Thursday, January 28, 2010

บทที่ 7 ผิดให้เป็นครู และการล้มแล้วรู้จักลุก

บทที่ 7 ผิดให้เป็นครู และการล้มแล้วรู้จักลุก


ประกอบ คุปรัตน์ และ
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
ณัฐนิภา คุปรัตน์
Nattanipha Cooparat


มูลนิธิก้าวไกลในเอเชีย
SpringBoard For Asia Foundation (SB4AF)

Updated: วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
Keywords: cw059, ความเป็นผู้นำ, การจัดการ

บทนำ

การได้ริเริ่มคิดนับว่ายังไม่พอที่จะทำให้สำเร็จ คนอาจฝันที่จะคิดเครื่องบิน สร้างเรือเหาะ หรือฝันถึงโลกในอนาคตที่เป็นยุคข้อมูลข่าวสารที่ข้อมูลความรู้แลกเปลี่ยนและไหลเวียนกันมากมาย คนสามารถฝันได้ไกล แต่มีเป็นอันมากที่ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางแห่งฝันนั้น บางคนจะยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะริเริ่มสิ่งที่เป็นความฝัน หรือเป็นแผนงานให้ได้กลายเป็นจริงเลย บางคนเมื่อได้เริ่มงานแล้วก็แน่นอนว่าจะต้องประสบอุปสรรคมากมาย

ในฐานะผู้นำหน้าที่สำคัญประการหนึ่งคือการเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง เขาเป็นคนที่ได้ทำงานในสิ่งที่ผู้อื่นยังไม่ได้ทำ หรือไม่คิดจะทำ เขาเป็นคนที่คิดทำอะไรก้าวเลยหน้าผู้อื่น เขาเป็นคนที่เรียนรู้จากอดีต เขาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน แต่เปิดตาไว้อย่างน้อยข้างหนึ่งสำหรับอนาคต และบทบาทผู้นำก็คือการเอาสิ่งเหล่านี้มาประมวลเข้า แล้วกำหนดออกมาเป็นทิศทางที่แปลกใหม่ออกไป การจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ ผู้นำจึงต้องใช้ทั้งสมองซีกซ้าย และซีกขวา เขาเป็นคนที่รู้จักใช้ญาณ การหยั่งรู้อนาคต การต้องมีแนวคิด การสังเคราะห์ และการใช้ศิลปะในการประมวลสิ่งเหล่านี้ให้เกิดเป็นแนวทางเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าของระบบสังคมนั้นๆ

แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม มักจะต้องผ่านการล้มเหลวและผิดพลาดมามากมายกว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จ การเป็นผู้นำจึงต้องไม่ใช่พวกใจเสาะ คอยแต่จะหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง

ไต่เมื่อความเป็นคนกล้าของเขานั้นมันอาจไม่ได้หมายความถึงการนำมาซึ่งความสำเร็จในทันใด บางอย่างต้องผ่านอุปสรรคนานาประการ

ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปูชนียบุคคลคนหนึ่งของสังคมไทย ได้ผ่านการเสี่ยงภัยเข้าร่วมกับขบวนการเสรีไทยในประเทศอังกฤษ โดยอาสาสมัครเข้าทำงานใน British Army Pioneers Corps ท่านเป็นทั้งนักวิชาการที่ได้ทำตนเป็นตัวอย่าง เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้มีผลงานพิศูจน์ได้จากการพัฒนาธนาคารแห่งประเทศไทยให้กลายเป็นสถาบันที่สร้างความเชื่อถือทางการเงิน และเป็นกลไกในการควบคุมระบบเศรษฐกิจของประเทศ เป็นคนที่กล้าเตือนสติเผด็จการที่ครองประเทศ เป็นแบบฉบับให้แก่บรรดลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย แต่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่เป็นเหตุการณ์ที่ฝ่ายขวาได้ใช้ในการกำจัดผู้ไม่เห็นด้วยทางการเมือง และคนที่สงสัยเป็นคอมมิวนิสต์ ท่านจึงกลายเป็นผู้ถูกกระทำ ต้องพลัดพลากจากแผ่นดิน เกิดความเครียดความเสียใจในชะตากรรมบ้านเมือง เกิดการล้มป่วยลงจนถึงเส้นโลหิตในสมองแตก และถึงแม้จะหายป่วยแล้ว แต่ก็ทำให้ไม่สามารถพูดได้เหมือนปกติ

อะไรคือรางวัลตอบแทนในชีวิต ทำดีแล้วไม่ได้ดีกระนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นเราจะไปทำดีทำไม ทำอย่างที่คนอื่นเขาทำไม่ดีกว่าหรือ แสวงหาความสุขใส่ตัว เพราะคนเรานั้นชีวิตมันสั้น อยุ่ได้ไม่นานก็ต้องตายจากกันไปแลัว

คนเรานั้นกว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ต้องใช้เวลา ต้องผ่านประสบการณ์ความผิดพลาดและล้มเหลวมามากมาย เช่น การทำธุรกิจแล้วล้มเหลว การถูกไล่ออกจากงาน การต้องย้ายงาน ซึ่งแต่เดิมก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ประสบการณ์ของชีวิตการทำงานของคนก็เหมือนกับเมื่อเด็กๆ กว่าที่เด็กทารกจะสามารถยืนได้ก็ต้องผ่านการตั้งไข่ล้ม ต้องตกใจร้องให้มาก็มาก กว่าที่จะยืนได้ไปสู่การเดินได้ ก็ต้องมีการล้มอีกบ่อยครั้งกว่าที่จะเดินและวิ่งได้ เมื่อครั้นเป็นเด็กเล็ก วิ่งได้ซนได้ก็ต้องประสบอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆที่ทำให้เจ็บตัวร้องไห้อยู่เป็นประจำ แต่แม้จะต้องมีล้ม มีการเจ็บตัว มีร้องไห้ เราก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนั้น เพราะถ้ามัวกลัวว่าเด็กน้อยจะต้องเจ็บ ไม่อยากให้ร้องไห้ ก็จะต้องคอยอุ้มอยู่ตลอดไป เด็กก็จะไม่รู้จักโต ไม่มีพัฒนาการให้เป็นไปได้ตามขั้นตอนในชีวิตของเขา

ความสำเร็จนำไปสู่ความล้มเหลว

ในสุภาษิตภาษาอังกฤษมีว่า

Nothing fails like success.

As soon as the stream changes, the challenge, the one successful response, no longer works. It fails. Nothing fails like success. It's intriguing, and it's true.

แปลเป็นไทยได้ว่า "ไม่มีอะไรจะทำให้ล้มเหลวได้มากเท่ากับความสำเร็จ" เพราะคนเรานั้นยิ่งประสบ ความสำเร็จมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีความเชื่อมั่น และใช้ประสบการณ์เดิมในการที่จะสร้างความสำเร็จต่อไป แต่แล้ว ก็อาจพบว่าประสบการณ์เดิมนั้นไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกเรื่องไป เช่นดาราภาพยนต์หรือนักแสดง ถ้าได้แสดงในบทบาทหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จ ก็จะเลือกบทบาทแบบนั้นๆเป็นต้นแบบ ในการแสดงต่อไป จนในที่สุดกลายเป็นความคับแคบ ไม่เกิดการริเริ่มในสิ่งใหม่แสดงบทที่หลากหลายออกไป คนดูก็จะเริ่มเบื่อ เพราะงาน ศิลปะนั้นต้องการความแปลกใหม่

ในโลกธุรกิจก็เช่นกัน ถ้าใครประสบความสำเร็จ และจะพยายามจะยึดอยู่กับแนวคิด หรือตัวสินค้านั้นๆ ยาวนานเกินไป ในที่สุดก็จะมีคนอื่นมาทดแทน เพราะเขาสามารถทำสิ่งเดียวกันได้ด้วยคุณภาพ และราคาที่ถูกกว่า มีวิธีการทำงานที่สดกว่า มีบุคคลากรที่หนุ่มสาวกว่า คิดและมีวิธีการทำงานที่ทันสมัยกว่า และเขาก็สามารถสร้างผลิตผลและบริการที่ดีกว่าได้ด้วย ถ้าเขามุ่งมั่นที่จะพัฒนางานให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา

มีคนเป็นอันมากยิ่งประสบความสำเร็จยิ่งชะล่าใจ ไม่ไฝ่หาโอกาสในการเรียนรู้ เหมือนนักมวยที่เป็น แชมเปี้ยนสู่จุดสูงสุดแล้ว การที่จะทำให้ได้อยู่ในจุดนั้นอีกต่อไปก็เป็นเรื่องยาก

ลูกคนมีฐานะแต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะเมื่อเกิดมานั้นก็มีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว จึงไม่ จำเป็นต้องขวนขวายหาอะไรใหม่ในชิวิต จึงเลือกใช้ชีวิตดังคนเสเพล ไม่มีแก่นสาร ศักยภาพที่มีอยู่จึงขาดการขัด เกลา และนำไปใช้อย่างเต็มที่

มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่มีชื่อเสียงก็เหมือนกัน ไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนแปลง และหาเรื่องที่จะ เปลี่ยนแปลงได้ยาก เพราะในขณะนั้นดูเหมือนทุกอย่างจะดีหมด แต่ก็หารู้ไม่ว่าขณะที่ตนเองกำลังประสบความ สำเร็จนั้น แท้จริงแล้วกำลังเสื่อมลงโดยตลอด เพราะความชะล่าใจ ที่เรียกกันว่า complacency นั้นทำให้ขาด ความมุ่งมั่นในการพัฒนาสถาบันของตนเองสู่ความเป็นเลิศ

บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นสถาบันด้วยตัวของมันเอง เช่น General Motors, หรือ IBM, ซึ่งเคยเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ แต่วันดีคืนดีในช่วงปี 1989-1991 ก็เริ่มประสบปัญหาจากความสำเร็จนั้น เพราะได้ขยาย งานเกินขนาด อย่างบริษัท General Motors มีคนงานกว่า 9 แสนคน และ IBM มีคนงานกว่า 4 แสนคน ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนตนเองได้ จนกระทั่งลูกค้าและผู้ถือหุ้นได้ปรับเปลี่ยนไปใช้สินค้าอื่น จนมีผลทำให้ ขายสิตค้าได้ยากขึ้น ต้องมีการปรับปรุงกิจการใหม่ ลดกำลังคนงานลงอย่างมากมาย และรวมถึง การต้องปรับ เปลี่ยนผู้บริหารใหม่หมด

Arnold Toynbee ได้ตั้งข้อสังเกตว่า

"เมื่อมีการท้าทายใหม่ๆเกิดขึ้น แต่คนก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงก็เหมือนกับกระแสน้ำมัน ไหลไปแล้วก้ไม่ไหลกลับ และเราก็เรียกอดีตนั้นคืนมาไม่ได้"

การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นเองก็อาจนำมาซึ่งความผิดพลาด มันอาจไม่เป็นไปได้ตามประสงค์ จึงเป็นความจำเป็นที่มนุษย์จะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิด ซึ่ง อาจเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ

ความผิดพลาดนำไปสู่การเรียนรู้

อธิการบดี Eliot แห่ง Harvard อันเลื่องชื่อของสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว ท่านได้เริ่มงานในตำแหน่งอธิการบดี และมุ่งมั่นที่จะทำการปฏิรูปหลักสูตรของมหาวิทยาลัยโดยการใช้ระบบ Elective System ซึ่งเป็นหลักการอุดมศึกษาที่ยอมรับกันเช่นในปัจจุบันนั้น ท่านต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานาประการ เพราะในสมัยก่อนหน้านั้น หลักสูตรการศึกษาในระดับปริญญาตรีในสหรัฐยังยึดถือหลักสูตรแบบบังคับร่วมสมัยเดิม ที่บังคับให้นักศึกษาต้องเรียนวิชาทางศิลปศาสตร์มากมายที่ไม่มีความสอดคล้องกับสังคมสมัยใหม่ เช่นการต้องเรียนภาษากรีก ลาติน ซึ่งเป็นภาษาที่ตายแล้วสำหรับการใช้เพื่อการสื่อสารโดยทั่วไป แต่กว่าจะประสบความสำเร็จ ท่านอธิการบดี Eliot ได้เคยถูกจากผู้ไม่เห็นด้วยมากมาย และในครั้งที่สำคัญที่สุดก็คือ คณะกรรมการมหาวิทยาลัยได้รวมหัวกันพิจารณาปลดออกจากตำแหน่ง จนต้องร้อนถึงสภามหาวิทยาลัยและบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่เห็นเวยกับแนวคิดระบบการเลือกเรียนแบบเสรีต้องต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ท่านได้กลับมาทำงานในตำแหน่งอธิการบดีอีก

ศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคน เคยต้องอดมื้อกินมื้อ ผิดหวังจากการเริ่มงานนานัปการกว่าที่ท้ายสุด งานของเขาจะได้เป็นที่ยอมรับของประชาชน ความแตกต่างระหว่างผู้ที่ประสบความสำเร็จและผู้ที่ได้เลิกลาเปลี่ยนอาชีพไปนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนประเภทหลังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับความล้มเหลวและผิดหวังได้นานนัก เพราะเขายอมที่จะเลิกลา ยอมแพ้ต่ออุปสรรคนั้นแล้วเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นๆ ไปสู่สิ่งที่เขาคิดว่าง่ายกว่า สบายกว่า

ข้อคิดทางการบริหาร

การบริหารงานงานนั้นมักจะต้องเต็มไปด้วยอุปสรรค ถ้าการบริหารงานนั้นจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับ การเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้คนที่เกี่ยวข้องไม่สามารถรับได้ และ่ในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักจะต้องมี "แพะ" ที่ถูก บูชายัญไปเมื่อเกิดความล้มเหลวขึ้น และนั้นคือสิ่งที่คนทำงานบริหาร หรือคนที่จะต้องนำคนต้องคิด แต่ลอง วิเคราะห์ในข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้ของสิ่งเหล่านี้

จะผ่าตัดโดยไม่ให้มือเปื้อนเลือดได้อย่างไร การจะเปลี่ยนแปลงโดยไม่ให้เจ็บตัวบ้างเลยนั้นเป็นไปได้หรือไม่ และอย่างไร

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลง จากระบบแทกซี่แบบเดืมที่ต่อรอง ไปสู่การมีแทกซี่มิเตอร์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมคนจึงยอมรับได้

ทำไมการพยายามเปลี่ยนแปลงระบบมหาวิทยาลัยแบบราชการไปสู่ระบบมหาวิทยาลัยอิสระในยุครัฐบาลอานันท์นั้น ( พ.ศ. 2534) จึงไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยคนเก่ง คนมีสติปัญญาที่ไปแสดงความคิดเห็นในการเปลี่ยนแปลงโลกและสังคมมากมาย

คำตอบในเบื้องต้นขณะนี้ก็คือ มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของเวลา สถานที่ การได้ประโยชน์ของคนที่เขามีอำนาจ และความเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ในกรณีของการเปลี่ยนแปลงระบบแทกซี่มิเตอร์นั้น เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคนั้นมีแรงกดดันเข้ามา และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าค่าบริการรถแทกซี่ในประเทศไทยในสมัยก่อนหน้านี้ได้ถึงจุดที่แพงมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองใหญ่ของโลกแล้ว มีการซื้อขายใบทะเบียนรถเก่ากันในราคาคันละ 6-7 แสนบาท คนขับรถแทกซี่เองก็ไม่ได้ประโยชน์จากการขับ เพราะไม่มีรถให้ขับอย่างเพียงพอ หามาได้ก็ต้องมาจ่ายค่าเช่ารถหมด คนที่ได้ประโยชน์คือเจ้าของรถคนกลุ่มแคบๆ ไม่กี่คน แรงกดดันเพื่อการเปลี่ยนแปลงจึงมีมาก นอกจากนี้คือการเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบปลดปล่อยเสรี ไม่ได้มีการไปจำกัดสิทธิรถรุ่นเก่าแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการเปิดโอกาสให้ใครก็ตามที่ประสงค์จะทำธุรกิจทางด้านนี้ ต้อง-การซื้อรถมาเพื่อทำเป็นรถแทกซี่มิเตอร์ก็ให้สามารถทำได้สะดวก ไม่ต้องมีระบบโควต้าเหมือนเดิม

