มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่น
ต้องก้าวสู่ความเป็นนานาชาติมากขึ้น และอย่างรวดเร็ว
ศึกษาและเรียบเรียงจาก “Learning Curve: With a Push, Japan’s
Universities Go Global.” เขียนโดย LUCY BIRMINGHAM / TOKYO
| September 17, 2012 |
Keywords: brain drain, competitiveness, demographics,
Education, education rankings, Globalization, Japan, Japanese schools, Japanese
universities, Asia, Japan, World
เพื่อให้ประเทศญี่ปุ่นยังสามารถแข่งขันได้ในตลาดแรงงานโลก
ญี่ปุ่นต้องเปิดรับนักศึกษา ครูอาจารย์จากต่างชาติ
และส่งเสริมการเรียนการสอนแบบสองภาษา และส่งเสริมให้นักศึกษาญี่ปุ่นไปศึกษาต่อต่างประเทศ
ภาพ University students take part in a job expo in Tokyo on Jan. 8, 2011
นักศึกษามหาวิทยาลัยญี่ปุ่น กำลังเข้าร่วมในมหกรรมจัดหางานในกรุงโตเกียว วันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2011
ญี่ปุ่นต้องเปิดรับนักศึกษาต่างชาติ
เพราะประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจที่หดตัว ประชากรมีอายุมากขึ้น
คนในวัยทำงานมีอย่างจำกัด ในขณะที่โลกภายนอกกำลังก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว
ญี่ปุ่นเองจึงต้องก้าวสู่ความเป็นนานาชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนที่ต้องนำก่อนคือมหาวิทยาลัย
โดยมีเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ต้องปรับมหาวิทยาลัยให้มีความเป็นสากล (Cosmopolitan)
ต้อนรับนักศึกษาและครูอาจารย์นานาชาติ
ส่งเสริมการเรียนการสอนสองภาษา (Bilingual programs) และสนับสนุนให้นักศึกษาญี่ปุ่นได้เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ
คานิอากิ ซาโตะ (Kuniaki Sato) รองผู้อำนวยการสำนักอุดมศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า “โลกกำลังก้าวสู่ความเป็นนานาชาติ
ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม”
แต่ทั้งๆที่รู้
แต่การเปลี่ยนแปลงในญี่ปุ่นก็เป็นไปอย่างช้าๆ และหนทางยังอีกยาวไกล
แม้ว่าจะมีการจัดหาทุนการศึกษาให้เป็นหลายพันล้านเยน
และส่งเสริมทุนการศึกษาให้นักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาในประเทศญี่ปุ่น
แต่จากช่วงปี ค.ศ. 1950s จนถึงปี ค.ศ. 2009-2011 มีเพียงร้อยละ 4 ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น 750-760
แห่ง ที่มาจากประเทศอื่นๆ ส่วนอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นเองที่อยากได้คณาจารย์ที่มีความหลากหลายจากนานาประเทศ
ก็มีเพียงร้อยละ 5 ที่เป็นอาจารย์จากต่างประเทศ และส่วนใหญ่ของอาจารย์เหล่านี้คืออาจารย์ที่มาสอนภาษาอังกฤษ
ส่วนโครงการที่ส่งเสริมให้นักศึกษาญี่ปุ่นไปศึกษาต่อต่างประเทศนั้น ร้อยละ 50
ต้องออกกลางครัน
บางคนโทษคนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นที่มีลักษณะมองเพียงภายในอย่างแคบๆ
(Inward-looking) และปัญหาเช่นนี้เป็นผลจากสถาบันการศึกษา
ญี่ปุ่นมีปีการศึกษาที่เริ่มในเดือนเมษายน แทนที่จะเป็นเดือนกันยายนเหมือนนานาชาติ
นอกจากนี้ก็ยังมีความซับซ้อนในการเปรียบเทียบการโอนหน่วยกิต ความคลาดเคลื่อนต่างกันในเรื่องการจัดเวลาเรียนกับต่างประเทศ
ทำให้นักศึกษาญี่ปุ่นเป็นกังวล
เพราะมันทำให้เขาเสียโอกาสในการสมัครงานในประเทศญี่ปุ่น
เพราะเริ่มตั้งแต่เรียนชั้นปีที่สามในมหาวิทยาลัย นักศึกษาญี่ปุ่นต้องเริ่มหางานกันแล้ว
และหากเขาต้องไปศึกษาต่อต่างประเทศ เขาก็จะพลาดโอกาสงานนี้
เพื่อให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศ
มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนแปลง ในปัจจุบัน
มหาวิทยาลัยแม้ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นก็ไม่ได้ถูกจัดอันดับให้สูงนักเมื่อเทียบกับนานาชาติ
มหาวิทยาลัย University of Tokyo ที่มีชื่อเสียงที่สุด
อยู่ในอันดับที่ 30 เมื่อเทียบกับนานาชาติ Kyoto
University มหาวิทยาลัยอันดับสองของญี่ปุ่น อยู่ในอันดับที่ 52
เมื่อเทียบกับนานาชาติ
และมหาวิทยาลัยอันดับสามของญี่ปุ่นที่เป็นมหาวิทยาลัยเยี่ยมยอดทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คือ Tokyo Institute of Technology (TIT) ก็จัดอยู่ในอันดับที่ 108 เมื่อเทียบกับนานาชาติ
