วิวาทะประชาธิปไตย
Updated: Monday, April 19, 2010
บันทึกจากชุมชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ในช่วงกลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2553
ฉาก – วินมอเตอร์ไซค์ในตรอกแห่งหนึ่ง มีคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลุ่มหนึ่งประมาณ 4-6 คนกำลังนั่งรอลูกค้าในช่วงบ่ายวันหนึ่ง
รถบรรทุกทหารขับออกจากหน่วยงานราชการหนึ่งที่เป็นเวรสับเปลี่ยน รถ GMC ขนาดกลาง มีทหารนั่งมาด้วยสัก 7-10 คน เสียงดีงกระหึ่มไปทั่วถนน
“เมื่อไรมันจะไปตายห่าซะ” หนึ่งในคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างบ่นออกมาไม่ดังนัก
ชายผู้ใหญ่ทำการค้าย่านนั้นคนหนึ่ง ที่คุ้นเคยกับมอเตอร์ไซค์โดยใช้บริการส่งจดหมายและเอกสารด่วนจากวินมอเตอร์ไซค์ย่านนั้นดี จึงเข้าไปถามว่า “ทำไมคุณถึงต้องไปเกลียดทหารเขา เขาเป็นผู้น้อยต้องไปทำหน้าที่” ชายผู้ใหญ่กล่าวต่อไปว่า "คุณรู้ไหม หากการชุมนุมนานวันไปเรื่อยๆ ใครจะเดือดร้อน ก็พวกคุณทุกคน ผมด้วย แล้วมีใครได้อะไร"
หนุ่มวินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา ไม่คิดว่าจะมีใครกล้ามาถาม
“พวกผมก็ไม่ได้อะไร แต่ก็จะไม่ยอมเลิกชุมนุมเหมือนกัน ก็อยู่กันไปอย่างนี้แหละ” เขากล่าวถึงการชุมนุมโดยคนเสื้อแดงที่ถนนราชประสงค์ที่ดำเนินต่อเนื่องกันมา "ผมก็เรียกร้องเพื่อให้ยุบสภา และเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว"
“ทำไมจะรอให้ถึงเวลา สัก 6-9 เดือนแล้วมาเลือกตั้งกัน มันจะต่างกันตรงไหน” ชายผู้ใหญ่ถาม
“แล้วถ้าการเลือกตั้งช้าออกไป พวกพรรครัฐบาลก็จะได้ไปโกงกิน มีเงินงบประมาณตั้งมากมาย หลายแสนล้านบาท พวกนี้ก็ไปคอรัปชั่นกัน” หนุ่มวินมอเตอร์ไซค์ให้เหตุผล และบรรดาเพื่อนกลุ่มเขาต่างแสดงสีหน้าท่าทางเห็นด้วย “รัฐบาลปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน ดูสิอดีตนายกฯ (พลเอกสุรยุทธ จุฬานนท์) มีที่ดินบ้านที่เขายายเที่ยง ที่ผิดกฏหมาย ทำไมไม่โดนจับ ที่คนจนอยู่ข้างล้างโดนจับกันหมด คนอยู่บนยอดเขากลับไม่โดน”
ชายผู้ใหญ่จึงตอบไปว่า “ก็แล้วเขาก็ยึดที่ดินคืนไปแล้วมิใช่หรือ”
กลุ่มเด็กหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์จึงตอบว่า “ก็ยึดคืนไปแล้ว ไม่เห็นต้องไปติดคุกเหมือนคนจนตีนเขาเลย อย่างนี้ก็สองมาตรฐาน” เขาคงหมายความว่า "ต้องให้อดีตนายกฯ สุรยุทธต้องไปติดคุกด้วย เพราะคุณทักษิณ มีเรื่องไปรับทราบการซื้อที่ดินจากราชการบริเวณถนนรัชดา ก็ซื้อมาถูกต้อง ทำไมนายกทักษิณต้องได้รับโทษติดคุกสองปี แต่อดีตนายกอีกคนหนึ่ง ไม่ติดคุก"
ชายผู้ใหญ่มองเห็นว่า หากจะต้องเถียงเรื่องนี้ต่อไป คงอีกนาน และไม่มีทางแพ้ชนะ จึงกลับไปที่เรื่องการชุมนุมที่ยืดเยื้อ
“คุณรู้ไหมหากการชุมนุมยืดเยื้อออกไป ทุกคนก็เดือดร้อน เศรษฐกิจทรุดอีกที ทุกคนก็ต้องเดือดร้อน” ชายผู้ใหญ่ถามซ้ำอีก
“ก็ไม่เป็นไร เราก็ทนๆกันไป” หนุ่มวินมอเตอร์ไซค์กล่าว หมายความว่า เขาไม่สนใจ มองอีกที เขาอาจจะอยากบอกว่า พวกผมมันจนอยู่แล้ว ไม่มีอะไรจะจนไปกว่านี้อีก
“คุณกำลังต่อสู่ให้กับคุณทักษิณหรือ” ชายผู้ใหญ่ถาม
“ผมไม่ได้ต่อสู้ให้กับพี่เขาหรอก แต่ก็อยากถามว่า แล้วทำไมต้องไปรังแกพี่เขา” หนุ่มมอเตอร์ไซค์ถาม “เขาทำผิดอะไรก้นหนักหนา จึงได้ไล่ทำร้ายเขา อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรม สองมาตรฐาน อีกอย่างหนึ่ง ทีพวกพันธมิตร (พวกเสื้อเหลือง PAD) ไปปิดสนามบิน (Suvarnabhumi International Airport) จนเดี๋ยวนี้ ยังไม่เห็นมีใครต้องไปรับผิดสักคน” เรื่องนี้ คงต้องเถียงกันอีกนานเหมือนกัน
“ผมขอถามพวกคุณทุกคนที่นั่งอยู่นี้ มีใครสักคนไหมที่ได้อ่านคำพิพากษาคุณทักษิณ” (กรณีที่ถูกพิพากษายึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท จากยอมเงินทั้งหมด 76,000 ล้านบาท) ชายผู้ใหญ่ถาม
กลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ได้แต่นั่งยิ้มเจื่อนๆ ไม่มีใครตอบ ชายผู้ใหญ่ได้ที จึงชี้นิ้วกวาดไปทุกคน “มีใครสักคนไหมได้อ่าน อ่านสักหน้าหนึ่งมีไหม” ไม่มีคำตอบ จริงๆ เขาคงไม่มีใครได้อ่านคำพิพากษากันสักคน และอาจไม่มีใครได้ฟังคำพิพากษานั้นๆด้วย และอาจรวมถึงชายผู้ใหญ่ที่ถามด้วย อาจได้อ่านคำพิพากษาอย่างย่อในหน้าหนังสือพิมพ์ ได้ฟังคำพิพากษาทางสื่อโทรทัศน์ แต่ก็คงไม่ได้อ่านทั้งเล่ม
วิวาทะจบลงอย่างไม่มีใครแพ้ชนะ แต่อย่างน้อยก็เป็นบรรยากาศที่ยังพูดกันได้ในชุมชนแต่ละแห่ง ชายผู้ใหญ่คนนั้นก็เดินเข้าร้านตนเอง ส่วนหนุ่มมอเตอร์ไซค์ ก็รอเวลาเลิกงาน เพื่อขับรับส่งผู้โดยสารอย่างที่เคยในแต่ละวัน
No comments:
Post a Comment