ทางเลือกของการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก
Keywords: บันทึกการศึกษา, education
diary, การศึกษา, education, การปฏิรูปการศึกษา,
education reform, การศึกษาทางเลือก, alternative
education, โรงเรียนขนาดเล็ก, small schools, rural schools
ความนำ
ภาพ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
จากข่าว “พงศ์เทพ - จ่อยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่ไร้ความจำเป็น”
เดลินิวส์-การศึกษา, วันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2556
เวลา 11:56 น.
"พงศ์เทพ"
จ่อยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่ไร้ความจำเป็นต้องคงอยู่
หากพบมีนักเรียนจำนวนน้อยไร้คุณภาพ และมีโรงเรียนดีใกล้เคียงรองรับ
ถือว่าอยู่ในข่ายยุบได้ทันที
วันนี้ (8พ.ค.) นายพงศ์เทพ
เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ
เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศเพื่อรับฟังนโยบายเตรียมความพร้อมรับเปิดภาคเรียน
2556 ว่า
ตนได้มอบนโยบายเกี่ยวกับโรงเรียนขนาดเล็กให้ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา
นำไปดำเนินการ
โดยถ้าโรงเรียนขนาดเล็กแห่งใดอยู่ในข่ายไม่จำเป็นต้องคงอยู่ก็ให้ยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กแห่งนั้น โดยโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในข่ายควรยุบรวมจะเป็นโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนน้อยมาก
เป็นโรงเรียนที่ด้อยคุณภาพและมีโรงเรียนใกล้เคียงที่มีคุณภาพรองรับ
ก่อนที่พ่อแม่ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปจะโกรธนายพงศ์เทพ
เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ที่มีข่าวว่าจะปิดโรงเรียนขนาดเล็กทั้งหลาย
เราลองตัดเรื่องอารมณ์ทั้งหมดออกก่อน
แล้วศึกษาเรื่องค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษากันสักเล็กน้อย
ในโลกนี้และรวมถึงประเทศไทย ไม่มีอะไรเป็นของฟรี
ที่เราได้เรียนฟรีในโรงเรียนของรัฐ
หรือไปรักษาฟรีตามสถานอนามัยหรือโรงพยาบาลของรัฐนั้น
แท้จริงคือเงินของเราที่ได้จ่ายเป็นภาษีอากรแก่รัฐ หรือเป็นเงินที่จ่ายโดยทางอ้อม
กล่าวคือ รัฐบาลเก็บภาษีจากผู้ประกอบการ แล้วผู้ประกอบการก็มาเพิ่มเข้าไปในค่าบริการหรือราคาสินค้า
ท้ายสุดจึงไม่มีอะไรเป็นของฟรี
ค่าใช้จ่ายทางการศึกษา
ก่อนที่จะใช้อารมณ์ ก็ลองใช้เวลาศึกษาข้อมูล และกลั่นกรองข่าวสารอย่างยังไม่ต้องตัดสินผิดถูก
โรงเรียนขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
และในค่าใช้จ่ายนั้นมาจากงบประมาณแผ่นดินเป็นส่วนใหญ่ เรายังไม่มีวัฒนธรรมและวิธีปฏิบัติที่ให้ท้องถิ่นเข้ามาเป็นเจ้าของจัดการศึกษาในท้องถิ่นของตน
เหมือนดังที่เป็นในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ
รายการค่าใช้จ่ายของโรงเรียนขนาดเล็กที่จะต้องเกิดขึ้น
โดยคิดเป็นมูลค่าแท้จริงต่อปี
โรงเรียนขนาดเล็ก
หมายถึงโรงเรียนที่มีผู้เรียนในแต่ละปีน้อยกว่า 60 คน ตามเกณฑ์ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอให้ปิด
ทั้งนี้โดยคิดตามเกณฑ์จำนวนผู้เรียน ตามความหมายแท้จริง
โรงเรียนขนาดเล็กแท้จริงคือมีผู้เรียน 120 คนหรือน้อยกว่า
No.
