ปฏิรูป ปราบโกง - ธีระชัย ภูวนารถธารานุบาล
เครดิต Thirachai Phuvanatnaranubala ·
ธีระชัย ภูวนารถธารานุบาล
- ปฏิรูป .... ปราบโกง
Keywords: การเมือง, การปกครอง, ประชาธิปไตย, Democracy, ไสว
บุญมา, ระบอบทักษิณ (Thaksinocracy, Taksinocracy), อัตตาธิปไตย
(Autocracy), ขโมยาธิปไตย (Kleptocracy), ธนาธิปไตย (Plutocracy),ญาติกาธิปไตย (Cronyismocracy), ประชานิยมาธิปไตย
(Populismocracy), Thailand reform, economic reform, ปฏิรูป
ปราบโกง, ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล (Thirachai Phuvanatnaranubala)
-----------
จาก Wikipedia - ธีระชัย
ภูวนาถนรานุบาล (Thirachai
Phuvanatnaranubala) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์
ชินวัตร และประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
และประธานกรรมการคณะกรรมการกำกับตลาดทุน และเป็นประธานกลุ่ม ก.ล.ต. อาเซียน (ACMF)
2 สมัย
หากเราต้องการแสงสว่างในปัญหาที่เรารู้สึกว่ามืดมิด
บางทีลองเปิดใจฟังคนที่เขาเคยอยู่ในวงใกล้ชิดกับทักษิณ
แล้วต้องออกมาอยู่วงนอกอย่าง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
มือเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ระยะแรกนี้ – ประกอบ คุปรัตน์ (15 ธันวาคม 2556)
------------
- ถามว่า ขณะนี้มีสงครามชนชั้น จริงหรือ
-
ผู้ที่ออกไปชุมนุมครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์สองครั้งที่ผ่านมา มีคนที่มีฐานะ
ในสัดส่วนสูง ทำให้มีผู้วิจารณ์(เพื่อสร้างความแตกแยก) ว่านี่เป็นสงครามชนชั้น
- คนรากหญ้ารักษาประชาธิปไตย
แต่คนรวยพยายามทำลาย คนรากหญ้ามีเสียงเดียว แต่คนรวยมีหลายเสียง
และนโยบายรัฐบาลนั้นพยายามแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่คนรวยคัดค้าน
- คิดแบบนี้ถูกหรือผิด
- ผมได้พูดคุยกับคนที่ไปร่วมชุมนุม
เขาไม่ได้คิดเช่นนี้กันครับ
- คนที่ออกไปชุมนุม ที่มีฐานะดีนั้น
คือกลุ่มคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือเป็นเจ้าของกิจการขนาดกลางขนาดย่อม
ที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล พูดง่ายๆ เขาคือกลุ่มคนที่หารายได้หลักให้แก่รัฐบาล
- และข้อกังวลของกลุ่มนี้
ไม่ใช่คัดค้านการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่ต้องการทำลายประชาธิปไตย
และไม่ใช่ต้องการมีเสียงมากกว่าชาวบ้าน
- แต่เขากังวลว่า
เงินที่เขาหาเข้ามาเป็นรายได้ให้แก่รัฐบาลนั้น มีการรั่วไหล มีความเสี่ยงการทุจริต
และมีการสูญเปล่าที่ไม่จำเป็น (เช่น การเก็บกักตุนข้าว ที่นับวันมีแต่เสื่อมสภาพ)
- ดังนั้น เรื่องนี้ ไม่ใช่สงครามชนชั้น
แต่เป็นสงครามปราบโกง ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
- ถามว่า ปฏิรูปปราบโกงอย่างไร จึงจะได้ผลจริงๆ
- ต้องแก้ไขปรับปรุงกติกาครับ
- บางอย่างอาจจะต้องแก้ไขระดับรัฐธรรมนูญ
บางอย่างระดับกฎหมายลูก และบางอย่างระดับระเบียบวิธีปฏิบัติของหน่วยงานราชการ
ต้องแก้ไขกติกาอย่างครบวงจร
- สำคัญที่สุด อันดับหนึ่ง คือเรื่องความโปร่งใส
- ต้องบังคับให้มีการเปิดเผยข้อมูล
เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างของราชการ แบบครบวงจร โดยแสดงในเว๊บไซท์
- (ก) เงื่อนไขในการประมูล (ข)
คุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิเข้าประมูล (ค) ราคากลางพร้อมวิธีการคำนวณ (ง)
รายชื่อผู้ที่ยื่นประมูลทุกราย พร้อมราคาของแต่ละราย (จ)
รายชื่อผู้ที่ได้รับคัดเลือก (ช) ผลการปฏิบัติงานภายหลัง
- ข้อมูลเหล่านี้ ต้องบังคับให้แสดงในเว๊บไซท์
ทั้งที่กระทรวงผู้จัดซื้อ และที่กรมบัญชีกลาง และต้องเปิดให้ประชาชนเข้าดูได้อย่างเสรี
โดยไม่ต้องขออนุญาต
- และต้องกำหนดในระเบียบ
ให้กรมบัญชีกลางจะจ่ายเงินได้ ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลโปร่งใสแล้วเท่านั้น
- สำคัญอันดับสอง คือเรื่องการตรวจสอบติดตาม
- ขณะนี้ บริษัทใดที่ทำงานให้แก่รัฐ
หากมีการจ่ายเงินทอน จะใช้วิธีนำเงินออกไปจากบริษัท โดยจ่ายในรูปเงินสด
เขาจะไม่จ่ายเป็นเช็ค หรือโอนบัญชีธนาคาร เพราะจะสามารถติดตามทางเงินได้
- ดังนั้น
กรมสรรพากรต้องตรวจสอบบริษัทที่ทำงานให้แก่รัฐ อย่างไกล้ชิดเป็นพิเศษ
- หากบริษัทใด มีการจ่ายเงิน ในรูปเงินสด
ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อมโดยผ่านบริษัทในเครือ หากสัดส่วนนี้เกินกว่าร้อยละสิบของรายได้
ต้องเรียกให้บริษัทนั้นชี้แจงเหตุผล
- หากบริษัทไม่สามารถชี้แจงได้
ก็ไม่ให้ถือเป็นค่าใช้จ่าย ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล
- วิธีนี้ ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ก็จะทำให้การจ่ายเงินไต้โต๊ะ ทำได้ยากขึ้น
- สำคัญอันดับสาม คือเรื่องการช่วยเหลือเกษตรกร
- ต้องบังคับให้รัฐบาลเลิกเข้าไปค้าขายเสียเอง
-
รัฐบาลต้องไม่เข้าไปเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินค้าเกษตร
- ธกส. ที่รับจำนำสินค้าเกษตร
จะต้องต่ำกว่าราคาตลาด ตามหลักการธนาคารปกติ
- หากรัฐบาลจะช่วยเหลือเกษตรกร
ก็ให้จ่ายเงินตรงแก่เกษตรกรไปเลย โดยผ่านบัญชี ธกส.
