Thursday, December 10, 2009

บ้านคือวิมานของเรา

บ้านคือวิมานของเรา
ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

ภาพและเรียบเรียง

ผมได้เตรียมเขียนเรื่องที่ว่าด้วยบ้าน ซึ่งในภาษาอังกฤษมีหลายคำที่เกี่ยวข้อง คงจะใช้เวลาสักเล็กน้อยที่จะเตรียมเสนอ และคิดว่าจะเป็นประโยชน์ครับ เพราะคำว่าบ้านนั้น

House กับ Home แปลว่าบ้านเหมือนกัน แต่ต่างกันอย่างไร

Apartments กับ Condominium มีความแตกต่างกันอย่างไร บางทีเขาเรียกว่า Flat ดังเช่น แฟลตดินแดง คำเหล่านี้แตกต่างกันอย่างไร

คำว่า Bangalow, Mansion, Townhouse, Villa, Palace,

หรือคำว่า Mobile home, Hotel, Motel, Hostel, เหล่านี้ต่างกันอย่างไร

คำว่าบ้านทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องภาษาอังกฤษได้อีกมากมาย อดใจรอนะครับ แล้ววันหลังจะได้ทะยอยกันนำมานำเสนอ

วันนี้ขอพูดเรื่องบ้านของครอบครัวผม เป็นปฐมฤกษ์ บ้านของเรา ไม่ใหญ่ เก่าแล้ว และอาจจะต้องแปลสภาพ ทุบทิ้งและสร้างใหม่ เพราะบ้านที่สร้างมานานแล้วในกรุงเทพฯ มักจะมีพื้นชั้นล่างที่ต่ำและแก้ไขได้ยาก ระบบระบายน้ำก็จะยุ่งยาก เวลาฝนตก น้ำอาจท่วม สร้างความเครียดได้เป็นระยะ แต่บ้านของเรา ก็คือบ้านที้่ผมนึกเสมอ ดังในคำกล่าวในภาษาอังกฤษว่า

"A house is made of bricks and stone, but a home is mad of lover alone."

บ้านที่เป็นทางกายภาพที่เห็นอาจสร้างด้วยอิฐและหิน แต่บ้านในความหมายที่ลึกซึ่งนั้น เพียงสร้างด้วยรักก็พอ

ผมได้พักอยู่กับครอบครัวในบ้านที่ท่านได้เห็นนี้มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 หลังจากเรียนจบปริญญาเอกกลับมา นับเป็นความกรุณาของทางพ่่อตาแม่ยาย หรือคุณพ่อคุณแม่ของภรรยา ทำให้เราไม่มีภาระเหมือนคนหนุ่มสาวอื่นๆที่ต้องเก็บหอมรอบริบ สร้างบ้านพักอาศัย

บ้านพักอยู่ในบริเวณ Compound ของครอบครัวทางฝ่ายภรรยาผมในบริเวณซอยอารีย์ฺสัมพันธ์็ 5 ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ บริเวณรั้วเป็นสีขาว มองเข้ามาในบ้าน จะเห็นมีต้นไม้ใหญ่ปลูกอยู่เห็นได้ชัด มีลักษณะครึ้ม สังเกตเห็นได้ชัดสำหรับคนขับรถผ่านไปผ่านมา "อ้อบ้านที่มีต้นไม่แยะๆ นะหรือ" ครับ บ้านหลังนั้นแหละ


ภาพที่ 01 ตอนเช้า เราจะรับประทานอาหารเช้าที่บริเวณด้านนอก เป็นบริเวณอากาศเปิด แม้ยามหน้าร้อน ก็ํจะไม่ร้อนนัก หากเป็นช่วงฤดูหนาว ดังช่วงพฤศจิกายน - ต้นมกราคม ต้องนับว่านั่งรับประทานอาหารบริเวณเปิด นับเป็นความรู้สึกที่ดี

ภาพที่ 02 บริเวณห้องครัว ก็เป็นแบบเปิด ทำอาหารแบบไทยๆได้ โดยไม่รู้สึกว่าจะทำให้เกิดกลิ่นเหม็น แต่ความจริงแล้ว ทั้งครอบครัวของเรา รับประทานอาหารที่เขาเรียกว่า Bland คือไม่รับประทานรสจัด จะเป็นลูกครึ่งระหว่างอาหารจีน กับอาหารฝรั่ง เป็นส่วนใหญ่

ภาพที่ 03 ในห้องทำงานของเรา เปิดกว้าง เป็นลักษณะเครื่องไม้สีเข้มเป็นส่วนใหญ่ สำหรับโทรทัศน์ เพิ่งซื้อได้ไม่นาน เป็นแบบ LCD เลือกซื้อขนาด 32" นึกจะซื้อใหญ่กว่านี้ เช่้นเป็นขนาด 42" แต่ก็เห็นว่าราคาแพงเกินไป และขณะเดียวกันมันใหญ่้คับห้อง ดูไม่เข้ากัน

ภาพที่ 04 บริเวณด้านหน้าของบ้าน มีไม้ใหญ่ ไม่เล็กปลูกไว้อย่างหนาืทึบ ส่วนหนึ่งไว้บังเสียง และไว้ลดระดับเสียง เพราะติดกับถนนทางลัดระหว่างถนนพหลโยธินกับพระราม 6 ต้นไม้ทึบเป็นกำแพงลดเสียงดัึงได้อย่างดี และทำให้ฝุ่นไม่กระจายนัก


