องการความใกล้ชิดกับพ่อแม่มากอย่างที่เมื่อเขาเป็นเด็กอีกต่อไป หรือในบางครั้ง แทนที่เราจะได้อบรมเขาตั้งแต่เด็กให้เป็นคนดี แต่เมื่อเขาได้โตขึ้นโดยปราศจากการอบรมสั่งสอนจากเรา จนเขาเป็นคนที่เสียคนเสียแล้ว การจะมีเวลาให้กับเขานั้น ก็จะไม่มีคุณค่าเท่ากับยามที่เขาเป็นเด็ก ยามที่เขาต้องการเรา

เมื่อเราเป็นคนสูงอายุ ต้องเกษียณจากการทำงานแล้ว แต่ปรากฏว่าระหว่างที่เป็นคนหนุ่มสาว ควรจะได้สร้างสมทรัพย์สินความมั่นคงไว้ให้พอสมควร แต่เรากลับเที่ยวเตร่ใช้จ่ายเงินทองอย่างไม่ระมัดระวัง จนเมื่ออายุมาก ก็ไม่มีทรัพย์สินที่จะเป็นความมั่นคงแก่ชีวิต กลายเป็นคนชราที่น่าสงสาร ได้แก่นั่งเสียดายโอกาสที่เคยเป็น

สุภาษิต โรงสีสีข้าวไม่ได้เมื่อน้ำได้ไหลผ่านไปแล้วจึงเป็นการเตือนใจเรา ให้เข้าใจในเรื่องของเวลาและโอกาส เมื่อถึงเวลาและโอกาสที่เราจะต้องทำอะไรบางอย่าง ก็พึงตัดสินใจทำเสีย ทำอย่างทุ่มเท จะได้ไม่ต้องมาเสียดายเวลาและโอกาสนั้นๆในระยะเวลาต่อมา

อย่าทำตัวเป็นคนสมบูรณ์แบบนัก

อย่าทำตัวเป็นคนสมบูรณ์แบบนัก

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: cw022, สุภาษิต, proverbs,

มีสุภาษิตคนอเมริกันหนึ่งกล่าวว่า "A benevolent man should allow a few faults in himself to keep his friends in countenance." ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า อันคนดีนั้นอย่าทำตัวให้สมบูรณ์แบบนัก ต้องมีข้อบกพร่องในตัวเองบ้าง เพื่อให้เพื่อนสบายใจ

เหมือนกับสตรีที่มีความสมบูรณ์แบบมาก เป็นสตรีในตระกูลที่สูงศักดิ์ มีการศึกษา สุภาพ มีมารยาท หน้าตาดี ดูสมบูรณ์ไปหมด แทนที่ผู้ชายจะสนใจ แต่ผู้ชายดีๆทั่วไปก็ไม่อยากที่จะคบค้าด้วย เพราะผู้ชายนั้นไม่รู้ว่าผู้หญิงนั้นเขาจะต้องมาพึ่งพาตนเองในเรื่องอะไร และตนเองนั้นจะมีความภูมิใจอะไรที่จะเป็นที่พึ่งให้กับสตรีนั้นๆ บ้าง

ในสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนต่อเพื่อน คนบางคนทำตนเป็นคนสมบูรณ์แบบมากจนทำให้เพื่อนไม่รู้ว่าจะมีการพึ่งพากันได้อย่างไร จะไปเที่ยวเตร่กัน ก็มักจะเป็นคนจ่ายค่าอาหาร ค่าเลี้ยงดู เพราะเป็นคนมีเงิน พวกที่ชอบรับเลี้ยงก็คงจะชอบ แต่สำหรับเพื่อนที่เขามีศักดิ์ศรีด้วยกัน เขาจะรู้สึกอึดอัดที่จะต้องเป็นฝ่ายได้รับการเลี้ยงดูตลอดหรือบ่อยๆ อ้นคนเราคบหากันนั้น ก็ต้องมีเรื่องที่ต้องพึ่งพาต่อกัน เรามีดีบางอย่าง แล้วเขาอื่นนั้นก็มีดีในบางอย่าง ต่างพึ่งพาต่อกันได้ ไม่ใช่เป็นแบบฝ่ายหนึ่งไปพึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียวตลอดเวลา

ลองดูตัวอย่างผู้ชายที่แต่งตัวเนี้ยบมากๆ หน้าตาดี มีการศึกษา สุภาพ ทำเนื้อทำตัวระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วผู้หญิงมักจะคิดว่าเขาเป็นเกย์หรือเปล่า เพราะจะคิดว่า หากเป็นผู้ชายธรรมดา ทำไมจึงดูสมบูรณ์แบบนัก ด้วยเหตุนี้ จึงมีชุดแต่งกายของผู้ชายที่เขาเรียกว่า Casual คือแต่งแบบสบายๆ เสื้อผ้าไม่รีดก็ยังใส่ได้ ใส่แล้วดูดีไม่น่าเกลียด และดูแบบไม่ต้องสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ต้องซักแล้วรีดแบบอัดกลีบกันอย่างสมบูรณ์แบบ

Saturday, November 27, 2010

ทุนการศึกษา มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม มาเลเซีย

ทุนการศึกษา มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม มาเลเซีย

ผู้สนใจศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมของอังกฤษ ที่เปิดสอน ณ วิทยาเขตในเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย หากสนใจอ่านต่อไปนี้

ข่าวจาก Fiona Leow

Subject: FW: The University of Nottingham: scholarships information

เรื่อง ทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม วิทยาเขตกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

รายละเอียดติดตามได้จาก

http://www.nottingham.ac.uk/internationaloffice/prospective-students/scholarships/index.aspx

ลักษณะทุนที่น่าสนใจมีดังนี้

1. UG: Engineering Undergraduate Scholarships: £1,500 bursary

UG: นักศึกษาวิศวกรรมระดับปริญญาตรีได้รับส่วนลด 1,500 ปอนด์

2. Developing Solutions Masters Scholarships: 30 full tuition fees scholarships and 75 x 50% tuition fees scholarships

ระดับปริญญาโทได้รับทุนยกเว้นค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน 30 คน ได้รับทุนส่วนลดร้อยละ 50 จำนวน 75 คน

3. Commonwealth Shared scholarships: 6 full tuition fees scholarship plus stipends

นักศึกษาจากประเทศกลุ่มเครือจักรภพ ได้รับทุน ยกเว้นค่าเล่าเรียนเต็ม จำนวน 6 ทุน พร้อมค่าใช้จ่าย