แต่ลองวิเคราะห์ความล้มเหลวในความพยายามเปลี่ยนแปลงให้เกิดมีมหาวิทยาลัยอิสระที่เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล มันไม่สำเร็จเพราะ

(1) ประชาชนคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ (2) นิสิตนักศึกษาเองก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยได้ไปต่างประเทศ ได้เห็นความแตกต่างระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นดีของเขาและเปรียบเทียบกับของเรา (3) อาจารย์เองก็ไม่มีใครได้ประโยชน์ เพราะวัฒนธรรมการบริหารมหาวิทยาลัยของเมืองไทยนั้นทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์อยู่แล้ว อาจารย์ทุกคนมีอิสระ ถ้าใครอยากหารายได้พิเศษก็สามารถกระทำได้ ตรงกันข้าม ถ้าเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยอิสระ อาจารย์อาจได้รับรายได้เพิ่มมากขึ้นบ้าง แต่เงื่อนไขข้อจำกัดสำหรับอาจารย์ก็จะต้องมากขึ้น คิดแล้ว เขาคงไม่คุ้ม (4) แต่ทีสำคัญทีสุด คือเรื่องความเป็นผู้นำภายในแต่ละมหาวิทยาลัยเองก็มีส่วนอยู่มาก เพราะระบบการเลือกตั้งผู้บริหารมหาวิทยาลัยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่เอื้อให้เกิดความเป็นผู้นำในลักษณะที่จะทำให้เกิดมหาวิทยาลัยอิสระได้

ผู้เขียนอยากจะกล่าวว่าเพราะผู้นำในมหาวิทยาลัยในขณะนั้นซึ่งมีจำนวนถึง 14 สถาบันนั้น ยังไม่มีความพร้อม ไม่ว่าจะในระดับอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการสถาบัน และหัวหน้าภาควิชา ยังไม่มีใครพร้อมที่จะเสี่ยงออกมายืนยันในทิศทาง ยังไม่กล้าเจ็บตัว และไม่มุ่งมั่นพอที่จะทำงานการเปลี่ยนแปลงนั้นๆให้สำเร็จ

เรื่องของแรงจูงใจในชีวิต

มีสุภาษิตกล่าวไว้ว่า "There is a will, There is a way" ซึ่งแปลได้ว่าที่ไหนมีความพยายามที่นั่น ก็มีความสำเร็จ แต่ความพยายามหรือความอยากที่จะทำงานให้สำเร็จนั้นเกิดจากอะไร

สำหรับ Abraham Maslow ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับแรงจูงใจของคนว่ามีลักษณะเป็นลำดับขั้น โดยจะเริ่ม ตั้งแต่ในระดับต้น ถ้าความต้องการในระดับต้นๆของเขาบรรลุผลแล้ว มนุษย์ก็จะเลื่อนระดับความต้องการ ของเขา ไปสู่ในระดับสูงขั้นต่อไป

คำถามที่น่าสนใจคือ ทำอย่างไรคนเราจึงอยากเป็นผู้บริหารทั้งๆที่ก็มีความเสี่ยงความรับผิดชอบเกิดขึ้น

ทำไมคนจึงสมัครเป็นผู้แทนราษฏรทั้งๆที่อาจจะไม่ได้รับเลือกตั้งเข้าไปในสภา

ความเป็นผู้นำก็ต้องอาศัยแรงจูงใจ และแรงจูงใจนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเขาจะเป็นผู้นำในแบบไหน เป็นของ แท้ หรือว่าของปลอม เพราะบางครั้งคนที่ต้องยอมเหนื่อยยอมเสียสละหลายอย่างเพื่อที่จะเข้าไปทำหน้าที่นำใน สังคมนั้นองค์การนั้น บางครั้งต้องทำให้ครอบครัวก็ต้องเดือดร้อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คนทั่วไปจะนึกไม่ออก และไม่ สามารถหาเหตุผลที่จะกระทำเช่นนั้นได้

สำหรับคนที่จะเป็นผู้นำนั้นแรงจูงใจนั้นเป็นสิ่งที่เกิดแก่ตัวเขาเป็นที่ตั้ง ทั้งนี้มิได้หมายความว่า มนุษย์เห็น แก่ตัว แต่มนุษย์จะคิด และเห็นได้จากตนเองเป็นหลักก่อน ตามทฤษฏีของ Maslow ความต้องการ (needs) ของมนุษย์ 5 ระดับมีดังต่อไปนี้

1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) เช่นความต้องการในอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย และการรักษาดูแลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นความต้องการในระดับเบื้องแรกของมนุษย์

2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Needs) แม้นว่าเขาได้รับการตอบสนอง ในความต้องการระดับต้น คือความต้องการทางร่างกายแล้ว มนุษย์ก็จะต้องการสิ่งเหล่านั้นให้คงอยู่ตลอดไป เพราะเขาจะเห็นว่า สิ่งที่เขาได้หรือเขามีในปัจจุบันนั้น ในอนาคตเขาอาจไม่มี หรือไม่ได้ก็ได้ ดังนั้นถ้าอะไรที่จะ นำมาซึ่งความแน่นอน ในอนาคตได้ ก็จะเป็นความต้องการในระดับที่สองนี้ คนที่ยอมรับราชการทั้งๆที่รู้ว่า ได้รับผลตอบแทนสูงกว่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่มั่นใจในอนาคต และการอาชีพของเขาว่าจะเป็นที่ต้องการ และมีงานที่มีรายได้ พอสมควรได้ตลอดไป บางคนไม่อยากรับราชการ แต่เพื่อความปลอดภัยและมั่นคง ในชีวิตและทรัพย์สิน ก็จะเลือก ใช้การทำประกันในด้านต่างๆ โดยยอมจ่ายค่าประกันเป็นระยะไป

3. ความต้องการในทางสังคม (Social Needs) ซึ่งเป็นความต้องการในระดับที่สูงขึ้นไป ในสังคมคอม -มิวนิสต์นั้นหวังเป็นอย่างมากในการใช้ความต้องการในระดับนี้ที่จะทำให้ประชากรเป็นผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพ หรือผู้ให้ที่ดีในสังคม การให้การยกย่องให้รางวัลประกาศเกียรติคุณในคุณงามความดีที่ได้กระทำไป โดยหวังว่า จะทำให้เขามุ่งมั่นในการทำหน้าที่ด้านต่างๆที่ได้รับมอบหมายให้ได้ดีที่สุด

4. ความต้องการศักดิ์ศรีี (Self-Esteem) ซึ่งเป็นความต้องการในระดับที่ต้องการมากกว่าความชื่นชอบ ของผู้คนโดยทั่วไป แต่ต้องการ ให้ได้มาซึ่งความเคารพ ในศักดิ์ศรี ในความสามารถของตน

5. สัจจการแห่งตน (Self-Actualization) เป็นในระดับที่สูงสุดเป็นเรื่องที่อาจจะอธิบายยาก ซึ่งจะ ได้มีตัวอย่างกล่าวถึงในส่วนต่อไป

คนที่จะเป็นผู้นำอย่างแท้จริงนั้นแรงจูงใจของเขาจะเป็นในระดับสูงมากกว่าบุคลากรโดยทั่วไป ซึ่งจะเป็นใน ระดับ self Esteem และ self actualization

ในการศึกษาด้านแรงจูงใจของนักบริหารนั้น เขาพบอธบายว่า คนที่อยากทำงานด้านบริหาร นั้นมีความ ต้องการหลักๆอยู่ 3 ประการ กล่าวคือ

1. การได้รับการยอมรับเป็นกลุ่มพวก (Affiliation)

2. การได้มีอำนาจ (Power) และ

3. การได้ประสบความสำเร็จ (Achievement)

นักบริหารทางด้านธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้นมักจะเป็นเป็นพวกที่ต้องการความยอมรับเป็นที่รักใคร่ ในกลุ่มพวกไม่สูงนัก เป็นพวกที่ต้องการอำนาจสูง คือต้องการโอกาสและในสถานะที่มีอำนาจ สามารถก่อให้ เกิดความยอมรับหรือทำตามในหมู่คนได้ และเป็นพวกที่สนใจในความสำเร็จในระดับปานกลาง ซึ่งจะเป็นพวก ที่แตกต่างจากนักวิชาการหรือนักวิจัยทีคำนึงถึงความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันค่อนข้างมาก และก็นักบริหารประเภท นี้ก็จะแตกต่างจากพวกศิลปินทั่วไป ที่ต้องการความรักความชอบสูง แต่ไม่สนใจ หรือไม่เข้าใจในเรื่อง ของอำนาจ

คนจะขึ้นที่สูงและจะเป็นผู้นำคนนั้นมักจะเป็นคนที่ไม่กลัวที่จะใช้อำนาจ จะไม่สนใจมากนักว่าจะมีคนไม่ ชอบ หรือต้องถูกเกลียดชังจากคนบางกลุ่มบางคน ขอให้เขาสามารถใช้อำนาจเพื่อการเปลี่ยนแปลง หรือทำงาน อย่างที่ต้องการได้ แต่ในขณะเดียวกัน การมองในแง่ความสำเร็จของนักบริหารนั้น เขาจะมองอย่างเป็นจริงได้ ไม่เป็นอุดมคติอย่างนักวิชาการ แต่นักวิชาการหรือพวกนักคิด นั้นชอบทำอย่างที่ "อยากฝันถึง"

สำหรับคนที่กล้าจะเป็นผู้นำ แม้แต่ในระดับศิลปินขั้นอัจฉริยะนั้น เขาก็จะไม่กลัวว่าในขณะนั้นคนจะชอบ หรือไม่ชอบในผลงานของเขา เพราะเขากำลังทำงานในสิ่งที่อาจพิศูจน์ไม่ได้ในยุคสมัยนั้นๆ แต่สักวันหนึ่ง อาจมีคน ที่เข้าใจ แต่สิ่งที่เขาอยากทำมากก็คือได้ทำในงานอย่างที่เขาสะใจมากกว่า ทำแล้วมีความสุข แม้คนอื่นจะยัง ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร

แรงเสริมในการเป็นผู้นำ

คนโดยทั่วไปถูกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ด้วยเงื่อนไขอย่างน้อย 5 แนวทาง กล่าวคือ

1. แรงเสริมเชิงบวก (Positive reinforcement) คือการใช้แรงเสริมในเชิงบวกในการตอกย้ำพฤติกรรม ที่เคยเกิดขึ้นแล้วให้มีโอกาสเกิดขึ้นอีก ถ้าใครทำดี ถ้าได้รับผลตอบแทนที่ดีก็จะเป็นการกระตุ้น ให้พฤติกรรม เช่นนั้นเกิดขึ้นในอนาคต

2. แรงเสริมในเชิงลบ (Negative reinforcement or Avoidance) หมายถึงเมื่อเวลาทำไม่ดี หรือทำผิด พลาดก็จะได้รับโทษ แต่ว่าเมื่อทำดีแล้วโทษที่เคยได้รับนั้นก็จะหยุดลง ถือว่าไม่ได้ให้รางวัล แต่จะได้การหยุด รับโทษ เช่นเมื่อคนๆหนึ่งทำทั้งพฤติกรรมที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ ซึ่งก็ได้รับการลงโทษ (punishment) เช่นการ ถูกบ่น ว่ากล่าว หรือทำให้ได้รับความเจ็บปวด แต่ถ้าเขาไม่ทำในสิ่งไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าเขาจะทำในสิ่ง พึงประสงค์ หรือไม่ ก็จะไม่ได้รับการลงโทษนั้น แรงเสริมในเชิงลบนี้ก็จะเป็นเสมือน การห้ามปรามไม่ให้คน ประพฤติปฏิบัติ ในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์นั้นๆ

3. การได้รับโทษ (Punishment) หมายถึงการได้รับผลกระทบในทางที่ไม่ดีเมื่อคนๆนั้นได้กระทำผิด หรือกระทำในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เช่นเมื่อคนสูบบุหรื่ในห้องประชุม ก็จะได้รับการบอกเตือนถึงข้อห้ามสูบบุหรี่ หรือเด็กทำแก้วตกแตกก็จะได้รับการว่ากล่าว หรือถูกตี เป็นต้น โดยทั่วไปธรรมชาติก็มีกลไกการทำโทษอยู่แล้ว เช่น ถ้าเด็กเล่นไม่ขีดไฟ ก็มีโอกาสถูกไฟไหม้ ได้รับความเจ็บปวด ถ้าเขาไปเล่นกับสัตว์ร้าย ก็อาจถูกกัดถูกข่วน หรือได้รับพิษ มนุษย์ที่ร่วมกันทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า ท้ายสุดก็ได้รับผลกระทบจากธรรมชาติ โดยที่ก็จะมีปัญหาฝนแล้งในหน้าร้อน และน้ำท่วมในฤดูฝน ไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้

4. การทำให้เงื่อนไขพฤติกรรมหมดไป (Extinction) หมายถึงคนเรากระทำพฤติกรรมอย่างใดอย่าง หนึ่ง ซึ่งรวมถึงการทำผิด แต่กลับได้รับแรงเสริม เช่นทำผิดกลับได้รับการปกป้อง ถ้าเป็นอย่างนั้นคน ก็จะทำผิด มากขึ้น แต่ถ้าหากเราหาทางยับยั้งการส่งเสริมพฤติกรรมนั้น พฤติกรรมที่ไม่ต้องการเกิดนั้นก็จะไม่ได้รับแรง เสริม ก็จะเป็นการทำให้พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์นั้นเกิดน้อยลง ยกตัวอย่างคนที่ชอบทำตัวหรูหรา ในสังคม ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย เพราะสังคมให้คุณค่าเช่นนั้น แสดงว่าเป็นคนมีฐานะ แต่ถ้าเราเฉยเมยเสีย ไม่ไปสนใจ ไม่ให้ความสำคัญ พฤติกรรมเช่นนั้นก็จะลดความสำคัญลง ( หน้า 164-165)

(John R. Schermerhorn,Jr., James G. Hunt and Richard N. Osborn Managing Organizational Behavior. New York: John Wiley & Son, 1991)

แต่การปรับพฤติกรรมนั้นเป็นปรากฏการณ์จากภายนอก เราอาจใช้ในการปรับพฤติกรรมผู้อยู่ใต้การ บริหารของเรา แต่สำหรับผู้ที่จะเป็นผู้บริหารนั้น เงื่อนไขทั้ง 4 ประการนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำได้มากนัก สำหรับคนในระดับที่จะเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ใครจะเป็นคนปรับพฤติกรรมให้กับผู้บริหาร ความจริงแล้วมันมีกลไก ตามธรรมชาติของมันบาง

ผู้นำต้องการแรงเสริมหรือรางวัลเช่นกัน แต่เป็นในระดับสูง และเป็นนามธรรมมากขึ้น และที่สำคัญมัน เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องมีพื้นฐานอยู่ในส่วนลึกของเขา การหล่อหลอมสามารถกระทำได้ในระดับหนึ่ง และในวัยหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาเกิดการเรียนรู้ แต่ในระยะต่อไปนั้นมันต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์บางประการที่จะทำ ให้ความเป็นผู้นำของเขาเจริญงอกงาม

อย่าเป็นโรคชอบแก้ตัว

คนเรานั้นแม้คนที่มีศักยภาพมากมาย แต่มีเป็นอันมากที่ในที่สุดไม่มีโอกาสทำงานได้ตามศัยกยภาพของ ตนเอง ด้วยความเกรงกลัวจนไม่มีโอกาสได้ลอง และด้วยความเกรงกลัวนั้นเองที่ได้ไปปิดกั้นศักยภาพอันแท้จริง ของมนุษย์ มนุษย์ทีเกรงกลัวเหล่านี้จึงมีข้อแก้ตัวนานาประการ

