Friday, May 7, 2010

หน่วยที่ 16 การเข้าสู่ยุค George W. Bush

หน่วยที่ 16 การเข้าสู่ยุค George W. Bush

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
Pracob@sb4af.org

Keywords: CW105, ประวัติศาสตร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจ การเมือง

แปลและเรียบเรียง

การทดสอบระบบเลือกตั้ง

ในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2000 คนอเมริกันไม่ค่อยตื่นเต้นนักกับตัวเลือกผู้สมัครเป็นประธานาธิบดี ฝ่ายพรรคเดโมแคตได้ตัวรองประธานาธิบดี Al Gore ส่วนพรรครีพับลิกันได้ตัวผู้ว่าการรัฐเทกซัส (Texas) ชื่อ George W. Bush ซึ่งเป็นบุตรชายของอดีตประธานาธิบดี George H. W. Bush หรือ Bush ผู้พ่อ ผลการเลือกตั้งลงท้ายด้วยความสับสน เมื่อคืนวันเลือกตั้งนั้น โทรทัศน์ต้องประกาศแล้วต้องเปลี่ยนถึงสองครั้งกับผลการนับคะแนนในรัฐฟลอริดา ซึ่งตอนแรกได้ประกาศให้ Gore ชนะ แล้วเปลี่ยนเป็น Bush เป็นผู้ชนะ แล้วก็ต้องแขวนผลการเลือกตั้งและนับคะแนนใหม่

ประเด็นก็คือ ถ้าผลว่าใครชนะที่รัฐฟลอริดา ก็จะเป็นผู้ชนะในตำแหน่งประธานาธิบดี ผลคือหลังจากต้องนับคะแนนใหม่ Gore ได้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้เมื่อปรากฎว่าเสียงตามอยู่หลายร้อยคะแนน (จากที่ต้องนับ 6 ล้านเสียง) แต่ถ้านับคะแนนระดับชาติโดยรวมแล้ว Gore จะยังชนะหลายพันคะแนน ความใกล้เคียงของคะแนนในลักษณะดังกล่าวอย่างที่ไม่ปรากฎมาก่อนได้ทำให้อเมริกันต้องมาตรวจสอบระบบการเลือกประธานาธิบดี ระบบนับคะแนน และอื่นๆ

เศรษฐกิจชะลอตัว

เศรษฐกิจเมื่อมีขาขึ้น ก็มีขาลง

ในช่วงมีนาคม ค.ศ. 2001 เศรษฐกิจของสหรัฐได้มีการชะลอตัวลง อัตราการว่างงานสูงขึ้น นำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางของสหรัฐ (Federal Reserve Bank) รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของบุช ได้รีบประกาศลดภาษีและได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา แต่ในส่วนของกิจกรรมนิติบัญญัติอื่นๆ เป็นไปด้วยความล่าช้า ด้วยเสียงในสภามีความก้ำกึ่งกันอยู่ระหว่างฝ่ายเดโมแครต และฝ่ายรีพับลิกัน เมื่อวุฒิสมาชิกชื่อ Jeffords แห่งรัฐ Vermont ได้ลาออก ทำให้พรรครีพับลิกันต้องเสียการควบคุมเสียงข้างมากในสภาไป

ในเวทีโลก สหรัฐประสบปัญหาความขัดแย้งกับพันธมิตรเมื่อสหรัฐยกเลิกขัอตกลงที่ทำไว้ใน Kyoto Protocal ซึ่งออกแบบไว้เพื่อให้เกิดการต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนขึ้น และเพื่อควบคุมการสร้างอาวุธต้านขีปนาวุธ

ความสัมพันธ์กับจีนตึงเครียดขึ้นชั่วขณะในช่วงเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 เมื่อเครื่องบินรบของจีนได้ชนกับเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐโดยอุบัติเหตุ และทำให้นักบินจีนเสียชีวิต

11 กันยายน ค.ศ. 2001

ความรุนแรงที่สุดของการก่อการร้ายในดินแดนสหรัฐ

ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ได้มีผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินโดยสาร 4 ลำแล้วขับพุ่งเข้าชน โดย 2 ลำเข้าชนอาคาร World Trade Center ณ เกาะ Manhattan เมืองนิวยอร์ค รัฐนิวยอร์ค (New York City, New York) อีกลำพุ่งเข้าชนอาคาร Pentagon กระทรวงกลาโหมในกรุงวอชิงตัน ดีซี และอีกลำได้ตกในบริเวณ Shanksville ในรัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) มีคนตายและสูญหายไปกว่า 3000 คนจากการโจมตีนี้ ประธานาธิบดีบุชได้ประกาศกร้าวว่าจะจัดการกับผู้ก่อการร้ายอย่างเด็ดขาด และรวมถึงประเทศที่ให้การช่วยเหลือที่เป็นที่พักพิง

