Thursday, May 27, 2010

จุดเริ่มต้นของประเทศไทย หลังเหตุการณ์จลาจลเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553

จุดเริ่มต้นของประเทศไทย หลังเหตุการณ์จลาจลเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553

ถึงเพื่อนๆ พี่น้อง และศิษย์ในประเทศไทย

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา มีคนไทยเป็นอันมากที่มีความทุกข์ใจ กังวลในปัญหาของบ้านเมือง ผมได้เข้าไปสื่อสารในเครือข่ายสังคม (Social Network) อย่าง Twitter จะรู้ถึงความทุกข์ในใจของคนเป็นอย่างดี มาบัดนี้ เหตุการณ์ได้คลี่คลายไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ใช่ว่าจะวางใจได้

ผมเป็นราษฎรอาวุโสแล้ว ได้ผ่านเหตุการณ์บ้านเมือง ผ่านการรัฐประหาร การต่อสู้ล้มตายมาหลายครั้งในประเทศไทยเรา แต่แล้วเราก็ผ่านพ้นมันมา แล้วก็ก้าวเดินต่อไป ในครั้งนี้ก็เช่นกัน มันเป็นความวิบัติอย่างแท้จริง แต่เราคงไม่จมอยู่กับสิ่งที่ได้เสียไป แต่เราต้องมองในสิ่งที่ยังมีอยู่ และจะพัฒนากันต่อไป

เราคงไม่ปล่อยให้ชีวิตจม ซึมเศร้ากับความขัดแย้งของคนไทยด้วยกันเอง แต่ต้องเรียนรู้ และหาทางทำให้บ้านเมืองมีสภาพความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

เราให้อภัยคนที่เขาใส่เสื้อสีต่างได้ การเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิของประชาชน แต่ก็ต้องดำเนินการกับคนที่ทำร้ายบ้านเมือง ผู้ก่อการร้าย นักลอบสังหาร นักฉวยโอกาสเผาบ้านเผาเมือง ไม่ว่าจะเป็นผาอาคารพาณิชย์ของเอกชน หรือสถานที่ราชการ แต่ขณะเดียวกัน เราต้องตรวจสอบหัวใจของเรา และความเป็นธรรมอันพึงมี หากเราต้องการให้ประเทศอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข งบประมาณ การพัฒนาประเทศควรจะมีการแบ่งสันที่เป็นธรรมต่อทุกเหล่าฝ่าย โดยเฉพาะการยกระดับพัฒนาคนยากจน ไม่ว่าเขาจะอยู่ในจังหวัดใด เป็นฐานเสียงของใคร ใส่เสื้อสีใด หากเขาเป็นคนไทย ต้องได้รับการใส่ใจจากรัฐบาลและชุมชนของเขาอย่างเท่าเทียมกัน

ในวันนี้ผมอาจอยู่ไกล ไม่ได้เห็นความทุกข์เศร้าของพี่น้อง ไม่ได้ผ่านความตระหนกในเสียงปืน เสียงระเบิด ไม่ได้กลิ่นไฟไหม้ เผาเมืองอย่างหลายๆคนที่ประสบ แต่ผมพอจะเข้าใจว่า มันพอแล้วกับการทำร้ายบ้านเมืองตัวเอง เราต้องพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า อะไรที่ผ่านมา ก็ต้องหาความเป็นจริง (Truth) มีการศึกษาจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ แล้วเร่งสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น (Reconciliation) ทัศนะแบบ "ไม่เป็นไร ลืมเสียเถิด" นั้นไม่เป็นประโยชน์ เราพลาดมาหลายๆครั้ง เพราะเราไม่ได้มีการเรียนรู้จากบทเรียนประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา แล้วมันก็เกิดปัญหาขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

มองจากภายนอกเข้ามายังบ้านเมืองเรา มีอะไรหลายอย่างที่เราก็ต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลง บางอย่างต้องมีการปฏิรูปใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ระบบการปกครอง การรักษาความมั่นคงปลอดภัย แต่ทั้งหมดจะต้องค่อยๆใช้เวลา และเริ่มทำจากสิ่งที่เป็นอันตรายก่อน ส่วนหนึ่งแน่นอนว่า กิจการตำรวจไทยเป็นจุดอ่อน แต่ก็ต้องมองเขาอย่างเข้าใจ และหาทางพัฒนาอย่างเข้าใจ ไม่ใช่เพียงด่าทอเขา แต่ก็ต้องวางยุทธศาสตร์ที่จะยกระดับทำให้ตำรวจไทยได้ทำหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมืองได้อย่างจริงจัง มีขวัญมีกำล้งใจ ลูกเมียเขาได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ตำรวจกรุงเทพฯ นับเป็นปัญหาหนักที่ต้องมีการดำเนินการปรับปรุงก่อนที่อื่นๆ

แต่การปฏิรูปประเทศไทย (Thailand Reform) ต้องเริ่มจากความเข้าใจ การยึดหลักความเป็นธรรม การมียุทธศาสตร์ และทำตามลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อย จากวิกฤติกว่า ไปสู่สิ่งที่ยังพออดทนได้ และทั้งหมดตจะต้องทำอย่างมีความหวัง (Hope) และความมุ่งมั่น (Determination)

ในวันนี้ผมอยู่ไกลบ้านมาครึ่งโลก แต่ท้ายสุดผมก็จะกลับไปเมืองไทย แผ่นดินพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆของเรา เมืองไทยเรายังมีสิ่งที่ดีงามที่เราทุกคนภูมิใจได้ เรามีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ มีสภาพแวดล้อมที่สบายๆ ไม่หนาว แม้มีร้อนบ้าง ก็พอทน ผมมาอยู่ต่างแดนบ้าง ทำให้เข้าใจว่าทำไมฝรั่งเขาถึงชื่นชมที่อยากมาเมืองไทย เพราะสิ่งหนึ่งที่เรามีอย่างเป็นธรรมชาติ คือ ความโอบอ้อมอารีย์ มีความเป็นมิตร ประนีประนอม อ่อนน้อม ผมอยากจะเรียกรวมๆว่า เรามีความเป็นมนุษย์ (Humanism)

กว่าตึกที่เผาไหม้ไปจะได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ก็คงต้องใช้เวลานับเป็นปี แต่การบูรณะใจของเราเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ทุกวันขอให้ท่านตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความสดใส และคิดได้ว่า วันนี้ย่อมดีกว่าวันวาน และอนาคตของลูกหลานเรา ย่อมจะดีกว่าเราในวันนี้ ที่มันจะผ่านไป

ขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้อง เพื่อนๆ และศิษย์ในประเทศไทยทุกท่าน

ประกอบ คุปรัตน์ (Pracob Cooparat)
มูลนิธิก้าวไกลในเอเซีย

SpringBoard4Asia Foundation (SB4AF)
Tel: +66 2 3548254, +66 2 3548255, Fax: +66 2 3548255
Email: pracob@sb4af.org
Website: www.sb4af.org
Blog: http://pracob.blogspot.com
Skype: pracobc

No comments:

Post a Comment