1. อายุมากไป ทำอะไรไม่ได้ ให้เด็กๆเขาทำอะไรกันไปเถอะ

อาจารย์มหาวิทยาลัยหลายคนปฏิเสธที่จะเป็นผู้บริหารในมหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลว่าอายุมากแล้ว ให้เด็กรุนหลังเขาทำกันไปเถอะ ทั้งๆที่อาจารย์เหล่านี้มีอายุก็อาจอยู่ในระดับ 40-50 ปี ซึ่งไม่น่าจะตีความว่า อายุมากไปได้ อาจารย์และนักบริหารบางคนปฏิเสธที่จะเรียนวิทยาการสมัยใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องมือการ ใช้งานในสำนักงานและการโทรคมนาคมยุคใหม่ (office automation) การปรับเปลี่ยนสายวิชาการให้เหมาะสม กับความจำเป็น ทั้งนี้ด้วยเหตุผลเดียวกันว่าแก่เกินไปแล้ว เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า

แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าสถานการณ์บีบบังคับ หลายอย่างที่ว่าทำไม่ได้นั้นก็กลายเป็นทำได้ เช่น

ตัวอย่าง ผู้เขียนเคยเห็นนักวิชาการในเวียตนาม เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษารัสเซีย แต่หลังปีค.ศ. 1989 ที่ประเทศรัสเซียเองก็ประสบปัญหาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม จนต้องลดบทบาทในประเทศพันธมิตรเดิม และภาษารัสเซียเองไม่เป็นที่สนใจและต้องการมากนักในสังคมเวียตนามตอนใต้ในเศรษฐกิจยุคใหม่ ปรากฏว่า มีคนเป็นอันมากที่เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษารัสเซีย ยอมเปลี่ยนไปเริ่มเรียนภาษาอื่นใหม่ แบบต้องเริ่มเรียน เอ บี ซี ดี กันเลยทีเดียว แต่เขาก็มุ่งมั่นเรียนกัน

แต่สำหรับนักวิชาการไทยนั้น มีเป็นอันมากที่เมื่อเริ่มต้นเชี่ยวชาญอะไรแล้วก็ไม่ยอมปรับเปลี่ยน ใครเคยเชี่ยวชาญภาษาผรั่งเศส หรือเยอรมัน ก็จะขอเชี่ยวชาญภาษาเดียวอยู่อย่างนั้น แม้ว่าการปรับเปลี่ยน จะไม่ยุ่งยากมากเท่ากับการเปลี่ยนอย่างในประเทศเวียตนาม ซึ่งไม่มีความพร้อมทั้งทางด้านเครื่องมือ กำลังทรัพย์ แต่ใจเขาพร้อมที่จะสู้ เพราะความต้องการอยู่รอด และมีกินมีใช้นั้นมีสูงกว่านักวิชาการในประเทศ ไทย ซึ่งมีทางเลือกด้านอื่นๆอยู่มากแล้ว

2. เด็กไป ยังไม่พร้อมที่จะทำอะไร ให้ผู้ใหญ่เขาทำไปก่อน

คนบางคนผูกพันอยู่กับระบบอาวุโส ไม่อยากก่อปัญหา ยอมรับที่จะอยู่กับระบบ ไม่อยากทำให้รู้สึกว่า ข้ามหัวคนอื่นที่เป็นคนรุ่นก่อน ความคิดแบบนี้จะพบมากในวงราชการ เพราะวัฒนธรรมไทยในแบบราชการ และระบบประเพณีนิยมนั้นสอนให้คนต้องมีอาวุโส การเข้าสูตำแหน่งต่างๆ จึงต้องเป็นการต่อคิวกัน แม้แต่การจะได้ความดีความชอบเป็นพิเศษ บางแห่งก็ยังต้องใช้ระบบหมุนเวียนกัน ใครอยู่มาก่อนก็ต้องให้โอกาส เขาก่อน ดังนั้นการเข้าสู่ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยนั้น กว่าจะได้เป็นก็จะมีอายุ เฉลี่ยประมาณ อายุ 52-55 ปี ในระดับกรมนั้น กว่าจะได้เป็นอธิบดีกรมสำคัญอย่างกรมตำรวจ หรือกรมการ ปกครอง ก็เมื่ออายุ 57-59 ปี ซึ่งคนในวัยนี้เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะเกษียณนั้นทำให้หมดความกระตือรือล้น ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรแล้ว

ในมหาวิทยาลัยบางแห่งกว่าจะเป็นอธิการบดี ตั้งแต่ 55- จนกระทั่งเกษียณแล้ว

แม้ในการปกครองวัด เจ้าอาวาสวัดจะเป็นเมื่ออายุมาก และเป็นไปจนกระทั่งสิ้นชีวิต

ในแวดวงธุรกิจมีเหมือนกันที่บิดาไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจไปยังคนรุ่นหลัง ลูกบางคนอายุย่างเข้า 50 ปีแล้ว แต่ก็ยังเป็น "ตี๋เล็กๆ" ของเตี่ยเสมอ กว่าจะส่งมอบกิจการต่อกันก็ อายุเป็นเพียงตัวเลข ไม่มีคำว่าอายุมากเกินไป หรือน้อยเกินไปในวงการต่างๆอย่างแท้จริง

งานทางด้านคอมพิวเตอร์นั้นต้องการคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาว นักคิดทางด้านนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่าง ของบริษัทไมโครซอฟท์ผู้ผลิต software ที่ยิ่งใหญ่ หรือจะเป็น Dell Computer อันเป็นบริษัทขายปลีกคอมพวิเตอร์ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วเป็นปรากฏการณ์พิเศษในอเมริกานั้น ประธานบริษัทได้เริ่มต้นกิจการของเขา ตั้งแต่อายุยัง น้อย กิจการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีในประเทศไทยก็เหมือนกัน ผู้บริหารบริษัทยิ่งอายุน้อยกลับจะยิ่งไปได้เร็ว แต่ถ้าเป็นคนที่มีอาวุโสมากแล้วบางทีตามเขาไม่ทัน เพราะมัวแต่คิดกลัวเสี่ยง ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่เข้าใจวิทยาการ ซึ่งเป็นของคนในโลกยุคใหม เมื่อไม่กล้าเดินอย่างเร็ว ่คนอื่นก็เลยเลยหน้าไปหมด

3. ไม่มีความสามารถ ไม่มีความรู้ เรียนมาน้อยเกินไป สมองทึบ

ชาวนาชาวชนบทไทยหลายคนที่ได้ประสบความสำเร็จมาระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าเดินหน้าต่อไป ด้วยเกรง ว่าสติปัญญาจะไม่ลึกซึ้ง และไม่มีความสามารถเพียงพอ มีเป็นอันมากที่มักยอมรับความต่ำต้อยของตนว่าเป็น คนสมองทึบ และด้วยการยอมรับเช่นนี้จึงทำให้การพัฒนาชนบทเป็นไปได้ยาก เป็นความรู้สึกหวาด หวั่นคล้าย สมัยหนึ่งที่คนไทยต้องไปเรียนต่างประเทศ รู้สึกว่าตนเองนั้นต่ำต้อย ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ทำไมฝรั่งถึง ฉลาดจัง บางคนเรียกพวกเดียวกันว่า "กะเหรี่ยง" ซึ่งแสดงความเป็นชนชาติหลังเขาก็มี ซึ่งถ้าเมื่อใดเรายอมรับในความ เป็นคนต่ำต้อย มีสติปัญญาจำกัด หรือสมองทึบ ก็ทำให้เราไม่กล้าที่จะคิดการใหญ่ ไม่คิดพัฒนาตนเองให้สู้กับ เขาได้

ในมหาวิทยาลัยไทย คนเรียนจบปริญญาตรีมาในสายสังคมศาสตร์ สายมนุษยศาสตร์ เป็นอันมาก รู้สึกมีปมด้อย (inferiority complex) ในด้านความเป็นรองในด้านการเรียนสายแพทย์ สายวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทั้งหลาย บางคนเลือกเรียนมาในสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพราะคิดว่าตนเองมีจุดอ่อน ทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เลยไม่ยอมเรียนเอาเสียเลย หวังจะเชี่ยวชาญ ด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่าง เดียว เรื่องนี้ผู้สอนทางด้านบริหารธุรกิจจะประสบกับปัญหา การสอนนักจัดการรุ่นใหม่ สำหรับคนที่จบมาทางสาย นี้ ที่สำคัญที่สุดนั้น เขาพบว่าเป็นเพราะวิธีการคิดแบบตัดปล่อย คือคิดว่าไม่ถนัดแล้ว ก็เลยทิ้งเลย แต่หาคิดไม่ว่า ในโลกธุรกิจนั้น ไม่สามารถละทิ้งความเข้าใจทางด้านตัวเลขได้ นักธุรกิจทุกคนอาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านตัวเลข หรือเป็นนักสถิติศาสตรระดับ์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ต้องสามารถใช้ทักษะทางด้านนี้ในการทำงานได้อย่างไม่ปล่อย ให้เป็นจุดอ่อน

และอาจารย์ผู้สอนทางด้านธุรกิจนั้นก็มักจะพบว่าคนส่วนใหญ่นั้นมีศักยภาพที่จะเรียนทางด้านคณิต-ศาสตร์และสถิติได้ ถ้าใจเขาพร้อมที่จะสู้และคิดที่จะกลับมาเรียน

นักศึกษาบัณฑิตบางคนมีความฝังใจในความอ่อนทางด้านภาษาอังกฤษ เวลาถูกให้ต้องไปค้นคว้า บทความทางวิชาการที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆนานา ที่เป็นเช่นนี้ เพราะในยุคหนึ่งนั้น ระบบการศึกษาของไทยมุ่งเน้นการสร้างความเป็นไทยอย่างผิดๆ จนกลายเป็นว่าความเป็นไทย นั้นคือการต้อง ปฏิเสธความเป็นต่างชาติ หนังสือภาษาต่างชาติก็ต้องนำมาแปล เป็นไทยให้ผู้เรียน อ่าน จนนักศึกษาเองก็เลิกให้ ความสนใจที่จะ ต้องอ่านภาษาต่างประเทศ ซึ่งกลายเป็นข้อจำกัดไป อย่างนี้เรียกว่ามีลักษณะ inferiority-superiority complex คือเป็นทั้งลักษณะปมด้อยและปมเขื่องไปพร้อมๆกัน คนบางคนไม่ชอบภาษาอังกฤษ แล้วก็ เลยพาลเกลียดฝรั่งไปด้วยก็มี

4. สุขภาพไม่ดี เป็นโรคหัวใจ และนานาโรค ทำงานหนักไม่ได้

ประธานาธิบดี แฟลงคลิน เดลาโน รูสเวลท์ เป็นคนพิการ ต้องนั่งรถเข็น แต่ก็ประสบความสำเร็จ

คนบางคนเป็นโรคอย่างหนึ่งคือชอบไปหาหมอ เพราะคอยเกรงจะเป็นโรคนั้นโรคนี้ โรคที่คนกล้วจะเป็น กันมากๆก็คือ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง หรือแม้แต่เนื้องอกในสมอง ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ก็ต้องรวม โรคเอดส์ ซึ่งบางอย่าง ก็ต้องกลัวและระวังกันไว้บ้าง ก็คงถูกแล้ว แต่คนประเภทที่ชอบวิตกในสุขภาพของตนเองจนเกินไปนั้น ถ้าไปหา แพทย์แล้วได้รับคำยืนยันว่ายังไม่พบโลกอะไร ก็จะสบายใจไปได้พักหนึ่ง เสร็จแล้วก็จะกังวลต้องกลับไปหา แพทย์เป็นระยะ และในที่สุดก็ป่วยเป็นโรคจริงๆ คืออย่างน้อยก็มีอาการประสาท ไม่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ ตนเอง

และเพราะความหวาดกลัวนั้นเองยิ่งทำให้เกิดโรค ตัวอย่างเช่น คนที่เคยเป็นโรคหัวใจ ยิ่งหวาดกลัว ไม่ยอม ออกแรง ยิ่งกังวลมากอาการก็จะยิ่งมาก แต่ถ้าทำใจได้หมั่นฝึกตนเอง คอยออกกำลังกายให้แข็งแรง อย่างรู้จักตนเอง อย่าทำให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป คนที่เป็นโรคร้ายแรงหลายอย่างก็สามารถทำอะไรได้มาก มาย

คนบางคนเป็นโรคกระดูก เจ็บตามข้อก็ยิ่งไมกล้า่ออกกำลังกาย กลัวอาการเจ็บ กล้วข้อจะสึกยิ่งขึ้น แต่กลับปล่อยน้ำหนักตัวสูงขึ้น ปัญหาก็ยิ่งหนักขึ้น ความจริงโรคกระดูกนั้นจำเป็นต้องได้รับกายภาพบำบัด การ ได้ออกกำลังในสภาวะควบคุมอย่างเหมาะสม เพราะกระดูกนั้น แท้จริงเป็นส่วนของสิ่งมีชีวิต ถ้าไม่ออกกำลังกาย เสียอีกจะเกิดปัญหากระดูกกร่อนได้ เพราะแคลเซียมที่มีอยู่จะถูกดึงไปใช้งานในส่วนอื่น

5. กลัวพลาด กลัวล้มเหลว เพราะเคยทำพลาดและล้มเหลวมาแล้ว

มีแพทย์หลายคนที่ได้เลิกอาชีพการเป็นแพทย์ไปเลยเนื่องจากเมื่อเริ่มอาชีพใหม่ๆนั้น ได้ประสบกรณีการ รักษาพยาบาลที่คนไข้เสียชีวิต และจนเกิดความไม่สบายใจ เกิดความรู้สึกผิดในใจ

คนลงทุนเล่นหุ้นครั้งแรกๆ หรือเริ่มทำธุรกิจ แล้วต้องสูญเสียเงินทอง ไปเพราะความไม่รู้เท่าถึงการ เกิดความกลัว ขยาดที่จะลงทุนต่อไป ก็เลยทำให้ประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นไม่เป็นประโยชน์

6. ไม่มีวาสนา บุญน้อย ยากจน ทำอะไรก็ทำไม่ขึ้น

คนบางคนเชื่อในโชคชะตา เคยมีคนดูถูกมาแล้วบ้าง เคยไปหาพระ เคยดูหมอมาแล้ว ท่านว่าดวงไม่ขึ้น บ้าง มีแต่คนคอยเตือนว่าทำอะไรก็จะพลาดไปหมด เรียกว่าทำไม่ขึ้น ดวงไม่โรจน์

คนบางคนได้รับการอบรมให้ต้องเจียมตัว ทำให้รู้สึกว่า "เรามันยากจน ไม่มีเงินไม่มีทุน ทำอะไรก็ไม่ได้ มาก เพียงทำได้แค่นี้ก็บุญถมไปแล้ว ถ้าโลภกว่านี้ลาภจะหาย" ด้วยเหตุนี้ก็เลยไม่ขยับขยายทำอะไร เคยทำอะไร มาอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น

นขายก๋วยเตี๋ยว ทำร้านอาหารที่มีฝีมือ มีเสน่ห์ปลายจวัก ลูกค้ามากินแล้วติดใจ แต่ไม่กล้าขยาย กิจการ เพราะเชื่อว่าไม่มีเงินทุน จะไปกู้หนี้ยืมสินเขามาก็ไม่เป็นสุข เพราะเคยถูกสอนมาด้วยว่า "ถ้าโลภมากแล้ว ลาภก็จะหาย"

เหล่านี้อาจเป็นจริงในบางส่วน แต่ไม่ถูกไปเสียทั้งหมด คนโลภมากแล้วลาภหายนั้นมีให้เห็น แต่คนที่คิด ว่ามีฐานะดีแล้ว มั่นคงแล้วก็หยุดคิดหยุดทำ ในที่สุดกิจการของตนเองก็ต้องล้มเหลวเพราะการเปลี่ยนแปลงใน กระแสธุรกิจก็มีมาก ร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่เคยรุ่งเรือง แต่ปัญหาด้านการจราจร สถานที่จอดรถของผู้มากิน หรือสิ่ง แวดล้อมอื่นๆเปลี่ยนไป ก็ล้วนมีผลกระทบให้กิจการต้องล้มเหลวได้ทั้งสิ้น แม้เราจะขยันขันแข็ง พยายามทำทุก อย่างให้ดีเหมือนเดิมก็ตาม

แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่หยุดนิ่ง ไม่ยอมสะยบต่อโชคชะตาฟ้าดิน ก็สามารถประสบความสำเร็จยิ่ง ใหญ่ในชีวิตได้ การกู้หนี้ยืมสินนั้นก็มิได้หมายความว่าเลวร้ายเสมอไป ถ้าการกู้นั้นเป็นการนำเงินมาลงทุนให้เกิด ประโยชน์ เป็นการตัดสินใจดำเนินการอย่างมีจุดมุ่งหมาย มีการคิดคำนวนในด้านความเสี่ยงที่ไม่มากจนเกินไป มีทุนเดิมอยู่บ้างแล้ว กิจการนั้นๆก็เป็นกิจการอย่างมีศักดิ์ศรี แล้วเราเองก็ทำอย่างสำนึกในความรับผิดชอบต่อทุก ส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้มีการไปหลอกใคร ไม่ได้ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย หรือเป็นการกู้เงินมากินอยู่ให้ฟุ่มเฟือย หรือ เที่ยวเล่น เป็นต้น

ทัศนะต่อการเชื่อโชคชะตานั้นก็เป็นประเด็นหนึ่งที่สามารถโต้แย้งได้

โจโฉเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยปล่อยให้ฟ้ากำหนด ไม่เคยเชื่อในโชคชะตา แล้วก็ได้เป็นใหญ่

นักธุรกิจหลายคนที่ก็เริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเหมือนกัน ไม่มีทั้งเงินและการศึกษา แต่ทั้งหมดนั้นเป็นของ นอกกาย ทุกคนไม่ได้มีมาแต่เกิด สามารถหาใส่ตัวได้ภายหลังทั้งสิ้น ผู้เขียนเชื่อว่ามนุษย์นั้นสามารถเป็น ผู้กำหนดในโชคชะตาเป็นอันมากได้ด้วยตนเอง อนาคตของเราขึ้นอยู่อย่างมากกับความรู้ความสามารถของเรา และความตั้งใจจริง ความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งต่างๆอย่างรับผิดชอบและทำให้สำเร็จและเกิดประโยชน์ต่อทั้งตนเอง และผู้อื่น

7. จังหวะไม่ให้ ใครๆทำไปแล้วก็ล้มเหลวหมด ที่แน่ๆก็ยังจอด

ในกิจการอสังหาริมทรัพย์นั้นมีจังหวะขึ้นลง มีคนเชื่อว่าจังหวะที่ไม่ดีนั้นไม่ควรไปเสี่ยงลงทุน เพราะลงทุน แล้วก็ไม่ได้ผลกำไรอะไร เสี่ยงต่อการขาดทุน นักธุรกิจประเภทนี้จึงทำธุรกิจแบบรอจังหวะตามเขา ถ้าธุรกิจเริ่ม จะดีจึงจะโดดลงไปร่วม ถ้าจะเล่นหุ้น ก็จะดูสัญญาณว่าหุ้นกำลังจะขึ้นหรือไม่ ถ้าหุ้นกำลังจะขึ้น ก็รีบแห่ไปซื้อ เหมือนคนอื่นๆ เป็นคนที่เชื่อใน "ปรัชญาเสี่ยสอง" คือไม่ยอมเป็นคนแรกหรือคนริเริ่ม รอให้คนอื่นเขานำหน้า ไปก่อน จะได้เรียนรู้จากเขา ไม่กล้าที่จะบุกเบิกด้วยตนเอง บางคนได้เรียนรู้จากเขาก็เป็นการดี แต่มีเป็นอันมาก ชอบที่จะ "ลอกเลียนแบบจากเขา" ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางเจริญ เพราะที่ว่าจังหวะให้นั้น แท้จริงมันก็จะไม่เป็นไป ตลอด หรือเป็นไปอย่างยาวนาน เช่น

การทำนากุ้ง เมื่อเริ่มต้นกว่าสิบปีมาแล้วนั้น มีคนตื่นตัวกันมาก ถึงกับมีคนเคยกล่าวว่า "นอกเหนือจาก ธุรกิจที่ผิดกฏหมายเช่นการค้าเฮโรอีนและ ของเถื่อนแล้ว ไม่มีธุรกิจอะไรที่จะทำกำไร ได้ดีเท่ากับ การทำนากุ้ง" แต่ก็เป็นอย่างที่รู้ๆกัน เมื่อมีการตื่นตัว คนอื่นๆนับร้อยนับพันก็แห่กันไปถางป่าชายเลนทำนากุ้งกัน เร่งทำกันจน กระทั่งสิ่งแวดล้อมเสียหาย โรคระบาดในกุ้งก็เกิดขึ้นได้อย่างง่ายๆ ยิ่งประกอบกับการเร่ง เลี้ยงกันมากๆ และเป็นไปทั่วไป ทั้งในอินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ ลังกา ผลิตผลจึงล้นตลาด เกษตรกรที่หวังเจริญแบบแห่ตามกันจึง ต้องล่มจม โฉนดที่ดินต้องหลุดไปสู่ธนาคารและนายทุนทั้งหลาย

ความเข้าใจเกี่ยวกับจังหวะนั้นมักนำความวิบัติมาสุ่เกษตรกรในทุกสาขา เข่นการทำนา ถ้าปีไหนข้าว ราคาดี ปีต่อไปก็จะมีคนหันมาปลุกข้าวกันเพิ่มขึ้น และเมื่อปลูกเพิ่มขึ้นผลิตผลในตลาดก็เกินความต้องการ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาพืชผลตกต่ำอีกครั้ง และคนจะเลิกทำการเกษตรด้านนั้น หันไปหาอย่างอื่นๆต่อไป

การชอบแห่ตามกัน และเวลาหนีก็หนีตามกัน ดังทีมักจะพบสุภาษิตท้ายรถร่วมยุคสมัยว่า "นายกชวน ยังต้องหลีกภัย แล้วคุณเป็นใคร ทำไมไม่หลีกผม" คนโดยทั่วไปนอกจากจะแห่ตามกักนแล้วก็ยังชอบ หลีกภัย ตามๆกันอีกด้วย คนส่วนใหญ่เรียนรู้ในลักษณะตามๆกัน เห็นใครเขาหลีกหนี ก็หลีกหนีตามเขา เห็นใครเขามุงดู ก็ไปมุงดูตามเขา เห็นใครเขาแห่ ก็แห่ตามเขา แชร์ชะม้อย แชร์แม่นกแก้วจึงมีโอกาสเกิดได้เสมอ ถ้ารัฐไม่ควบคุม เพราะคนไม่ได้คิดถึงเหตุผล แต่จะดูว่าใครเขาทำอะไรสำเร็จก็จะแห่ตามเขา

ปัญหาความหวาดกลัว ความตื่นตูมนั้นเป็นผลมาจากความไม่เชื่อมั่นในตนเอง ไม่สามารถวิเคราะห์สิ่ง ต่างๆอย่างถ่องแท้ อาศัยคอยฟังคนอื่น

คนเล่นหุ้นที่คอยถามโปรคเกอร์ตามสถานีวิทยุและโทรทัศน์โดยการออกอากาศ ์ว่าควรลงทุนในตัวไหน ก็แสดงว่าจะมีคนในกลุ่มเดียวกันนับพันนับหมื่นที่ได้รับข้อมูลอย่างเดียวกัน ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้

การล่มสลายของตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาในปีค.ศ. 1929 และระบบเศรษฐกิจเกือบทั้งระบบต้องพัง พินาศก็เพราะวิธีการคิดและเชื่อแบบตามๆกันเช่นนี้ ซึ่งได้นำมาซึ่งความวิตกแบบตื่นตูมจนยาก ที่จะแก้ไขได้อย่าง ทันเวลา

แต่สำหรับคนที่จะแก้ปัญหาความหวาดกลัวในจังหวะชีวิต การตื่นตูมเช่นนี้ ก็คือการต้องหันมาเชื่อมั่น ในตนเอง ต้องไม่หวาดกลัว กล้าที่จะคิด และใช้เหตุผลใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์ ดังคำเตือนของ ประธานาธิบดี ผู้กู้สถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจแบบตื่นตูมว่า "ไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่าความกลัว"

ความทนทาน

ความผิดหวังกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ

กวนอู และเตียวหุย เกือบจะฆ่าขงเบ้งด้วยคิดว่าเป็นเหตุให้ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ถ้าเล่าปี่ไม่เป็น คนหนักแน่น และเชื่อในศักยภาพของขงเบ้งอย่างแท้จริง

ปิกาสโซต้องอดอยากตลอดชีวิต กว่าที่ท้ายสุดเขาตายแล้วคนจึงจะเห็นผลงาน เขาจะทนอดทนหัวนาน เช่นนั้นไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้รับแรงเสริมอย่างใดอย่างหนึ่ง

คาร์ล มารกซ์ต้องประสบความอดอยากยากจน ครอบครัวต้องได้รับเคราะห์กรรมมากมาย กว่าในที่สุด จะเขียนชิ้นงานประวัติศาสตร์อันเป็นแนวยึดของคอมมิวนิสต์ได้

เหมา เจอ ตุง กว่าจะประสบความสำเร็จเป็นผู้นำประเทศจีนในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ต้อง ผ่านการต่อสู้อย่างยาวนานมาแล้ว

ในประวัติการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเหมา เจอ ตุง นั้นเป็นตำนานการต่อสู้ที่ กว่าจะสำเร็จนั้นต้องอาศัยความอดทน ความแกร่งอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ "เดินทัพทาง ไกล" หรือที่เรียกกันว่า The Long March อันเลื่องลือไปทั่วโลก

เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2477 เหมา เจอ ตุงได้เริ่มย้ายกองทพัและผู้คนของตนจากเกียงซี ซึ่ง่อยู่ทาง ตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเซี่ยงไฮ้ คนที่ต้องย้ายไปในครั้งนั้น มีทั้งทหารและพลเรืยน มีจำนวนราว แสนคน ซึ่งเป็น จำนวนไม่มากเกินไปสำหรับการเดินทางหรือขนส่งในสมัยใหม่ แต่พวกของเหมา เจอ ตุงในขณะนั้นไม่สามารถ หายวดยานพาหนะใดๆมาใช้ได้มากนัก และทางที่จะเดินทัพไปนั้นจะต้องไปถึงเมืองเยนอาน ในมณฑลเชนสี เป็นทางไกลกัน 6,000 ไมล์ และไม่มีทางคมนาคมสดวกเลย เป็นการเดินทางที่ต้องผ่านทั้งภูเขา เทือกใหญ่ๆ ข้ามห้วย หนอง คลองบึง การเดินทางต้องใช้เวลา 368 วัน ซึ่งจะต้องเป็นการเดินทางเท้าสำหรับคน ส่วนใหญ่ มีปัญหาด้านเสบียงอาหาร ในการต้องจัดหาเลี้ยงผู้คน ต้องมีการต้องขนเครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์ การขน อุปกรณ์สื่อสารเพื่อไปจัดตั้ง สถานีวิทยุ โรงพิมพ์ เอกสารสรรพหนังสือต่างๆ และไม่ใช่การเดินทางหนีไป ตามปกติ ตลอดทางนั้นจอมพล เจียงไคเชค ซึ่งได้ตระหนักถึงปัญหาการเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ เหมา เจอ ตุง จึงได้ส่งกองทัพมาตามตีตลอดเวลา พลพรรคของเหมาะ เจอ ตุงต้องประสบการสู้รบไป ตลอดทาง ซึ่งในประวัตินั้นได้มีการรบใหญ่แบบต้องเร่งหนีหักด่าน 15 ครั้ง มีการถูกปล้น การโจมตีประปรายราว 300 ครั้ง กล่าวคือเฉลี่ยวันละครั้ง

แต่เพราะปัญหานี้เองที่ทำให้เหมา เจอ ตุงและคณะได้ถือโอกาสเผยแพร่ สร้างความผูกพันกับ ประชาชน ชาวจีนไปตลอดทาง ทุกย่างก้าวที่ผ่านไป ข้าวแต่ละเม็ด น้ำแต่ละขันที่ชาวบ้านได้จัดหามาช่วยเหลือ พลพรรคให้รอดชีวิต และการต้องนอบน้อมต่อชาวบ้านและความเคารพในน้ำใจต่อกัน ได้กลายเป็นการสร้างวินัย ให้กับกองทัพปลดแอกของเขา ซึ่งทำให้เปรียบเทียบกับกองทัพของเจียงไคเชคที่ไล่ติดตามมา ซึ่งเต็มไปด้วยการ วางอำนาจบาทใหญ่ มีแต่การข่มเหงชาวบ้านด้วยแล้ว ทำให้ประชาชนตัดสินใจเลือกฝ่ายเข้าข้างได้อย่างง่ายดาย และกลายเป็นปากต่อปากเล่าขานถึงคุณความดีของกองทัพปลดแอก ที่มีความนอบน้อมถ่อมตน ให้เกียรติ ชาวบ้าน แต่กองทัพของเจียงไคเชคนั้นจึงกลายเป็นกองทัพปีศาจที่โหดเหี้ยมไปโดยปริยาย การเดินทางไกล ครั้งนั้น จึงกลายเป็นการปลูกอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ต่อมหาชน เป็นการสร้างความแข็งแกร่งแก่คณะ พรรคไปด้วยในตัวไปด้วยในตัว เป็นการสร้างตำนานให้กับท่านประธานพรรค เหมา เจอ ตุงให้กลายเป็นอมตะ มีการเล่าขานกันโดยคนรุ่นต่อๆมาไปโดยปริยาย

ความสำเร็จมาจากการยอมผิดพลาด

การขุดเจาะบ่อน้ำมัน ไม่ว่าบริษัทจะมีประสบการณ์มามากมายอย่างไร ก็ประกันไม่ได้ว่าณ ที่ใดที่เขา ลงทุนจะประสบความสำเร็จ แต่ในทุกบ่อที่พลาดไป แต่โดยรวมเขาก็ประสบความสำเร็จด้วยการพบบ่อ น้ำมันใหม่เพิ่มมากขึ้นอย่างคุ้มแก่การลงทุน

ในการเป็นพนักงานขาย เขาไม่ได้นับความสำเร็จกันด้วยการถูกปฏิเสธกี่ครั้ง หรือดูกันด้วยชิ้นงานที่ขาย ไม่ได้ แต่เขาพิสูจน์กันด้วยสิ่งที่ได้ขายไปแล้ว ถ้าเขาเสนอขายไปสิบครั้ง แต่ในกิจการบางอย่างขายได้เพียง ครั้งเดียวเขาก็ได้กำไรคุ้มแล้ว

ในการวิจัยเกือบทุกสถาบัน ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็มีงานที่ไม่ประสบความสำเร็จควบคู่ไปด้วย เพียงแต่ ว่างานที่ประสบความสำเร็จนั้นคุ้มหรือไม่กับส่วนที่ไม่สำเร็จ ซึ่งก็ต้องลงทุนไปมากเช่นกัน งานการเขียนวิทยา-นิพนธ์ของนิสิตนักศึกษาระดับมหาบัณฑิตเป็นอันมากจะไม่มีความเหมาะสมสำหรับการเป็นข้อค้นพบที่อ้างอิงได้ ยังมีจุดอ่อนมากมาย แต่ถ้าไม่มีกิจกรรมการเขียนวิทยานิพนธ์เหล่านี้ นักศึกษาเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาส ได้เรียนรู้ กระบวนการวิจัยอย่างครบขั้นตอนที่ต้องได้คิดริเริ่มเอง ได้ทดลองทำแบบ ทำผิดทำถูกเอง แต่ทั้งหมดก็เป็นการ เรียนรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขาในระยะต่อไป

กว่าที่เราจะได้นั่งเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่ทันสมัยสะดวกสบาย และปลอดภัยพอสมควร อย่างที่ เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็เพราะได้มีคนเสี่ยงเป็นนักบินทดลองและก็ได้เสียชีวิตไป หลายรายในช่วงประวัติศาสตร์ เกือบร้อยปีของกิจการบินยุคใหม่นี้ ตลอดช่วงแรกๆของการบิน ความผิดพลาดต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้นได้ทำให้คนต้อง บาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตไปมากมาย การคิดในสมัยนั้นมีที่ทำให้โลกปัจจุบันย้อนกลับไปดูด้วยความขบขัน มากมาย เช่น

- การจำลองปีกของยานบินในลักษณะเหมือนนก ใช้กระพือขึ้นลง

- การปรับพลังจักรยานใช้คนถีบ เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนยานบิน

- การสร้างเครื่องบินที่คนขับต้องหันหลังถือคันบังคับ

- การสร้างปีกเครื่องบินที่คิดว่ายิ่งมีปีกหลายระดับหลายชั้นก็ยิ่งพยุงตัวได้ดี

- การสร้างบอลลูนขนาดใหญ่ที่ใช้แกสเบาที่ติดไฟได้อย่างไฮโดรเจน แถมมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อน

แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นบทเรียนให้เกิด พัฒนาการใหม่ๆในยุคต่อๆมา ความคิดหลายอย่างที่เป็นความ ล้มเหลวผิดพลาด ก็ทำให้คนในสมัยต่อมาได้เรียนรู้ และได้อาศัยประสบการณ์เหล่านั้น ในการปรับปรุงสิ่ง ประดิษฐ์ให้มีประสิทธิภาพต่อไป

คนที่จะประสบความสำเร็จโดยไม่เคยทำอะไรผิดพลาดมาเลยในชีวิตนั้นหายาก

คนที่ยิ่งกลัวความผิดพลาด ประเภทที่คิดว่าทำอะไรจะต้องให้ได้สมบูรณ์อย่างใจเสมอนั้นมักจะมีอาการ โรคประสาท หรือที่เรียกว่าพวก perfectionism ทำให้ต้องไปสนใจในรายละเดียดซึ่งก็ยิ่งซับซ้อนทำให้ต้องพลอย พลาดในประเด็นใหญ่ๆไปด้วย คิดไปคิดมาแล้วก็เต็มไปด้วยความติดขัด

การสร้างความแข็งแกร่งให้กับชีวิต

ทำไมคนเราเวลาประสบปัญหาจึงไม่ยอมจำนนต่อสถานการณ์ง่ายๆ ทำไม่บางคนไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่เกิด ขึ้น และสามารถยืนหยัดฟันฝ่าต่อสู้เพื่อจุดมุ่งหมายของเขาได้อย่างไม่หยุดยั้ง สิ่งเหล่านี้ต้องการทั้งการขจัดความ กลัว ความกังวล ต้องมีความกล้า แต่เท่านั้นยังไม่พอ เขาต้องมีความแกร่ง และความอดทน ซึ่งการจะสร้าง คุณสมบัติเหล่านี้ได้นั้น ต้องมีการเตรียมพื้นฐานและการผ่านประสบการณ์สำคัญในชีวิตที่เอื้ออำนวยให้มาแล้ว ทั้งสิ้น

ชีวิตที่สมดุลย์

ในชีวิตมนุษย์นั้น เราจะแข็งแกร่งอยู่ได้ ยืนหยัดต่อสู้คลื่นลมแห่งชีวิตได้เพราะเหตุใด

- เพราะเราเข้าใจความเป็นมา และทิศทางของสิ่งนั้น

- มนุษย์นั้นเกิดปัญหาได้มากมาย ถ้าขาดดุลยภาพแห่งชีวิต

โอ เจ ซิมสัน (O. J. Simpson) ยอดนักอเมริกันฟุตบอล ในตำแหน่งตัววิ่งพาลูกที่ยอดเยี่ยม เป็น วีรบุรุษจอแก้วของเด็กยากจนในสลัมทั้งหลาย มีความอดทนเจ็บปวด ทนการฝึกซ้อมที่แสนจะหนัก เสี่ยงต่อ การบาดเจ็บ และอื่นๆอีกมากมาย แต่ก็มีความเปราะบางทางด้านอารมย์ มีประวัติชีวิตครอบครัวที่ปวดร้าว ถูกข้อหาฆาตกรรมอดีตภรรยาและเพื่อนชายของเธอ

ไมค์ ไทสัน (Mike Tyson) ยอดนักมวยรุ่นเฮวี่เวทที่ยิ่งใหญ่ แต่มีประวัติการทำร้ายร่างกาย มีปัญหา ทางด้านจิตใจ จนต้องหยุดชกมวย และได้รับคำพิพากษาให้ต้องรับโทษฐานข่มขืนสตรีได้รับการจองจำเป็นเวลา ถึง 6 ปี

นักมวยที่ต่อยมวยไทยหรือมวยสากลที่ ที่ดูแข็งแกร่ง สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่ส่วนใหญ่มีจุดอ่อน ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองทางเศรษฐกิจและการพานิชย์ได้ ต้องถูกเอาเปรียบต่างๆนานา จนเป็นอันมากในท้ายสุด ก็ต้องกลับไปยากจนเหมือนเดิม และยิ่งกว่านั้นกลับกลายเป็นคนทุพลภาพ สมองเสื่อม เพราะเมาหมัด

ดาวตลกที่ประชาชนชื่นชอบ แสดงทีไรคนดูก็เกิดอารมย์ขำขัน นับเป็นการทำบุญสร้างความสุขให้แก่คน เป็นอันมาก แต่ถ้าใครไปศึกษาชีวิตของคนเหล่านี้ จะพบว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตของเขาเหล่านี้ไม่ได้มีความสุขอย่าง ที่เราเห็น

ถ้าจะเปรียบความแข็งแกร่งของมนุษย์ให้เห็นภาพได้นั้น ต้องลองดูโครงสร้างของคอนกรีต

ซีเมนต์จะแข็งแกร่งได้ก็เพราะส่วนประกอบที่มีหลายอย่างประกอบกัน มีทั้งหิน ปูนซีเมนต์ ทราย มีโครง เหล็กเส้นผูกสานรองรับ ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นคอนกรีตที่หล่อให้เกิดความเข็งแกร่ง เพราะการมีสัดส่วนที่พอ เหมาะ ประสมประสานกับน้ำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีต่อกัน และพร้อมกันนั้นก็ให้เวลาในการบ่มตัวทิ้งไว้ใน เวลาอันควร ไม่รีบใช้งานเร็วจนเกินไป ซึ่งเปรียบเหมือนชีวิตมนุษย์นั้น ก็ต้องมีส่วนประสมของหลายสิ่งหลาย อย่างที่พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป ความแข็งแกร่งของชีวิตมนุษย์นั้น คือการที่มนุษย์ได้มีส่วนประสม ของหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าจะให้ได้เติบโตแม้จะเป็นไปอย่างช้า เป็นไปตามะรรมชาติเท่าที่จะเออำนวยให้ แต่ก็ให้เป็นการเติบโตทั้งทาง ด้านกาย จิตใจ สังคม อารมย์ กากรได้เรียนรู้สรรพสิ่งรอบๆตนเอง และในสังคม ได้เกี่ยวข้อง ให้ผ่านการบ่ม เพาะด้วยเวลาอันเหมาะสมให้แกร่งกล้า และคนประเภทนี้ที่จะสามารถทนต่อสภาพ แวดล้อมที่ผันผวน หรือต้อง ต่อสู้กับสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิด ความยากลำบากในชีวิตได้

ความเข้าใจในโลกและชีวิต

ความเข้าใจในโลก ในชีวิตเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถอดทนต่อสภาพปัญหาในชีวิตได้มากขึ้น การตั้งเป้า หมายที่ไม่สูงจนเกินไป ให้อยู่ในสภาวะที่เราจะทำให้สำเร็จได้ก็เป็นความจำเป็น และจะต้องเริ่มจากการที่เรา มีความรู้ความสามารถ เข้าใจในสรรพสิ่ง สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และเมื่อเข้าใจในโลก ได้ล่วงหน้าตามสมควรแล้ว การเตรียมความพร้อมในการเผชิญกับปัญหาก็จะเป็นไปได้ อย่างง่ายขึ้น และ สามารถกระทำได้อย่างมีสติรับรู้

สมชาย เมื่อครั้งแรกที่มารดาเกิดอาการเจ็บป่วยกระทันหันในครั้งแรก ต้องหามเข้าโรงพยาบาลนั้น ก. ไม่สามารถ ผจญกับความเป็นจริงได้ว่า มารดาของตนนั้นมีโรคประจำตัว คือโรคหัวใจ ซึ่งไม่มีความแน่นอนว่าจะ ป่วยกระทันหันเมื่อใด อาการหนักจนอาจจะต้องจากไปเมื่อใดก็ได้

แตในกาลต่อมา ่เมื่อมารดาหายป่วยแล้วกลับมาอยู่บ้าน สมชายเริ่มตระหนักและทำใจได้ว่า ทุกสิ่งใน โลกนั้นไม่มีอะไรแน่นอน การเกิด การแก่ หรือการเจ็บและต้องตายนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ที่ต้องยอมรับสภาพความ เป็นจริง และไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าได้

ผู้เขียนอยู่ในแวดวงอาจารย์มหาวิทยาลัยมานาน มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญในบรรดาเพื่อน ฝูงว่าเธอนั้นเต็มไปด้วยความเพรียบพร้อม ทั้งสวย มีวงศ์ตระกูลดี ทั้งีรวยมีฐานะทั้งทางฝ่ายตนและ สามี กิริยามารยาทก็เรียบร้อย ชีวิตในแต่ละวันเหมือนในเทพนิยาย มีแต่ความสะดวกสบาย ไม่เคยต้องกังวล ในความ ขาดแคลน เวลาไปไหนก็มีรถเบนซ์คันใหญ่เท่าตึกขับขี่ แตกต่างจากบรรดาอาจารย์เพื่อนฝูงทั้งหลาย ที่ต้องทน ใช้รถเก่าแก่ซ่อมแล้วซ่อมอีก ยามอยากจะเที่ยวพักผ่อนเธอก็สามารถบินไปเที่ยได้ทั่วโลก โดยไม่ต้อง กังวลว่าจะ ต้องใช้เงินไปสักเท่าใด ชีวติเช่นนี้เป็นทั้งน่าชื่นชมปนอิจฉานิดๆ ต่อเพื่อนฝูงทั้งหลาย ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ ที่แต่ละคนเลือกเกิดไม่ได้ คนบางคนดูจะเหมือนเสวยสุขได้มากกว่า คนอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนๆต่างก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเธอถูกลอบยิงอย่างทารุณเผาขน ต่อหน้า สมาชิกครอบครัว และในรถเบนซ์คัน งามนั้น เธอสิ้นใจในหลายวันต่อมา เรื่องของเธอเป็นสิ่งทีเล่าขานกันมากมาย เป็นการตอกย้ำบทเรียน มนุษย์ที่ชัดเจนในเรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีใครที่เสวย สุขได้ตลอดการ คนทุกคนล้วนต้องผ่านทั้งความทุกข์และสุข ผ่านทั้งความผิดหวังและสมหวัง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน

การที่เข้าใจในความเป็นไปของมนุษย์และธรรมชาติทำให้ความกังวลหลายอย่างในชีวิตดีขึ้น เมื่อต้องอยู่ในสถานะที่ต้องตัดสินใจอย่างเสี่ยงเมื่อคราวจำเป็นก็นอนตาหลับ เมื่อจะต้องพลาดพลั้งไปก็ไม่เสียใจ เมื่อจะต้องรับเคราะห์กรรมก็ทำใจได้ แม้เมื่อมีความขัดแย้งต่อมนุษย์ด้วยกันก็ทำให้พอทำใจได้ ไม่ปล่อยให้ความ อาฆาตแค้นเป็นนำกรดคอยกัดกินใจเรา

การฝึกฝนให้เคยชิน

การเตรียมความพร้อมที่จะต้องอยู่ในสภาวะยากลำบากในชีวิตนั้นเป็นธรรมดาของชีวิต และคนทุกคน ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเหล่านี้ ต้องไม่ยึดติดกับสิ่งใดจนเกินไป เพราะคนเรามีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็ย่อมต้องมีการนินทา มีอิ่มก็ต้องมียามหิว ถ้ามนุษย์เราไม่มีการเตรียม พร้อมสำหรับ สถานการณ์ ที่ยากลำบากแล้ว แม้ในสภาวะที่น่าจะแก้ปัญหาได้ไม่ยาก ก็กลับกลายเป็นการแก้ที่ยากยิ่ง เช่นตัวอย่างต่อไปนี้

ท่านอธิบดี ก. เคยเป็นใหญ่ มีหน้าที่ดูแลงานที่มีงบประมาณนับเป็นหมื่นล้านบาท ยามอยู่ในตำแหน่งที่ ใหญ่โตนี้ใครๆก็ต้องมาหามากราบไหว้ ลูกน้องก็คอยมาประจบเอาใจ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็จะมีคนพลอย รู้ใจไปเสีย ทั้งหมด แม้สูบบุหรี่จะหาที่เขี่ยบุหรี่ไม่ได้ ก็มีลูกน้องเอามือมาป้องรองรับ ยอมทนขี้บุหรี่ร้อนทำมือพอง จะเดินไปไหนก็มีสง่าราศี เป็นคนมีพวกมากมีเพื่อนฝูงมากมาย แม้นักธุรกิจเองก็ต้องมาคอยห้อมล้อม แต่อยู่มา วันหนึ่งก็ต้องถึงเวลาเกษียณอายุราชการ หลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีก็พลอยหายไป ลูกน้องที่เคยประจบ ประแจงก็ต้องวิ่งไปรับใช้นายใหม่ ที่เคยมาอวยพรวันปีใหม่ก็ค่อยๆลดลง แม้แต่ตัวเองทีเคยมี สุขภาพดีแข็งแรง ก็ดูหมองเศร้า ทั้งๆที่มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น จะไปเที่ยวเตร่ที่ไหนก็พอมีทุนทรัพย์ จะทำได้สะบาย อาการเศร้าหมอง นี้เป็นมาเรื่อยๆ เริ่มมีปัญหาทางด้านสุขภาพ และอยู่มาวันหนึ่งก็ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจวาย ลงอย่างง่ายๆ

คนทุกคนเมื่อจะเป็นใหญ่ต้องพร้อมที่จะต้องเตรียมรับกับสถานการณ์เช่นนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า negative capacity คือเป็นคนที่มีความสามารถที่จะทนอยู่กับความผิดหวังไม่สมหวัง และสามารถสู้กับปัญหานั้นได้อย่าง ไม่ถอย อย่างมีสติ และใช้ปัญญา มหาบุรุษหลายท่านใน ประวัติศาสตร์นั้นจะต้องฝึก ตนเองให้มีคุณ ลักษณะ อย่างหนึ่งคือ การมีความเรียบง่ายในชีวิต (simplicity) การทำตนอย่างไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่ต้องมีพิธีรีตรอง อะไรมากมาย ไม่ยึดติดกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เกียรติยศ หรืออื่นใด

การเป็นผู้นำคนไม่ใช่เพื่อความสะดวกสบาย แต่เป็นการแบกรับภาระความอดทนต่อความเจ็บปวด ความหิว ความเครียด ความโกรธ การถูกรบกวนสติ ความเสี่ยงต่อ การสูญเสีย การละเว้นซึ่งรางวัล การต้องเสียสละทำให้คนอื่น การเตรียมพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และวิญญาณให้พร้อมสำหรับความ ไม่แน่นอน และสำหรับความทุกข์ยากในชีวิต

สำหรับเยาวชนที่ยากจะเข้าใจในความไม่แน่นอนในชีวิตนี้ก็สามารถฝึกฝนตนเองได้ด้วยกิจกรรมที่ง่าย หน่อย เช่น การฝึกเดินป่า การงดเว้นการนอนห้องปรับอากาศ การนอนบนกระดานที่ไม่ปูฟูก การถือศิลอด การรับประทานอาหารเจเป็นระยะ การกีฬาที่จำต้องยอมรับความเสี่ยงหรือความทุกยากในชีวิต เกมประดาน้ำ การขี่ม้า การเล่นรักบี้ฟุตบอล การวิ่งระยะไกลที่ต้องใช้ทั้งความอดทนและสมาธิ เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้เป็น การเตรียมพื้นฐานสำหรับผู้นำตั้งแต่สมัยกรีก หรือจีนโบราณ จนกระทั้งแม้ในการเรียนการสอน ของโรงเรียน public schools ที่มีชื่อเสียงของอังกฤษก็ได้อาศัยการกีฬาเป็นกิจกรรมนอกหลักสูตร ให้นักเรียนได้สัมผัส และ ฝึกฝนตนเองมาแล้ว