|
รายการ
|
หน่วยละ
|
จำนวน
|
บาท
|
ร้อยละ
|
1
|
อาคาร ค่าเช่า
|
50,000
|
12
|
600,000
|
23.7
|
2
|
ครู-ผู้บริหาร (5)
|
28,000
|
60
|
1,680,000
|
66.3
|
3
|
พนักงาน-ภารโรง (2)
|
6,000
|
24
|
144,000
|
5.7
|
4
|
ไฟฟ้า-น้ำ
|
4,000
|
12
|
48,000
|
1.9
|
5
|
วัสดุ-อุปกรณ์
|
50,000
|
1
|
50,000
|
2.0
|
6
|
อินเตอร์เน็ต
|
1,000
|
12
|
12,000
|
0.5
|
2,534,000
|
100.0
|
คำอธิบาย -
รายการที่ 1 ค่าอาคารสถานที่
โรงเรียนขนาดเล็กส่วนใหญ่มีสถานที่พร้อมอยู่แล้ว และด้านอาคารนั้น
ไม่ว่าจะมีผู้เรียนเท่าใด แต่ทุกโรงเรียนจะมีความเสื่อมโทรมเกิดขึ้นทุกปี
คิดได้ปีละ 5-10% ของมูลค่าอาคาร
ต้องมีงบประมาณซ่อมแซมเกิดขึ้นทุกปี ค่าเช่าสถานที่เหมารวมทั้งที่ดิน สนามหญ้า
เดือนละ 50,000 บาท หรือปีละ 600,000 บาท
ถือเป็นประมาณการราคากลางสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กมาตรฐานในชนบทของไทย
รายการที่ 2 ครูและผู้บริหารแบบราชการ
มีการกำหนดอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทน รวมสวัสดิการอยู่แล้ว
ปัจจุบันเงินเดือนขั้นต่ำได้เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 บาท/เดือน
แต่ต้องมีการปรับขั้นเพิ่มขึ้นทุกปี ครูและผู้บริหารให้คิดเป็นรายเฉลี่ยรวมเดือนละ
28,000 บาท จ่ายทุกเดือน จำนวน 5 คน
ฝ่ายบริหารก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้
รายการที่ 3 พนักงาน-ภารโรง
ผู้ทำหน้าที่ดูแลความสะอาด ตัดหญ้า ดูแลระบบน้ำและไฟฟ้า ซ่อมแซมเล็กๆน้อยๆ จำนวน 2
คน คิดอย่างต่ำเท่ากับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท/วัน
หรือเดือนละ 6,000 บาท
รายการที่ 4 ไฟฟ้า-ประปา
คิดเหมารวม เดือนละ 4000 บาท คิด 12 เดือน
วัสดุ-อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ กระดาษ หนังสือ
ซอฟต์แวร์ เหมารวมปีละ 50,000 บาท รายกการนี้อาจมีสูงกว่านี้
หากต้องจัดหาคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอแก่ผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, Laptops,
Tablets เหล่านี้คำนวณอายุการใช้งานที่ไม่เกิน 4 ปี
รายการที่ 5 อินเตอร์เน็ต
ใช้แบบ WiFi ระบบ ADSL เดือนละ 1,000
บาท หรือปีละ 12,000 บาท จะใช้บริการจากที่ไหน
ก็ราคาใกล้เคียงกัน ข้อสำคัญต้องให้มีในทุกโรงเรียนขนาดเล็ก
ค่าใช้จ่ายโดยรวมประมาณ 2,534,000 บาท
ซึ่งจะไม่แปรผันไปตามจำนวนผู้เรียน ลองดูที่ตัวเลขค่าใช้จ่ายประมาณการ
อย่างที่เอกชน แบบที่ฝ่ายสินเชื่อธนาคารเขาใช้เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเวลาปล่อยเงินกู้
คือคิดความเป็นไปได้ในความคุ้มกับเงินลงทุนเป็นหลัก
ลองเอาจำนวนนักเรียนในโรงเรียนเป็นตัวตั้ง
แล้วคิดค่าใช้จ่ายรายหัวประมาณการ
1.
หากมีผู้เรียน 60 คน คิดอัตราส่วนครู/อาจารย์ต่อผู้เรียน เท่ากับ 1:12 ค่าใช้จ่ายต่อหัวผู้เรียน 42,333 บาท/ปี
2.
ผู้เรียน 50 คน
= คิดอัตราส่วนครู/อาจารย์ต่อผู้เรียน เท่ากับ 1:10 ค่าใช้จ่ายต่อหัวผู้เรียน 50,680 บาท/ปี
3.
ผู้เรียน 40 คน
= คิดอัตราส่วนครู/อาจารย์ต่อผู้เรียน เท่ากับ 1:8 ค่าใช้จ่ายต่อหัวผู้เรียน 63,350 บาท/ปี
เท่ากับส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นดีในเมืองใหญ่
ซึ่งไม่ได้ใช้วัสดุอุปกรณ์ของรัฐเลย หรือเรียนในหลักสูตรนานาชาติ หรือ English
Program – EP ในโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐ
4.
