Friday, August 12, 2011

เมื่อนอนกับหมา ก็ต้องติดเห็บหมา

เมื่อนอนกับหมา ก็ต้องติดเห็บหมา

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: proverbs, สุภาษิต, การศึกษา, การพัฒนาคน

มีสุภาษิตบทหนึ่งในภาษาฝรั่งเศสกล่าวว่า “Qui se couche avec les chiens se lève avec des puces.” แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Lie down with dogs, wake up with fleas.” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “เมื่อลงไปนอนกับหมา ก็ต้องต้องตื่นขึ้นมาพร้อมเห็บหมา”

Fleas = หมัดหมา, เห็บ, ตัวหมัด, เล็น, เหลือบ, ตัวดูดเลือด

Fleas หรือตัวเห็บหมา จึงเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งไม่ดี นำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ หากอยู่ใกล้ ก็มีแต่จะก่อให้เกิดปัญหา

คำสุภาษิตนี้ ต้องเขียนอย่างระวัง เพราะในบ้านเรามีคนรักหมาอยู่มาก แต่โดยทั่วไปเขามองอย่างนี้ครับ

เมื่อเป็นคน ก็อย่าไปคบกันคนที่ไม่ดี จะทำให้ได้รับสิ่งไม่ดีจากคนเหล่านั้นมาด้วย

ในชุมชนทั่วไป มีทั้งเด็กดีและเด็กที่มีปัญหา พ่อแม่ผู้ปกครองก็มักจะสอนลูกหลานว่า อย่าไปมั่วสุมคบกับเด็กที่ไม่ดีในระแวกนั้น เช่น เด็กที่ไม่เรียนหนังสือ ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดการพนัน รวมกันเป็นแก๊งก่อความวุ่นวายในชุมชน หรือหนักไปกว่านั้น กลายเป็นพวกติดยาเสพติด ก่ออาชญากรรม

สุภาษิตดังนี้มีไว้สอนเด็กที่ยังอ่อนเยาว์ สามารถหลงรับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมได้อย่างง่าย เมื่อเด็กๆ ผู้เขียนเองก็ได้รับคำสอนจากครูอาจารย์ พ่อแม่ และผู้ใหญ่ ให้รู้จักเลือกคบคน โดยในสมัยนั้น เขาสอนด้วยสุภาษิตว่า “คบพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” ผู้ใหญ่มักแนะนำให้เราคบกับเพื่อนที่ดีๆ เช่น เลือกเข้ากลุ่มกับพวกที่เรียนหนังสือดี พูดจาและแต่งตัวสุภาพ มีสติปัญญา จะได้พากันเรียนหนังสือหนังหา ประสบความสำเร็จในชีวิตตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเราเป็นเด็ก เรากลับชอบคนที่มีความคิดและนิสัยคล้ายๆกัน เช่น เรียนพอปานกลาง แต่มีนิสัยเที่ยวเตร่พอประมาณ มีอารมณ์สนุกสนาน ไปด้วยกันได้เฮฮา ไม่ถึงกับเลวที่สุด หรือดีที่สุด นับว่าพอดีๆ ไม่น่าเบื่อหน่าย เพราะคบกับพวกที่เอาแต่เรียนหนังสือ ไม่ค่อยพูดจากับคน มันดูเคร่งเครียด มันก็น่าเบื่อเหมือนกัน

ในโรงเรียนมีเพื่อนพวกที่ไม่เอาถ่านเหมือนกัน พอรู้จักกัน แต่ไม่ถึงกับไปตามเขาบ่อยครั้ง เขาเป็นแบบพวกที่ชอบหนีเรียน ไปมีเรื่องชกต่อยกันเป็นประจำ เราพอมีวิจารณญาณรู้สึกนั่นไม่ใช่ชีวิตของเรา และไม่สนุกที่จะต้องไปชกต่อยกันคนอยู่เรื่อยๆ

จนเมื่อโตแล้ว พอเอาตัวรอดได้ และมาเป็นครูอาจารย์ด้วยตนเองแล้ว กลับมองอีกแบบหนึ่ง ในทัศนะผม ครูที่ดีต้องไปมีความสัมพันธ์กับเด็กที่มีปัญหา เพราะเด็กที่มีปัญหานี้ เขามักจะมีปัญหามาแต่บ้านและชุมชน ครูที่ดีและเก่ง ต้องไปช่วยเด็กที่หากเราไม่ช่วยเขาในวันนี้ ในวันข้างหน้า ปัญหาของเขาจะยิ่งหนักหนากับสังคม จนยากที่เราจะแก้ไขปัญหาตัวเขา และมันจะสะสมเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมได้ ดังดูได้จากปัญหาเด็กพวกต่อต้านสังคม (Anti Social Youth) ที่อยู่ตามระแวกชุมชนแออัด ชุมชนอุตสาหกรรมชานเมือง พ่อและแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดู ตกเย็นเด็กๆพวกนี้ไม่มีอะไรทำ ก็มารวมตัวกัน และรับอิทธิพลจากลุ่มแก๊ง รวมตัวแล้วมีอำนาจ ทำในสิ่งที่ไม่ดี ก็ไม่มีใครมาว่ากล่าว จนในที่สุดเด็กพวกนี้ก็ไปก่อปัญหาดังเช่น ไปขว้างปากระจกรถยนต์ รถบรรทุกที่วิ่งอยู่ตามถนน โดยไม่รู้หรือนึกว่าคนที่เขาถูกทำร้ายนั้น เขาจะได้รับความทุกข์ บาดเจ็บ หรือแม้แต่เสียชีวิตอย่างไร

เด็กๆพวกนี้แท้จริงเป็นเหยื่อของสังคมที่ต้องได้รับความเอาใจใส่เช่นกัน และต้องร่วมมือกันทั้งที่บ้าน โรงเรียน และชุมชน โดยไม่ปล่อยให้ปัญหาของเขาบานปลายจนยากที่จะแก้ไข

ผมจึงอยากจะแนะนำสุภาษิตนี้ในลักษณะที่ต่างกัน กล่าวคือ หากเราเป็นเด็ก เราควรเลือกคบเพื่อนที่เป็นคนดี คนที่จะเป็นเพื่อนกันได้ แม้จะมีสถานะทางเศรษฐกิจต่างกันก็ไม่เป็นไร มีเชื่อชาติศาสนาต่างกัน ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้เป็นคนดีที่จะได้ช่วยกันทำดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แสวงหาหประสบการณ์ในชีวิต และเป็นเพื่อนที่ดีที่จะช่วยกันต่อไปในอนาคต

แต่หากเป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ต้องดูแลสังคม เช่นครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ หรือผู้นำชุมชน กลับต้องเป็นคนที่พร้อมที่จะลงไปแก้ปัญหาของสังคม โดยเฉพาะต้องมองการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนที่มีปัญหา เป็นความท้าทายที่จะทำให้สังคมโดยรวมได้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

เด็กๆที่เคยมีปัญหาที่มีครูที่ดีได้ตั้งใจที่จะช่วยเขา เป็นแม้มือสุดท้ายที่จะฉุดเขาจากนรก แม้ด้วยความยากลำบาก แต่สักวันเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะนึกถึงบุญคุณนี้ไม่รู้ลืม และนั่นควรเป็นความภูมิใจของคนที่เป็นครูและผู้ใหญ่ทั้งหลายยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น

No comments:

Post a Comment