ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
Keywords: Brazil, construction, ENERGY, nuclear, power, Eletrobrás Termonuclear S.A., Eletronuclear, Angra 3, Eletrobrás, Guimaraes
ข่าวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear Power Industry News) โดย April Murelio เรื่อง “Brazil To Restart Construction Of Third Nuclear Power Plant” ซึ่งเป็นการฟื้นนโยบายด้านพลังงาน ที่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้น
ประเทศบราซิลจะเริ่มการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งที่สามใหม่ ซึ่งแผนงานนั้นจะเริ่มก่อสร้างในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2009 และได้เลื่อนมา ตามการรายงานข่าวของ Xinhua News Agency บราซิลจะเริ่มการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งที่สามในเดือนหน้า หลังจากที่ได้แขวนโครงการมานานถึง 24 ปี
ประเทศบราซิลได้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในระยะหลัง และเป็นปัญหาที่ต้องเตรียมการขยายการผลิตไฟฟ้า เพื่อรองรับทั้งระบบอุตสาหกรรมและการใช้ตามบ้านเรือนทั้งหลาย
โรงงานนิวเคลียร์ต้องเลื่อนจากปีที่แล้วมา เพราะรัฐบาลท้องถิ่นของ Angra dos Reis อันเป็นเมืองทางตอนใต้ของบราซิล ได้ถอนใบอนุญาตไป จนทำให้ต้องมาเริ่มกันใหม่ นี่คือการให้สัมภาษณ์ของ Leonam Guimaraes ซึ่งเป็นผู้ช่วยประธานกรรมการของบริษัทไฟฟ้า ซึ่งเป็นของรัฐบาลที่ชื่อ Eletrobrás
การเลื่อนการก่อสร้างออกไป จะทำให้การเริ่มดำเนินการของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์นี้ ต้องเปลี่ยนจากเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 เป็นกรกฎาคม ค.ศ. 2015 Guimaraes กล่าว เหตุที่โครงการต้องถูกแขวนไปเป็นเวลา 24 ปี เพราะได้รับแรงกดดันจากสื่อมวลชนและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ในปี ค.ศ. 2009 รัฐมนตรีว่าการกรทรวงเหมืองแร่และพลังงานของบราซิลได้ประกาศว่า เขาจะเร่งทำให้การก่อสร้างโรงงาน Angra 3 ให้สำเร็จตามแผนงาน
ในปัจจุบันบริษัทฯ ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าประมาณร้อยละ 3 ของปริมาณไฟฟ้าภายในประเทศ แต่การเกิดโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งที่สามนี่ จะทำให้เครือข่ายจ่ายไฟฟ้าจะสามารถรองรับความต้องการด้านพลังงานของ State of Rio de Janeiro ที่จะขยายขึ้นถึงร้อยละ 50
Eletrobrás Termonuclear S/A ได้กำเนิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดำเนินการด้านการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งบริษัทเป็นการลงทุนจัดตั้งโดยการสนับสนุนของรัฐ
ในปัจจุบันโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งที่หนึ่ง Angra 1 ผลิตไฟฟ้าได้ 657 megawatts, โรงงาน Angra 2 ผลิตได้ 1350 megawatts ส่วนโรงไฟฟ้า Angra 3 จะมีลักษณะคล้ายกับ Angra 2 ผลิตไฟฟ้าได้ 1350 megawatts
ย้อนไปดูภาพใหญ่ของประเทศบราซิลสักเล็กน้อย เพราะสำหรับคนไทยแล้ว นอกจากเราจะรู้จักบราซิลจากกีฬาฟุตบอลแล้ว ประเทศไทยมีความเกี่ยวข้องกับบราซิลน้อยมาก แม้แต่การเดินทางระหว่างไทยไปเมืองต่างๆในบราซิล ก็เต็มไปด้วยความยุ่งยากหลายซับหลายซ้อน เพราะไม่มีเที่ยวบินตรงเหมือนเมืองต่างๆในประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเทศบราซิล ซึ่งมีชื่อเรียกเต็มว่า Federative Republic of Brazil หรือในภาษาปอร์ตุเกสว่า República Federativa do Brasil (Portuguese) มีเมืองหลวงของประเทศ (Capital city) ชื่อ Brasília แต่มีเมืองใหญ่ที่สุด (Largest city) ชื่อ เซาเปาโล (São Paulo) มีภาษาทางการที่ใช้ (Official languages) คือ Portuguese ซึ่งต่างจากประเทศในอเมริกาใต้อื่นๆที่มักจะเป็นภาษาสเปน
