การก้าวสู่การเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ (US.
Presidency)
Keywords: การเมือง, การปกครอง, สหรัฐอเมริกา, USA,
United States, presidency, ประธานาธิบดี
ภาพ บารัค โอบาม่า กับมิท รอมนีย์
กำลังโต้วาทีรอบที่สาม วันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2012
กว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีประชากร
300 ล้านคน ต้องประกาศตัวล่วงหน้านับเป็นปี มักต้องผ่านงานบริหารภาครัฐ (ส่วนใหญ่)
เป็นผู้ว่าการรัฐ วุฒิสมาชิก นายกเทศมนตรีของเมืองใหญ่ หรือรองประธานาธิบดี
แล้วต้องพิสูจน์ตัวเองจนได้เป็นตัวแทนของพรรคการเมืองใหญ่ อย่างดีโมแครต (Democrat
Party) หรือรีพับลิกัน (Republican Party) แล้วต้องตระเวนหาเสียงไปทั่วประเทศ
หากร่างกายและจิตใจไม่แข็งแกร่งจริง คงหลุดไปตลอดเส้นทางการแข่งขันนี้
แต่ที่สำคัญที่ต้องกล้าเผชิญหน้า โต้วาที (Debate)
กับคู่แข่งขัน แสดงความรู้ความสามารถ สติปัญญา วิสัยทัศน์
ความอดทนทางอารมณ์ (Emotional Tolerance) แล้วที่สำคัญที่สุด
คือการลงคะแนนเสียงของประชาชน ซึ่งจะมี 4 ปี 1 ครั้งในราวเดือนพฤศจิกายน
การเลือกผู้นำที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีหัวหน้าคณะรัฐบาล
อยากให้ผ่านกระบวนการอย่างของเขาบ้าง
เพราะประเทศไทยยามวิกฤติต้องการผู้นำประเทศตัวจริง ไม่ใช่นายกฯระบบตัวแทน
ข้อมูลพื้นฐาน
การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญที่สุดของประเทศ
เป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร
ประธานาธิบดีสหรัฐจัดว่าเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศ
และในหลายๆยุคสมัย จัดว่ามีอำนาจมากที่สุดในโลก แต่ก็เป็นอาชีพที่เสี่ยง
โดยประธานาธิบดีสหรัฐเสียชีวิตจากการลอบสังหารในระหว่างดำรงตำแหน่ง 4 ท่าน คือ Abraham Lincoln, James A. Garfield, William McKinley และ John F. Kennedy
นอกจากนี้ยังมีความพยายามสังหารที่ทำให้ประธานาธิบดีเฉียดตายอีกอย่างน้อยคนละ
2 ครั้ง ซึ่งมีรายชื่อดังนี้
Andrew Jackson, Abraham Lincoln (เสียชีวิตจากลอบสังหาร),
Theodore Roosevelt, Franklin D. Roosevelt, Harry S Truman, John F. Kennedy (เสียชีวิตจากลอบสังหาร), Richard Nixon, และ Gerald
Ford
อาชีพการเป็นประธานาธิบดีจึงเป็นงานที่มีความเสี่ยง
แม้จะมีกระบวนการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดมาก
ในด้านรายได้ ประธานาธิบดีสหรัฐมีเงินเดือนปีละ USD400,000 หรือประมาณ 12 ล้านบาท มีเงินใช้จ่ายอื่นๆให้อีก USD50,000 เงินค่าเดินทางปีละ USD100,000
และเงินค่าเลี้ยงรับรองอีก USD19,000
การขึ้นเงินเดือนครั้งสุดท้ายในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตันในปี ค.ศ. 1999 และมีผลในปี ค.ศ. 2001 ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าตอบแทนของคนทำหน้าที่ผู้บริหารองค์การเอกชนขนาดใหญ่แล้ว
ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐถือว่ามีรายได้ไม่มาก แต่เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ มีอำนาจ
และมีความสำคัญต่อประเทศ
ภาพ ทำเนียบประธานาธิบดี หรือ The White House
ที่พักประธานาธิบดีสหรัฐคือ "บ้านสีขาว"
หรือ “ทำเนียบขาว” หรือ The White House อยู่ที่เมืองหลวงของประเทศคือ
Washington, D.C. ประธานาธิบดีสามารถใช้บริการเจ้าหน้าที่ทำเนียบ
วัสดุอุปกรณ์ บริการสุขภาพ สันทนาการ การดูแลรักษาความสะอาด
และบริการด้านความปลอดภัย
มีสถานที่ตากอากาศเป็นส่วนตัวในหน้าที่ประธานาธิบดี
มีชื่อรู้จักกันว่า Camp David เป็นสถานที่ในการดูแลของกองทัพเรือที่
Naval Support Facility Thurmont อยู่ในเขต Frederick
County, รัฐ Maryland เป็นที่พักผ่อนที่มีระบบดูแลความปลอดภัยในระดับสูงสุดสำหรับประธานาธิบดีและแขกที่มาร่วมพัก
Blair House เป็นส่วนขยายของอาคารสำนักงานฝ่ายบริหาร
White House Complex และ lafayette Park มีพื้นที่รวม 6,500 ตรม.
