โปรดเมตตาต่อผู้ใช้จักรยาน – Be Kind to
Bikes.
ภาพ ป้ายบอกความเป็นทางวิ่งสำหรับรถจักรยาน
Keywords: Life diary, บันทึกชีวิต, environment,
สิ่งแวดล้อม, air pollution, bike, bicycle
เมื่อผมอยู่ชั้นมัธยมปีที่สอง
ผมได้รับรางวัลเป็นรถจักรยานสองล้อจากพ่อแม่
เมื่อสอบได้ที่หนึ่งของชั้นเรียนทั้งปี และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เรียนได้ดีขนาดนั้น
รางวัลนั้นเป็นจักรยานสีแดงที่เป็นของนำเข้าจากประเทศอังกฤษ
ขนาดเหมาะสำหรับเด็กวัยสัก 12-14 ปี ขนาดกลางๆ
เล็กไปสำหรับผู้ใหญ่ ในสมัยนั้นประเทศไทยยังผลิตจักรยานเองดีๆไม่ได้ พ่อแม่ซื้อมาได้สักวันเดียวก็ขี่เป็นแล้ว
และผมก็ชอบขี่จักรยานตั้งแต่นั้นมา น้องผู้ชายอีกสองคนก็พลอดขี่จักรยานเป็นไปด้วย
เมื่อผมไปศึกษาในระดับปริญญาขั้นสูงในประเทศสหรัฐอเมริกา
และอยู่ในเมืองนักศึกษา มีคนไม่มากนัก เขาไม่มีรถประจำทาง รถสองแถว
หรือรถแท๊กซี่วิ่งรับส่งผู้โดยสารในเมือง จึงต้องมีรถยนต์ไว้เดินทางไกล
และมีรถจักรยานไว้ขี่ไปเรียนหนังสือในแต่ละวัน ผมขี่จักรยานทุกวัน
จะไม่ขี่ก็เพียงบางวันในช่วงฤดูหนาว ที่ถนนกลายเป็นน้ำแข็งและลื่น
ไม่เหมาะแก่การขี่จักรยาน
ในปัจจุบันเมื่อเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด ดังที่จังหวัดสุรินทร์เป็นครั้งคราว
ผมจะมีจักรยานไว้ขี่ออกกำลังกาย เที่ยวรอบเมือง มันเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ได้ออกกำลังกายแล้วรถเคลื่อนไปในอัตราที่เร็วกว่าเดินปะทะกับลมพัดเย็นๆ
แต่ก็ยังปลอดภัยที่จะขี่ร่วมไปในถนนที่มีรถที่ใหญ่กว่าอื่นๆร่วมด้วย ในต่างจังหวัด
เขาเคยมีวัฒนธรรมการใช้รถจักรยานมานาน ผู้คนยังมีเมตตาต่อรถจักรยานอยู่บ้าง
แม้ในปัจจุบันได้มีรถจักรยานยนต์เข้ามาแทนที่รถจักรยานคนถีบมากแล้ว
ในทุกเช้าปัจจุบันนี้
ผมจะต้องขับหรือนั่งรถไปออกกำลังกายที่สถานออกกำลังกาย (Fitness center) ใกล้บ้าน แล้วหนึ่งในกิจกรรม คือขี่จักรยานออกกำลังกายแบบอยู่กับที่ครั้งละ
30-35 นาที แล้วมองผ่านกระจกไปดูรถยนต์ในกรุงเทพฯ
วิ่งผ่านไปมาเป็นสายๆยามเช้า มันรู้สึกแปลกที่จะขี่จักรยานแบบไม่มีล้อกันแล้ว
จึงจะปลอดภัย
ในบริเวณบ้านที่พักอาศัยย่านซอยอารีย์สัมพันธ์ ใกล้กระทรวงการคลังและกรมประชาสัมพันธ์
เราแทบจะไม่มีโอกาสใช้รถจักรยานกันแล้ว เพราะไม่ว่าถนนจะขนาดเล็กหรือแคบเพียงใด
จะมีรถยนต์วิ่งอย่างคับคั่ง แทบไม่เหลือที่ให้ขี่รถจักรยานได้อย่างปลอดภัยเลย แถมยังมีรถจักรยานยนต์ประเภทขับช้าไม่เป็น
ที่จะสอยจักรยานร่วงได้อีก
เมื่อสักสิบปีมานี้ ในบริเวณซอกและซอย
เรายังขี่จักรยานไปซื้อของเล็กๆน้อยที่ร้านปากซอยได้ ในบริเวณปากซอย