4. ASEAN Masters scholarship: 10 x 25% towards tuition fees

นักศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศในอาเซียน (ASEAN) ได้รับส่วนลดค่าเล่าเรียนร้อยละ 25 จำนวน 10 ทุน

5. Engineering Alumni Scholarships for graduates of Malaysia campus: 25% towards tuition fees for courses in the Faculty of Engineering

ทุนด้านวิศวกรรมศาสตร์สำหรับศิษย์เก่าที่จบจากวิทยาเขตมาเลเซีย (UCMC) ได้รับส่วนลดค่าเล่าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ร้อยละ 25

6. International Research Excellence Scholarships: 40 full tuition fees scholarships

ทุนการวิจัยสู่ความเป็นเลิศระดับนานาชาติ ได้รับยกเว้นค่าเล่าเรียนเต็ม จำนวน 40 ทุน

7. Dean of Engineering Research Scholarship: 10 full tuition fees scholarships plus stipends, and 10 full tuition fees scholarships

ทุนการวิจัยจากคณบดีวิศวกรรมศาสตร์ ได้รับยกเว้นค่าเล่าเรียนเต็ม พร้อมค่าใช้จ่าย จำนวน 10 ทุน

สนใจรายละเอียดติดต่อ มูลนิธิก้าวไกลในเอเชีย ประเทศไทย (Springboard For Asia Foundation - SB4AF)

หากติดต่อตรงขอข้อมูลจากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมในประเทศอังกฤษ ติดต่อ

Tel: (+6) 03 8924 8384/8383
Fax: (+6) 03 8924 8385
E.mail: sherry.ng@nottingham.ac.uk
www.nottingham.ac.uk

ทหารบราซิลล้อมปราบแก๊งยาเสพติดของสลัมในเมืองริโอ

ทหารบราซิลล้อมปราบแก๊งยาเสพติดของสลัมในเมืองริโอ

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจากข่าว “Brazil Military Says It Cornered Rio Drug Gangs” จาก The New York times โดย MYRNA DOMIT, เผยแพร่เมื่อวันที่ November 26, 2010

Keywords: cw125, Brazil, อเมริกาใต้


Evaristo Sa/Agence France-Presse — Getty Images

ภาพ ในขณะที่เด็กกำลังเล่นชิงช้า ฝ่ายทหารก็ลาดตระเวนถนนในสลัม Vila Cruzeiro ของเมือง Rio de Janeiro

ที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ตำรวจและทหารบกของบราซิลได้ฝ่าแนวต่อต้านเข้าไปยึดพื้นที่ในสลัมที่ใหญ่เป็นอันดับสอง แม้ถูกยิงใส่จากฝ่ายแก๊งยาเสพติดในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่เมื่อตกดึก ทหารก็สามารถล้อมพวกค้ายาเสพติดไว้ภายในได้ โฆษกฝ่ายทหารกล่าว

Enlarge This Image


Thiago Cardoso/Agence France-Presse — Getty Images

ภาพ ฝ่ายแก๊งอาชญากรรมที่กำลังเล็งอาวุธปืนไปยังฝ่ายกองกำลังของบราซิล ที่ Alemao complex ที่เขตสลัมในเมือง Rio de Janeiro ในวันศุกร์ที่ผ่านมา

Enlarge This Image


The New York Times

Enlarge This Image


Marcelo Sayao/EFE, via European Pressphoto Agency

ภาพ ชาวเมืองกำลังวิ่งหนีการดวลปื่นกันระหว่างฝ่ายแก๊งอันธพาลและยาเสพติด กับฝ่ายทหารและตำรวจที่บุกเข้าคุมสถานการณ์ในเมือง

การปราบปรามในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ Alemão complex ในเมืองสลัมซึ่งมีบ้านเรือนที่มีประชากรกว่า 400,000 คน จัดว่าเป็นเขตชุมชนที่มีความรุนแรงที่สุดของสลัมในเมือง และเป็นการตอบสนองต่อความรุนแรงที่ได้เกิดขึ้นในช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และทางการบราซิลต้องการแสดงให้เห็นความพยายามกวาดล้างเมืองให้เรียบร้อยก่อนที่จะมีฟุตบอลโลกในปี ค.ศ. 2014 และโอลิมปิคเกมส์ในปี ค.ศ. 2016

เลขาธิการฝ่ายความมั่นคงของเมืองริโอ José Mariano Beltrame ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อข่าวสารระดับนำของบราซิลว่าการตอบโต้อย่างรุนแรงจากฝ่ายสมาชิกแก๊งยาเสพติด เป็นการตอบโต้ต่อรัฐบาลที่จะเข้าควบคุมและรักษาความสงบในสลัม 13 แห่ง โดยการรุก เข้าค้นยาเสพติด และการวางกำลังตำรวจหน่วยพิเศษในสลัมที่เป็นปัญหา

ประธานาธิบดี Luiz Inácio Lula da Silva แห่งบราซิล (Brazil) ได้ส่งทหาร 800 นายเข้าไปในบริเวณ Alemão complex ในวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ได้ถูกยิงตอบโต้จากฝ่ายสมาชิกแก๊งค้ายาเสพติด ทำให้มีคนเสียชีวิตไปแล้ว 41 รายจากการสำรวจในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางตำรวจได้รายงานว่าได้มีการเผารถปและรถโดยสารไปแล้วกว่า 100 คัน คนที่สัญจรผ่านไปมาถูกปล้น และบางรายถูกยิง

จากการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีความตระหนักในความรุนแรงที่ได้เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่า นี่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายบ้านเมืองจะไม่ยอมให้แก๊งนอกกฏหมายยังคงอยู่ต่อไป

มันเป็นสิ่งที่ขัดหลักมนุษยธรรมที่สุดที่คนร้อยละ 99 ต้องมาเดือดร้อนกับพวกอาชญากร Mr. da Silva กล่าวในวันศุกร์ที่ผ่านมาในการแถลงข่าวในระหว่างการเยือนประเทศ Guiana เมืองริโอจะมั่นใจได้ว่ารัฐบาลกลางจะให้ควาช่วยเหลือร่วมมือทุกอย่างเท่าที่จำเป็นและร้องขอ

ในวันพฤหัสบดี ยานหุ้มเกราะได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมปืนยาวพุ่งฝ่ากองยางที่ถูกจุดไฟเผา ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ Vila Cruzeiro ซึ่งเป็นอีกสลัมหนึ่งที่เต็มไปด้วยพวกแก๊งยาเสพติด ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองริโอ ในวันศุกร์ทางตำรวจได้แถลงว่าสามารถเข้าควบคุม Vila Cruzeiro แต่ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าพวกสมาชิกแก๊งกว่า 100 คนได้หลบหนีออกจากสลัม ทันทีที่มีการนำกำลังทหารเข้ามาสบทบ