บุชได้ประกาศให้ประเทศอัฟกานิสถาน ที่มีรัฐบาลหัวรุนแรง Taliban ได้ส่งตัว Osama bin Laden ผู้นำก่อการร้ายอิลลาม ชาวซาอุดิอาเรเบีย ผู้ซึ่งพยายามสร้างเครือข่ายก่อการร้ายสากลชื่อว่า Al Qaeda สหรัฐได้ใช้นโยบายทุกทางที่จะขจัดกลุ่ม Al Qaeda และพวก Taliban และรวมไปถึงกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ และส่งอิทธิพลไปยังชาติต่างๆ เพื่อช่วยกันตัดกำลังฝ่ายก่อการร้ายสากลนี้ และขณะเดียวกันได้เตรียมความพร้อมในการบุกเข้าอัฟกานิสถาน

การบุกอัฟกานิสถาน

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2001 ได้มีการโจมตีดินแดนอัฟกานิสถานทางอากาศ โดยอาศัยฐานที่ตั้งของอังกฤษใน โอมาน (Oman) ในปากีสถาน และอุสเบกิสถาน (Uzbekistan) และขณะเดียวกันก็ได้สนับสนุนให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทาลิบันได้มีอาวุธเข้าทำการสู้รบในอัฟกานิสถานขับไล่รัฐบาลทาลิบันออกจากอำนาจ

แต่ในความพยายามที่จะติดตามไล่ล่า Bin Laden ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีการใช้เทคโนโลยีการทิ้งระเบิดต่างๆ ไปมากมาย แต่ Bin Laden ก็ยังหลบหนีการจับกุม หรือสังหารไปได้

Osama bin Laden

Osama bin Laden (Arabic: أسامة بن محمد بن عوض بن لادن transliteration: Usāmah bin Muḥammad bin `Awaḍ bin Lādin; with numerous variations) (born 10 March 1957) is a member of the prominent Saudi bin Laden family and the founder of the terrorist organization al-Qaeda, best known for the September 11 attacks on the United States and is also the most wanted person in the world.[1] Al-Qaeda has also been associated with numerous other mass casualties attacks against civilian targets.

Since 2001, Osama bin Laden and his organization have been major targets of the United States' "War on Terrorism." Bin Laden and fellow Al-Qaeda leaders are believed to be hiding in the border of Afghanistan and Pakistan's Federally Administered Tribal Areas.

ผลของการก่อการร้าย

สถานการณ์ก่อการร้ายได้ส่งผลให้เศรษฐกิจที่ตกต่ำอยู่แล้วได้มีผลรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสายการบินของสหรัฐได้รับผลกระทบอย่างหนัก ต้องมีการยกเลิกเที่ยวการบินเป็นอันมากด้วยมีผู้โดยสารที่ลดลง รัฐสภาได้มีการออกกฎหมายเพื่อช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งการมีเงินกู้ 15000 ล้านเหรียญเพื่อประคองธุรกิจการบินของประเทศ

วิกฤติใหม่อีกด้านมาถึงเมื่อมีการใช้อาวุธชีวภาพ การปล่อยเชื้อ Antrax ในรูปของ Spores บรรจุในไปรสณีย์ต่างๆ แล้วส่งไปยังสื่อและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลต่างๆ นับเป็นการปรากฎของการใช้อาวุธชีวภาพที่สร้างความตระหนกได้มากเป็นครั้งแรก