ผู้เรียน 30 คน
= คิดอัตราส่วนครู/อาจารย์ต่อผู้เรียน เท่ากับ 1:6 ค่าใช้จ่ายต่อหัวผู้เรียน 84,467 บาท/ปี
เท่ากับส่งลูกไปเรียนในหลักสูตรนานาชาติ (International program)
สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่ 120 คนขึ้นไป คำนวณต้นทุนแท้จริงที่ 24,000-25,000 บาท/ปี
ถือเป็นมาตรฐานที่รับได้ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เมื่อผู้เรียนลดลง
แล้วจำนวนบุคลากรไม่ได้ลดลงนั้น เกิดขึ้นเพราะ
โรงเรียนในประเทศไทยมีการแบ่งเป็นชั้นปี (Graded schools) จะมีให้สมบูรณ์และคุ้มกับการมีปีละ
1 ชั้นเรียน
สูตรการคิด ที่ชั้นเรียนละ 25 คน X ห้อง
ก็ต้องมีนักเรียน 150 คน แต่หากมีจำนวนผู้เรียนน้อยกว่านี้
ก็ต้องยุบชั้นเรียนมารวมกัน เช่น ป 1 และ ป 2 รวมกัน; ป 3 และ ป 4 รวมกัน ส่วนชั้นประถมปลาย ป 5 และ ป 6 ครูต้องมีทักษะวิชาการ และความเชี่ยวชาญในเนื้อหาเพิ่มขึ้นในรายวิชา เช่นวิชา
คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, คอมพิวเตอร์และทักษะ ICT เป็นต้น
แต่หากระบบโรงเรียนเลือกใช้แนวทางโรงเรียนไม่มีระบบชั้นเรียน
(Non-graded school system) แล้วลดจำนวนครูประจำชั้นลง
ก็สามารถกระทำได้ แต่ต้องมีการฝึกอบรมครู ตลอดจนการพัฒนาทักษะการสอนในอีกแบบหนึ่ง
ข้อมูลที่แน่ชัด
จำนวนโรงเรียนขนาดเล็กในประเทศไทย
ตัวเลขโรงเรียนขนาดเล็กที่ต่ำกว่า 120 คน และต่ำกว่า 60 คนยังไม่ได้มีการสำรวจล่าสุด
หรือมีแล้วแต่ไม่ได้แจ้งในประชาชนทราบ
ข้อมูลที่กระทรวงศึกษาแสดงไว้นั้นล่าสุดเป็นปีพ.ศ. 2546 ซึ่งล้าหลังไปสัก
10 ปี
แต่จากข้อมูลคนในวงใน
โรงเรียนขนาดเล็กที่มีผู้เรียน 120 คนหรือต่ำกว่า
น่าจะอยู่ที่ประมาณ 17,000-18,000 โรงเรียน
และโรงเรียนที่มีผู้เรียน 60 คนหรือต่ำกว่า จะมีอยู่ประมาณ 7,000
– 8,000 โรงเรียน จำนวนโรงเรียนขนาดเล็กที่มีคนเรียน 60 คนหรือต่ำกว่า จะยิ่งเพิ่มขึ้นด้วย
ประชาชนย้ายไปอยู่ในเมือง (Urbanization)
ชุมชนคนชนบทลดลง ปัจจุบันตามสถิติ ประเทศไทยมีคนในภาคชนบทร้อยละ 65
แต่ในข้อเท็จจริง มีคนที่ย้ายไปทำงานในเมืองเพิ่มมากขึ้น
หรือไปอยู่ในชุมชนที่มีแหล่งงานมากขึ้น ในอีกไม่นานเกิน 20 ปี
สัดส่วนจะเปลี่ยนเป็นคนอยู่ในเมืองร้อยละ 65-70 ส่วนคนในภาคชนบทจะลดลงเหลือไม่ถึงร้อยละ
35
อัตราการเกิดของประชากรลดลง (Lower
population growth rate) ปัจจุบันลดลงเหลือ 0.6 ต่อปี จากที่เคยสูงที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประมาณ 3.4 - 4.1
ต่อปี หรือเทียบเท่ากับ 1 ใน 3 ของประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นสมาชิกชาติอาเซียนด้วยกัน เมื่อประชากรลดลง
จำนวนเด็กที่มีในโรงเรียนประถมศึกษาก็จะลดลงตามไปด้วย
ปัญหาที่โรงเรียนมีผู้เรียนลดลงเหลือ 20-30
คนนั้นมีจริง และโรงเรียนเหล่านี้มีผู้บริหารระดับ “ผู้อำนวยการ” (Director)
รับเงินเดือน 35,000 บาท
และครูเริ่มต้นที่เงินเดือน 15,000 บาท ก็มีให้เป็นจริงๆ
และโรงเรียนขนาดเล็กนี้มีบุคลากรทางการศึกษา 6-7 คน
ก็มีอยู่จริง
การศึกษาของชาติมีปัญหาจริงๆ
และต้องมีการศึกษาเพื่อหาทางแก้ไข
ใครมีอำนาจสั่งปิด