ผู้คนใน Vila Cruzeiro ถูกปล่อยให้ตกอยู่ในความมืด เพราะสายไฟถูกทำลาย ทางการเองก็กังวลความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะทำให้คนไม่กล้ากลับบ้าน เพราะตามฝาผนังบ้านจะเต็มไปด้วยรอยกระสุน ส่วนทางเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษ (Special Police Operations Battalion officers) ได้ตรวจรถและผู้คนเดินถนนทุกคนที่เข้าและออกจากบริเวณ

ผมไม่เคยเห็นการดำเนินการอย่างนี้มาก่อน ผมกลัวและกะว่าจะอพยพออกจาชุมชนนี้ไปกับแม่และพี่สาว Henrique Gonçalves หนุ่มอายุ 18 ปีกล่าว ผมจะอยู่ในสภาพอย่างนี้ไม่ได้ ส่วนโรงพยาบาลใกล้ๆกับ Vila Cruzeiro มีสภาพเหมือนการดำเนินการในเขตสงคราม มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลรักษาคนเจ็บในช่วงการดำเนินการของตำรวจ ในบรรดาผู้บาดเจ็บมีเด็กหญิงอายุ 2 ขวบคนหนึ่งที่ถูกกระสุนลูกหลง

ในบรรดาผลกระทบแก่ประชาชนของเมือง มีโรงเรียน 132 แห่งถูกปิดโดยคำสั่งเลขาธิการฝ่ายการศึกษา ส่วนประชาชนใน Alemão complex ต่างกังวลว่าจะเกิดนองเลือดตามมาอีก เมื่อฝ่ายตำรวจและทหารบุกเข้ามาในวันต่อๆไป แต่ก็หวังว่าสภาพการดำเนินชีวิตต่อไปจะดีขึ้นหลังมีการปราบปรามอย่างจริงจัง

Rosineide Rodrigues de Lima, อายุ 39 ปี อาชีพพนักงานโทรศัพท์ กล่าวว่า นี่เป็นยุทธการที่ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเห็นมาใน Complexo do Alemão ผมกลัวว่าชีวิตผมและลูกสาวจะไม่ปลอดภัย ขณะนี้ลูกของผมก็อยู่ในนั้นแหละ แต่ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราต้องยอมลงทุนเพื่อหวังว่าขีวิตของเราจะดีขึ้นในระยะยาว

ผู้ว่าราชการเมืองริโอ Sérgio Cabral กล่าวว่า ฝ่ายตำรวจและทหารกำลังอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมที่จะบุก แต่ยังรออยู่จนกว่า โอกาสเหมาะๆจะมาถึง

รายงานข่าวโดย Roberta Napolis

Friday, November 26, 2010

ช่วงแห่งการขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving)

ช่วงแห่งการขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: cw105, สหรัฐอเมริกา, USA, ประเพณี, วัฒนธรรม

ภาพ วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ที่ผู้อพยพมาอยู่ทวีปใหม่จัดเลี้ยงร่วมกัน เพื่อขอบคุณพระเจ้าในวันที่ได้มีกาเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารสำหรับใช้ใ่นช่วงฤดูหนาว

วันขอบคุณพระเจ้า
Thanksgiving Day


กิจกรรมมีในประเทศ
Observed by

Canada
United States

ประเภท
Type

National, cultural

วัน
Date

แคนาดา - วันจันทร์ที่สองของเดือนตุลาคม
2nd Monday in October (Canada)
สหรัฐ - วันพฤหัสบดีของสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน
4th Thursday in November (U.S.)

ช่วงของปี ค.ศ. 2010
2010 date

แคนาดา 11 ตุลาคม 2010
October 11, 2010 (Canada);

สหรัฐอเมริกา 25 พฤศจิกายน 2010
November 25, 2010 (U.S.)

ช่วงปีค.ศ. 2011
2011 date

แคนาดา 10 ตุลาคม 2011
October 10, 2011 (Canada);

สหรัฐอเมริกา 24 พฤศจิกายน 2011
November 24, 2011 (U.S.)

วันขอบคุณพระเจ้า หรือ Thanksgiving Day เป็นวันฉลดงการเก็บเกี่ยว (harvest festival) โดยมีการฉลองเริ่มในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยประเพณีแล้วเป็นช่วงที่ประชาชนมีงานฉลองขอบคุณที่มีฤดเก็บเกี่ยวที่ดี และมีจุดเริ่มต้นมาจากทางศาสนา แต่ในปัจจุบันจัดเป็นวันฉลองวันหยุดที่ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนา บางครั้งเขาเรียกกันอย่างติดปากว่า วันไก่งวง หรือ Turkey Day เพราะจะมีอาหารที่ทำมาจากไก่งวงอบ

ในประเทศแคนาดามีการฉลองวันขอบคุณพระเจ้าในวันจันทร์ของสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นวันโคลัมบัส (Columbus Day) ในสหรัฐอเมริกาจะฉลองกันช้ากว่าเกือบเดือนครึ่ง คือในวันพฤหัสบดีของสัปดาห์ที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน

การศึกษาประวัติศาสตร์อาจมีความเห็นที่ขัดแย้งว่ามันมีความเป็นมาจากอะไรแน่ คนอเมริกันเชื่อว่าในเริ่มแรกเกิดจากช่วงปี ค.ศ. 1621 ในเมือง Plymouth, มลรัฐ Massachusetts บางพวกบอกว่าเป็นการฉลองของพวกสเปน โดยกลุ่มนักสำรวจที่กระทำกันในบริเวณรัฐฟลอริดา (Florida) ช่วงปี ค.ศ. 1565 และที่รัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) มีการฉลองกันสองปีก่อนหน้านั้น (ค.ศ. 1619) มีความเชื่ออีกด้านหนึ่งว่าได้มีการเริ่มฉลองกันใน Newfoundland ในแคนาดาในปี ค.ศ. 1578 แต่เป็นการฉลองการกลับมาบ้าน แทนที่จะเป็นการฉลองฤดูเก็บเกี่ยว

