Thursday, February 23, 2012

สุภาษิตอังกฤษ: เงินทำให้เกิดเงิน

สุภาษิตอังกฤษ: เงินทำให้เกิดเงิน

ประกอบ คุปรัตน์Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: สุภาษิต, Proverbs, เงิน, เงินทุน, การบริหาร, การจัดการ

มีสุภาษิตในภาษาอังกฤษสั้นๆว่า “Money begets money.” แปลเป็นไทยได้ว่า “เงินทำให้เกิดเงิน”
หากท่านมีเงินบ้างแล้ว เงินกลับเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดเงินต่อไปได้ไม่ยาก (If you have money you can make more money.) หรือมีความหมายได้ว่า “คนรวยจะยิ่งรวยมากยิ่งขึ้น”

To beget = เกิด, นำมาซึ่ง, ประสูติ, ก่อให้เกิด

ในคำกล่าวของชาวจีนเองมีคำว่า “มีเงินใช้ผีโม้แป้ง” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกัน

เงินนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ (Credibility) คนมีเงินเป็นเศรษฐี ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมาแล้ว เมื่อมีโครงการดีๆไปพูดคุยกับธนาคารเพื่อขอการกู้เงินเพื่อการลงทุน จะได้รับความยอมรับมากกว่าคนที่ยังไม่มีอะไรเลย แม้จะเสนอทำโครงการในลักษณะเดียวกัน เพราะเงินเป็นเครื่องสะท้อนความสำเร็จทางธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา

เงินมีความหมายเท่ากับการลงทุน (Investment) และการพร้อมที่จะลงทุน ในประเทศหรือสังคมที่เศรษฐกิจกำลังอ่อนแอ ทุกอย่างอยู่ในสภาพขาลง ไม่มีคนกล้าลงทุน สินค้าของจำเป็นเช่นวัสดุก่อสร้างลดราคา บ้านที่สร้างไว้แล้ว ราคาที่ดิน มีคนอยากขายมากกว่าจะต้องการซื้อ คนที่มีเงินสำรองไว้มากกว่าคนอื่นๆ ก็มีสิทธิที่จะเลือกซื้อที่ดิน สิ่งก่อสร้าง กิจการที่ล้วนมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง เมื่อซื้อไว้ในราคาต่ำสุด แล้วรอให้เศรษฐกิจดีขึ้น ค่อยนำออกขาย หรือพัฒนาเป็นกิจการต่อไป คนมีเงินและมีวิสัยทัศน์หลายคนสามารถเลือกเดินสวนกระแส ในขณะที่คนอื่นๆมีลักษณะแตกตื่น แต่คนมีเงินและมีปัญญาสามารถยืนมองอย่างนิ่งๆ แล้วเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ในแบบที่เขาเรียกว่า “เก็บเปรี้ยวไว้กินหวาน”

คนที่พร้อมจะจ่ายเป็นเงินสด และซื้อของเป็นจำนวนมากๆ จะทำให้ได้รับส่วนลด เพราะคนค้าขาย เขาต้องการใช้เงินของเขาให้สามารถหมุนสร้างเงินและกำไรของเขาต่อไป มากกว่าที่จะปล่อยเงินให้แช่นิ่งไว้โดยไม่ได้รับประโยชน์ ดังนั้นในการทำการค้า คนที่มีเงินมักเสนอจ่ายเงินสด หากได้รับส่วนลดพิเศษ หากสามารถสั่งซื้อในปริมาณที่มากพอ ก็จะได้สินค้าที่ถูกลงไปอีก การซื้อที่ดิน คนมีเงินมักไม่ต้องไปเร่แสวงหาซื้อที่ดิน แต่จะมีคนที่ร้อนเงิน ก็พร้อมที่จะนำที่ดินมาขายฝาก หรือจำนอง คนร้อนเงินจะต่างจากคนมีเงิน คือต้องการขายของที่ตนเองมีในราคาที่ถูก แต่คนมีเงินต้องการซื้อสินค้าหรือบริการในราคาที่ถูกพิเศษ

เงินคือ “สายป่าน” ทำให้เกิดแต้มต่อในการดำเนินการ ในกิจการหลายอย่างมีปัญหาอันเกิดจากการมี “สายป่านที่ยาวไม่พอ” เช่นจะทำโครงการหนึ่งให้ดีถึงระดับหนึ่ง แต่มีเงินทุนไม่เพียงพอ ไม่มีเงินพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยธนาคารต่อไป ในขณะที่รายได้ก็ยังไม่เข้ามาอย่างเพียงพอ ทั้งๆที่คนทำธุรกิจเอง ก็ยังต้องมีเงินเพื่อกินเพื่ออยู่ ครั้งจะไปกู้เงินจากธนาคารเพิ่มเติม ธนาคารก็ไม่มั่นใจที่จะให้กู้เพิ่มอีกแล้ว เพราะกิจการยังไม่อยู่ในฐานะที่ดีพอ สภาพเช่นนี้จะไม่เกิดกับคนที่มีกำลังเงินเข้มแข็งพอ เขาจะยังรักษาธุรกิจของเขาไว้ ในขณะที่กิจการเดียวกันของคนอื่นๆพากันสูญหายตายจาก เรียกว่าอุปทาน (Supplies) ลดลง แต่อุปสงค์คงตัวหรือเพิ่มขึ้นเมื่อสภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป คนมีเงินมีสายป่านยาวพอ ก็จะกลับมาแสวงหาประโยชน์ในช่วงนี้ คือช่วงที่คนอื่นๆพากันล้มไปแบบขาดใจตายไปแล้ว

เงินเป็นอำนาจในการซื้อและการแสวงหา หากเรามีเงิน แต่ขาดความสามารถในการดำเนินการในกิจการหนึ่งกิจการใด เรามีสิทธิเลือกจ้างคนมีความสามารถนั้นๆมาดำเนินการ หากเราขาดวิทยาการใหม่ที่จะใช้ในการดำเนินการ เงินลงทุนสามารถทำให้เราเลือกซื้อเทคโนโลยีที่เหมาะสม คุ้มค่าแก่การลงทุนมาใช้ สร้างความได้เปรียบในการดำเนินการ สำคัญที่เราจะต้องรู้จักเลือกสรรและใช้การจัดการอย่างเหมาะสม

ด้วยคำสอนนี้ จึงแนะนำให้กับผู้ต้องการเริ่มธุรกิจใหม่ว่า จงประหยัดที่สุดในช่วงดำเนินการระยะแรก สะสมเงิน สร้างความสำเร็จอะไรเล็กๆน้อยๆ ใช้สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ความอดทน เหล่านี้ เพื่อให้มีเงินทุน มีความน่าเชื่อถือ แล้วในที่สุด ในระยะต่อไป เงินก็จะกลับมาช่วยในการพัฒนาธุรกิจของเราต่อไป

No comments:

Post a Comment