การเป็นผู้นำนั้นไม่ใช่เป็นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับชีวิตของเรา หรือแม้แต่ครอบครัวของเรา มันเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงเกิดขึ้น ความทนทานต่อความเครียดที่อาจเกิดในชีวิต และต้องมีความทนทานต่อสิ่ง เหล่านั้นได้ เกมกีฬาบางอย่างที่ทำให้ต้องฝึกการเสี่ยงอย่างพอมีเหตุผลนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความ พร้อมของคนเหมือนกัน และการเตรียมความพร้อมดังกล่าวนั้น การรับรู้ไม่พอ การมีทัศนคติที่ดีพร้อมทั้งมีความรู้ ความเข้าใจในความเป็นมาก็ไม่พอ มันต้องกระทำควบคู่ไปกับการกระทำด้วย ถ้าจะให้รับรู้สัจจธรรมของความ เสี่ยง ก็ต้องฝึกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเสี่ยงไปด้วย

เพื่อนและใยสังคม

มหาตมะ คานธี มีภรรยาคือกัสตูร์บาอี ศรีภรรยา ศานุศิษย์ และผู้ให้การสนับสนุนทั้งภายใน และต่าง ประเทศ ท่านตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่ามีคนให้กำลังใจสนับสนุนท่าน ดังนั้นการที่ท่านถูกจองจำโดยกองทัพ อังกฤษ แต่ท่านก็จะมีเพื่อนและคนให้กำลังใจโดยตลอด

การมีกัลยาณมิตร หรือเพื่อนที่ดีคอยให้ข้อคิดข้อเตือนสติ และการคอยให้กำลังใจ เป็นแรงเสริมให้ สามารถยึดมั่นในสิ่งที่ทำได้

คนบางคนถูกศัตรูถ่มถุยก็ไม่ว่า ถูกลอบสังหารก็ไม่กลัว แต่ถ้าคนที่เขารักหรือไว้วางใจได้ละทิ้งเขา จะทำให้เขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง มนุษย์โดยทั่วไปจึงจำเป็นต้องมีคนใกล้ตัวที่คอยเป็นเพื่อนใจ เมื่อเกิดความ สั่นคลอน ในจิตใจเกิดความทุกข์อันสาหัสที่ในขณะนั้นอาจไม่สามารถแบกรับได้ด้วยตัวเองได้ ผู้นำในโลกนี้ไม่ใช่ จะเป็นคน แกร่งกล้า เข้มแข็งอยู่ได้ตลอดเวลา มีบางช่วงในชีวิตทั้งสิ้นที่เขาอาจอ่อนแอดุจเด็กแบเบาะ และในช่วงเวลา เช่นนั้น เขาต้องการกำลังใจ ต้องการเพื่อน และกัลยาณมิตรคอยเตือนสติ หรือปลอบโยน

ในสมัยสงครามเกาหลี และเวียตนาม ได้มีการศึกษาถึงจิตวิทยานักโทษสงครามที่เป็นทหารสหรัฐ ที่ถูกจองจำในคุก พบว่าที่ต้องถึงแก่ความตายมากมายนั้นส่วนหนึ่งเพราะ ไม่สามารถทนต่อสภาวะแห่งความยาก ลำบากได้ทั้งในทางร่างกาย และจิตใจ เพราะทหารอเมริกันนั้นในทางจิตใจแล้วมีลักษณะความผูกพันในฐานะ กลุ่มเหล่าน้อย มีความเป็นคนที่โดดเดี่ยวมากกว่า แต่ในทางตรงกันข้าม ได้มีการศึกษาถึงลักษณะเชลยศึก ชาวตุรกีในสงครามจะพบว่าคนชาวตุรกีที่มีความรักชาติและความผูกพันในหมู่เพื่อนร่วมชาติสูงนั้น เขาจะสร้าง พลังผูกพันในสังคมเอาไว้ แม้ในสภาวะสงครามถ้าหัวหน้าเชลยศึกคนหนึ่งถูกแยกออกไป คนอื่นก็จะเข้าทดแทน ความเป็นผู้นำทันที ขวัญและกำลังใจทหารเชลยเหล่านั้นก็ยังเข้มแข็งเหมือนเดิม

ปรากฏการณ์ของการเยี่ยมไข้ก็เช่นกัน ถ้าคนไข้ที่เจ็บป่วยนั้นมีคนอันเป็นที่รักคอยไปดูแลให้ความห่วงใย เขาก็จะมีกำลังใจในการที่จะกลับฟื้นไข้ หายจากการเจ็บป่วยได้เร็ว แต่ถ้าคนที่ไม่มีที่พึง ไม่มีห่วงใยใดๆ ไม่มีความ อาทรจากคนให้เห็น ผลจะเป็นไปในทางที่ต่างกัน

ในผู้นำส่วนหนึ่งที่มีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวนั้น เพราะเขามีเพื่อนที่เข้าใจในตัวเขา นางออง ซาน ซูจี สตรีใจเหล็กของพม่าที่ทำการประท้วงลัทธิเผด็จการทหารที่ปล้นชัยชนะในการเลือกตั้ง และไม่ยอมลงจากอำนาจ เธอไม่ยอมจำนนที่จะเนรเทศตนเองไปอย่างอัปยศอย่างที่ฝ่ายทหารต้องการ แต่กลับยอมอยู่ภายใต้การกักบริเวณ ต้องสูญเสียเสรีภาพ ถูกคุกคามจากฝ่ายทหาร ทั้งนี้เพราะความรู้สึกผูกพันต่อคนอย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง ที่ต้องการ ยืนหยัดต่อสู้กับเผด็จการทหารนั้น เพราะต่างก็ต้องเป็นกำลังใจให้แก่กัน และกำลังใจจากเพื่อนร่วมชาติที่ต้องการ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าเช่นนี้ ที่ทำให้ทหารที่พร้อมด้วยอาวุธจำนวนกว่า 300,000 คนไม่สามารถทำให้กำลัง ใจของเธอต้องถดถอยลงได้

ศรัทธาและความเชื่อ

ผู้เขียนเห็นผู้ถือบวชบางท่านที่ได้ลงไปทำงานในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ที่คนทั่วไปมองไม่เห็นคุณค่า หรือเห็นคุณค่า แต่ก็ไม่มีใครทั่วไปคิดจะลงไปทำงานนั้น เช่นการลงไปเผยแพร่ศาสนาและการศึกษาแก่ผู้ยาก ไร้ในสลัม ในหมู่ชาวเขา คนโรคเรื้อน โรคเอดส์ บางคนไปเสี่ยงอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อเผย แพร่สันติภาพท่ามกลางการรบพุ่ง การฆ่าล้างเผ่า ซึ่งถ้าเป็นคนธรรดาปกติคงไม่มีใครกล้าเข้าไปเสี่ยง และเหนื่อย ยากในสถานการณ์เช่นนั้น

เพราะเห็นความสำคัญ มีความยึดมั่นในปรัชญาในสิ่งนั้น ความเชื่อมั่นในคุณความดีของสิ่งที่ทำ ในตัวบุคคลที่เคารพนับถือ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม พิศูจน์ได้หรือไม่ก็ตาม

ในทางคริสตศาสนาที่มีความเชื่อในการถ่ายบาปของ จีซัส ไครส์ท การต้องรับทุกข์แทนคนอื่นด้วยการ ต้องถูกตรึงกางเขนเป็นกิจที่สำคัญยิ่งนั้น ที่ทำให้เกิดการเสียสละเพื่อคนอื่นได้ เพื่อยอมรับชะตากรรมแทนกันได้

ไม่ว่าความเชื่อจะเป็นเช่นไร จะเป็นศาสนาเดียวกันหรือไม่ แต่การที่ได้ลงไปกระทำในสิ่งที่มีคุณค่าและ ความหมายในสังคม ก็อดทำให้คนอื่นๆที่ชื่นชมเข้ามาช่วยเหลือไม่ได้ ในพุทธศาสนานั้น การได้พระที่คนศรัทธา มาช่วยงาน การทำให้ชาวบ้านเข้ามาสมทบ บริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือก็เป็นไปได้โดย ง่าย เพราะคนมีความ เชื่อมั่นในพระว่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน เพราะพระนั้นเป็นผู้ตัดแล้วซึ่ง ความสุข ทางวัตถุใดๆ

สัจจการแห่งตน

คนบางคนสามารถทำในสิ่งที่ดูเหมือนไม่ไดรับการตอบสนองความต้องการในขั้นเบื้องต้น เช่นทำแล้ว ก็ไม่ทำให้มฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ไม่มีคนรักมากขึ้น ในบางกรณีกลับได้รับความเกลียดชัง จากคนบางกลุ่ม บางเหล่าซึ่งอาจเป็นอันตรายแม้แต่ชีวิตของตน แต่เขาก็ยังทำในสิ่งนั้นอยู่

เพราะความหลุดพ้นความต้องการในขั้นเบื้องต้น เหลือความต้องการในระดับสูง คือ self actualization หรือถึงในระดับสัจจการแห่งตน ไม่ยึดติดในลาภ ยศ หรือสรรเสริญ อันเป็นความต้องการในขั้นเบื้องต้นอีก

ยกตัวอย่าง เช่น

กาลิเลโอ เคยต้องยืนหยัด และถูกลงโทษจากทางศาสนา เพราะประกาศการค้นพบของตนว่าโลกกลม ซึ่งค้านกับคำสอน หรือความเชื่อในศาสนามาที่เชื่อว่าโลกนั้นมีลักษณะเป็นแผ่นแบน

อังเดร ซาคารอฟ นักวิทยาศาสตร์ระดับรางวัลโนเบลทางด้านฟิสิกส์ และหันมาต่อสู้ในเรื่องสิทธิ มนุษยชนในประเทศรัสเซีย ต้องถูกจำกัดบริเวณ ถูกคุกคามจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์โซเวียต ถูกประนามว่า เป็นคนขายชาติ เนรคุณต่อแผ่นดิน ตราบจนเขาตายไปแล้วผู้นำโซเวียตผู้ปฏิรูปสังคมโซเวียตในยุคต่อมาอย่าง มิคาฮิล กอร์บาร์ชอฟ จึงได้ประกาศเกียรติคุณของเขาอีกครั้งว่าเป็น ผู้มีคุณต่อแผ่นดิน เป็นวีรบุรุษแห่งชาติ

คนที่สามารถอดทนต่อการสูญเสียเสรีภาพในชีวิต ต้องยอมเปลี่ยนสถานะจากการเป็นคนที่สังคมก็ ยกย่องอยู่แล้วไปสู่การถูกลบหลู่ การถูกคุกคามเหยียดหยาม ถากถางนานาประการ เขาเหล่านี้จะทำได้ก็เพราะ เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมีความหมายต่อประเทศชาติ และต่อมนุษยชาติโดยรวมอย่างไร และเขาก็รู้ด้วยว่าคนใน สถานะเช่นเขาเท่านั้นที่จะ สามารถกระทำได้อย่างมีน้ำหนัก

การแผ่เมตตา

จากหนังสือเรื่อง “เตรียมตัวตายอย่างมีสติ”ิ ซึ่งแปลและเรียบเรียงโดย ศ. ศิวรักษ์

- ขอสัตว์ทั้งทั้งปวงจงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด

- สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย..เหล่าใดที่เราเห็นแล้ว หรือมิได้เห็น

- เหล่าใดอยู่ในที่ไกลหรือที่ไม่ไกล ที่เกิดแล้ว หรือกำลังแสงหาภาพก็ดี

- ขอสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด อย่าพึงดูหมิ่นอะไรๆเขา ในที่ไรๆเลย

- ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน เพราะความกริ้วโกรธ และเพราะความคุมแค้น

(นนทบุรี สำนักพิมพ์ใจสบาย, 2536 หน้า 25-26)

ในการเป็นผู้นำในทางศาสนาและลัทธิความเชื่อนั้น ในอดีตเคยมีคนนำไปสู่การต่อสู้ระหว่างประชาชน กลายเป็นสงครามศาสนาก็มี ผู้นำเหล่านี้แท้จริงไม่ใช่เป็นผู้นำ แต่เป็นผู้ตามที่ไม่สามารถทนการรบเร้าของคน คลั่งศาสนาได้ และถ้าเป็นเช่นนี้ ก็จะนำสังคมไปสู่ความหายนะ ยิ่งถ้าเป็นในโลกยุคใหม่ที่สามารถซื้อหาอาวุธ ร้ายแรงได้นานาประการแล้ว ความรุนแรงของความขัดแย้งก็จะ ยิ่งทบเท่าทวีคูณ

ลำพังความมีศรัทธาและความเชื่อมั่นในทางศาสนานั้นถ้าปราศจากความมีเมตตาแล้วก็สามารถนำมาซึ่งความขัดแย้งและการทำลายล้างกันในหมู่มนุษย์ได้ แต่ปฏิบัติการแห่งความรัก ความมีเมตตาแม้ต่อคนที่คิดร้าย ต่อตน ต่างหากที่จะเป็นการดับทุกข์ ดับอารมย์ร้าย ความโกรธเกลียด และทำให้มีปัญญาในการแสวงหา ทางออกที่ดี สำหรับสังคมและ มนุษยชาติได้

เพราะมนุษย์มีความไม่แน่นอนในชีวิต และสิ่งที่ท้ายสุดก็จะต้องมาถึง คือความตาย ซึ่งมนุษย์ทุกคนหลีก ไม่พ้น ตายแล้วก็เป็นจริงที่ไม่มีใครสามารถนำอะไรไปได้ และท้ายที่สุดทุกคนก็ต้องหลุดพ้น การรู้จักแผ่เมตตา นั้นแท้ที่จริงก็เป็นการสร้างความสันติสุขให้แก่ชีวิตเรา ไม่เกลียดชังมนุษย์ หรือหวาดระแวงอันเป็นอำนาจ ในทาง ลบ และมีผลที่ทำให้เราไม่สามารถใช้สติปัญญาได้อย่างเต็มที่ การที่ดาไลลามะ ผู้นำของธิเบตสามารถยืนหยัด ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในธิเบตได้นานหลายทศวรรษ และอย่างกระปี้กระเปร่าไม่ท้อแท้จนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะการแผ่เมตตา การไม่ใช้วิถีแห่งความความเกลียดชังเอาแพ้เอาชนะเช่นทั่วไป และก็แน่นอนว่าแม้จะ ใช้อาวุธเข้าต่อสู้ก็ไม่สามารถเอาชนะกองทัพจีนซึ่งทรงอานุภาพกว่า

การที่มหาตมะ คานธี สามารถใช้วิธีการอหิงสาต่อสู้กับมหาอำนาจทางสงครามอย่างอังกฤษได้นั้น เพราะเป็นการปฏิบัติการอย่างมีเมตตาเป็นการกระทำไปด้วยความรักความปรารถนาดีต่อคนอินเดีย โดยไม่เลือก ชนชั้น และรวมถึงการเคารพความเป็นมนุษย์ของทหารและผู้ปกครองชาวอังกฤษด้วยการต่อสู้เพื่อ ความเป็น เอกราชของประเทศอินเดียจึงสามารถผ่านยุคสมัยในการเปลี่ยนแปลงมาได้ แม้จะต้องประสบมรสุมความเป็นเผ่านิยมและความเกลียดชังในระหว่างชนชาติยังมีอยู่อย่างมากในสังคมนั้น

คนที่เต็มไปด้วยเมตตาเหมือนคนที่อยู่กับน้ำ มีความเยือกเย็น แต่คนที่มีแต่โมหะจริต มีแต่ความเคียด แค้น อาฆาตมาดร้าย หรือคอยแต่มีความอิจฉาริษยา ยิ่งเมื่อเขาประสบความคับแค้น ก็ทำให้เหมือนกับอก จะแตกตาย ยิ่งคับแค้นก็ยิ่งมีความรู้สึกว้าวุ่น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตนเอง ต่อการทำงาน หรือใครๆทั้งสิ้น

การให้เวลาไม่รีบร้อน

การไม่แสวงหาความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ยอมเรียนรู้ที่จะได้ประสบการณ์ชีวิตในหลายแง่มุมพอ การ ไม่รีบร้อนจนเกินไป รอให้มีความสุกงอม ให้มีความพร้อมอย่างเพียงพอนั้นทำให้เกิดความแกร่งกล้า เหมือน พันธุ์ไม้ ถ้าพันธ์ไม้ใดเติบโตเร็ว ไม้นั้นก็มักไม่แกร่ง ถ้าถูกลมแรงพัดก็โค่นล้ม ถ้าผ่านแล้งเนิ่นนาน ไม้นั้นก็ อยู่ไม่ได้ต้องแห้งตายไปเพราะขาดน้ำ ไม่เหมือนกับไม้ที่เติบโตอย่างช้าๆ แต่ว่ามีความแข็งแกร่ง สามารถทนลม ทนความแห้งแล้งได้ดี และเมื่อ เติบเป็นไม่ใหญ่ก็เป็นไม้ที่มีคุณค่า