แม้การกระตุ้นบริภาคทำให้ตลาดหุ้นกระเตื้องขึ้นมาบ้างในตอนปลายปี จากที่ต่ำสุดหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน แต่อัตราการว่างงานยังสูงที่ระดับ 5.8 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2001 อย่างไรก็ตามสภาพเศรษฐกิจอยู่ในสภาพฟื้นตัวอย่างช้าๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายในภาครัฐบาลกลาง ในช่วงแรกของปี ค.ศ. 2002 ฝ่ายบริหารโดยบุชได้ประกาศแผนการสร้างกำลังทางทหาร และได้ในปี ค.ศ. 2001 ได้คาดว่าจะมีการลดภาษีและอาจมีผลทำให้มีงบประมาณแบบติดลบ คือใช้มากกว่าได้รับในช่วงปี ค.ศ. 2002-4 แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิดเรื่องอื้อฉาวในองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการโกงและตกแต่งบัญชี และการล้มละลาย สร้างความกังขาต่อการจัดการองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยการระดมเงินในตลาดหลักทรัพย์ จนในที่สุดในเดือนกรกฎาค ค.ศ. 2002 รัฐสภากได้ออกกฏหมายยกเครื่องระบบการเงินและองค์กรธุรกิจเสียใหม่

การต่อสู้ในอัฟกานิสถานยังดำเนินต่อไปเมื่อสหรัฐได้ใช้กำลังไล่ล่ากลุ่มกำลังของ Taliban และ Al Qaeda สหรัฐใช้ฐานทัพที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งในปากีสถาน Kyrgyzstan, และ Uzbekistan เพื่อให้การสนับสนุนการรบในอัฟกานิสถาน ในประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งประสบปัญหาผู้ก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรงเช่นกัน และใน Sulu Archipelago ได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิคจากสหรัฐในการต่อสู้กับสงครามกองโจรและการก่อการร้าย สหรัฐได้สนับสนุนการฝึกอบรมทางทหารแก่ Georgian ในยุโรปตะวันออก และ Yemeni ในอาหรับเพื่อต่อสู้กับสงครามก่อการร้าย

การเตรียมบุกอิรัค

ในช่วงปี ค.ศ. 2002 บุชได้ให้ความสำคัญในการข่าวที่ว่าอิรัคมีอาวุธทำลายล้าง (Weapons of Mass Destruction – MMD) และได้มีการขู่เตือนอิรัคที่ปฏิเสธการตรวจสอบอาวุธจากคณะกรรมการตรวจสอบอาวุธจากสหประชาชาติ ในเดือนมีนาคม ได้แสดงความไม่เห็นด้วยที่สหรัฐจะบุกอิรัค แต่เจ้าหน้าที่ของสหรัฐได้เรียกร้องให้ Saddam Hussein ประธานาธิบดีของอิรัคพ้นจากตำแหน่ง และได้เรียกร้องให้สหประชาชาติได้กระทำการตอบโต้ต่ออิรัคที่ไม่เชื่อฟังในการตรวจสอบอาวุธ

ในเดือนพฤศจิกายน คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) แห่งสหประชาชาติ ได้มีมติยื่นโอกาสสุดท้ายแก่อิรัคให้ร่วมมือในการตรวจสอบอาวุธอย่างเคร่งครัดตามระเบียบกำหนด และการตรวจสอบอาวุธได้เริ่มขึ้นในอีก 1 เดือนต่อมา แต่ก็ไม่ใช่ด้วยความร่วมมือนักจากฝ่ายอิรัค และขณะเดียวกันรัฐสภาสหรัฐได้ออกฏหมายให้สหรัฐสามารถทำการรบโดยการส่งทหารไปรบในอิรัคได้ และสหรัฐก็ได้เริ่มสะสมกำลังอาวุธในตะวันออกกลางอีกครั้งหนึ่ง

การมีกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ

ในเดือนพฤศจิกายนได้มีการเลือกตั้งทั่วไป ที่พรรครีพับลิกันได้รับเลือกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ทำให้ได้เสียงข้างมาในรัฐสภาและสภาผู้แทนฯ กลับมา และหลังการเลือกตั้งรัฐสภาได้ลงคะแนนเสียงให้มีกระทรวงใหม่ ชื่อว่า กระทรวงความมั่นคงแห่งแผ่นดิน (Department of Homeland Security) มีผลอย่างสมบูรณ์ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2003 กระทรวงใหม่นี้ไดรวมงานที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติที่กระจัดกระจายและไม่ประสานงานกัน ให้มีความรับผิดชอบประสานงานได้ภายใต้กระทรวงเดียว การสร้างองค์กรใหม่นี้นับเป็นการทำงานกระทรวงที่ใหญ่ที่สุดหลังจากที่มีกระทรวงกลาโหม (Department of Defense) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในราวทศวรรษที่ 1940

เดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 ได้มีการเจรจาการค้าเสรีที่ชิลี และได้ลงนามในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003 ซึ่งมีผู้กล่าวว่าเป็นการขยายแนวทางแบบ NAFTA ที่รวมกลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการค้าระหว่างประเทศ ประธานาธิบดีบุชได้สั่งให้มีการจัดทำระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศ ซึ่งมีผลในปี ค.ศ. 2004 ระบบออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีด้วยขีปนาวุธที่อาจเกิดขึ้น และในการนี้สหรัฐได้ถอนข้อตกลงด้านการสร้างอาวุธต่อต้านขีปนาวุธที่ได้ทำกับสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน

เกาหลีเหนือมักได้รับการกล่าวขวัญถึงในฐานะประเทศที่มีโอกาสก่อการโจมตีทางอากาศได้ และในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 เกาหลีเหนือได้รับว่ามีโปรแกรมพัฒนาอาวุธดังกล่าว

สหรัฐและหลายชาติจึงได้ตอบโต้ด้วยการหยุดส่งน้ำมันและลดการช่วยเหลือด้านอาหารไปยังเกาหลีเหนือ สหรัฐได้แสดงทัศนะที่จะไม่เจรจาใดๆ กับเกาหลีเหนือ และได้มีมาตรการเผชิญหน้าในช่วงใกล้ ค.ศ. 2003

การบุกอิรัค

ประธานาธิบดีบุชได้เพิ่มแรงกดดันในอิรัคปลดอาวุธในปี ค.ศ. 2003 และแสดงความไม่อดทนต่อฝ่ายอิรัคที่ไม่เชื่อฟังและยอมตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003

นอกจากการแสดงความไม่เห็นด้วยของหลายๆชาติที่ไม่เห็นด้วยในการส่งกองทัพอเมริกันไปรบในอิรัค ชาติเหล่านี้ได้แก่ France, Germany, และ Russia ส่วนอังกฤษได้ร่วมกับสหรัฐจัดดันอิรัคต่อไป โดยมีการเตรียมทัพ ณ บริเวณใกล้อิรัค แม้ตุรกีที่ฝ่ายพันธมิตรจะเห็นว่าจะขอใช้เป็นฐานทัพโจมตีจะปฏิเสธการให้ใช้ดินแดนเป็นฐานปฏิบัติการโจมตีอิรัค แต่อเมริกาก็ได้อาศัยการเปิดฐานที่มั่นทางเหนือของอิรัค ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2003 แม้คณะมนตรีความมั่นคงจะไม่ตอบสนองด้วยการสนับสนุน แต่สหรัฐและอังกฤษก็ยังคงเดือนหน้าเตรียมบุกอิรัคต่อไป ประธานาธิบดีบุชได้ยื่นเงื่อนไขสุดท้ายต่อประธานาธิบดี Saddam Hussein แห่งอิรัคให้ยอมจำนนในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2003 แต่ 2 วันต่อมาสงครามก็ได้เริ่มขึ้นด้วยการโจมตีทางอากาศต่อฝ่ายอิรัคภายใต้การนำของ Hussein

หลังจากการใช้กำลังทางอากาศทำลายกำลังสำคัญต่างๆแล้ว กองกำลังภาคพื้นดินก็ได้เข้ายึดครองอิรัคในราวกลางเดือนเมษายน และสามารถเข้าควบคุมเมืองใหญ่ๆ ในอิรัคได้ และได้ให้ความสำคัญในการสร้างอิรัคใหม่ และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในระบบประชาธิปไตย ส่วนการค้นหาอาวุธร้ายแรงนั้น กองกำลังฝ่ายพันธมิตรไม่สามารถค้นพบได้แม้หลายๆ เดือนผ่านไป ในระหว่างนี้ได้มีสงครามกองโจร ลอบโจมตีอยู่เป็นระยะๆ โดยส่วนใหญ่เป็นพวกอิสลามนิกาย Sunni ในตอนกลางของอิรัค

ค่าใช้จ่ายสงคราม

การสงครามนำมาซึ่งค่าใช้จ่าย และปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ

การเข้ารบในอิรัคได้ทำให้สหรัฐต้องมีการจัดงบประมาณรัฐบาลกลางแบบขาดดุลเป็นประวัติการด้วยเงินขาดดุลที่ 374,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สภาพการใช้เงินเพื่อสงครามดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอ่อนแอลง อัตราการว่างงานได้ขึ้นไปที่ระดับร้อยละ 6.4 ในช่วงเดือนมิถุนายน