ทำหน้าที่เป็นบ้านรับรองของแขกประธานาธิบดี (official guest house) และเป็นบ้านสำรองสำหรับประธานาธิบดีหากมีความจำเป็น
ในการเดินทางภาคพื้นดิน ประธานาธิบดีมีรถยนต์ทางการหุ้มเกราะ
(Armored limousine) ดัดแปลงจากโครงสร้าง Cadillac อันจัดเป็นรถที่หรูที่สุดของสหรัฐ มีเครื่องบิน Boeing VC-25 สองลำมีลักษณะเหมือนกัน ซึ่งเป็นเครื่องบินดัดแปลงจาก Boeing
747-200B สำหรับการเดินทางไกล ซึ่งเรียกกันว่า Air force One
นอกจากนี้ ประธานาธิบดียังใช้เฮลิคอปเตอร์ของหน่วยนาวิกโยธิน (US
Marine Corps helicopter) เรียกว่า Marine One เมื่อประธานาธิบดีเรียกใช้
หน่วยรักษาความปลอดภัยมีหน้าที่ดูแลประธานาธิบดีและครอบครัว
ดูแลประธานาธิบดีขณะดำรงตำแหน่ง รวมถึงภริยา บุตรธิดา
และสมาชิกระดับใกล้ของครอบครัว และบุคคลสำคัญอื่นๆโดยมีชื่อเป็นรหัส (Secret
Service codenames)
กระบวนการเลือกประธานาธิบดีเป็นเรื่องที่ใช้เวลาและทรัพยากร
คนที่จะมีสิทธิสมัครับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1.
เป็นประชากรของประเทศสหรัฐโดยกำเนิด (Natural-born
citizen)
2.
มีอายุไม่น้อยกว่า 35 ปี
3.
เป็นผู้พักอาศัยในประเทศสหรัฐอย่างถาวร อย่างน้อย 14 ปี
นอกจากนี้ก็คือ
ในกรณีที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 1 สมัย
จะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งได้อีกเพียง 1 สมัย คือรวมแล้วดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ไม่เกิน
2 สมัย 8 ปี
การโต้วาที
การโต้วาทีจะมีความสำคัญในการโน้มน้าวผู้เลือกตั้งในรัฐที่คะแนนยังใกล้เคียงก่ำกึ่งกัน
การชนะและโน้มน้าวในรัฐที่เป็นตัวตัดสินนี้มีผลต่อการเลือกตั้ง
การโต้วาทีระหว่างผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีของทั้งสองพรรค
คือพรรคดีโมแครต และพรรครีพับลิกัน มิได้เป็นเงื่อนไขบังคับ
แต่โดยประเพณีในยุคที่สื่อโทรทัศน์มีความสำคัญอย่างมากในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน
ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากสองพรรคใหญ่จึงรับการโต้วาทีออกโทรทัศน์กันจนเป็นประเพณี
แต่การโต้วาทีนี้ ที่จริงก็มิได้จำกัดเฉพาะ 2 พรรคหลัก
ในสมัยที่นายรอส เพโร (Ross Perot) สมัครรับเลือกตั้งในนามผู้สมัครอิสระในปี
ค.ศ. 1992 ซึ่งถือว่าเขาเป็นผู้สมัครรรับเลือกตั้งในนามผู้สมัครอิสระที่สำคัญ
เขาก็ได้รับเลือกให้ร่วมโต้วาทีรวมเป็นสามฝ่ายด้วย
No comments:
Post a Comment