ในประเทศแคนาดาโดยทั่วไปอากาศจะหนาวเร็วกว่าในสหรัฐอเมริกา และต้องมีการเก็บเกี่ยวเร็วกว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งโดยรวมๆจะมีฤดูที่อบอุ่นได้ยาวนานกว่า แต่โดยรวมสภาพอากาศหลังจากฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว จะต้องมีช่วงหนาวที่ทำการเพาะปลูกไม่ได้อีกในช่วงตอนเหนือ นับเป็นเวลากว่า 4 เดือน กว่าที่จะเข้าฤดูใบไม้ผลิ (Spring) อีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตามในทวีปอเมริกาเหนือ ไม่ว่าในช่วงใดและบริเวณใด ส่วนใหญ่คือวันขอบคุณพระเจ้า ที่ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ได้มีการเพาะปลูกที่ประสบความสำเร็จ และสามารถมีธัญพืชเก็บได้เต็มยุ้งเต็มฉาง ขอบคุณที่ผู้อพยพมาใหม่ทั้งหลายจะไม่อดตายในดินแดนใหม่แห่งนี้ แม้ในปัจจุบัน เรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งที่มีมากล้นจนคนอเมริกันและแคนาดาทั่วไป มักจะไม่มีใครคิดถึงช่วงแห่งความกังวลในการอดอยากในแผ่นดินใหม่แห่งนี้ และด้วยเหตุที่ปัจจุบัน การขนส่งสะดวกและมีประสิทฺธิภาพ อาหารจากทางใต้ก็สามารถลำเลียงไปขายในตอนเหนือได้อย่างสะดวก และอุตสาหกรรมการเกษตรใหม่ การเลี้ยงสัตว์สามารถกระทำในอาคารที่มีระบบป้องกันความหนาว ดังนั้นหมู ไก่ เป็ด วัวเนื้อและนม จึงมีผลิตกันตลอดทั้งปี โดยอาศัยอาหาและฟางหญ้าที่สะสมในช่วงเพาะปลูก

วันขอบคุณพระเจ้ามีการฉลองกันที่เมือง Leiden, ในประเทศเนเธอร์แลนด์ (Netherlands) บนเกาะ Grenada ได้มีการฉลองวันหยุดในชื่อเดียวกัน แต่ต่างช่วงเวลาของปี

Thursday, November 25, 2010

ม้าไม้เมืองทรอยต์ (Trojan Horse)

ม้าไม้เมืองทรอยต์ (Trojan Horse)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: cw190, การเมือง, ยุทธศาสตร์, การสืบราชการลับ

ภาพ กระบวนการม้าไม้เมืองทรอยต์ (The Procession of the Trojan Horse in Troy ) เขียนโดย Domenico Tiepolo ในปี ค.ศ. 1773 อ้นเป็นแรงดลใจจาก Aeneid ของ Virgil

ม้าไม้เมืองทรอยต์ (The Trojan Horse) เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับสงครามแห่งกรุงทรอยต์ (Trojan War) ที่มีเขียนไว้ใน Virgil's Latin epic poem The Aeneid และโดย Quintus แห่ง Smyrna เป็นยุทธการที่กรีกได้ใช้จนในที่สุด สามารถเข้าตีเมืองทรอยต์สำเร็จ และทำให้สงครามยุติลง

ในเรื่องเล่า สงครามที่มีการต่อสู้กันอย่างไม่มีใครแพ้ใครชนะเป็นเวลา 10 ปี ในที่สุด เมื่อกรีกถอยกลับไป ได้สร้างม้าไม้ แล้วบรรจุคนไว้ภายในจำนวน 30 นาย กรีกแสร้งทำเป็นว่าถอยทัพเรือกลับ แต่ทิ้งม้าไม้ไว้ที่หน้าประตูเมือง เมื่อชาวทรอยต์ลากเอาม้าเข้าไปเก็บไว้ในเมือง ในยามดึก กรีกก็นำทัพเรือแอบกลับเข้ามา ทหารจากม้าไม้ก็ลอบออกจากตัวม้าไม้และเปิดประตูเมืองเพื่อให้ทหารของกรีกเข้ามาในกำแพงเมืองได้ และรบทำลายเมืองทรอยต์ เป็นการยุติสงครามยืดเยื้อไปในที่สุด

ในความหมายหนึ่ง ม้าไม้เป็นยุทธศาสตร์ที่เป็นการเชื้อเชิญให้ศัตรูรับเข้ามาในเขตที่ปกป้อง ซึ่งอาจเรียกว่า ไส้ศึก ในกลยุทธการรบ อาจไม่มีการใช้ม้าไม้จริงๆอย่างในนิยายกรีก แต่อาจเป็นวิธีการใดๆก็ตาม ที่ทำให้ศัตรูตายใจ รับสายฝ่ายตรงกันข้ามเข้าไปอยู่วงในของตนเองอย่างตายใจ และสายนั้นก็นำความลับจากภายในไปบอกแก่ฝ่ายตน ในวงการตำรวจ ก็มีการวางสายเข้าไปในกลุ่มอาชญากรรมผิดกฎหมาย เพื่อหาข้อมูลและหลักฐานเพื่อการจับกุม ในทางการเมือง นักการเมืองในแบบไทยๆ สามารถเปลี่ยนพรรคไปมาได้หลายๆครั้งในชีวิต และระหว่างนั้นก็ทำให้รู้จักแผนงานต่างๆภายในของพรรคที่สามารถนำออกไปใช้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตรงกันข้ามได้

การเมืองไทยเคยเรียกพวกแปรพรรคว่า งูเห่าตามเรื่องเล่าของนิทานไทยที่พูดถึงชาวนาที่สงสารงูเห่าที่ขดหนาวอยู่ จึงนำไปเลี้ยงไว้ให้ได้อบอุ่น แต่สัญชาติงูเห่าจะเลี้ยงไม่เชื่อง ท้ายสุดก็ฉกกัดชาวนาให้ได้รับพิษจนถึงแก่ความตาย

ในวงการสื่อเมืองไทยจึงตั้งฉายานักการเมืองที่ย้ายพรรคไป แล้วทำให้พรรคเดิมอ่อนกำลังไปอย่างมาก และอาจทำให้ฐานเสียงเปลี่ยนไป จนระดับเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ได้

ในทางธุรกิจ มีการสืบการลับทางธุรกิจ เรียกว่า Corporate Intelligence ซึ่งมีทั้งถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย ธุรกิจบางรายต้องการเรียนลัด จ้างคนทำงานสำคัญของฝ่ายตรงกันข้าม ลอกถ่ายความรู้วิทยาการของเขามา หรือบางทีก็ซื้อคนภายในองค์การของฝ่ายตรงกันข้าม ให้ป้อนข้อมูลต่างๆออกมา โดยมีการจ่ายผลประโยชน์กันอย่างลับๆ แต่ในโลกยุคใหม่ที่ต้องมีความโปร่งใส การกระทำดังกล่าวถือว่าผิดจรรยาบรรณทางธุรกิจและผิดกฎหมายด้วย

ในโลกของคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันคำว่า Trojan Horse ได้กลายเป็นคำเรียกไวรัสคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่เป็นประเภท "malware" computer programmes ที่ดูเหมือนไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อคนใช้ในระยะแรก แต่ในระยะต่อมาอาจทำให้ข้อมูลในคอมพิวเตอร์นั้นถูกคัดลอกนำไปใช้ภายนอก หรือทำให้เครื่องทำงานช้าลง ไม่ปกติ หรือเสียหายได้

Tuesday, November 23, 2010

รถยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้ารุ่น IQ จะออกสู่ตลาดปี ค.ศ. 2012

รถยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้ารุ่น IQ จะออกสู่ตลาดปี ค.ศ. 2012

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

เรียบเรียงจาก “Electric Toyota iQ Coming in 2012” นำเสนอโดย autoevolution - 2010-11-23

Keywords: transportation, electric car, ev, รถยนต์ไฟฟ้า

โตโยต้า (Toyota Motors) ดูเหมือนเคลื่อนไหวเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าไม่รวดเร็วนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะส่วนหนึ่งได้เดินหน้าไปแล้ว แม้ไม่ได้ลงมือเอง ดังกรณีร่วมมือกับบริษัทรถยนต์ Tesla Motors บริษัทรถยนต์ขนาดเล็ก แต่เป็นระดับนำของสหรัฐอเมริกา ในการพัฒนารถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ให้เป็นแบบไฟฟ้า (Electric car) รุ่น RAV4 โดยผลิตและหวังป้อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐและที่อื่นๆ

ในอีกด้านหนึ่ง Toyota ได้ลงมือพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเล็ก หรือจะว่าจิ๋วก็ได้ คือรุ่น iQ ซึ่งจะส่งเข้าตลาดสหรัฐในปี ค.ศ. 2012 และขณะเดียวกันก็เตรียมเปิดตลาดในประเทศอื่นๆด้วย ในการนี้คาดได้ว่าในราวๆปี ค.ศ. 2011 โตโยต้าก็จะอาศัยการแสดงรถยนต์ที่เมืองดีทรอยต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า International Auto Show เป็นสถานที่เปิดตัว

ภาพ Toyota iQ รถขนาดเล็กที่กำลังพัฒนาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

Sunday, November 21, 2010

เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy)

เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: cw152, sufficiency economy, เศรษฐกิจพอเพียง

ผมได้ศึกษาเศรษฐกิจประเทศกรีก เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติสำหรับคนไทยเรา สามารถหาอ่านได้ที่ http://pracob.blogspot.com/2010/11/greece.html

ประเทศกรีกมีประชากรประมาณ 10 ล้านคน เป็นสมาชิกหนึ่งของสหภาพยุโรป ประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงในแบบยุโรป แต่ส่วนหนึ่งเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ด้วยเงินกู้ยืมจากประเทศอื่นๆ และไม่ว่าประเทศใด คนใด เมื่อเรามีนิสัยใช้เงินเกินกว่าที่ตัวเองมีความสามารถในการหา นั่นคือปัญหาอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้น เป็นความไร้วินัยทางการเงิน

ซึ่งในท้ายที่สุด ทุกฝ่ายรวมถึงประชาชนแต่ละคน ก็ต้องกลับมายึดวินัยทางการเงิน ต้องประหยัด พึ่งตนเอง หางานทำ ทำงานทุกอย่างๆตั้งใจ

ย้อนกลับมาถึงประเทศไทย เรายึดหลักเศรษฐกิจตลาดเสรี หรือ Free Market คือเราปล่อยให้กลไกตลาดเป็นเครื่องตัดสิน หากเศรษฐกิจเรามีความแข็งแกร่ง ค่าเงินบาทก็จะแข็งแกร่งตาม ทำให้เกิดแนวโน้มที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย มีการนำข้าสินค้าจำนวนมาก ซึ่งประชาชนอาจไม่รู้ว่า เงินที่ไหลเข้าประเทศนั้น อาจเป็นเงินที่ไหลเข้าและออกอย่างง่ายๆ จะไปหวังพึ่งอะไรในระยะยาวไม่ได้

ทางที่ดีประชาชนแต่ละครอบครัว ต้องรู้จักวินัยทางการเงิน และเรียนรู้เศรษฐกิจ อย่างน้อยจากส่วนที่ใกล้ตัวเองให้ถ่องแท้ พร้อมกันนี้ก็ยึดหลักเศรษฐกิจพื้นฐานอย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงให้คำแนะนำไว้ คือ เศรษฐกิจพอเพียง หรือ Sufficiency Economy ขอเราท่านลองสำรวจหลักง่ายๆต่อไปนี้

1. หากแต่งงานมีครอบครัว ต้องช่วยกันหารายได้ทั้งสองคน (Working couple) คือทั้งสามีภรรยามาสร้างอนาคตร่วมกัน ในโลกยุคปัจจุบัน จะเป็นการยากที่จะอาศัยรายได้จากเพียงหนึ่งคนในครอบครัว หากภรรยาทำงานนอกบ้านได้ ก็เป็นการดี ไม่เสียหาย หากต้องอยู่บ้าน ก็ยังเลือกที่จะทำงานแบบอยู่กับบ้านได้ ลองศึกษาเรื่อง Telecommuting ดู

2. การกินอยู่ ใช้จ่ายอย่างประหยัด (Saving habits) นั้น กระทำได้ในเกือบจะทุกเรื่อง ลองบันทึกรายรับจ่ายจ่ายอย่างละเอียดดูสัก 1-2 เดือน แล้วลองวิเคราะห์ดูว่ามีอะไรที่จะประหยัดลงได้อีกบ้าง เราจะพบว่ามีอีกมากที่จะประหยัดได้

3. ยึดหลักอย่าใช้จ่ายเกินกว่าที่หาได้ (Financial discipline) หากทำได้เก็บเงินส่วนได้สักร้อยละ 15 เพื่อหลักประกันในอนาคต ยึดหลัก ทำเมื่อดีไว้กินเมื่อไข้ ทำเมื่อหนุ่มไว้กินเมื่อแก่