ดร. ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)
หากจะต้องปิดโรงเรียนขนาดเล็ก ใครมีอำนาจสั่งปิด
โดยตามกฎหมายการศึกษาของไทย
อำนาจสั่งปิดโรงเรียนเป็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยการได้รับความเห็นที่เสนอมาตามลำดับ
เริ่มตั้งแต่ท้องที่ ผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นๆ และเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมีอยู่ประมาณ
180 แห่งทั่วประเทศ
การที่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการออกมาให้ข่าวว่าเห็นด้วยกับการปิดโรงเรียนขนาดเล็กส่วนหนึ่งนั้น
เขาก็มีอำนาจหน้าที่ๆจะกระทำได้ และการส่งสัญญาณว่ามีนโยบายให้ปิด
ก็มีเหตุผลในเชิงตัวเลข แต่ในทางปฏิบัติ ผอ. เขตพื้นที่การศึกษา
ก็ต้องนำนโยบายนี้ไปตั้งคณะทำงานร่วมกับคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา
ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากประชาชนทั่วไป
ในทางปฏิบัติจริง ฝ่ายบริหารการศึกษาท้องถิ่น
ต้องทำประชาพิจารณ์ (Public hearing) กับผู้นำและประชาชนในท้องที่นั้นๆ
และต้องมีการศึกษาถึงทางเลือก (Alternatives) ให้แน่ชัดเป็นแต่ละเขต
และแต่ละโรงเรียนไป เพราะการปิดโรงเรียน ก็ยังไม่ใช่การลดค่าใช้จ่ายแท้จริง
โดยครูในส่วนที่เป็นข้าราชการนั้น จะไปปลดเขาออกไม่ได้ทันที ต้องรอให้เกษียณอายุ แล้วไม่มีการบรรจุกำลังคนเข้าทดแทน
ส่วนจะกระทำได้ทันที คือเพียงการย้ายครูและบุคลากรในโรงเรียนที่มีคำสั่งปิด ให้ไปทำงานในโรงเรียนอื่นๆ
ในต่างประเทศดังในสหรัฐอเมริกา
การจะเปิดโรงเรียนเพิ่มขึ้น เกี่ยวข้องกับการผูกพันงบประมาณค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายระยะยาวอื่นๆ
ก็ต้องไปทำประชามติ (Referendum) เพราะท้ายสุดมันจะต้องไปบวกในภาระค่าใช้จ่ายด้านภาษีบำรุงท้องที่ๆจะต้องเก็บเพิ่มขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง การจะสั่งปิดโรงเรียนนั้นเป็นเรื่องในท้องที่นั้นๆ
เพราะเมื่อมีประชาชนย้ายออก ฐานภาษีรายได้ลดลง
เขาก็ต้องหาทางตัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง การจะปิดโรงเรียนจึงเป็นเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกับท้องที่อยู่แล้ว
ทางเลือกในการตัดสินใจ
ทางเลือกในการจะปิดหรือจะเปิดโรงเรียนนั้นเป็นส่วนการผูกพันด้านบริการการศึกษา
จะดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิผล
ทำให้เด็กๆและเยาวชนได้รับการศึกษามีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันอย่างไร โดยทั่วไป
โรงเรียนขนาดเล็กจะมีต้นทุนทางการศึกษาสูงกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่กว่า
แต่จะไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป กล่าวคือ เมื่อมีการยุบโรงเรียน
สิ่งที่จะตามมาคือการต้องมีระบบขนส่งนักเรียน หรือ School busing มารองรับ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากๆ
การจะตัดสินใจในทิศทางใดๆ
ก็ต้องมีการศึกษาทางเลือก และผลกระทบให้ชัดเจน
การมีระบบขนส่งรองรับ