ประเทศบราซิล มีพื้นที่รวม 8,514,877 ตารางกิโลเมตร (km2) จัดว่าใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก มีประชากร (Population, 2009 ประมาณ 192,272,890 คนจัดว่าใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก
โดยเปรียบเทียบนับว่ามีประชากรอาศัยอยู่อย่างเบาบาง แต่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์อันได้แก่ป่าดงดิบ ซึ่งมีการแผ้วถางเพื่อทำเป็นพื้นที่เพาะปลูกกันอย่างมาก
รายได้ประชาชาติ (GDP - PPP) ของบราซิลในปี ค.ศ. 2009 ประมาณการที่ US$1,984,207 ล้าน จัดเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 9 ของโลก มีรายประชากรเฉลี่ยต่อหัว (Per capita) ที่US$10,455 จัดเป็นอันดับที่ 77 ของโลก นับว่าสูงกว่าประเทศไทย แต่ยังต่ำกว่าประเทศมาเลเซีย
ปัจจุบันประเทศบราซิลมีการปกครองในแบบประชาธิปไตย โดยมีผู้นำสูงสุด คือตำแหน่งประธานาธิบดี มีรัฐบาลที่ปกครองประเทศมาจากระบบหลายพรรคที่มีอำนาจในฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ต้องถือว่าเขามีการเมืองที่นิ่งแล้ว และเขามีการพัฒนาประเทศไปในหลายๆด้านที่ประเทศไทยควรได้ศึกษาและเรียนรู้จากเขา
ประเทศบราซิลได้ประกาศเป็นอิสระ (Independence) จากประเทศปอร์ตุเกส (Portugal) เมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1822 และได้รับการยอมรับเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1825 และได้เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (Republic) เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1889
ประเทศบราซิลตกอยู่ในการเมืองแบบอเมริกาใต้ คือไม่มีความมั่นคง ผู้มีอำนาจในการปกครองมักจะเป็นพวกกลุ่มธุรกิจ มีอิทธิพล และมีการคอรัปชั่นกันอย่างกว้างขวาง แม้เมื่อมีการปกครองประเทศในแบบประชาธิปไตย แต่ในอดีต การปกครองในเมืองก็ส่วนหนึ่ง แต่ในป่าเขาที่มีกลุ่มอิทธิพลเข้าไปรุกล้ำ ขยายการลงทุนด้านการเกษตรขนาดใหญ่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ในระยะหลัง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพมั่นคงยิ่งขึ้น ได้มีการกระจายความเจริญ ตอบสนองต่อคนระดับล่างมากขึ้น และในขณะเดียวกัน การเมืองเป็นแบบที่แม้จะมีตัวแทนจากพรรคแรงงานมาเป็นประธานาธิบดี แต่ก็มีพรรคอื่นๆเข้ามามีบทบาทร่วมด้วย และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ๆก็ยอมรับได้ ทั้งนี้ โดยแต่ละฝ่ายต้องมีศิลปะและทักษะทางการเมืองที่จะประสานประโยชน์ของฝ่ายต่างๆ การที่จะตัดสินให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นี้ เป็นตัวพิสูจน์บทบาทการนำ การประสานประโยชน์ที่ท้ายสุดนำมาซึ่งการแก้ปัญหาด้านพลังงาน ซึ่งเป็นเรื่องกระทำได้ยาก
ดูตัวอย่างการครองอำนาจร่วมกันของพรรคต่างๆ ประธานาธิบดีของประเทศ (President) ชื่อ Luiz Inácio Lula da Silva มาจากพรรคคนงาน (Worker's Party) รองประธานาธิบดี (Vice-President) ชื่อ José Alencar มาจากพรรครีพับลิกัน (Brazilian Republican Party) และประธานฝ่ายบริหาร (President of the Chamber of Deputies) คือ Michel Temer มาจากพรรคพลังประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (Brazilian Democratic Movement Party) ส่วนประธานรัฐสภา (President of the Senate) ชื่อ José Sarney มาจากพรรคพลังประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (Brazilian Democratic Movement Party)
รัฐธรรมนูญการปกครองประเทศฉบับปัจจุบัน (Current constitution) เริ่มประกาศใช้เมือวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1988 หรือเมื่อประมาณ 12 ปีที่ผ่านมานี้เอง
No comments:
Post a Comment