ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
ความหมาย
Peak Oil คือจุดที่เวลาการผลิตน้ำมันที่ผลิตจากปิโตรเลียม (petroleum extraction) ได้มาถึงที่สุด และหลังจากนั้นไม่ว่าจะใช้ความพยายามเท่าใด ปริมาณน้ำมันที่ได้จากการสำรวจขุดเจาะ ก็จะลดลง แนวคิดนี้มาจากการสังเกตปริมาณน้ำมันของแต่ละบ่อที่ขุดเจาะ และเมื่อรวมถึงผลผลิตน้ำมันโดยรวม และเมื่อถึงจุดที่สามารถผลิตน้ำมันที่ได้จากแหล่งปิโตรเลียมสูงสุดแล้ว หลังจากนั้น ปริมาณน้ำมันที่สำรวจขุดเจาะได้จากธรรมชาติจะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้พลังงานก็จะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น เข้าลักษณะอุปสงค์สูงกว่าอุปทาน แต่คำว่า Peak Oil แตกต่างจากคำว่า “จุดที่ไม่มีน้ำมันเหลืออยู่”
M. King Hubbert ได้เป็นผู้เสนอรูปแบบ peak oil เป็นคนแรกเมื่อปี ค.ศ. 1956 ว่าจะมาถึงในช่วงปี ค.ศ. 1965-1970 และจะทำให้น้ำมันมีราคาแพงขึ้นอย่างมากทั่วโลก และจะเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ คำทำนายของเขาถูกเพียงส่วนหนึ่ง และมันทำให้เกิดวิกฤติน้ำมันจริง ราคาน้ำมันทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มนุษย์ได้มีการปรับตัวตามไปในหลายๆด้าน เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ฝ่ายสำรวจขุดเจาะก็มีความคุ้มที่จะขุดเจาะในบริเวณที่ไม่เคยทำมาก่อนดังเช่นในด้านทะเลชายฝั่ง ในบางด้านได้เกิดการพัฒนาการใช้พลังงานทางเลือก ดังเช่นประเทศญี่ปุ่นและฝรั่งเศสได้มีการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และรถไฟความเร็วสูงที่ใช้ไฟฟ้าที่พัฒนาจากแหล่งอื่นๆนอกเหนือจากน้ำมันได้ และในอีกด้านหนึ่งในประเทศในยุโรปก็ได้เริ่มการเก็บภาษีน้ำมันสูง เพื่อสะกัดกั้นการใช้พลังงานน้ำมันที่เกินความจำเป็น
ในช่วงต่อมาได้มีทั้งนักเศรษฐศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ได้ทำนาย Peak Oil เอาไว้ว่าน่าจะเป็นช่วงปี ค.ศ. 2020 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าราคาน้ำมันจะสูงจนกระทั่งต้องเลิกคิดถึงน้ำมันที่ผลิตจากแหล่งสำรวจขุดเจาะ (Petroleum)
จากการคาดการณ์อย่างเป็นทางบวก (Optimistic estimations) จุดการผลิตน้ำมันสูงสุดจะมาถึงในปีค.ศ. 2020 หรือประมาณอีกเพียง 10 ปี และช่วงเวลาดังกล่าวนี้ จะต้องมีการลงทุนพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่นๆก่อนที่จะเกิดวิกฤติจริง และในการนี้ รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาการบริโภคน้ำมันอย่างมากๆ ดังเช่นวัฒนธรรมการใช้รถยนต์ส่วนตัวอย่างเกินความจำเป็น การไม่ได้คิดถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางเลือกต่างๆ ที่จะทำให้การใช้ชีวิตและวิธีการทำงานดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. นี้เป็นต้นไป มนุษย์จะต้องเตรียมที่จะรองรับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะสูงขึ้น การฉุดให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตากพืช (Bio fuel) อย่างเช่น Gasohol, biodiesel ที่มีทางเลือกในการผลิตได้จากวัสดุของทิ้ง หรือจากพืชที่มีผลิตผลสูงที่จะนำมาผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงแบบต่างๆได้
ในยุคน้ำมันขาดแคลน และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต้องสูงขึ้นนี้ กลไกธรรมชาติของประชาชนคนไทย คือการปรับการผลิตพืชเพื่อการส่งออกที่มีผลกำไรต่ำ มาสู่การผลิตพืชที่สามารถใช้เป็นพลังงานที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ในช่วงนับแต่นี้ต่อไป ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะขึ้นถึงลิตรละ 50-60 บาท ก็จะได้เห็นในไม่ช้า ผลกระทบต่อประเทศไทยอาจเป็นครึ่งหนึ่งของประเทศที่ต้องพึ่งพาพลังงานทั้งหมดจากต่างประเทศ
ภาพ ในระยะเริ่มต้น ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 แหล่งน้ำมันจะอยู่บนพื้นดิน และพบได้ในแหล่งที่ไม่ลึกจากผิวโลก ดังที่พบในรัฐอย่างเทกซัส โอคลาโฮมา แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) หรือที่พบในตะวันออกกลาง (Middle East) ดังในยุคแรก จะมีการใช้น้ำมันกันอย่างลืมว่า แหล่งน้ำมันและพลังงานจากซากพืชและสัตว์ (Fossil Fuel) นั้นจะมีต้องมีจุดสิ้นสุดที่พลังงาน Fossil Fuel จะหมดไปจากโลก
ปัญหาโลกร้อน
อีกปัญหาหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกันโดยตรง แต่ควรต้องคิดร่วมกันไป คือปัญหาโลกร้อน (Global Warming)
