“สุรพงษ์”แทน”ประชา” : การตัดสินใจผิดอีกครั้งของทักษิณ
ประชาไท, Fri, 2013-12-06 15:22
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
Keywords: การเมือง, politics, การปกครอง, governance, กฎหมายนิรโทษกรรม, Amnesty
bill,ทักษิณ ชินวัตร, Thaksin Shinawatra, ระบอบทักษิณ, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, Yingluck Shinawatra, สุรพงษ์
โตวิจักษณ์ชัยกุล
ภาพ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
ในวันนี้
ทักษิณกำลังตัดสินใจเสี่ยงและผิดพลาดอีกครั้งหนึ่ง และการเสี่ยงครั้งนี้ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ทั้งในส่วนของบ้านเมือง ,พรรคเพื่อไทย และ รัฐบาล เลวลง และจังหวะก้าวของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลก็จะเพลี่ยงพล้ำมากขึ้นไปอีก
ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติทักษิณได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างมากในการดันให้ลูกน้องฝ่ายของตนในพรรคเพื่อไทยเสนอการแก้ไขพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแบบ
“เหมาเข่ง” จนทำให้เกมส์การเมืองเปลี่ยนแปลงสวิงไปในอีกด้านหนึ่งอย่างสุดขั้ว
อันส่งผลให้โอกาสการกลับเข้าประเทศของตนเองแทบจะปิดตายไปแล้ว
ความพยายามจะแก้ไขสถานการณ์ที่เพลี่ยงพล้ำอย่างหนักของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจากการตัดสินใจครั้งแรกได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในการมองปัญหาและมีความแตกแยกของกลุ่มการเมืองในพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน
ปีกของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์พยายามที่จะแสวงหาแนวทางการแก้ไขการเมืองด้วยการเมืองแบบประนีประนอมเพื่อพยุงสถานะของตนเอง
ไม่ว่าการถอยจนสุดซอย การยอมรับไปเจรจา
รวมทั้งการออกมาพูดสดโดยไม่มีโพย ( ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน)
นายกรัฐมนตรี (และกลุ่มของตนในพรรคเพื่อไทย )
พยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการแสดงให้เห็นชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอจากทุกฝ่าย
และพร้อมที่จะไม่เป็นปัญหาต่อบ้านเมือง พร้อมกับย้ำจุดอ่อนของข้อเสนอสุเทพว่าเป็นไปไม่ได้ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ
การตอกย้ำความเหลวไหลของข้อเสนออีกฝ่ายหนึ่งเช่นนี้เริ่มทำให้สังคมมองเห็นว่าการเดินตามสุเทพไปเรื่อยๆจะนำไปสู่ความยุ่งยากที่มากขึ้นไปอีก
ซึ่งต้องถือได้ว่าการเดินเกมส์ของนายกรัฐมนตรีเช่นนี้เป็นการตีตื้นทางการเมืองขึ้นมาได้บ้าง
แต่ก็ยังไม่เพียงพอในการปรับสถานการณ์นัก เพราะนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้บอกถึงเจนตนารมณ์ตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีว่าตนเองมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร
ในขณะที่นายกรัฐมนตรีเดินแนวทางการเมืองประนีประนอม
ความเปลี่ยนแปลงอีกด้านหนึ่งกลับขัดแย้งกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกนั่น
ก็คือการเปลี่ยนตัวผู้ควบคุมดูแลศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ( ศอ.รส.)
จากพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก มากเป็นนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
การเปลี่ยนแปลงตัวหลักในการควบคุมกำลังปฏิบัติการตอบโต้ม็อบนี้เป็นการตัดสินใจของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ
เพราะต้องการใช้ “ สายเหยี่ยว” เพื่อบังคับใช้กฎหมายและกำลังปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด
การที่ทักษิณเลือกใช้สุรพงษ์ก็เพราะสุรพงษคือคนที่ทักษิณใช้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
เนื่องจากว่าสุรพงษ์เป็นนักการเมืองที่ไม่มีเครือข่ายของตนเองในพรรคเพื่อไทย
( รวมทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วย ) อนาคตทางการเมืองของสุรพงษ์ฝากไว้ที่ทักษิณคนเดียวเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าทักษิณอยากจะได้อะไร
อยากจะให้ทำอะไร สุรพงษ์ก็ต้องตอบสนองให้เต็มที่ จะเห็นได้จากการได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศก็เป็นไปเพราะทักษิณต้องการใช้สุรพงษ์ทำตามที่ตนเองต้องการ
หลังจากที่เปลี่ยนตัวจากประชามาสู่สุรพงษ์แล้ว
บทบาทอย่างเป็นทางการของ ศอ.รส. ก็ออกมาเป็นสายเหยี่ยวมากขึ้น
และแสดงว่าพร้อมจะใช้กำลังอย่างเต็มที่ การแถลงข่าวแต่ละครั้งของสุรพงษก็เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมประนีประนอม
เริ่มต้นก็เป็นการใช้กฎหมายให้การกระทำของสุเทพเป็น “กบฏในราชอาณาจักร“ และที่จะใช้กลไกอำนาจของ
ศอ.รส.ในอีกหลายด้านเพื่อตอบโต้การเคลื่อนไหวของสุเทพ เช่น
การประกาศจะจัดการกับผู้สนับสนุนนายสุเทพ โดยถือว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนผู้ที่เป็นกบฏ
( ผู้ชุมนุมยังไม่พิจารณาว่าผิดหรือไม่ผิด แต่จะเริ่มทยอยออกหมายจับ ส่วนของ กทม.ที่ให้การสนับสนุนกบฏ ก็ถือว่าผิด ม.๑๑๔ เช่นกัน อย่างเช่น
กทมนำส้วมไปให้ใช้ หรือรถน้ำไปให้ก็มีความผิด )
ที่สำคัญ นายสุรพงษ์กล่าวด้วยว่านายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์จะไม่เจรจากับนายสุเทพที่เป็นกบฏ
เพราะถ้าเจรจาก็จะมีความผิดในกบฏไปด้วย ( ผู้จัดการ 5 ธันวาคม 2556 แค่ความคิดเห็นนี้ก็เปลี่ยนตัวได้แล้ว ฮา )
การที่ทักษิณตัดสินใจเปลี่ยนตัวให้ลูกน้องคนสนิท
(ที่ไม่มีทางไปนอกจากต้องพึ่งตนเอง) มาทำงานตามที่ตนเองปรารถนาเช่นนี้
กลับจะส่งผลเสียหายให้แก่ตนเองมากขึ้นไปอีก เพราะการประกาศที่เป็นสายเหยี่ยวเช่นนี้นอกจากจะทำให้การต่อต้านรุนแรงมากขึ้น
ยังกลับทำให้ความพยายามของปีกนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ในการหาทางออกที่พยุงสถานะของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยไม่ได้ผลอะไรขึ้นมา
ซึ่งก็จะทำให้เกิดคำถามกลับมาที่ทักษิณเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน
แม้ว่าการใช้ลูกน้องอย่างนายสุรพงษ์นี้จะประกันได้ว่านายสุรพงษ์จะทำทุกอย่างที่ตนเองต้องการ
แต่ทักษิณคงลืมนึกไปว่าลูกน้องของตนคนนี้ไม่มีเครือข่ายอะไรในพรรคเพื่อไทย
และไม่มีสายสัมพันธ์อะไรกับข้าราชการทหาร/ตำรวจ
ตลอดจนนักการเมืองอื่นๆ การทำงานแบบ “สู้ตายเพื่อนายอย่างเดียว”
ที่เกิดขึ้นและจะดำเนินต่อไปกลับจะยิ่งทำให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้นในคณะ
ศอ.รส.และคนทุกกลุ่มที่ต้องประสานงานกับ ศอ.รส. ด้วย
การที่ต้องเลือกใช้ลูกน้องที่ต้องทำตามได้อย่างเดียวเช่นนี้
ก็เพราะว่าทักษิณเริ่มไม่มีความไว้วางใจในสมาชิกพรรคคนอื่นๆว่าจะทำตามที่ตนเองต้องการ
(ทั้งหมด) หรือเปล่า แต่น่าเสียดายที่การตัดสินใจนี้กลับจะทำให้สถานะของตนเองเลวร้ายลงไปอีก
คงต้องบอกว่าลูกน้องที่ต้องเอาใจนายอย่างเดียวจะก่อปัญหาให้ทักษิณมากขึ้นๆ
ผมคิดว่าหากนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ต้องการจะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองและพยุงสถานะทางการเมืองของตนเอง
,รัฐบาลและ พรรคเพื่อไทย ก็ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของสุรพงษ์
ไม่ว่าหาคนมีคุมสุรพงษ์อีกชั้นหนึ่ง หรือ เปลี่ยนตัวไปเลย
เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ทางออกที่นากยกรัฐมนตรีและกลุ่มของตนขบคิดขึ้นก็จะสูญเปล่า
ปัญหา คือ
นายกรัฐมนตรีจะกล้าต่อรองกับพี่ชายมากขึ้นหรือไม่เท่านั้น
No comments:
Post a Comment