- และต้องกำหนดนิยามการขายทรัพย์สินของรัฐ แบบ G
to G ให้รัดกุม โดยหน่วยงานของรัฐต้องเป็นผู้ส่งออกเอง
และการรับเงินต้องผ่านระบบแอลซีที่ธนาคารเท่านั้น
- หากไม่เข้าเงื่อนไขนี้ ต้องบังคับประมูลทุกกรณี
เพื่อให้รัฐบาลได้ราคาสูงสุด
- สำคัญอันดับที่สี่ คือต้องให้รัฐสภาควบคุมด้านการเงิน
ที่เข้มข้นกว่านี้
- ต้องห้ามไม่ให้มีการออกกฎหมายเฉพาะ
เพื่อใช้เงินนอกระบบงบประมาณ
- ไม่ว่าแบบสองล้านล้าน
หรือแบบสามแสนห้าหมื่นล้าน หรือแบบไทยเข้มแข็ง
- การใช้เงิน
ต้องบังคับให้ผ่านระบบงบประมาณทั้งสิ้น
- แต่หากระบบงบประมาณไม่เอื้ออำนวย
ที่จะพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ก็ให้ทำการแก้ไขปรับปรุงระเบียบงบประมาณ
- และต้องให้รัฐสภากำกับรัฐบาล ทั้งด้านรายจ่าย
และด้านรายได้ เพราะปัจจุบันกำกับเฉพาะด้านรายจ่าย ผ่านระบบงบประมาณ
แต่ไม่มีการกำกับด้านรายได้
- จึงต้องกำหนดให้รัฐบาล ทุกๆปี
ต้องแจ้งแผนการหารายได้ ให้รัฐสภารับทราบ (รวมไปถึงเป้าหมายหนี้สธารณะด้วย)
และทุกๆ ปี รัฐบาลต้องรายงาน ผลการปฏิบัติตามแผน
ที่ให้สัญญาไว้แก่รัฐสภาอย่างเคร่งครัด
- สำคัญอันดับที่ห้า คือเรื่องโครงการประชานิยม
- โครงการประชานิยมที่ดี
คือโครงการที่ทำให้ประชาชนเสมอภาคกัน ในด้านโอกาส ที่จะก้าวหน้าในชีวิต
- เราไม่มีวันทำให้ทุกคนเสมอภาคกันในฐานะได้
แต่เราสามารถทำให้เสมอภาคกันในด้านโอกาส
- ความเสมอภาคในด้านโอกาส
คือการมีสุขภาพอนามัยที่ดีขั้นพื้นฐาน การศึกษาขั้นพื้นฐาน
การเข้าถึงเทคโนโลยี่ขั้นพื้นฐาน และการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน
- โครงการเหล่านี้ จะใช้เวลานานกว่าจะออกผล
ดังนั้น ในปีใด หากรัฐบาลเก็บรายได้ไม่พอ ก็อนุญาตให้รัฐบาลใช้เงินจากหนี้สาธารณะ
เพื่อการนี้ไปได้ ภายไต้กรอบหนี้สาธาณะดังกล่าวข้างต้น
- ส่วนโครงการที่ไม่ใช่ความเสมอภาคในด้านโอกาส
โดยเฉพาะโครงการที่เน้นการอุปโภคบริโภค ที่ในอนาคตมีความเสี่ยง
ที่พรรคการเมืองต่างๆ จะพลิกแพลงพิสดารมากขึ้นๆ เช่น
อาจจะมีโครงการบ้านตากอากาศหลังแรก
- สำหรับโครงการเหล่านี้
ต้องห้ามมิให้รัฐบาลใช้เงินจากหนี้สาธารณะ
- ในแต่ละปี ต้องบังคับให้รัฐบาลเก็บภาษี
หรือหารายได้อย่างใดอย่างหนึ่ง
- หากประเทศยังไม่ร่ำรวย
รัฐบาลยังไม่สามารถเก็บภาษีเพิ่มได้ โครงการเหล่านี้ ก็ต้องรอไปก่อน
- ถ้าปฏิรูปกันจริงจังแบบนี้
คนจะไม่เสียเวลาออกไปชุมนุมกันดอกครับ
No comments:
Post a Comment