4. หากมีเงินเหลือ (Savings) อย่าเพียงคิดเก็บหรือฝากเงินกับธนาคาร เพราะยามเศรษฐกิจอืด ดอกเบี้ยก็ต่ำ ยามเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยสูง แต่ค่าของเงินก็ลดลง เศรษฐกิจก็ผันผวน จึงควรลองเลือกลงทุนทำธุรกิจขนาดเล็ก หนึ่งในสองคนสามีภรรยาลองไปทำก่อน ทำในสิ่งที่เรารักและมีทักษะพิเศษ หากสำเร็จก็ค่อยขยายใหญ่

5. หากมีเงินเหลือ เลือกลงทุนเพื่ออนาคตของชีวิต (Investments) ทำกิจการเองได้ ก็ให้เรียนรู้ที่จะทำ อย่าหวังเป็นเพียงมนุษย์เงินเดือน (Salary Man) กันทั้งสองคน เพราะหากเศรษฐกิจไม่ดี ตกงาน ก็ตกงานกันทั้งสองคน

6. หากจะมีรถยนต์ (Cars) รถยนต์มีเอาไว้เพื่อการเดินทาง ก็ต้องถามว่าเรามีเพื่ออะไร หากเพียงเพื่อหน้าตา ก็คิดใหม่ เพราะรถจะทำให้มีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมาก รถยนต์นั่ง อย่างถูกๆ ก็ราคาครึ่งล้านบาท คิดค่าเสื่อมค่าใช้จ่าย ปีหนึ่งๆ ก็จะมีมูลค่าลดลงร้อยละ 10-12 ก็คิดเป็นมูลค่าปีละ 5-6 หมื่นบาท ไม่นับค่าน้ำมันรถ

7. หากจะมีบ้านหรือที่พัก (Home & residence) หากจะต้องมีเป็นของตนเอง หรือต้องเช่านั้นไม่แปลก สำคัญที่โดยรวมแล้วมีผลทางเศรษฐกิจอย่างไร หากมีบ้านแล้วต้องใช้เวลาเดินทางไปทำงานกันวันละ 2-3 ชั่วโมง หรือ ใช้เช่าหรือมีบ้านเล็กๆใกล้ที่ทำงานได้หรือไม่ ต้องคิดถึงภาพรวมของที่พักอาศัยไปพร้อมกันด้วย

8. ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน (the age of uncertainty) โลกธุรกิจปัจจุบัน ยุค "ผีเสื้อกระพือปีก" วิกฤติในที่หนึ่งกระทบไปไกลทั่วโลก เราทุกคนต้องเตรียมพร้อมต่อความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น ต้องมองอย่างเลวร้ายที่สุดว่า เราจะปรับตัวเพื่อความอยู่รอดอย่างไร อย่าไปเชื่อมั่นในอะไรว่าจะมีความแน่นอนไปได้ตลอดไป

9. เรียนรู้ เปิดตาเปิดใจเพื่อรับสิ่งใหม่อยู่เสมอ (Lifelong learning) อายุเราอาจเพิ่มขึ้น แต่เราจะผจญกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ งานอาจมีความมั่นคงลดลง คนอยากจ้างคนรุ่นใหม่ที่เงินเดือนถูกกว่า แต่ขณะเดียวกัน งานและประสบการณ์ที่เราทำอาจเป็นสิ่งดีๆที่มีคุณค่า หากเรารู้จักพัฒนาตนเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ

สุดท้ายนี้ หากท่านใดมีข้อแนะนำที่พร้อมจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็ช่วยกันส่งความคิดเห็นมา หรือแจ้งให้ทราบว่าได้นำเสนอที่ไหนและอย่างไรนะครับ เรามาแบ่งปันกัน

ขอบคุณครับ

Saturday, November 20, 2010

สุภาษิตเยอรมัน - อย่าเพ่งดูม้าที่เขาให้เป็นของขวัญที่ปาก


สุภาษิตเยอรมัน - อย่าเพ่งดูม้าที่เขาให้เป็นของขวัญที่ปากDon't look a gift horse in the mouth

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob.cooparat@gmail.com


Keywords: cw022, proverb, quote, สุภาษิต, เยอรมัน, German, Germany, ม้า, horse, มารยาท, การรักษาน้ำใจ, gift

มีสุภาษิตหนึ่งในยุโรปกล่าวว่า “Don't look a gift horse in the mouth.” แปลเป็นไทยได้ว่า อย่าเพ่งดูม้าที่เขาให้เป็นของขวัญที่ปาก อันคนเรา การที่เขานำของขวัญมาให้นั้น ก็ด้วยความปรารถนาดี จึงพึงแสดงความขอบคุณในปรารถนาดีของเขาด้วยการแสดงความรู้สึกขอบคุณอย่างมีน้ำใจ

อันม้านั้นเป็นของจำเป็นในชีวิตของมนุษย์ เราใช้ม้าเพื่อเป็นพาหนะขี่เพื่อการเดินทาง เป็นแรงงานในไร่นา หรือแม้แต่ใช้เป็นอาหาร ดังจะพบว่ามีบางที่เขากินม้า เมื่อเข้าตาจน อดอยากกันทั้งหมู่บ้าน

แต่ม้าก็จะมีคุณค่ามากน้อยด้วยอายุของมัน หากม้าแก่ โอกาสทำประโยชน์หรือคุณค่าก็น้อยลง เมื่อคนจะไปซื้อหาม้ามาใช้งาน จึงต้องศึกษาว่าม้านั้นสมบูรณ์หรือไม่ ที่สำคัญคือม้านั้นมีอายุมากน้อยเพียงใด ผ่านการใช้งานมานานเพียงใด โดยเขาจะอ้าปากม้า เพื่อดูลักษณะฟันของมัน ฟันที่สึกมาก ก็แสดงว่าม้ามีอายุมาก เหลือเวลาใช้งานน้อย เหมือนที่ไปซื้อรถยนต์ใช้แล้วในปัจจุบันที่ต้องรู้ว่าเข็มไมล์รถนั้นระบุว่าได้ใช้ขับขี่มายาวนานเพียงใด ดูเบาะที่นั่ง สีที่ถลอกไปว่าได้ใช้มาอย่างระมัดระวังดูแลรักษาหรือไม่ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นปกติของคนที่ต้องซื้อหาสิ่งของเพื่อใช้สอย และต้องมีการต่อรองราคากัน