ความเหนื่อยยาก ความเจ็บปวด ความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ถือเป็นการลงทุนสำหรับอนาคต เหมือนกับ การต้องยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับชีวิต

นักศึกษาในโครงการ"ช้างเผือกของมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่ง ยอมเหนื่อยยากทั้งนี้เพื่อสักวันเขาสอบ เข้ามหาวิทยาลัยได้ เมื่อนั้นเขาจะสบาย ครอบครัวก็จะสบายด้วย

คนที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กที่ต้องการรางวัลในทันทีทันใดที่ได้กระทำดี บางอย่างต้องใช้เวลายาวนาน คนจึง ไม่ใช่แมวน้ำ หรือสัตว์ทีฝึกได้ในโรงละคอนสัตว์ คนมีการรับรู้ได้ถึงคุณค่า จริยธรรม และคุณความดีต่างๆ คนที่มี ศักยภาพจึงทนอยู่ได้ในสถานะที่ยากลำบากในระยะสั้น เพื่อรอรับสิ่งที่ดีกว่าในระยะยาวไกล

มนุษย์โดยทั่วไปมีความสามารถที่จะทนอดและอดทนอยู่แล้ว ถ้าเขารู้ว่าเมื่อได้อดทนไปจนระดับหนึ่ง แล้ว เขาจะได้รับอะไรเป็นการตอบแทน

การรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา

มหาตมะ คาธี ผู้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประเทศอินเดียด้วยวิธีการอหิงสา ไม่ใช้ความรุนแรง ที่หลาย คนเห็นว่าเป็นยึดมั่นในความเชื่อของตัวท่านเองอย่างแข็งขัน ตลอดชีวิตการต่อสู้ของท่านเองต้องบาดเจ็บ ทั้งกาย และใจมามากมาย หลายคนจะสงสัยว่าท่านสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร กับการต่อสู้ดิ้นรนเช่นนั้น ตลอด เวลาหลายสิบปี ในส่วนหนึ่งที่แท้จริงแล้ว ท่านเป็นคนรู้จังหวะ และรู้ผ่อนหนัก ผ่อนเบา ไม่ใช่เป็นแข็งขืนหรือ ตึงเครียดตลอด ในหลายจังหวะของชีวิตท่านจะเป็นคนที่มีอารมย์ขัน บางจังหวะท่านก็ฮึดสู้ บางจังหวะท่านก็ กลับไปศึกษาฝึกฝนตนเอง บางจังหวะก็ยอมสงบตนอยู่ในคุกตารางอย่างไม่แข็งขืน อยู่อย่างสงบเพื่อรอจังหวะ ที่เหมาะสมสำหรับการทำงานที่ดีกว่า

การต่อสู้ที่ยาวนานในชีวิต หรือบางทีตลอดชีวิตก็ไม่สำเร็จนั้น คนจะทนทานอยู่ได้โดยไม่ล้านั้น เพราะ เขาต้องรู้จักผ่อนคลาย

การลดน้ำหนักตัวขนาด 10-20 กิโลกรัม ต้องใช้เวลานับเป็นหลายเดือน หรือเป็นปีขึ้นอยู่กับ อายุของ บุคคล ไม่ใช่หมายความว่าจะอดอาหารลงในทันทีทันใด แต่จะต้องมีกระบวนการลดอาหาร การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนเป็นเวลา คนบางคนเมื่อจะอดอาหารก็เร่งอดอาหารจนผิด ธรรมชาติ บางทีก็ ใช้ยา กระตุ้นการเผาผลาญ แต่ท้ายสุดแม้จะลดน้ำหนักได้บ้าง แต่ก็มักกลับไปสู่นิสัยเก่า กลับไปกินอย่างเดิม และก็ น้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

การวิ่งมาราธอนระยะทาง 42 กิโลเมตรนั้น คนวิ่งนั้นจะต้องคิดเตรียมการณ์แตกต่างจากการวิ่งใน ระยะ สั้น เพียง 100 เมตร หรือ 200 เมตร เพราะเป็นเรื่องที่ต้องวิ่งอย่างรวดเร็ว เพียงกลั้นหายใจเดียวหรือสองอึด ก็ต้อง เข้าเส้นแล้ว

การวิ่งระยะยาวขนาด 10,000 เมตร หรือ การวิ่งมาราธอนนั้น ก็ต้องมีการฝึกวิ่งในลักษณะที่ใช้กำลัง น้อยที่สุด สามารถวิ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติ วิ่งสบายๆ ปล่อยน้ำหนักลงส้นเท้าได้ ไม่ใช่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อขา ตลอดเวลา ไม่เกร็งกำหมัด การแกว่งแขนก็ต้องให้พอเหมาะ ไม่ให้เป็นวงกว้างจนต้องใช้แรงมากเกินไป สามารถ ออมแรง และวิ่งได้อย่างเร็วพอ และวิ่งให้ได้จนครบระยะทาง

การจะสร้างกิจการทางธุรกิจขึ้นมาจนประสบความสำเร็จนั้น ต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปี กว่าที่กิจการ นั้นจะตั้งตัวได้ติด ระหว่างนั้นนักธุรกิจก็จะต้องรู้จักการอยู่อย่างมีความยืดหยุ่น แสวงหาความสนุกไปกับงาน ได้พักไปบ้าง ไม่ใช่เครียดไปตลอดเวลา ยิ่งพนักงานและลูกจ้างทั้งหลายนั้นจะให้เขาเร่งไปกับนายงาน และ เครียดไปตลอดนั้นเป็นไปไม่ได้

การต้องนำทหารเข้าสนามรบที่มีสงครามยืดเยื้อนั้น จำเป็นต้องมีการผลัดเปลี่ยนกำลังรบ สลับคนที่ เหนื่อยจากสงครามไปไว้ในแนวหลังบ้างเป็นครั้งคราว ให้ได้พักผ่อน แล้วจึงกลับมารบในแนวหน้า

การก่อร่างสร้างพรรคการเมือง อาจต้องใช้เวลาผ่านชั่วอายุคนรุ่นแรกไปแล้ว จึงจะพิสูจน์ได้ว่าพรรคนั้น มีความมั่นคงแล้ว ในระหว่างนั้นก็มักจะต้องมีความตึงเครียดเกิดขึ้น มีความขัดแย้งต่อกันเกิดขึ้นเป็นระยะ บางส่วนอาจมีค่านิยมที่ก็ยังปรับให้เข้าใจกันได้เสียทีเดียว ดังนั้นบรรยากาศในการทำงาน และบุคลิกของหัวหน้า พรรคที่ต้องไม่เครียดจนเกินไป มีอารมณ์ขัน และการต้องทำงานอย่างเข้าใจว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร ไม่ตามใจ ตัวเองโหมงานจนเกินไป และแม้กับตนเองนั้นก็ต้องมีการผ่อนหนักผ่อนเบา สามารถพักผ่อนได้อย่างทำให้คน ได้ชื่นชมไปด้วย จะเห็นได้ว่านักการเมืองอาศัยการไปตรวจงาน การไปดูงานต่างประเทศ การไปเยี่ยมฐานคะแนน ในต่างจังหวัด หรือการไปบรรยายในที่ต่างๆนั้นเป็นการไปพักผ่อนในตัว การได้เปลี่ยนกิจกรรมเปลี่ยนอิริยาบถ และวิธีการใช้สมองนั้น แท้จริงคือการได้พักผ่อนของบางส่วนไปในตัว

การที่ต้องทำงานในช่วงชีวิตที่กว่าจะสำเร็จได้ก็ต้องใช้เวลายาวนานเช่นนี้ จึงต้องอาศัยการมีความอดทน ไม่สามารถทำอะไรอย่างเร่งรีบได้ และทำอย่างมีขั้นตอน ให้มีจังหวะผ่อนหนักผ่อนเบา และต้องเข้าใจในความ จำเป็นของกิจการนั้นว่าต้องใช้เวลา

ความมั่นคงในความหมายแห่งชีวิต

สิ่งที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่คนจะยอมเหนื่อยยาก กระทำในสิ่งทีเหนือความอดทน ของมนุษย์โดย ปกติธรรมดาได้นั้น เขาจะต้องมีเหตุผลอย่างเพียงพอว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะตลอดเส้นทางอันคดเคี้ยว ในการ เดินทางชีวิตของมนุษย์นั้นท้ายสุด สิ่งที่คิดเอาไว้เป็นความไฝ่ฝัน ตั้งแต่แรกนั้นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากบางครั้ง ที่คิดว่า จะทำงานเพื่อช่วยครอบครัวทางบ้านให้ได้อยู่ดีกินดี แต่ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นเพียงเพื่อครอบครัวในความ หมายแคบ คือครอบครัวอันประกอบด้วยคู่ครอง บุตรธิดา และตนเอง

นักการเมืองทีเคยตั้งใจว่าจะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง แต่กาลเวลาผ่านไป ท้ายสุดกลายเป็นการทำ เพื่อตนเองและความอยู่รอดครองอำนาจไปเรื่อยๆ ในประวัติศาสตร์มีนักการเมืองการทหารที่แสดงว่าอยากทำ เพื่อชาติเพื่อประชาชน แต่ในท้ายสุดกลับกลายเป็นคนที่กดขี่ขมเหงประชาชนเยี่ยงทรราชย์ทั้งหลาย ดังนั้น การ หยั่งรู้ในสิ่งที่ทำอยู่ การรู้ความควร ไม่ควร การมีหลัก ยึดมั่นในชีวิตจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

มหาตมะ คานธีได้กล่าวเอาไว้ว่าการมีอะไรอย่างไม่สมดุลย์ และขาดเครื่องยึดเหนี่ยว ท้ายสุดมันจะเป็นการบั่นทอนเรา กลายเป็นบาป 7 ประการ (Seven deadly sins) นั้นคือ

1. ความมั่งคั่งโดยไม่ต้องทำงาน (Wealth without work)

2. ความสนุกหลงระเริงโดยขาดจิตสำนึก (Pleasure without conscience)

3. มีความรู้โดยไม่มีบุคลิก (Knowledge without character)

4. ทำการค้าโดยไม่มีคุณธรรม (Commerce without morality or ethics)

5. วิทยาศาสตร์โดยปราศจากมนุษยศาสตร์ (Science without humanity)

6. ศาสนาที่ไม่มีการเสียสละ (Religion without sacrifice)

7. การเมืองโดยไม่มีหลักการ (Politics without principle)

(Stephen R. Covey, Principle-Centered Leadership. New York: Simon & Schuster, 1992. pp.87-93)

ซึ่งทั้งหมดนี้จะได้ขยายความบ้างเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน

ความมั่งคั่งโดยไม่ต้องทำงาน

ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้

คนที่พ่อแม่มีเงินทองมากมาย ไม่รู้จะต้องไปทำงานทำไม สู้เอาเงินที่สะสมมานั้นไปแสวงหาความสุข ดีกว่า

คนที่เคยอดอยาก ทำงานหนัก พอมีเงินทองบ้างก็เลยกินอาหารอย่างดีเอร็ดอร่อย แล้วก็ขี้เกียจทำงาน ใช้เครื่องทุ่นแรงหมด

ความนิยมในการเล่นหุ้น โดยอาศัยการยักย้ายถ่ายเทเก็งกำไร แทนที่จะทำงานก็ไปเฝ้าตลาดหลัก ทรัพย์ คอยแต่เพียงซื้อในจังหวะต้องซื้อ และรอขายในจังหวะต้องขาย โดยท้ายที่สุดไม่มีใครเป็นคนลงไปทำงาน ฝ่ายผลิต หรือการให้บริการ เหมือนในไต้หวัน ฮ่องกง และประเทศไทยปัจจุบัน ที่มีเศรษฐกิจฟอง สะบู่ ยามได้เงิน มาก็ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย แต่ยามที่หุ้นมีราคาตกต่ำก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

การได้มรดกจากบิดามารดามามากพอ ก็ฝากธนาคาร เอาดอกผลไปใช้จ่าย โดยหารู้ไม่วาระหว่าง ที่ฝากเงินในธนาคารนั้น ค่าของเงินในแต่ละปีลดลงโดยตลอด เงินเป็นล้านบาทในวันนี้ อีกสิบปีข้างหน้าก็ไม่มีค่า อะไร

ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงปีค.ศ. 1980-1990 นั้น มีการใช้เงินเกินดุลย์ตลอดเวลา ธุรกิจมีแต่ไหลออกไปต่าง ประเทศ เพราะค่าแรงงานสูง คุณภาพแรงงานและการทำงานต่ำ แต่สินต้าก็ราคายังถูกอยู่เพราะเป็นระบบไป ผลิตในต่างประเทศที่มีค่าแรงงานต่ำ

สังคมญี่ปุ่นที่ปัจจุบันมีสภาพเงินล้น ต้องเอาเงินไปลงทุนในประเทศอื่นๆ โดยคนญี่ปุ่นเองต้องเริ่มตกงาน ค่านิยมก็จะเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีความอยากฟุ่มเฟือยมากขึ้น ไม่สนใจและทุ่มเทในการทำงาน อย่างมีคุณภาพมาก ขึ้น ชีวิตแห่งความต้องอดทนและความยากลำบากในช่วงหลังสงครามดลกครั้งที่สองกำลังลบเลือนไป

ความสนุกหลงระเริงโดยขาดจิตสำนึก

ลองดูสภาพสังคมไทยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสุขสำราญดังต่อไปนี้

- กิจการคาเฟ่ อาบอบนวด เปิดได้ถึงตีสาม

- มีโสเภณีให้เลือก มีวิธีการแสวงหาความสุขทางเพศ โดยไม่คำนึงถึงปัญหาทางศีลธรรม และปัญหาจากโรคเอดส์

- เกมและหนังสือการ์ตูนที่ไม่มีสาระทางการศึกษา เป็นความสนุกที่ไม่เกิดการประเทืองปัญญา

- รายการโทรทัศน์ที่มีแต่เกมโชว์ ละคอนชีวิตที่ไม่สามารถให้สาระแก่ชีวิต

- การขับรถซิ่ง ทั้งที่เป็นรถจักรยานยนต์ รถตบแต่ง การลงทุนใช้จ่ายไปกับกิจกรรมประดับรถด้วยเครื่อง เสียงราคาแพง

- การไปจับจ่ายใช้สอยในต่างประเทศในสิ่งที่ก็มีอยู่แล้วอย่างมากมาย

- การแข่งขันประกวดการแต่งกาย เรื่องเพชรพลอย กันจนเกินเหตุ

- การกระตุ้นให้เกิดการเสพในสิ่งอันไม่ควร การกระตุ้นเยาวชนและสตรีได้สูบบุหรี่ทั้งๆที่เป็นคุณค่าที่ผิด เป็นอันตรายต่อชีวิต

- สภาพปัญหาเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนสังคมไทยในปัจจุบัน ซึ่งเราต้องลองคิดดูว่า ถ้าปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ จะทำให้เกิดอะไรขึ้นสำหรับสังคมไทยในระยะยาว มันจะมีผลกระทบอะไรต่อไป

- คนเรามักมองไม่เห็นความเชื่อมโยง มองไม่เห็นว่า การเที่ยวดิสโกเทคจะมีผลกระทบต่อชีวิตในชนบท อย่างไร การเปิดไฟทิ้งไว้ในบ้านหนึ่งดวง จะมีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมในป่าเขาอย่างไร

การไม่เข้าใจในความทุกข์ยากความขาดแคลนในมนุษย์ร่วมโลก คนที่ยังด้อยโอกาสกว่าเรา ท้ายสุดการ หลงระเริงกับความสุขแบบชั่วแล่นและแบบผิวเผิน ไม่มีสาระทั้งต่อตนเองและคนอื่น ในที่สุด ก็ทำให้บุคคลนั้น เป็นคนที่คิดอะไรลึกซึ้งไม่เป็น มองความเชื่อมโยงระหว่างสรรพสิ่งไม่ออกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นไปสร้างความ เดือดร้อนให้แก่คนอื่นได้อย่างไร