ยังมีที่ให้จอดรถจักรยานได้บ้าง ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ คิดดูง่ายๆ
หากเราใช้จักรยานขี่ไปทำธุระได้วันละ 2-3 กิโลเมตร
แทนการใช้รถยนต์ เราจะประหยัดพลังงานน้ำมัน ลดมลพิษทางอากาศ ไม่ต้องปวดหัวกับการหาที่จอดรถ
และประหยัดเงินอีกกิโลเมตรละ 4 บาท หากใช้จักรยานแทนจักรยานยนต์
ก็ประหยัดได้กิโลเมตรละ 1 บาท หากขี่เพื่อเดินทางวันละ 5
กม. ทั้งปี 1,800 กม. ทดแทนการใช้รถยนต์
ก็จะประหยัดค่าน้ำมันไปได้เป็นเงิน 7,200 บาท หรือใช้จักรยานทดแทนการนั่งรถตุ๊กตุ๊กแต่ละวันๆละ
2 เที่ยวไปและกลับเป็นเงิน 60 บาท
ปีหนึ่งใช้บริการ 260 วัน คิดเป็นเงิน 15,600 บาท มันไม่น้อยเลยทีเดียว
ผมเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด
จากสมัยเด็กๆที่กรุงเทพฯเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่โตอะไรนัก ปัจจุบันมีพลเมือง 6.5
ล้านคน นับปริมณฑลด้วยกว่า 10 ล้านคน ปัจจุบันนี้เมืองที่เจริญขึ้นในทางวัตถุ
แต่ในด้านคุณภาพชีวิต คุณภาพอากาศกลับยิ่งแย่ลง ชีวิตเรากำลังตายผ่อนส่งกันทุกวัน
ไม่ว่าผู้มั่งมี หรือยากจน ล้วนต้องสูดหายใจอากาศของเมืองใหญ่นี้กันทุกคน
ผมคิดว่าคนกรุงเทพฯต้องกำหนดแนวต่อสู้เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมทางอากาศ
และวางรูปแบบการใช้ชีวิตที่ทำให้เราไม่ต้องไปเพิ่มปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
ขอให้เราได้ใช้ชีวิตที่ต้องมีการเคลื่อนไหว เดินทาง ให้ได้ยังใช้จักรยานอยู่บ้าง
โดยกำหนดให้ชุมชนขนาดไม่ใหญ่ได้มีสิทธิใช้จักรยาน (Bikes, Bicycles) ในชีวิตประจำวันปกติของเรา เช่น ขี่จักรยานมาปากซอย เพื่อขึ้นรถประจำทางไปทำงาน
และขากลับก็กลับมาแล้วขี่จักรยานกลับบ้าน หากจะต้องไปหาอาหารกินหรือจับจ่าย
คนในซอยก็ขี่จักรยานไปร้านอาหาร ซื้อของ หรือทำกิจกรรมอื่นๆได้ โดยไม่ต้องขับรถ
แล้วไปเบียดเสียดหาที่จอดรถ
สุดท้ายนี้ ขอวิงวอนทุกฝ่าย ขอให้จักรยานได้เป็นส่วนหนึ่งที่รับใช้ชีวิตของเรา
ขอให้เราได้มีจิตใจรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้เราได้อยู่อาศัยอย่างใกล้ธรรมชาติมากขึ้น
ขอให้เรามีวัฒนธรรมมีเมตตาต่อผู้ขับขี่จักรยานกันเถิด
Be kind to bikes, be kind to us, and be kind to all.
ภาพ ทางวิ่งสำหรับรถจักรยาน (Bike Lane) ด้านหนึ่งเป็นสวนสาธารณะ
ภาพ การขี่จักรยานอาจเป็นทั้งเพื่อการเดินทาง และเพื่อสันทนาการ
ภาพ รถจักรยานสามล้อแบบใช้ไปส่วนบุคคล เหมาะสำหรับผูู้สูงอายุ สามารถติดตั้งระบบพลังงานจากแบตเตอรี่ เพื่อช่วยทุ่นแรงในการขับขี่ระยะไกล
No comments:
Post a Comment