ปัญหาโลกร้อน หรือ Global warming เป็นปรากฎการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ย (average temperature) ที่ผิวโลกได้เพิ่มขึ้น 0.74 ± 0.18 °C ในช่วงเริ่มต้นจนถึงเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 20 หน่วยงานคณะกรรมการศึกษาสภาพอากาศของโลก (Intergovernmental Panel on Climate Change - IPCC) ได้สรุปรว่าปัญหาอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ “ก๊าซเรือนกระจก” (greenhouse gases) ที่ได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 อันเป็นผลจากการที่มนุษย์ (human activity) ได้มีการใช้เชื้อเพลิงจากสิ่งที่เป็นคาร์บอนด์ดังเช่นพวกผลิตผลจากถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ (fossil fuel) และมีการแผ้วทางป่า (deforestation) อีกส่วนหนึ่งที่อาจทำให้โลกเย็นลง คือการสะท้อนแสงอาทิตย์ (solar radiation) และผลจากการระเบิดและปล่อยฝุ่น ควัน และก๊าซ (volcanism) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่อาจทำให้โลกเย็นลงบ้าง แนวสรุปนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมนักวิทยาศาสตร์กว่า 40 คนทั่วโลก ซึ่งรวมถึง national academies of science และประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว (major industrialized countries) ก็ให้การยอมรับสภาพปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้น และได้พยายามหาข้อสรุปในการแก้ไข
การแก้ไข
ทางออกในการแก้ปัญหาน้ำมันหมดโลก และปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องที่สามารถคิดไปพร้อมๆกัน และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบร่วมกัน
คนไทยต้องเตรียมพัฒนาพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) ระบบการขนส่งทางเลือก (Alternative Transportation) ที่ไม่ไปสร้างปัญหาโลกร้อนเพิ่มขึ้น และขณะเดียวกัน ต้องมองหนทางในการปรับแก้วิถีชีวิต และการวางระบบที่ทำให้เราพึ่งพาพลังงานปิโตรเลียมลดลง
1. การพัฒนาพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) ที่ไม่ต้องพึ่งถ่านหิน ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ที่มาจาก Fossil Fuel ที่ต้องได้มาจากแหล่งที่ไม่สามารถพัฒนาทดแทนได้ (Non-renewable resources) ดังเช่น การต้องพัฒนาพลังงานจากลม (Wind Turbine), พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) รวมถึงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์, การพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ (Nuclear Power Plants)
2. การมีระบบรถไฟความเร็วสูง (High Speed Trains) ซึ่งหมายถึงรถไฟที่วิ่งได้ด้วยความเร็วเฉลี่ยเกิน 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งปัจจุบัน เรามีระบบรถไฟที่วิ่งได้ช้ากว่ารถโดยสาร และเพราะหลายเส้นทางยังเป็นเส้นทางวิ่งเดี่ยว ต้องสลับกันวิ่งไปและวิ่งมา จึงทำให้ไม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจะแก้ไขปัญหานี้ ต้องมีการพัฒนาระบบใหม่เกือบจะทั้งหมด เพราะระบบรางเดิมที่พัฒนาขึ้นในช่วงกว่าร้อยปีแล้วนั้น ไม่สามารถรองรับมาตรฐานความเร็วของรถไฟควาเร็วสูงใหม่ๆได้
3. การขยายรถระบบวิ่งบนรางความเร็วสุงที่ใช้ในเมือง (Rapid Rail Transit System) ดังเช่นรถไฟฟ้าวิ่งบนทางยกระดับ อย่าง BTS และระบบรถใต้ดินในเมือง ที่ต้องขยายตัวให้กว้างขวางพอ แม้จะไม่ต้องเทียบกับเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค (New York City – NYC) ในสหรัฐอเมริกา, ระบบ Underground ของกรุงลอนดอน (London, UK), ระบบรถ Metro ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส (Paris, France)
4. การขนส่งระหว่างเมืองที่พึ่งพารถโดยสาร (Traditional Bus System) ทั้งในเมืองและระหว่างเมือง ที่ต้องประสานสอดรับกับระบบรางที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เพราะระบบรถโดยสาร จะยังเป็นสิ่งที่ใช้ได้ดีมีประสิทธิภาพกว่ารถยนต์ส่วนตัว (Cars)
5. การให้มีระบบรถรับจ้างดัง Taxi หรือ Tuk Tuk ก็จะยังเป็นระบบที่ต้องมีรองรับ แต่อาจต้องถึงจุดที่ต้องควบคุมปริมาณจำนวนรถ แต่รถที่ต้องควบคุมในเขตเมืองขนาดใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครนั้น คือการจำกัดการใช้รถยนต์ส่วนตัว พร้อมไปกับมีระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกกว่า และมีค่าใช้จ่ายโดยรวมถูกกว่า
การทำให้แต่ละบ้านมีและต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว (Personal Cars, vehicles) นับเป็นหนทางสุดท้ายที่มนุษย์ควรต้องพึ่งพา โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้พลังงานในแบบเดิมที่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูง ที่ต้องใช้เพื่อการเผาไหม้ให้เกิดเป็นพลังงาน และขณะเดียวกันสร้างปัญหามลพิษด้านสิ่งแวดล้อม และก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน
No comments:
Post a Comment