Yoshinao Mishima อธิการบดีคนใหม่ของมหาวิทยาลัย
ซึ่งอยู่เบื้องหลังการผลักดันเพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่าง TIT ของญี่ปุ่นกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
“ในการส่งนักศึกษาญี่ปุ่นไปศึกษาต่างประเทศเป็นการแลกเปลี่ยน
เราต้องการให้คณาจารย์ของเรา ได้รับการฝึกอบรมในสหรัฐอเมริกา
และให้มีการจ้างคณาจารย์จากต่างประเทศเข้ามาทำงานสอนในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น
ซึ่งก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง”
ในความพยายามก้าวสู่ความเป็นนานาชาติ
มหาวิทยาลัย Doshisha University ที่อยู่ในเมืองเกียวโต (Kyoto)
เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยไม่กี่แห่งที่มีคณาจารย์เต็มเวลาที่เป็นชาวต่างชาติ
ดังเช่น ศาสตราจารย์เกรกอรี่ พูล (Gregory Poole)
ซึ่งถูกดึงตัวจ้างมาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เพื่อมาสอนในสถาบันศิลปศาสตร์ที่
Doshisha ซึ่งโครงการนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนเมษายน
ค.ศ. 2011 วิชาที่เปิดสอนที่นี่สอนเป็นภาษาอังกฤษ
โดยมีการรับนักศึกษาต่างชาติปีละ 50 คน
และนักศึกษาชาวญี่ปุ่นจากภาควิชาอื่นๆก็สามารถเข้าร่วมเรียนได้ “เราพยายามนำสิ่งใหม่เข้ามาล้างความอนุรักษ์เดิม”
ศาสตราจารย์พูลกล่าว “แต่เราก็กำลังทำให้มันเป็นผลสำเร็จ”
มหาวิทยาลัย Tokyo University ได้ผลักดันโครงการชื่อโทดาอิ (Todai)
ซึ่งผลักดันให้มีโปรแกรมการเรียนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นใน 2 โปรแกรมระดับปริญญาตรี
โดยจะเริ่มในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 นี้ โดยมีนักศึกษา 38
คนจาก 14 ประเทศเข้าร่วม
นักศึกษาชาวญี่ปุ่นเองสามารถเข้าร่วมเรียนได้ในชั้นปีที่ 3 และ
4 แต่การเลือกเปิดสอนในระดับปริญญาตรีเป็นภาษาอังกฤษในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นเรื่องใหม่
ต้องใช้เวลาในการพัฒนา
โปรแกรม Todai นั้น
ขณะที่มีนักศึกษาต่างชาติมาเรียนร้อยละ 18 ในระดับบัณฑิตศึกษา
แต่ระดับปริญญาตรีแล้วมีเพียงร้อยละ 5 ที่เป็นนักศึกษาต่างชาติ
และก็ยังไม่มีโปรแกรมแลกเปลี่ยนนักศึกษาอย่างเป็นทางการในขณะนี้
ความจริงการผลักดันให้ก้าวสู่ความเป็นนานาชาตินั้นเริ่มจากบนสู่ล่าง
คือเริ่มจากกระทรวงศึกษาธิการ ดังโครงการ Global 30 initiative เริ่มในปี ค.ศ. 2008 เป้าหมายคือการให้มีนักศึกษาต่างชาติ
300,000 คน เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยที่เลือกสรรแล้ว 30
แห่ง ภายในปี ค.ศ. 2020 แต่เพราะสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย
จาก 30 จึงถูกตัดทอนเหลือ 11 สถาบันที่ได้เข้าร่วมโครงการ
และมันก็เป็นการยากที่จะหาเงินสนับสนุนโครงการที่เพิ่งจะเริ่มการก้าวสู่ความเป็นนานาชาติ
ในอีกด้านหนึ่ง นโยบายของรัฐบาลกลางก็เปลี่ยนไป
คือแทนที่จะดึงเอานักศึกษาต่างชาติมาศึกษาต่อในประเทศญี่ปุ่น โครงการใหม่ คือ Global
30 Plus จะเป็นการส่งนักศึกษาระดับปริญญาตรีของญี่ปุ่นไปศึกษาต่อต่างประเทศในมหาวิทยาลัยที่มีความร่วมมือกัน
แทนที่จะเป็นการดึงนักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนในประเทศญี่ปุ่น เป้าหมายคือเพื่อปรับปรุงเศรษฐกิจญี่ปุ่น
คือให้นักศึกษาญี่ปุ่นได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ และขณะเดียวกัน
ก็ได้ไปทำงานในบริษัทญี่ปุ่นที่จะทำการค้าไปทั่วโลกอยู่แล้ว ในแนวทางนี้
น่าจะเป็นผลดีมากกว่า
แต่ความสำเร็จของนักศึกษา
ก็อาจทำให้เป้าหมายไม่ได้เป็นไปอย่างที่รัฐบาลต้องการ ตัวอย่าง Keisuke
Kido ผู้จบการศึกษาจาก APU ในปี ค.ศ. 2007
เขาได้จัดตั้งบริษัทธุรกิจจัดการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมาเลเซีย
เพื่อช่วยให้คนญี่ปุ่นได้ลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษใกล้กับสิงค์โปร์
“จริงๆแล้วใฝ่ฝันอยากกลับไปญี่ปุ่น
และเริ่มธุรกิจใหม่ที่นั่น แต่เพราะสถานะทางการเมืองในประเทศญี่ปุ่นปัจจุบันยังไม่ดีนัก
เงินเยนก็แข็งค่าเกินไปที่จะทำธุรกิจจากญี่ปุ่น เมื่อที่นี่ธุรกิจกำลังไปได้ดี
จึงคิดว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ”
No comments:
Post a Comment