มันถูกต้องที่คนเราจะต้องศึกษาสิ่งที่จะซื้อหาอย่างละเอียด หากเราต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อสิ่งของนั้นๆมา ไม่ว่าจะเป็น ม้า รถยนต์ อาหารแต่ละมื้อที่ไปรับประทาน แต่เมื่อเราได้สิ่งของเหล่านี้มาด้วยความเสน่หา ความชอบพอ และเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเรา การไปตำหนิในสิ่งที่คนเขาให้นั้น จึงเป็นเหมือนดังคนที่ไม่มีมารยาท และไม่รู้จักรักษาน้ำใจคน

หากเราเป็นผู้ใหญ่ที่มีคนเขาระลึกถึงบุญคุณ เขาต้องการแสดงความขอบคุณ เขาอาจเป็นคนยากจน คนต่างจังหวัด มีไข่มาชะลอมหนึ่ง มีกล้วยมาหวีหนึ่ง หากไม่เป็นการเสียหาย ก็รับไว้ด้วยความขอบคุณในน้ำใจของเขา แต่ก็มีเหมือนกันสำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักน้ำใจคน คนเขาเอาของขวัญมาให้ไม่ถูกใจก็ไปต่อว่าหรือตำหนิเขา

เอามาทำไม ของแบบนี้ฉันไม่กินไม่ใช้หรอก หรือ ของอย่างนี้รู้อยู่แล้ว่าฉันไม่ใช้ คนบางคนไปงานเลี้ยงที่เขาจัดเลี้ยงโดยน้ำใจ แต่ก็ยังมีที่ไปวิจารณ์ว่าอาหารของเขาไม่อร่อย ไอ้นั่นจืดไป หวานไป เค็มไป ไม่สด คำกล่าวในลักษณะอย่างนี้ก็ไม่ต่างจากการไปเปิดดูปากม้าที่เขาเอามาให้เป็นของขวัญดอก เป็นการไม่รักษาน้ำใจคน

ประเทศกรีก (Greece)

ประเทศกรีก (Greece)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

Keywords: cw126 ภูมิศาสตร์, เศรษฐกิจ, การเมือง

ประเทศสาธารณรัฐกรีก
Hellenic Republic

Ελληνική Δημοκρατία
Ellīnikī́ Dīmokratía


ภาพ ธงชาติ (Flag)

ภาพ สัญลักษณ์ของชาติ (National emblem)

คำขวัญ (Motto): Eleftheria i Thanatos, (Greek: "Ελευθερία ή Θάνατος", "Freedom or Death") (traditional)

เสรีภาพ หรือความตาย


Location of Greece (dark green)

– on the European continent (green & dark grey)
– in the European Union
(green) — [Legend]

เมืองหลวง
Capital
(and largest city)

เมืองเอเธน
Athens
38°00′N 23°43′E / 38°N 23.717°E / 38; 23.717

ภาษาทางการ
Official language(s)

ภาษากรีก
Greek

ชื่อเรียกประชาชน
Demonym

ชาวกรีก
Greek

ลักษณะรัฐบาล
Government

ระบบรัฐสภา, สาธารณรัฐ และเป็นรัฐเดี่ยว
Parliamentary republic,
Unitary state


ประธานาธิบดี
President

Karolos Papoulias

-

นายกรัฐมนตรี
Prime Minister

George Papandreou MP

นิติบัญญัติ
Legislature

รัฐสภา
Parliament

ความเป็นรัฐในปัจจุบัน
Modern statehood

-

ความเป็นอิสระจาก Ottoman
Independence from the Ottoman Empire

25 March 1821

-

ความยอมรับเป็นประเทศ
Recognized

3 February 1830, in the London Protocol

-

มีระบบกษัตริย์
Kingdom of Greece

7 May 1832, in the Convention of London

-

รัฐธรรมนุญปัจจุบัน
Current constitution

11 June 1975,
Third Hellenic Republic

การเข้าร่วมกับ EU
EU accession

วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1981
1 January 1981

พื้นที่
Area

-

รวม
Total

131,990 km2 (96th)
50,944 sq mi

-

พื้นน้ำ
Water (%)

0.8669

ประชากร
Population

-

ประมาณการปี 2010
2010 estimate

11,295,002[1] (74th)

-

สำรวจปี 2010
2001 census

10,964,020[2]

-

ความหนานแน่น
Density

85.3/km2 (88th)
221.0/sq mi

GDP (PPP)

2009 estimate

-

รวม
Total

$333.533 billion[3]

-

รายได้เฉลี่ยต่อคน
Per capita

$29,881[3]

GDP (nominal)

2009 estimate

-

รวม
Total

$330.780 billion[3]

-

รายได้เฉลี่ยต่อคน
Per capita

$29,635[3]

Gini (2005)

332 (low) (36th)

HDI (2010)

increase0.855[4] (very high) (22nd)

เงินที่ใช้
Currency

Euro ()3 (EUR)

เขตเวลา
Time zone

EET (UTC+2)

-

เวลาฤดูร้อน
Summer (DST)

EEST (UTC+3)

การขับรถยนต์
Drives on the

ด้านขวาของถนน
right

ISO 3166 code

GR

Internet TLD

.gr4

Calling code

30

1

Also the national anthem of Cyprus.

2

CIA World Factbook.

3

Before 2001, the Greek drachma.

4

The .eu domain is also used, as in other European Union member states.


ประเทศกรีก เขียนในภาษาอังกฤษว่า Greece และมีชื่ออื่นๆที่รู้จักกันในนาม Hellas และอย่างเป็นทางการว่า the Hellenic Republic เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป ตั้งอยู่ทางด้านใต้สุดของแหลมบัลข่าน (Balkan Peninsula) กรีกมีชายแดนติดยาวกับประเทศอัลบาเนีย (Albania), สาธารณรัฐมาซิโดเนีย (Republic of Macedonia) และบัลกาเรีย (Bulgaria) ทางเหนือ และตูรกี (Turkey) ทางตะวันออก

ประเทศกรีกมีทะเลล้อมอยู่มาก โดยมีทะเล Aegean Sea ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ของประเทศ และมีทะเล Ionian Sea อยู่ทางฝั่งตะวันตก และมีทะเล Mediterranean Sea ทางด้านใต้ของประเทศ

ประเทศกรีกมีชายฝั่งหรือชายทะเลยาวเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือ 14,880 กิโลเมตร ทั้งนี้รวมถึงบริเวณชายฝั่งของเกาะซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 1400 เกาะ มี 227 เกาะที่ไม่มีประชากรอยู่อาศัย

รวมถึง Crete, Dodecanese, Cyclades, และเกาะ Ionian Islands ในพื้นที่ทั้งหมดของกรีกร้อยละ 80 เป็นภูเขา และรวมถึงภูเขาที่มีชื่อเสียง คือ Mount Olympus ซึ่งมีความสูงที่สุดคือ 2,917 เมตร