หากมีการขนส่งนักเรียน (Busing system) ขึ้นมาเมื่อใด ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง คิดง่ายๆ คือกิโลเมตรละ 2
บาท/คน สมมุติว่าเด็กโดยเฉลี่ย 1 คนอยู่ห่างโรงเรียน
5 กิโลเมตร เดินทางไปกลับวันละ 2 ครั้ง/วัน
ปีการศึกษาละ 220 วัน คิดเป็นระยะทางรวม 2200 กิโลเมตร คิดเป็นเงินค่าเดินทาง 4,400 บาท
ซึ่งโรงเรียนขนาดเล็กจะไม่มีค่าใช่จ่ายด้านนี้ นอกจากนี้
เมื่อเด็กจำนวนหนึ่งได้สิทธิในการรับค่าเดินทางไปโรงเรียน ความจริงจะพบว่ามีเด็กอื่นๆที่ยังไม่ได้รับสิทธิ
แต่อยู่ห่างจากโรงเรียนในระดับเดียวกันหรือมากกว่าอีกหลายๆคน ซึ่งรัฐบาลก็ต้องพิจารณาให้เกิดความเป็นธรรม
และจะกลายเป็นการเรียกร้องสิทธิที่จะตามมาอีกมากมาย เป็นผลกระทบแบบลูกโซ่
การจัดระบบการศึกษาใหม่
การจัดระบบการศึกษาใหม่
ปรับปรุงให้โรงเรียนขนาดเล็กมีกิจกรรมการศึกษาที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น (Quality
Improvement) นักเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองได้รับบริการการศึกษาที่ดี
ไม่ต่างจากโรงเรียนขนาดใหญ่ ทั้งนี้อาจใช้นวตกรรมที่หลากหลาย ตามแต่ความเหมาะสม
เช่น
·
การสลับครูอาจารย์ที่มีคุณภาพ
ให้เดินทางไปสอนเสริมให้กับโรงเรียนขนาดเล็ก (Teacher commuting) ซึ่งทางระบบการศึกษาก็ต้องไปพิจารณาการมีงบประมาณด้านการเดินทางของครูที่ต้องขับรถ
หรือขี่จักรยานไปสอนในที่อื่นๆ
·
การขนส่งให้นักเรียนได้ไปเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่กว่า
ในบางสายวิชา เป็นครั้งคราวไป (Student commuting) ซึ่งเป็นกิจกรรมในบางห้อง
บางวิชา ไม่ใช้ทุกวัน
·
การใช้ระบบการศึกษาออนไลน์เข้าช่วย (ICT
for Education) ซึ่งต้องไปเน้นที่มีเครื่องมือใช้สอยด้าน ICT
อาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ การส่งเสริมให้เด็กนักเรียนมีคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว
(Notebooks, laptops) คอมพิวเตอร์แบบแทบเล็ต (Tablet
PCs)
·
การลดตำแหน่งผู้บริหารของโรงเรียนขนาดเล็ก
(Cluster schools) และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบโรงเรียนร่วม
เหมือนธนาคารที่เขามีสาขาที่ต้องมีขนาดใหญ่ระดับหนึ่ง แต่ Kiosks เป็นแผงบริการแลกเปลี่ยนและบริการเงินตรา
หรือการเปิดตู้บริการเงินอัตโนมัติ (Automatic Telling Machines- ATM) นั้นสามารถกระทำได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
แต่สามารถให้บริการที่ดีขึ้นรองรับได้
การส่งเสริม “โรงเรียนชุมชน”
การปรับโรงเรียนของรัฐบาลกลาง (Central
government) ไปสู่การเป็นโรงเรียนของท้องถิ่นและชุมชน
วิธีการที่จะทำได้มีอีกแบบหนึ่ง
คือการปรึกษากับชุมชน เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล วัด หมู่บ้าน หรือชุมชน
ให้เข้ามาดูแลการศึกษา โดยทางรัฐบาลผ่านกระทรวงศึกษาธิการ
และเขตพื้นที่การศึกษาจัดเงินให้ในรูปค่าใช้จ่ายสนับสนุนการศึกษาในแบบเหมาจ่ายเงินสนับสนุนการศึกษาแบบรายหัว
(Cost Per Head) ส่วนท้องที่รับโอนไปดำเนินการเอง ซึ่งเขาอาจหารายได้ส่วนอื่นๆมาเสริมเพิ่มขึ้นได้
