Thursday, December 17, 2009

กรณีศึกษา หอกข้างแคร่ จะทำอย่างไร

กรณีศึกษา หอกข้างแคร่ จะทำอย่างไร

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Updated: Friday, December 18, 2009

Keywords: การจัดการ, การแก้ปัญหาความขัดแย้ง, Conflict Management

เรียนอาจารย์ครับ

ธุรกิจของผม

ผมลงทุนทำธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้แท้ บริษัทของผมชื่อ “Authentic Design Co.Ltd.” เป็นชื่อสมมุตินะครับ ผมลงทุนทำเป็นธุรกิจครอบครัว ผมกับภรรยา และมีหุ้นอยู่ร้อยละ 60 อีกส่วนร้อยละ 40 เป็นของญาติผู้ใหญ่ที่เขาเกษียณแล้ว ที่เขาอยู่ในกรุงเทพฯ ที่มาลงทุนร่วม และหวังมีรายได้เล็กน้อย เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน

โรงงานผลิตของผมอยู่ในจังหวัดทางภาคเหนือ ไม้ของเรามาจากนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน บางช่วงสินค้าของเราผลิตเองไม่ทัน บางส่วนผมไปจ้างผลิตจากโรงงานนอกประเทศ แล้วนำเข้าตามชายแดน แต่ผมเดินทางไปเยี่ยมเยียนเพื่อควบคุมกระบวนการผลิต และด้านคุณภาพสินค้า (Quality Assurance – QA)

บริษัทของเรา ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกต่างประเทศ ตามการสั่งของลูกค้า กิจการทั้งหมดของเรามีคนทำงานอยู่ทั้งฝ่ายการตลาด การผลิต และฝ่ายบริหารรวมประมาณ 100 คน ส่วนหน้าร้านผมอาศัยตลาดจตุจักร ในกรุงเทพฯ เป็นตัวเสนอสินค้า ธุรกิจของผมประสบความสำเร็จได้ในระดับดีทีเดียว เพราะสินค้าของผมนั้นเน้นการออกแบบที่มีลักษณะเฉพาะ ฝีมือประณีต และได้ของที่เป็นไม้เนื้อจริง ไม่ว่าจะเป็นไม้สัก หรือไม้เนื้อแข็งอื่นๆ ระบบการคัดเลือกไม้ การอบแห้ง การขัดและการเคลือบผิว เราทำอย่างใช้ฝีมือ และมีมาตรฐานจริงๆ

สินค้าของเราจะต่างจากเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้ประดิษฐ์ที่ทำจากเศษไม้หรือไม้อัด หรือสินค้าเฟอร์นิเจอร์ประกอบเอง (Knock-down Furniture) ที่ใช้ไม่ได้นานก็หมดอายุ หย่อนยาน ไม้บวม เพราะถูกน้ำหรือความชื้น สินค้าเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแท้ ทำแบบให้ดูโบราณ มีความคงทน มีราคาสักหน่อย แต่รักษาดีๆ มีอายุนับเป็นร้อยๆปี ยิ่งเก่ายิ่งดูดี

การออกแบบของเราเกิดจากการที่ผมและภรรยาเป็นคนชอบท่องเที่ยว และไปศึกษาตลาดในทั้งยุโรป ญี่ปุ่น และอเมริกาเหนือ เห็นอะไรที่สวยงาม เป็นที่ต้องการของตลาด เราก็จดจำไว้ เก็บภาพเอาไว้ แล้วนำกลับมาออกแบบ ปรับแต่งเพิ่มเติม

ผมรักในธุรกิจของเรา และภูมิใจในสิ่งที่ผมทำ

ลูกค้าของผม

ลูกค้าของผม ร้อยละ 80 เป็นนักท่องเที่ยวจากทางยุโรปตะวันตก ที่เขาได้เข้ามาท่องเที่ยวแล้วสั่งสินค้า ลูกค้าของผมขยายตัวมากขึ้นตามลำดับ ปีละประมาณร้อยละ 15 ต่อปีโดยเฉลี่ย โอกาสทางธุรกิจของผมยังไปได้อีกไกล

ลูกค้าอีกร้อยละ 20 เป็นคนไทยคนมีฐานะและมีการศึกษา ตลอดจนคนต่างชาติที่เขามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ที่เขาต้องการสินค้าที่มีความแตกต่าง เป็นพวกที่ต้องการสินค้ามีคุณภาพที่ไม่เหมือนใคร

เรื่องของนาย ก.

ความจำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่การเงิน

นาย ก. ชื่อสมมุตินะครับ เขาเป็นฝ่ายการเงินที่ผมเลือกมาทำงานนั้น เพราะเขาเป็นคนสมัยใหม่ เรียนมาทางด้านการเงินการบัญชี ซึ่งผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย เขาทำงานกับผมมาได้สัก 3 ปี ในปีแรก ให้เขาเป็นผู้ช่วยฝ่ายการเงินการบัญชี เพราะเขาสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ดี สามารถทำระบบการเงินการบัญชีที่สะดวกในการติดตามข้อมูลลูกค้า การออกใบเสร็จ การตรวจสอบเงินเข้า และเงินออก (Cash Flow) เพราะผมเองก็ต้องทำรายงานการเงินให้ธนาคารเจ้าหนี้เขาได้ทราบ นาย ก. ทำงานได้สัก 1 ปี ผมขาดคน เพราะญาติของผมที่ทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายการเงิน (Financial Manager) เขาดูแลจัดการการเงินให้ เขาต้องไปแต่งงานแล้ว ได้ลาออก และไปทำงานกับสามีของเขา ผมจึงตัดสินใจแต่งตั้ง นาย ก. ให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินแทน

นาย ก.ทำงานให้กับผมมา ในทางเทคนิคถือว่าก็ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ มีรายงานเป็น Printout เป็นเอกสาร พร้อมอธิบายได้อย่างทำให้ผมเข้าใจง่าย แต่กับเพื่อนร่วมงาน ผมพบว่าเขาเป็นคนไม่มั่นคงทางอารมณ์ ฉุนเฉียวได้ง่าย มีเรื่องที่คนทำงานมาฟ้องผมอยู่หลายครั้ง ผมเคยได้เรียกเขามาพบและพูดคุย เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ยังมีพฤติกรรมเหมือนเดิม คือ เจ้าอารมณ์ แต่หนักยิ่งกว่านั้น ยังมีการไปเอ่ยกับคนงานของเราหลายๆคนว่า หากผมให้เขาออกจากงาน เขาจะเอาเรื่อง เพราะเขารู้ความลับของบริษัทเรามาก สิ่งที่ผมเป็นห่วง ก็คือ หากจะให้เขาออก เขาคงต้องนำความลับของบริษัทไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษี หรือการหลีกเลี่ยงภาษี

ธุรกิจของผมนั้น ความจริงก็ตรงไปตรงมา ผมค้าขายกับใคร ก็ไม่เคยคดโกง กับธนาคาร ผมมีเงิน ก็จ่ายตรงเวลาตลอด กับลูกน้อง ผมก็จ่ายเงินเดือนให้อย่างไม่มีขาดหกตกหล่น ค่าตอบแทนของผมก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าบริษัทที่ทำงานแบบเดียวกัน ยิ่งกับลูกค้าฝรั่งที่มาซื้อสินค้าของเราแล้ว เขาชื่นชมกับสินค้าของเรามาก เพราะผมส่งของออกไปต่างประเทศนั้น ทำอย่างมีมาตรฐาน และเขาวางใจเรา และบอกกันแบบปากต่อปาก และกับญาติผู้ใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนของเรา ผมก็ดูแลผลประโยชน์ให้ท่าน และดูแลท่านในฐานะญาติผู้ใหญ่

แต่ก็ยอมรับครับว่า เรามีบัญชีสองเล่ม ซึ่งก็เป็นที่ทราบดีว่า บริษัทเอกชนขนาดเล็กและกลาง (Small and Medium-Sized Enterprise – SMEs) อย่างผม เกือบทั้งหมด ก็มีการปฏิบัติเช่นเดียวกับผม คือกว่าร้อยละ 80-90 มีการหลีกเลี่ยงภาษีกัน ผมก็ยอมรับว่า ธุรกิจของผมก็เป็นเช่นนั้น

ความข้ดแย้ง

กลับมาที่นาย ก. นอกจากเขาจะแสดงอารมณ์และพฤติกรรมกร้าวร้าวมากขึ้น มีการลางาน ขาดงาน การขอขึ้นเงินเดือนอย่างที่มากเกินรับได้ และคำขู่ของเขาก็เริ่มเข้าหูผมากขึ้น และโดยธรรมชาติแล้ว ผมเป็นคนไม่ชอบให้ใครมาขู่ผมได้ง่ายๆอย่างนี้ หากเขาทำได้ หากเขาขู่และเรียกร้องได้ คนอื่นๆ ก็คงจะทำกับผมได้เช่นกัน

สิ่งที่เป็นขั้นแตกหัก คือ คำว่า เอาเรื่อง ของเขา ผมไปพบว่า เขาได้ทำสำเนา Hard disk ฝ่ายการเงินทั้งหมดออกจากบริษัท คิดว่า เขาคงไปเก็บที่บ้านของเขา ทางเราทราบเรื่องเข้า ซึ่งเขารู้อยู่แล้วว่าการกระทำในแบบของเขา เป็นเรื่องยอมรับไม่ได้

ผมเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ก็ได้เรียนรู้ว่า ยิ่งทำงานใหญ่ ยิ่งต้องใช้อารมณ์ให้น้อยลง และต้องใช้สติและปัญญาให้มาก ผมอาจจะพลาดที่จ้างคนแบบนี้มาทำงานการเงินของเรา แต่ได้ดูแล้ว การจะเก็บคนเช่นนี้ไว้ทำงานในลักษณะให้เขา Blackmail ผมและบริษัทไปเรื่อยๆนั้น คงเป็นไปไม่ได้ ผมมีวิธีจัดการในแบบของผม ผมคงไม่ปล่อยให้คนๆเดียวมาทำลายธุรกิจขนาดเป็นร้อยล้านของผม ซึ่งมีคนทำงานอยู่นับเป็นร้อยคน ผมเองก็ยังเป็นหนี้ธนาคารอยู่กว่าร้อยละ 30 ของมูลค่าธุรกิจ

ในฐานะที่อาจารย์เคยสอนผม ผมอยากขอฟังความคิดเห็นจากอาจารย์ ก่อนที่ผมจะดำเนินการใดๆไป ในชีวิต ผมได้รับคำแนะนำดีๆจากอาจารย์เสมอ ผมขอรบกวนอาจารย์ช่วยตอบผม ผมขอโทรถึงอาจารย์ในอีกสัก 1-2 วันนี้นะครับ

ด้วยรักและเคารพ
จาก
Furniture Man

No comments:

Post a Comment