ประเทศกรีกโบราณ (ancient Greece) จัดเป็นจุดกำเนิดของอารยธรรมตะวันตก (Western civilization) เป็นจุดกำเนิดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (democracy) ปรัชญาตะวันตก (Western philosophy) จุดกำเนิดของกีฬาโอลิมปิคเกม์ (Olympic Games) วรรณกรรมตะวันตก (Western literature) วิทยาการว่าด้วยภูมิประวัติศาสตร์ (historiography) และรัฐศาสตร์ (political science) และรวมถึงวิทยาศาสตร์หลายแขนง หลักคณิตศาสตร์ (mathematical principles) นาฏกรรม ซึ่งรวมถึงโศกนาฏกรรม (tragedy) และตลก (comedy) กรีกมีโบราณสถานที่เป็น 1 ใน 17 ของโลก (UNESCO World Heritage Sites) ประเทศกรีในปัจจุบันเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1830 อันเนื่องมาจากการลุกขึ้นสู้กับการปกครองของจักรวรรดิออตโตมาน (Ottoman rule)

กรีกจัดเป็นประเทศพัฒนาแล้ว (developed country) มีลักษณะเศรษฐกิจที่คนมีรายได้สูง มีดรรชนีการพัฒนามนุษย์สูง (Human Development Index) จัดเป็นอันดับที่ 22 ของโลก เป็นประเทศสมาชิกที่ได้เข้าร่วมในสหภาพยุโรป (European Union) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981

เริ่มตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 2009 อันเป็นผลจากวิกฤติการเงินของโลกและการใช้จ่ายเงินอย่างไม่มีวินัยในระยะเลือกตั้งเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2009 กรีกประสบปัญหาด้านการเงินรุนแรงที่สุดนับแต่วิกฤติการเงินในปี ค.ศ. 1993 มีการตั้งงบประมาณใช้จ่ายที่ติดลบ หนี้ภาครัฐได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 94.6 ของรายได้ประชาชาติในปี ค.ศ. 2008 คือประมาณ125 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ในปี ค.ศ. 2010 ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 กรีกได้ปรับมาตรการการใช้จ่ายที่รุนแรงเพื่อควบคุมการใช้จ่ายเกินดุล และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำของสหภาพยุโรป จึงทำให้ได้รับเงินสนับสนุนเพื่อการแก้ปัญหา แต่กระนั้น ปัญหาของกรีกก็จะยังไม่หมดไปโดยง่าย และนับเป็นจุดเปราะบางหนึ่งในเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป

เศรษฐกิจของกรีก มีการส่งออกสินค้า (Exports) ปีละ USD18.64 พันล้าน (2009 est.) มีการนำเข้าสินค้า (Imports) USD61.47 พันล้าน (2009 est.) หรือเท่ากับเป็น 3 เท่าของการส่งออก

กรีกใช้เงินสกุลยูโร (Euro) ร่วมกับประเทศอื่นๆในเครือสมาชิกสหภาพยุโรป

อัตราคนว่างงานร้อยละ 11.6

อุตสาหกรรมหลักที่นำเงินเข้าประเทศคือ การท่องเที่ยว (tourism) การขนส่งเดินเรือ (shipping)

ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (Industrial products) อาหารและยาสูบ (food and tobacco processing) สิ่งทอ (textiles) เคมี (chemicals) ผลิตภัณฑ์โลหะ (metal products) เหมืองแร่ (mining) และปิโตรเลียม (petroleum)

ในด้านธุรกิจมีระดับความง่ายในการทำธุรกิจด้วย (Ease of Doing Business Rank) ในอันดับที่ 109 ของโลก

สินค้าส่งออก (Exports) USD18.64 พันล้าน (2009 est.)

สินค้าที่ส่งออก (Export goods) ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม (food and beverages) สินค้าผลิตแบบอุตสาหกรรม (manufactured goods), ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (petroleum products), เคมีภัณฑ์ (chemicals) สิ่งทอ (textiles)

ประเทศที่ส่งสินค้าออก (Main export partners) ได้แก่ อิตาลี (Italy) 11.5%, เยอรมัน (Germany) 10.5%, บัลแกเรีย (Bulgaria) 7.1%, ไซปรัส (Cyprus) 6.2%, สหรัฐอเมริกา (US) 5%, สหราชอาณาจักร (UK) 4.7%, และ โรเมเนีย (Romania) 4.4% (2008)

สินค้านำเข้ามูลค่า USD61.47 พันล้าน (2009 est.)

สินค้าที่นำเข้า (Import goods) ได้แก่เครื่องจักร (machinery) เครื่องมือด้านการขนส่ง (transport equipment) น้ำมันเชื้อเพลิง (fuels, chemicals)

มีการนำเข้าสินค้าหลัก (Main import partners) จากประเทศเยอรมันนี (Germany) 12.1%, อิตาลี (Italy) 11.7%, รัสเซีย (Russia) 7.4%, จีน (China) 5.6%, ฝรั่งเศส (France) 5.1%, และเนเธอร์แลนด์ (Netherlands) 4.7% (2008)

สังเกตได้ว่า การค้าขายของประเทศอย่างกรีกนั้นเป็นการค้าขายกับประเทศในภูมิภาคและกลุ่มสหภาพยุโรปเป็นหลัก การค้าขายกับจีนมีเพียงร้อยละ 5.6 แม้โดยคาดการณ์ได้ว่าจะมีการนำเข้าสินค้าจากจีนและตะวันออกมากขึ้นด้วยราคาสินค้าที่ถูกกว่า

ข้อมูลที่น่าตกใจคือมีหนี้ต่างประเทศ (Gross external debt) รวม USD552.8 พันล้าน (30 June 2009) จัดเป็นหนี้ภาครัฐ (Public debt) USD405.7 พันล้าน (113% of GDP)[6]

กรีกมีรายได้ (Revenues) ปีละ USD108.7 พันล้าน (2009 est.) มีรายจ่าย (Expenses) ปีละ USD145.2 พันล้าน (2009 est.)

มีเงินต่างประเทศสำรอง (Foreign reserves) USD3.473 พันล้าน (31 December 2008 est.)

ภาพ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
The current President of Greece, Karolos Papoulias.

ภาพ วิหาร The Parthenon on the Acropolis of Athens.

ภาพ อเลกซานเดอร์มหาราช กับม้าคู่ใจ
Alexander the Great
on his horse Bucephalus.