มีความรู้โดยไม่มีบุคลิก

อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าการเรียนรุ้ในสังคมไทยยังเป็นแบบสุกๆดิบๆ มีปัญหาการรู้น้อย รู้อย่างครึ่งๆกลางๆ มีเป็นอันมากที่การเรียนรู้นั้นเป็นความรู้โดยไม่มีหลักการ ไม่มีหลักจริยธรรม เช่น

- หมอตี๋ มีการจ่ายยาชุด มีการผลิตและขายยาม้า โดยไม่รับรู้ถึงผลกระทบต่อสุขภาพและอนามัย ของผู้บริโภค

- เภสัชกรเองก็ยังต้องขายยาชุด การขายยาปฏิชีวนะ โดยไม่ให้ความเข้าใจในการใช้ยาอย่างรอบคอบ เพราะเสียเวลาในการต้องบอก ไม่คุ้มกับค่ายา อยากซื้ออะไรก็ซื้อไป

การศึกษานั้นต้องคำนึงถึงหลักการ

- การสอนคนนั้นต้องสอนเขาให้มีบุคลิกภาพ ต้องให้ค่านิยมแก่เขาด้วย การสอนความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สอนอย่างครบถ้วน

- ครูที่ต้องเป็นมากกว่าคนบอกวิชา และครูที่ไม่ใช่เป็นเพียงคนกวดวิชา

- หลักจริยธรรมกำกับทั้งผู้สอนและผู้เรียน

- การไม่ลอกผลงานทางวิชาการกันโดยไม่ให้เกียรติผู้คิดริเริ่ม

- การสอนที่ไม่ใส่ใจในให้อย่างเต็มที่ เป็นการสอนตามหน้าที่มากว่าจะทุ่มเทให้อย่างจริงจัง

- การสอนที่ไม่จริงจังในมาตรฐานการประเมินผล ให้คะแนนอย่างมีอคติและลำเอียง ไม่มีความยุติธรรม

- การสอนอย่างไม่ให้ข้อเตือนสติในแง่จริยธรรมทางวิชาชีพ

การสอนเพียงความรู้ แต่ไม่ได้สอนความเป็นคน สอนทางการแพทย์ แต่สอนโรคและการรักษาโรค แต่ไม่ได้ให้ผู้เรียนได้เข้าใจความเป็นมนุษย์ของคนไข้

ทำการค้าโดยไม่มีคุณธรรม

ถ้าทำการค้าโดยไม่มีจริยธรรมอะไรจะเกิดขึ้น

- ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า การไม่หลอกลวงกันทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ

- การไม่ใช้วิธีการทำลายกันในทางธุรกิจ การต้องแข่งขันในบรรยากาศอย่างยุติธรรม

- การไม่เอาเปรียบด้วยการวิ่งเข้าหาข้าราชการ การขออภิสิทธิทางการค้า การติดสินบนเพื่อขอเปิดทางกิจการบางอย่าง

ไม่เข้าไปทำธุรกิจที่ไร้ศักดิ์ศรี และเป็นการทำลายมนุษยชาติ และสิ่งแวดล้อม เช่น กิจการซ่องโสเภณี กิจการบันเทิงเริงรมย์ในลักษณะก่อให้เกิดการมั่วสุมในเด็กและเยาวชน การค้ายาเสพติด การค้าเครื่องดอง ของเมา การค้าที่เอาเปรียบคนยากจน และคนที่ด้อยโอกาส การตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฏหมาย หรือการค้า อาวุธ เป็นต้น

ธุรกิจยุคใหม่นั้นจำเป็นต้องมีการคำนึงถึงความรับผิดชอบในสังคม เพราะมิฉะนั้นสังคมก็จะมีกระบวน การตอบโต้ได้เช่นกัน ความสำนึกในสิ่งแวดล้อม การไม่ไปส่งเสริมในกิจการที่กลายเป็นส่งเสริมผู้ไม่เคารพ ในสิทธิมนุษยชน กางเกงยีนหลายบริษัทไม่กล้าไปผลิตในประเทศจีนด้วยปัญหาเกรงได้รับการต่อต้าน และภาพ พจน์ที่ไม่ดีสำหรับกิจการที่ต้องอาศัยวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่เป็นลูกค้า บริษัทผู้ผลิตคาร์ดอวยพรความสุข ก็ต้อง คำนึงถึงการไม่สร้างทุกข์ด้วยระบบงานแบบปลดคนงานอย่างง่ายๆ แล้วเกิดภาพพจน์ที่เสียหายต่อบริษัทกลับมา

วิทยาศาสตร์โดยปราศจากมนุษยศาสตร์

เบื้องหลังของสงครามโลกครั้งที่สองนั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่า ประเทศเยอรมันซึ่งมีความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์อย่างมากนั้น ได้ใช้นักวิทยาศาสตร์เป็นอันมากในกิจการ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อมนุษยชาติ เช่น

- การประดิษฐ์เตาทำลายล้างมนุษย์แบบล้างเผ่าพันธุ์

- การสร้างระเบิดสารเคมีทำลายระบบประสาท

- สหรัฐอเมริกากับการใช้นักวิทยาศาสตร์พัฒนา "ฝนเหลือง" การคิดสารเคมีในการทำให้ป่าทั้งป่ามีสิ่ง แวดล้อมเป็นพิษต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย อันเป็นอาวุธที่มีความโหดร้ายอย่างยิ่งต่อประชาชนที่ต้องอาศัย อยู่ในบริเวณนั้น

ด้วยเหตุของการศึกษาทั่วไปที่ต้องให้คนเรียนทางวิทยาศาสตร์นั้น ต้องได้เรียนทางด้านมนุษยศาสตร์ อย่างน้อย 1 ใน 4 ของหลักสูตรปริญญาตรี ซึ่งถือเป็นหลักการทั่วไปของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา

ศาสนาที่ไม่มีการเสียสละ

อะไรจะเป็นผลกระทบต่อสังคม ถ้า

- พระจะไปเทศน์ก็ต้องดูว่าจะมีคนให้เงินใส่ซองเท่าไร

- การบวชเป็นพระต้องมีการจ่ายกันเป็นเงินเดือน

- โบสถ์วัด ไม่ใช่องค์กรหรือบริษัททั่วไป

สภาพที่ได้กล่าวมาแล้วในสังคมไทยนั้นมีให้ปรากฏให้เห็นอย่างเปิดเผย และกลายเป็นปรากฏการณ์ ธรรมดาทั่วไป ซึ่งทำให้ต้องคิดว่า แล้วเราจะได้อะไรจากศาสนา ถ้าในท้ายที่สุด ศาสนาปราศจากคนที่มี สติปัญญาที่เสียสละตนเองเพื่อทำหน้าที่อันจำเป็นให้แก่สังคม อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราช่วยกันชักจูงพระให้กลาย เป็นเหมือนพวกเราชาวบ้านทั้งหลายที่ยังพะวงอยู่กับความต้องการทางวัตถุ เพราะแท้จริง เราต้องการให้

- ศาสนาคือที่พักพิงของคนที่มีปัญหา

- ศาสนาไม่ใช่ที่ๆจะยอมรับค่านิยมปกติของคน

- พระไม่จำเป็นต้องมีวัสดุ ของเครื่องใช้ หรือวัตถุนิยมมากมาย

เราอยากเห็นพระพุทธรูป ซึ่งอาจมีคุณค่าทางการเป็นรูปสักการะสำหรับผู้นำถือ หรือเป็นงานประวัติศาสตร์ศิลปะสำหรับผู้สนใจ แต่เมื่อใดมีการเล่นพระเครื่องกัน มีการซื้อขายกันเหมือนเครื่องประดับหรือ สินค้าพานิชย์ทั่วไป ซึ่งในปัจจุบันมีการยอมรับในสภาพเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นของวัดก็ดี หรือของชาวบ้านก็ดีที่ไปขอ ให้ทางวัดจัดทำการผลิตวัตถุมงคลกันออกมาโฆษณา เสนอขายกันอย่างที่เป็นไปในปัจจุบัน ก็น่ากลัวศาสนา จะเสื่อมอย่างรวดเร็ว

การเมืองโดยไม่มีหลักการ

ถ้าอย่างที่เป็นอยู่

การเมืองคือ ศาสตร์ว่าด้วยการทำให้ได้รับการเลือกตั้ง นักการเมืองคือศิลปินที่สามารถมีศิลปะการ แสดงที่ทำให้คนเชื่อ ให้การสนับสนุนให้ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่ตำแหน่ง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วจะต้องไป ทำอะไรต่อไป

การแสดงตนต่อประชาชนอย่างหนึ่ง แต่ในส่วนลับหลังก็มีการตกลงเจรจากันในอีกแบบหนึ่ง แสวงหา ผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและหมู่คณะ การเมืองคือการลงทุนเหมือนการค้า เมื่อต้องมีการลงทุนแล้ว ก็ต้องมีการ เก็บเกี่ยวผลกำไร

การซื้อเสียงก็คือการซื้อสินค้า เหมือนมีการซื้อขายเมื่อได้จ่ายเงินแล้วก็ต้องได้สินค้า ซึ่งในทางการเมือง ก็คือ การได้คะแนนเสียงมาแล้ว ก็เป็นการได้มาแบบซื้อขาด เขาจะนำไปลงทุนอะไร กันต่อไป ก็ไม่ต้องสนใจ สำหรับพรรคการเมือง เมื่อผู้แทนราษฎรในพรรคได้รับ เลือกตั้งมาแล้ว เป็นอันมากก็หลุดลอยขาด จากสมาชิก และพรรคก็มี

ถ้าเป็นเช่นนี้ การเมืองก็ถึงซึ่งการวิบัติ เป็นระบบที่ก่อกรรมสร้างทุกข์ให้กับประชาชนทั่วไป สร้างความ ปั่นป่วนให้กับชาติ และทุกส่วนในสังคม สร้างความเบื่อหน่ายให้กับผู้คน ทำลายศรัทธาทั้งต่อคน ต่อระบบ และต่อ ความหวังในสังคมทั้งหลาย

หลักการของการเมืองและนักการเมืองที่ดี คืออะไร

ถ้าใครสักคนต้องการจะเป็นนักการเมืองที่ดี เขาจะต้องมีความซื่อสัตย์ต่อประชาชนและผู้เลือกตั้งตนเอง การเมืองคือการทำให้รัฐได้มาอยู่ใกล้กับประชาชน การได้คุมอำนาจรัฐก็คือการทำให้รัฐบาลเป็นผู้รับใช้ประชาชน การสื่อสารทางการเมืองนั้นคือการต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เมื่อจะต้องมีการตัดสินใจทางการเมือง อย่างหนึ่งอย่างใดลงไป ก็ต้องสามารถอธิบายสิ่งต่างๆถึงเหตุผลของการตัดสินใจได้ บางอย่างอาจเป็นการตัดสิน ใจที่ประชาชนที่ได้สนับสนุนเข้าไปไม่สามารถเข้าใจได้ ก็ต้องหาทางอธิบายเพื่อให้เข้าใจให้ได้

นักการเมืองไม่ใช่เพียงผู้ที่เคารพกฎหมาย แต่นักการเมืองคือผู้ที่จะต้องทำให้กฏหมายเป็นสิ่งที่ประชาชน ให้ความเคารพได้ สามารถปฏิบัติตามได้ เป็นกฏหมายที่สอดคล้องกับหลักการแห่งความยุติธรรมต่อประชาคม นั้นๆ ไม่ใช่การออกกฏหมายมาอย่างแอบแฝง เพื่อผลประโยชน์ของชนบางกลุ่มบางเหล่า ด้วยการทำให้คนส่วน ใหญ่ต้องเสียประโยชน์และสิทธิอันควร

นักการเมืองคือผู้ที่แสวงหาทางออกให้แก่ปัญหาความขัดแย้งของมนุษย์ ทำให้การแบ่งปันผลประโยชน์ ของระบบย่อยต่างๆเป็นไปได้อย่างลงตัว แต่ไม่ใช่คนที่แสวงโอกาสแห่งความขัดแย้งนั้นสร้างฐานอำนาจของตน ทำให้ตนหลบหลีกแหวกว่ายดำรงอยู่ได้ในวงจรอำนาจและท่ามกลางความเดือดร้อนของคนอื่นๆ

นักการเมืองที่ดีจะต้องไม่มองผลในระยะสั้น การเมืองไม่ใช่เพียงการทำอะไรเพื่อให้ได้คะแนนเสียง เพื่อให้เป็นที่ชื่นชอบตลอดไป เพราะความที่เป็นตัวแทนของประชาชน นักการเมืองจึงต้องสนใจไฝ่รู้ ต้องทำความเข้าใจในประเด็นที่ละเอียดอ่อน ที่ชาวบ้านไม่อาจเข้าใจได้ บางอย่างเป็นโอกาสในสังคมที่จำเป็นต้องตัดสินใจทั้งนี้เพื่อให้เกิดการลงทุน ได้ดำเนิน การล่วงหน้าสำหรับสิ่งที่เป็น โอกาสที่ดีสำหรับสังคมในอนาคต การคงอยู่ของมนุษย์ที่มีหลักการ การจำเป็นต้องยืนหยัดเพื่อบางอย่างที่มีความถูกต้อง แม้สิ่งนั้นเป็นเหมือนดังสงครามที่ดูจะไม่มีวันชนะ เป็นเหมือนดังสายน้ำที่ไหลไปแล้วไม่มีไหลกลับ แต่ฝูงปลาก็ยังต้องแหวกว่ายสารธารย้อนกระแสอยู่ตลอดเวลา ถ้าปลานั้นยังเป็นปลาเป็น และเป็นปลาที่จะแพร่พันธุ์ต่อไป

การเป็นผู้นำนั้นจึงจำเป็นต้องมีหลักการแห่งชีวิต มันอาจจะผิด อาจจะถูก อาจจะท้ายสุด มันนำมา ซึ่งความหายนะส่วนตัวของเรา แต่ถ้ามันมีหลักการบางอย่างที่มีเหตุผล มีสัจจธรรมสนับสนุน ก็ควรที่จะยึดเดิน ตามเส้นทางนั้น แม้จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก

บทสรุป

การทำความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเรามัวแต่มีความหวาดกลัว ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าที่จะเสี่ยงทำผิด ก็คงจะไม่มีอะไรก้าวหน้า สังคมก็คงจะไม่ได้ประโยชน์ การที่คนเราจะกล้านำได้นั้น จึงต้องไม่ปล่อยให้ความหวาดกลัวนานาประการเข้าครอบงำ ต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งจะต้องทำตนให้มีความแข็งแกร่ง ต้องรู้ว่าที่ว่างานที่จะทำนั้น จะทำอะไรทำไปเพื่ออะไร การจะรู้ในจุดมุ่งหมายของานที่ทำนั้นและเห็นพ้องกับทิศทางนั้น แต่ในการต้องทำงานอะไรสักอย่างนั้น มักจะมีเส้นทางที่คดเคี้ยว และมักต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสภาพการเช่นนี้ทำให้มนุษย์มีความไขว้เขวว่าจะทำอะไรอย่างไรต่อไป บางคนก็เดินหน้าไปแบบดันทุรัง ซึ่งก็จะได้เจอปัญหาในแบบเดิม และก็ไม่ประสบความสำเร็จ บางคนหาทางลัดลอดเวียนไปเวียนมา ขอเพียงให้ได้เดินไปเรื่อย แต่ก็เปรียบเสมือนหลงทาง ท้ายสุดที่เคยคิดว่าจะมุ่งไปสู่นั้น กลับไม่ใช่ เหมือนคนเดินหลงทาง ในเรื่องนี้ การมีจริยธรรม หรือการมีหลักการนั้นก็เปรียบเสมือนกับการมีเข็มทิศทางปัญญา แม้มีปัญหาก็จะรู้ว่าควรจะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร แม้จะไม่สามารถเดินทางไปได้ทันที ก็สามารถแสวงหาทางออกได้ และบรรลุจุดหมายปลายทางได้ในระยะต่อไป

**************************

No comments:

Post a Comment