Monday, July 25, 2011

สุภาษิตเยอรมัน “อยู่ไกลกัน ใจก็ห่างกัน” (2)

สุภาษิตเยอรมัน “อยู่ไกลกัน ใจก็ห่างกัน” (2)

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: Pracob@sb4af.org

มีสุภาษิตเยอรมันหนึ่งกล่าวว่า “Aus den Augen, aus dem Sinn.” หรือเป็นภาษาอังกฤษว่า “Out of sight, out of mind.” แปลเป็นไทยได้ความว่าอยู่ไกลกัน ใจก็ห่างกันหรืออยู่ไกลกัน ก็ลืมกันได้ง่าย

ผมได้นำเสนอบทความว่าด้วย “อยู่ไกลกัน ใจก็ห่างกัน” (ดูใน http://pracob.blogspot.com/2009/04/blog-post_8128.html ) เอาไว้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่วันนี้อยากจะเล่าเรื่องจริงให้ฟังเป็นข้อคิดอีกสักครั้ง

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่เพิ่งทราบว่าเขาได้หย่าร้างกับภรรยาแล้ว ทั้งๆที่มีลูกด้วยกัน 2 คน ปกติผมไม่ค่อยชอบคุยเรื่องส่วนตัวของลูกศิษย์ เพราะสอนวิชาด้านการบริหาร การศึกษา และความเป็นผู้นำ ไม่ได้สอนวิชาจริยธรรม

ลูกศิษย์คนนี้เป็นชายในวัยประมาณ 30 กว่าปี ได้ทำงานเป็นข้าราชการครู ณ โรงเรียนในจังหวัดหนึ่งในอีสานตอนใต้ ส่วนภรรยาทำงานเป็นครูเหมือนกัน ทำงานในอีกจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบน ที่ห่างไปประมาณ 350 กิโลเมตร สามีทำงานเป็นครู มีรายได้ไม่พอ จึงประกอบกิจการเล็กๆเป็นรายได้เสริม ต้องทำงานทั้งเสาร์และอาทิตย์ ไม่ค่อยมีเวลากลับไปเยี่ยมครอบครัว บางทีนับเป็นเดือนๆไม่เคยได้กลับบ้าน ฝ่ายญาติภรรยาก็มีข่าวไปบอกฝ่ายหญิงว่า สงสัยฝ่ายชายจะไปชอบพอผู้หญิงอื่น เพราะไปพบเห็นเขากับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ แต่เมื่อผมถามลูกศิษย์ชายคนนี้ เขาบอกว่าไม่มีอะไรกัน

ท้ายสุด ด้วยความระแวงกัน ฝ่ายหญิงยื่นคำขาดว่าและพร้อมร้องเรียนในทางผู้บังคับบัญชาของฝ่ายชาย หากไม่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ก็ให้เลิกกันไปเสีย ความที่ต่างมีอารมณ์และไม่สื่อสารกันให้รู้เรื่อง เลยนำไปสู่การต้องหย่าร้างกันไปจริงๆในที่สุด

เรื่องที่เล่ามานี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากฝ่ายชาย ข้อเท็จจริงอาจมีมุมมองอื่นๆอีกได้ แต่อย่างไรก็ตาม การที่สามีภรรยาต้องหย่าร้างกัน เพราะต่างคนต่างต้องอยู่ไกลกันนี้ เป็นเรื่องที่ต้องเตือนสติแก่ทุกฝ่าย บางทีอนาคตการงานพาไป ทำให้สามีภรรยาต้องอยู่แยกกัน พวกที่ทำงานในหน่วยงานที่ต้องมีการโยกย้ายจะประสบปัญหาเหล่านี้ดี ไม่ว่าจะเป็นพวกการทูต การต่างประเทศ มหาดไทย กลาโหม การศึกษา การบิน ธนาคารส่วนภูมิภาค วิศวกรโยธา ปิโตรเลียม ฯลฯ งานเหล่านี้มักต้องย้ายไปตามงานที่เขาสั่งให้ไปทำ คนที่เลือกงานเหล่านี้ก็ต้องทำใจระดับหนึ่ง และปรับชีวิตให้ดำรงอยู่ได้อย่างอบอุ่นในครอบครัว ต้องทนุถนอมความสัมพันธ์ในครอบครัวเอาไว้อย่างดีที่สุด ต้องเห็นใจกัน สื่อสารกัน เข้าใจกัน และให้อภัยแก่กัน จึงจะผ่านช่วงที่อาจวิกฤติต่อชีวิตครอบครัว

ผมอาจเป็นคนโบราณที่เห็นความสำคัญของครอบครัว เพราะเห็นว่า เด็กๆที่เกิดมานั้น หากมีครอบครัวที่ดีมีความอบอุ่น ลูกๆย่อมได้รับการเลี้ยงดูที่ดีกว่าครอบครัวที่ต้องแตกแยก แต่ขณะเดียวกัน ก็ยอมรับสภาพว่า หากขัดแย้งกันทะเลาะกันเป็นประจำ ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ก็ไม่ควรจะอยู่กันต่อไปอย่างที่ทำให้ลูกๆต้องมีบาดแผลทางใจ แต่หากดูแลกันได้ ก็ควรจะคิดให้ดีก่อนตัดสินใจแต่งงาน และเมื่อแต่งงานแล้ว ก็ต้องรู้จักหันหน้ามาปรึกษาหารือกัน หาทางออกของครอบครัวร่วมกัน และต้องช่วยกันดูแลครอบครัวไปให้ดีที่สุด

ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ ให้เลือกงานและอาชีพที่อย่างน้อยทั้งสองฝ่ายมีเวลาแก่ครอบครัว ได้อยู่ร่วมกันตามสมควร อย่าต้องอยู่ห่างกัน หรือต้องแยกกันอยู่ไปกันคนละทิศละทาง และท้ายสุดก็ห่างกันจนไม่มีเยื่อใยต่อกัน

ส่วนเจ้านาย หรือหน่วยงาน ก็ต้องคิดถึงความเป็นครอบครัวของคนทำงานด้วยในระดับหนึ่ง ไม่ใช่ใช้งานเขาจนไม่เข้าใจมิติอื่นๆในชีวิตของคนทำงาน คนทำงานที่มีสุขภาพจิตที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น ทั้งสามีและภรรยามีงานทำ ลูกๆมีที่เรียนที่ดี เมื่อคนทำงานมีสภาพแวดล้อมที่ดี เขาย่อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าคนที่มีแต่ความทุกข์ใจ ร้อนรุ่มกลุ่มใจ

No comments:

Post a Comment