ปัญหาไฟดับ

พลังงานเป็นปัญหาสำคัญและเรื่องที่สร้างความติดขัดในชีวิตและสังคมของสหรัฐได้มาก

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2003 ได้มีไฟฟ้าดับแบบแผ่วงกว้างทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ กินพื้นที่ในรัฐ New York และบางส่วนของ Vermont, Massachusetts, Connecticut, New Jersey, Pennsylvania, Ohio, Michigan, และรวมไปถึงบริเวณประเทศเพื่อนบ้าน ใน Ontario ประเทศ Canada มีประชากรได้รับผลกระทบนับเป็น 50-60 ล้านคน เมื่อไฟฟ้าดับ ระบบต่างๆ ก็ต้องพลอยหยุดไปด้วย เช่นระบบขนส่ง กิจการร้านค้า ธุรกิจ ไฟฟ้าดับอยู่ 2-3 วัน ปัญหานี้เกิดจากระบบ Transmission และระบบสำรองไฟฟ้ามีปัญหา เมื่อมีการใช้ไฟฟ้าเกินขนาด ทำให้ระบบหนึ่งล่ม และก็ลากระบบอื่นๆ ที่ต่อเชื่อมแบบแบ่งปันกันที่เรียกว่า Grid ก็พลอดล่มตามไปด้วย เป็นแบบอัตโนมัติ

เศรษฐกิจของสหรัฐได้กระเตื้องขึ้นในช่วงกลางของปี ค.ศ. 2003 แม้การว่างงานจะอยู่ที่ระดับเกือบร้อยละ 6 การจ้างงานยังอยู่ในเกณฑ์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เศรษฐกิจโดยรวมดูจะดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาศที่ 3 ของปี ที่การปฏิรูประบบประกันสุขภาพได้สำเร็จและมีการลงนามในเดือนธันวาคม ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับยาและการสั่งจ่ายยาได้รับผลดีตามไปด้วย

ในเดือนเดียวกันได้เกิดข้อตกลงการค้าเสรีในอเมริกากลาง (Central American Free Trade Agreement - CAFTA) ซึ่งมีประเทศผู้ลงนามประกอบด้วย United States, Guatemala, Honduras, El Salvador, และ Nicaragua ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2004 ประเทศ Costa Rica และ Dominican Republic ได้ตกลงที่จะร่วมด้วยใน CAFTA ขณะเดียวกันสหรัฐก็ได้ข้อตกลงการค้าเสรีกับ Australia และ Morocco.

ไม่มีอาวุธทำลายล้างในอิรัค

Weapon of mass destruction (WMD)

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2004 คณะตรวจสอบอาวุธของสหรัฐได้รายงานว่า เขาไม่สามารถตรวจพบการเก็บสะสมอาวุธร้ายแรงไม่ว่าจะเป็นอาวุธชีวภาพ หรืออาวุธเคมีในอิรัค การที่ใช้เหตุผลของการบุกอิรัคด้วยการอ้างว่ามีอาวุธร้ายแรงที่จะเป็นอันตรายต่อชาวโลกและสหรัฐอเมริกาตามที่ฝ่ายสืบราชการลับของสหรัฐเองรายงาน จึงไม่เป็นเหตุผล ประธานาธิบดีสหรัฐจึงสั่งให้มีคณะกรรมการตรวจสอบที่เป็นกลางเพื่อดูจุดบกพร่องด้านการข่าว คณะกรรมการได้รายงานวิพากษ์การทำงานของระบบการข่าวที่ไม่สามารถใช้สติปัญญาในการตรวจสอบระบบได้ และเสนอให้มีการยกเครื่องระบบการข่าวของสหรัฐ

ในขณะเดียวกัน ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 สหรัฐ ฝรั่งเศสและแคนาดา ได้เข้าไปรักษาความสงบในประเทศไฮติ (Haiti) และประธานาธิบดี Jean-Bertrand Aristide ได้ลาออกด้วยแรงงกดดันหลังจากที่ฝ่ายขบถได้รุกคืบไปเกือบหมดประเทศและได้เตรียมจะเข้าเมืองหลวง สหรัฐได้ถอนทหาร หลังจาก Brazil ได้เข้ารับงานกองทหารรักษาความสงบในไฮติ

