Friday, August 12, 2011

ยามมีฟันไม่มีถั่วจะกิน ยามมีถั่วแต่ก็ไม่มีฟันจะกินแล้ว

ยามมีฟันไม่มีถั่วจะกิน ยามมีถั่วแต่ก็ไม่มีฟันจะกินแล้ว

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: proverbs, สุภาษิต, สุขภาพ, โภชนาการ, เศรษฐกิจพอเพียง

ยามมีฟันไม่มีถั่วจะกิน ยามมีถั่วแต่ก็ไม่มีฟันจะกินแล้ว

มีสุภาษิตในภาษากันนาดา (Kannada) ในประเทศอินเดียกล่าวว่า “halliddAga kaDle illa; kaDle iddAga hallilla” ซึ่งแปลตรงตัวในภาษาอังกฤษว่า “There are no nuts when one has teeth and there are no teeth when there are nuts.” ซึ่งตรงกับสภาพการจริงในคนแต่ละวัยว่า “ยามมีฟันไม่มีถั่วจะกิน ยามมีถั่วแต่ก็ไม่มีฟันจะกินแล้วนั่นคือยามเมื่อเป็นเด็กหรือเป็นหนุ่มเป็นสาว มีสภาพร่างกายที่แข็งแรง มีฟันที่ยังสมบูรณ์อยู่ครบ มองอะไรเห็นอะไรอร่อยอยากกินไปหมด รวมถึงกินถั่ว ซึ่งเป็นอาหารสำคัญของคนอินเดีย โดยเฉพาะพวกมังสวิรัติ แต่ในยามนั้น คนทั่วไปก็ยังยากจนขาดแคลน ไม่สามารถกินอะไรอย่างที่อยากจะกิน ไม่สามารถมีอะไรอย่างที่อยากจะมี ความอยากกินอาจเปรียบไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากเรียนรู้ มีประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การเที่ยวเตร่ หรือการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ก็จะทำไม่ได้ เพราะในวัยนั้นจะไม่มีเงินทองเพียงพอที่จะทำอะไรได้ตามใจต้องการ

แต่ครั้นเมื่อมีอายุมากขึ้น มีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น พอจะมีเงินเลือกกินได้อย่างที่อยากจะกิน เริ่มมีเงินจับจ่ายอย่างที่อยากจะจับจ่ายได้ แต่เมื่อเวลานั้น ร่างกายในวัยสูงอายุขึ้น ก็ไม่เหมาะที่จะกินอะไรตามใจอยาก ความจริงอาจมีฟันที่จะกินถั่วได้อย่างใจอยาก แต่ที่นี้ “คนไม่มีฟันแล้วจะกินถั่ว” เขาเปรียบเหมือน มันไม่เหมาะแล้วที่จะกินอะไรตามใจปากหรือกินตามใจอยาก เพราะร่างกายของคนที่มีอายุมากขึ้น ต้องปรับตัวเองให้กินน้อยลง ในอาหารก็ต้องกินกากมากกว่ากินเนื้อ กินผักผลไม้มากขึ้น เพื่อรักษาสุขภาพ

ผู้เขียนเองก็ผ่านประสบการณ์ในลักษณะดังกล่าวนี้ อันที่จริง เมื่อเป็นเด็กก็ไม่ได้ขัดสนอดอยากอะไรมากมายนัก แต่ก็มักจะทำอะไรอย่างใจอยากไม่ได้ทั้งหมด เพราะชีวิตเมื่อเป็นนักเรียน นักศึกษา ทุกคนต้องกินอยู่อย่างประหยัด เพราะไม่สามารถหาเงินเลี้ยงชีพเองได้ ยังต้องอาศัยเงินจากพ่อแม่ เพราะเด็กๆ ยังรับเงินค่าใช้จ่ายกันเป็นวัน อาทิตย์ หรือเป็นเดือน แต่ในวัยหนุ่มสาวนั้น ดูเหมือนจะมีพลังมากมายเหลือเกิน อยากรู้อยากเห็น อยากทำอะไรอย่างที่ไม่เคยได้ทำ จริงๆแม้ชีวิตในช่วงรับราชการอยู่จนเข้าสู่วัยกลางคน ก็ต้องกินอยู่อย่างจำกัด ไม่สามารถฟุ่มเฟือยได้มากนัก จนเมื่อเกษียณอายุแล้ว จึงมีอิสระที่จะกินจะใช้ แม้จะมีรายได้ทรัพย์สิน แต่ก็ไม่คุ้นเคยกับการจับจ่ายใช้เงินทองมากมาย เพราะชีวิตได้คุ้นกับการกินอยู่อย่างสมถะเสียแล้ว

ในด้านการกินอาหาร ก็มีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถกินได้อย่างที่ต้องการ ต้องระวังน้ำตาลและไขมันในเลือด ต้องมีวินัยในการกิน ดังเช่น กินกาแฟใส่นมได้ แต่ต้องไม่ใส่น้ำตาล ต้องไม่กินของหวาน หรือขนมมากเกินไป ส่วนใหญ่จะกินได้แบบชิมๆเสียมากกว่า ส่วนปริมาณอาหารที่กิน โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน กินมื้อค่ำหรือ Dinner ก็ต้องเบาที่สุด ให้มีพลังงานจากอาหารให้น้อยที่สุด นั่นคือกินสลัดผักกับเนื้อ ปลา ไข่ เพราะพระเจ้าได้สั่งสอนแล้วว่า หากอยากจะมีอายุยืนยาว ไม่เจ็บป่วยทรมาน ก็ต้องกินเจียมอยู่เจียม และต้องทำงาน หรือออกกำลังกายให้มากพอในแต่ละวัน ต้องไปเข้าศูนย์ออกกำลังกาย ยกน้ำหนัก ถีบจักรยาน หรือเดินบนสายพาน ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับต้องกินอยู่และทำงานอย่างคนยากคนจนนัก

นี่แหละคือสัจจธรรมในโลก ที่เราอาจดูแล้วขำขัน แต่แล้วเราก็ต้องปฏิบัติตนอย่างมีวินัย ต้องเตือนใจตนเองตามนั้น คือ “ยามมีฟันไม่มีถั่วจะกิน ยามมีถั่วแต่ก็ไม่มีฟันจะกินแล้ว

No comments:

Post a Comment