ภาพที่ 05 บริเวณประตู (Gate) เป็นแบบเลื่อนด้วยมือ ไม่ได้ใช้ระบบ Remote ที่เปิดปิดได้อย่างอัตโนมัติ ลังเลใจอยู่้เหมือนกัน เพราะหากเป็นแบบ Remote จะสะดวกสำหรับการขับรถเข้าออก



ภาพที่ 06 บ้านในกรุงเทพฯ อย่างที่เราพักอาศัยอยู่นี้ มีปัญหาประการหนึ่งคล้ายๆกัน คือ จะมีที่จอดรถที่จำกัดลงไปทุกที แต่ก็ต้องมีที่จอดรถเอาไว้ อีกหน่อยเราจะปรับสร้างบ้านใหม่ เป็นแบบสูงหลายชั้น เพื่อใช้คุณค่าของพื้นที่ให้คุ้มขึ้น อยู่ได้หลายคน หลายครอบครัวมากขึ้น ที่จอดรถก็จะยังเป็นประเด็นที่ต้องคิดถึงอยู่เสมอ

ภาพที่ 07 ที่นั่งพักด้านหน้าของบ้าน ดูดีนะครับ แต่ผมสังเกตว่าตัวเองไม่ค่อยได้ไปใช้ให้เต็มคุณค่า อาจเป็นเพราะด้านหน้าของบ้าน มีเสียงอึกกระทึกจากภายนอก ไม่เหมือนด้านหลังของบ้าน


ภาพที่ 08 โรงแรม (Hotel)เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมใช้เวลาปีละหลายๆครั้ง โดยรวมๆ ผมจะต้องเดินทางไปสอนในต่างจังหวัด คือมหาวิทยาลัยราภัฏสุรินทร์ (Surindra Rajabhat University - SRRU) ปีละประมาณ 20-22 ครั้ง หรือเดือนละ 2 ครั้ง และครั้งละประมาณ 2-3 วัน ทำให้ชีวิตมีความหลากหลาย

โรงแรมที่ผมไปใช้บริการบ่อยๆ ได้แก่ Surin Majestic, เพขรเกษม, และทองธารินทร์ บางครั้งก็ไปพักที่สถานที่พักของมหาวิทยาลัย เขาเรียกว่า จอมสุรินทร์ (University Hotel) ที่โรงแรมในต่างจังหวัด หากท่านเป็นเหมือนผม พักบ่อยๆ ก็จะพบว่า อาหารเช้าทุกมื้อเหมือนๆกัน ผมจะรับประทาน ไข่ดาว, หรือไข่คน, ไส้กรอก (Sausages), ฝักต้ม หรือสลัด และกาแฟ และเป็นกาแหที่ไม่ใส่น้ำตาล ผมควบคุมน้ำตาลในเลือด เพราะเป็นเบาหวานประเภทที่สอง (Type 2, Diabetes)

ชีวิตเรื่องการกินของผมนั้น ดูค่อนข้างจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ (Dull) แต่ก็จำเป็นที่จะต้องประพฤิตปฏิบัติให้ดีที่สุด เพราะเป็นเรื่องของสุภาพอนามัยของตัวเราเอง

ภาพที่ 09 บางทีผมและภรรยาก็เลือกเดินทางไปพักในโรงแรมในเมืองตากอากาศ ส่วนใหญ่ก็จะเลือกไปที่เมืองพัทยา, หัวหิน, หรือที่อื่นๆบ้าง เมื่อเร็วๆนี้ได้เดินทางไปพักที่เมืองเชียงใหม่ ในภาพ เป็นโรงแรมระดับห้าดาวในเมืองพัทยา (Pattaya City) นับว่าหรูหราที่เดียว ปีหนึ่งไปพักอย่างนี้ไม่กีครั้งครับ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะฟุ่มเฟือย

ภาพที่ 10 ในแต่ละปี เราจะหาทางเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศบ้าง หากพอจะกระทำได้ ที่เห็นนี้ เป็นการเดินทางไปเที่ยวที่เมือง Melbourne ประเทศออสเตรเลีย พักอยู่ประมาณสัก 1 สัปดาห์ แต่ทุกวันก็จะกลับมาพักที่โรงแรมนี้ จัดเป็นโรงแรม 4 ดาว เราไปเที่ยวที่นี้ในโครงการท่องเที่ยวส่งเสริมกิจการของบริษัทการบินไทย ที่เขารถราคาค่าตั๋วพิเศษ และก็เป็นเรื่องแปลก เพราะผมเพิ่งเดินทางไปประเทศออสเตรเลียเป็นครั้งแรกในชีวิต อายุได้ ุ63 ปีมาแล้ว นับว่าได้ไปสมใจแล้ว

2 comments:

  1. กำลังสนุกเลยค่ะ มีตอนต่อไปรึเปล่าคะ

    ReplyDelete
  2. อาจารย์ลืมเล่าเรื่องบ้านไปอีกนิดนึงนะคะว่าบ้านหลังนี้เป็นที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้และเป็นแหล่งสร้างนิสิตปริญญาเอกรุ่นแล้วรุ่นเล่า

    ReplyDelete