ประเด็นการเลือกตั้ง

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2003 John Kerry ได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยมีวุฒิสมาชิก John Edwards แห่งรัฐ Carolina เป็นทีมคู่สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดี ทั้งสองปฏิเสธที่จะรับเงินสนับสนุนการหาเสียงเลือกตั้งจากรัฐบาล จึงทำให้แต่ละคนสามารถรณรงค์หาเงินสนับสนุนการเลือกตั้งได้อย่างมากเป็นประวัติการ แต่กระนั้นก็ยังแพ้ในการเลือกตั้ง และประธานาธิบดี Georg W. Bush ก็ได้เป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัย ด้วยคะแนนเสียงที่ชัดเจน

การต่อสู้ของทหารสหรัฐและอังกฤษในอิรัคยังคงดำเนินต่อไป และสหรัฐยังไม่มีนโยบายและกำหนดเงื่อนไขเวลาที่จะถอนทหาร ขณะเดียวกันสงครามกองโจรและลอบโจมตีก็ยังคงดำเนินต่อไป

ในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน Paul Bremer ในฐานะหัวหน้าคณะผู้บริหารนำโดยคณะกรรมการชั่วคราว (U.S.-led Coalition Provisional Authority) ก็ได้ส่งอำนาจต่อให้กับรัฐบาลชั่วคราวของอิรัค แต่ความรุนแรง การก่อการร้าย การใช้ระเบิดพลีชีพสังหารก็ยังเกิดขึ้นเป็นประจำ ขณะเดียวกันสหรัฐยังคงกำลังทัพในอิรัคจำนวน 160,000 คน เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงของรัฐบาลอิรัคชั่วคราว

ประเด็นการเลือกตั้ง

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2003 John Kerry ได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยมีวุฒิสมาชิก John Edwards แห่งรัฐ Carolina เป็นทีมคู่สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดี ทั้งสองปฏิเสธที่จะรับเงินสนับสนุนการหาเสียงเลือกตั้งจากรัฐบาล จึงทำให้แต่ละคนสามารถรณรงค์หาเงินสนับสนุนการเลือกตั้งได้อย่างมากเป็นประวัติการ แต่กระนั้นก็ยังแพ้ในการเลือกตั้ง และประธานาธิบดี Georg W. Bush ก็ได้เป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัย ด้วยคะแนนเสียงที่ชัดเจน

การต่อสู้ของทหารสหรัฐและอังกฤษในอิรัคยังคงดำเนินต่อไป และสหรัฐยังไม่มีนโยบายและกำหนดเงื่อนไขเวลาที่จะถอนทหาร ขณะเดียวกันสงครามกองโจรและลอบโจมตีก็ยังคงดำเนินต่อไป

ในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน Paul Bremer ในฐานะหัวหน้าคณะผู้บริหารนำโดยคณะกรรมการชั่วคราว (U.S.-led Coalition Provisional Authority) ก็ได้ส่งอำนาจต่อให้กับรัฐบาลชั่วคราวของอิรัค แต่ความรุนแรง การก่อการร้าย การใช้ระเบิดพลีชีพสังหารก็ยังเกิดขึ้นเป็นประจำ ขณะเดียวกันสหรัฐยังคงกำลังทัพในอิรัคจำนวน 160,000 คน เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงของรัฐบาลอิรัคชั่วคราว

นโยบายเศรษฐกิจ

Economic policy

นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี George W Bush

การใช้นโยบายลดภาษีในการสกัดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย

Facing opposition in Congress, Bush held town hall-style public meetings across the U.S. in 2001 to increase public support for his plan for a $1.35 trillion tax cut program—one of the largest tax cuts in U.S. history.[35] Bush argued that unspent government funds should be returned to taxpayers, saying "the surplus is not the government’s money. The surplus is the people’s money."[35] With reports of the threat of recession from Federal Reserve Chairman Alan Greenspan, Bush argued that such a tax cut would stimulate the economy and create jobs.[72] Others, including the Treasury Secretary at the time Paul O'Neill, were opposed to some of the tax cuts on the basis that they would contribute to budget deficits and undermine Social Security.[73] By 2003, the economy showed signs of improvement, though job growth remained stagnant.[35]

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับที่ปานกลาง

Under the Bush Administration, real GDP grew at an average annual rate of 2.5 percent,[74] considerably below the average for business cycles from 1949 to 2000.[75][76] Bush entered office with the Dow Jones Industrial Average at 10,587, and the average peaked in October 2007 at over 14,000. When Bush left office, the average was at 7,949, one of the lowest levels of his presidency.[77]

อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น

Unemployment originally rose from 4.2 percent in January 2001 to 6.3 percent in June 2003, but subsequently dropped to 4.5 percent as of July 2007.[78] Adjusted for inflation, median household income dropped by $1,175 between 2000 and 2007,[79] while Professor Ken Homa of Georgetown University has noted that "after-tax median household income increased by 2%"[80]

อัตราคนยากจนที่เพิ่มขึ้น

The poverty rate increased from 11.3% in 2000 to 12.3% in 2006 after peaking at 12.7% in 2004. [81] By October 2008, due to increases in domestic and foreign spending,[82] the national debt had risen to $11.3 trillion,[83][84] an increase of over 100% from the start of the year 2000 when the debt was $5.6 trillion.[85][86] The perception of President Bush's effect on the economy is significantly affected by partisanship.[87]

การก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจถดุถอยรุนแรง

In December 2007, the United States entered the longest post-World War II recession,[88] which included a housing market correction, a subprime mortgage crisis, soaring oil prices and a declining dollar value.[89] In February, 63,000 jobs were lost, a 5-year record.[90][91] To aid with the situation, Bush signed a $170 billion economic stimulus package which was intended to improve the economic situation by sending tax rebate checks to many Americans and providing tax breaks for struggling businesses.

การแก้ปัญหาการเงินการธนาคารไม่เป็นผล

The Bush administration pushed for significantly increased regulation of Fannie Mae and Freddie Mac in 2003,[92] and after two years, the regulations passed the House but died in the Senate. Many Republican senators, as well as influential members of the Bush Administration, feared that the agency created by these regulations would merely be mimicking the private sector’s risky practices.[93][94]

In September 2008, the crisis became much more serious beginning with the government takeover of Fannie Mae and Freddie Mac followed by the collapse of Lehman Brothers.[95] and a federal bailout of American International Group for $85 billion.[96]

Many economists and world governments determined that the situation became the worst financial crisis since the Great Depression.[97][98] Additional regulation over the housing market would have been beneficial, according to former Federal Reserve Chairman Alan Greenspan.[99] President Bush, meanwhile, proposed a financial rescue plan to buy back a large portion of the U.S. mortgage market.[100] Vince Reinhardt, a former Federal Reserve economist now at the American Enterprise Institute, said "it would have helped for the Bush administration to empower the folks at Treasury and the Federal Reserve and the comptroller of the currency and the FDIC to look at these issues more closely", and additionally, that it would have helped "for Congress to have held hearings".[94]

คนว่างงานที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ในช่วง 34 ปี

In November 2008, over five hundred thousand jobs were lost. That marked the largest loss of jobs in the United States in 34 years.[101] In the last four months of 2008 alone, the Bureau of Labor Statistics reported the loss of 1.9 million jobs.[102]

นโยบายการศึกษาและสาธารณสุข
Education and health

นโยบายการศึกษาของประธานาธิบดี Bush

President Bush undertook a number of educational priorities. He increased funding for the National Science Foundation and National Institutes of Health in his first years of office, and created education programs to strengthen the grounding in science and mathematics for American high school students. Funding for the NIH was cut in 2006, the first such cut in 36 years, due to rising inflation.[103]

Bush signs the No Child Left Behind Act into law, January 2002

One of the administration's early major initiatives was the No Child Left Behind Act, which aimed to measure and close the gap between rich and poor student performance, provide options to parents with students in low-performing schools, and target more federal funding to low-income schools. This landmark education initiative was signed into law by President Bush in early 2002.[104] Many contend that the initiative has been successful, as cited by the fact that students in the U.S. have performed significantly better on state reading and math tests since Bush signed "No Child Left Behind" into law.[105] Critics argue that it is underfunded[106] and that NCLBA's focus on "high stakes testing" and quantitative outcomes is counterproductive.[107]

นโยบายการสาธารณสุข

After being re-elected, Bush signed into law a Medicare drug benefit program that, according to Jan Crawford Greenburg, resulted in "the greatest expansion in America's welfare state in forty years;" the bill's costs approached $7 trillion.[108] In 2007, Bush opposed and vetoed State Children's Health Insurance Program (SCHIP) legislation, which was added by the Democrats onto a war funding bill and passed by Congress. The SCHIP legislation would have significantly expanded federally funded health care benefits and plans to children of some low-income families from about 6 million to 10 million children. It was to be funded by an increase in the cigarette tax.[109] Bush viewed the legislation as a move toward the liberal platform of socialized health care, and claimed that the program could benefit families making as much as $83,000 per year who did not need the help.[110]