การให้ท้องถิ่นดูแล หมายความว่า ให้เขามีความเป็นอิสระที่จะจัดการศึกษาให้ได้อย่างมีคุณภาพ
ตามมาตรฐานที่กำหนด แต่ในการบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป ให้เขาไปดำเนินการเอง
เขาอาจจ้างครูและบุคลากรทางการศึกษาในอีกแบบหนึ่ง
อาจหาอาสาสมัครในชุมชนมาช่วยกันจัดการเรียนการสอนได้ หากการใช้สถานที่ไม่คุ้มกับโอกาสและค่าใช้จ่าย
ชุมชนอาจขยายบริการการศึกษาไปสู่เรื่องอื่นๆ เช่นการศึกษาผู้ใหญ่ การพัฒนาอาชีพ
การดูแลสุขภาพประชาชน หรือพัฒนาเป็นแหล่งสร้างรายได้
เพื่อนำมาสนับสนุนการศึกษาอื่นๆ
บทสรุป
การจะปิดหรือจะเปิดโรงเรียน ต้องไม่พิจารณาค่าใช้จ่ายเพียงในด้านของโรงเรียน
แต่ต้องไปพิจารณาโอกาสและค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ ชุมชน
เพราะมันมีเรื่องของค่ารับส่งนักเรียน ค่าเดินทางของครูอาจารย์
ตลอดจนค่าเสียเวลาของพ่อแม่เข้ามาเกี่ยวข้อง และขณะเดียวกัน อย่ามองว่าเป็นปัญหา
เพรามันเป็นโอกาสของท้องถิ่นที่จะได้มีวิธีการคิดและสร้างทางเลือกในการพัฒนาตนเองด้วย
จุดหมายของการปรับปรุงระบบการศึกษา
ที่สำคัญที่สุด คือการจัดการศึกษาสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก ทั้งระดับประถมศึกษา
และมัธยมศึกษา ให้ได้มีคุณภาพที่ทัดเทียมกัน
ทั้งนี้ให้คิดถึงโอกาสที่จะใช้นวตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา
การมีอาคารสถานที่อยู่ในชุมชน หรือใกล้ชุมชนที่เป็นของสาธารณะนั้นก็เป็นโอกาสที่ดีอยู่แล้ว
เพียงแต่จะไปคิดสร้างสรรค์อย่างไรที่จะใช้ประโยชน์ให้ได้เต็มที่
ข้อชวนคิด หากมองในแง่ดี
การที่เสนอว่าจะปิดโรงเรียนขนาดเล็ก แล้วประชาชนแบบไม่เลือกสี กลับหันมาถล่มรัฐบาลนั้น
ต้องถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ประชาชนเริ่มหันมาคิดด้านค่าใช้จ่าย
บางคนไปเปรียบเทียบกับงบประมาณ 7 ล้านบาทที่จ่ายให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบ;
ค่าใช้จ่ายดูแลหมีแพนด้า 1 ตัวในหนึ่งปีเท่ากับ
30 ล้านบาท; ค่าจ่ายเงินสนับสนุนซื้อรถยนต์คันแรกถึงคันละ
100,000 บาท กับจำนวนรถนับแสนๆคัน; งบประมาณสนับสนุนรับจำนำข้าวที่ไม่มีคนมารับถ่ายคืนอีก
350,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งอาจมีการสูญเสียไปเกือบร้อยละ 50;
หรืองบประมาณการพัฒนารถไฟฟ้าความเร็วสูง (High Speed Rail
System – HSR) ถึง 2,000,000 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับการลงทุนเพื่อการศึกษา ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุด
และใช้เงินน้อยกว่า แต่รัฐบาลกลับไม่เห็นความสำคัญ
ภาพ นักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กมีความหลากหลาย ดังในภาพ เป็นนักเรียนลูกหลานชาวเขา มีข้อจำกัดด้านการเดินทางในที่กันดาร
ภาพ ระบบขนส่งนักเรียนในเขตชนบท ก็มีความแตกต่างจากรถรับส่งนักเรียนของโรงเรียนเอกชนในเขตเมิองใหญ่
ภาพ ในโรงเรียนในเขตเมือง จะมีจำนวนผู้เรียนมาก สามารถจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า
ภาพ การจัดการศึกษาในโรงเรียนชนบท มักจะมีข้อจำกัดในหลายๆด้าน
No comments:
Post a Comment