นโยบายด้านบริการสังคมและสวัสดิการสังคม
Social services and Social Security

Following Republican efforts to pass the Medicare Act of 2003, Bush signed the bill, which included major changes to the Medicare program by providing beneficiaries with some assistance in paying for prescription drugs, while relying on private insurance for the delivery of benefits.[111] The retired persons lobby group AARP worked with the Bush Administration on the program and gave their endorsement. Bush said the law, estimated to cost $400 billion over the first 10 years, would give the elderly "better choices and more control over their health care".[112]

President Bush speaks at the United States Coast Guard Academy commencement, May 2007

Bush began his second term by outlining a major initiative to reform Social Security,[113] which was facing record deficit projections beginning in 2005. Bush made it the centerpiece of his domestic agenda despite opposition from some in the U.S. Congress.[113] In his 2005 State of the Union Address, Bush discussed the potential impending bankruptcy of the program and outlined his new program, which included partial privatization of the system,[113] personal Social Security accounts[113] and options to permit Americans to divert a portion of their Social Security tax (FICA) into secured investments. Despite emphasizing safeguards and remaining open to other plans, Democrats opposed the proposal to partially privatize the system.[113]

การจมอยู่กับสงครามอีรัค

After months of brutal violence against Iraqi civilians by Sunni and Shi’ite terrorist groups and militias -- including Al-Qaeda in Iraq –- in January 2007 President Bush presented a new strategy for Operation Iraqi Freedom based upon Counter-insurgency theories and tactics developed by General David Petraeus. The Iraq War troop surge of 2007 was part of this "new way forward"[106] and has been credited by some[who?] with a dramatic decrease in violence and an increase in political and communal reconciliation in Iraq.

ประเด็นที่ค้างคา

As of 2009, debates continue over abortion, gun control, same-sex marriage, immigration reform, and the ongoing war in Iraq. Although the new Democratic Congressional majority promised to withdraw U.S. forces from Iraq, Congress continues to fund efforts in both Iraq and Afghanistan, a withdrawal agreement has been agreed upon between the US and Iraqi government. In the area of foreign policy, the U.S. maintains ongoing talks with North Korea over its nuclear weapons program, as well as with Israel and the Palestinian Authority over a two-state solution to the Israeli-Palestinian conflict; the Palestinian-Israeli talks began in 2007, an effort spearheaded by United States Secretary of State Condoleezza Rice.[107] The George W. Bush administration also stepped up rhetoric implicating Iran and more recently Syria in the development of weapons of mass destruction.

วิกฤติเศรษฐกิจ

In 2008–2009 much of the industrialized world entered into a deep recession sparked by a financial crisis that had its origins in reckless lending practices involving the origination and distribution of mortgage debt[2] in the United States.[3][4] Sub-prime loans losses in 2007 exposed other risky loans and over-inflated asset prices. With the losses mounting, a panic developed in inter-bank lending. The precarious financial situation was made more difficult by a sharp increase in oil and food prices. The exorbitant rise in asset prices and associated boom in economic demand is considered a result of the extended period of easily available credit,[5] inadequate regulation and oversight,[6] or increasing inequality.[7] As share and housing prices declined many large and well established investment and commercial banks in the United States and Europe suffered huge losses and even faced bankruptcy, requiring massive public financial assistance. A global recession has resulted in a sharp drop in international trade, rising unemployment and slumping commodity prices. Social unrest and political changes have appeared in the wake of the crisis.

In December 2008, the NBER declared that the United States had been in recession since December 2007, and several economists expressed their concern that there is no end in sight for the downturn and that recovery may not appear until as late as 2011.[8] The recession is the worst since the Great Depression of the 1930s.[9][10] The unemployment rate has been increasing since September 2008. For April 2009 alone, 539,000 jobs have been lost in the United States. The unemployment rate in the United States is currently at 8.9%. [3] [4] The IMF has warned about "worrisome parallels" between the current global crisis and the Great Depression, despite the unprecedented steps already taken by central banks and governments worldwide.[11]

ประเด็นการเปลี่ยนแปลง

In the presidential election of 2008, Senator Barack Obama ran on a platform of "Change". This, coupled with the September 2008 economic crisis, helped aid his victory against Senator John McCain. On November 4, Obama became the first African American to be elected President of the United States; he was sworn into office as the 44th President on January 20, 2009.

No comments:

Post a Comment