Sunday, October 31, 2010

บทเรียนที่ 2 หลักในการเรียน

บทเรียนที่ 2 หลักในการเรียน

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Updated: Thursday, October 30, 2008

Keywords: cw154, การเรียนการสอน, ICT, นวตกรรม

ความนำ

เราจะเรียนรู้กันอย่างไรในโลกยุคใหม่ที่ในโลกมีข้อมูล (Information) มากมายมหาศาล มีหลายอย่างที่เป็นความรู้ (Knowledge) ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เก่าและล้าสมัยไปอย่างรวดเร็ว

ในการเรียนวิชานี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครที่จะรู้ไปในทุกเรื่อง ผู้สอนไม่ว่าใครก็จะไม่มีความรู้มากพอที่จะสอนผู้เรียนได้ในทุกเรื่อง บทบาทผู้สอนเป็นเพียงทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำการเรียน (Facilitators) คนคอยให้ข้อเสนอแนะ (Guides) และชิ้แหล่งที่จะไปศึกษาต่อ หรือให้หลักที่จะประเมินว่าได้มีการศึกษามาอย่างถูกทางแล้วหรือไม่ แต่หน้าที่การเรียนเป็นของผู้เรียน ซึ่งในวิชานี้ต้องการความรู้ในลักษณะต่อไปนี้

รู้เร็ว

ผู้เรียนที่จะเตรียมตัวเป็นนักบริหารการศึกษายุคใหม่จะได้รับแรงกดดันที่จะต้องสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาอันเหมาะสม ไม่มีใครที่จะยืดเวลาการตัดสินใจ หรือดำเนินการไปได้ตลอดเวลา ถึงจุดหนึ่งก็จะต้องนำไปสู่การตัดสินใจแก้ปัญหา ดังนั้น นักบริหารการศึกษาต้องสามารถเรียนรู้สรรพสิ่งได้อย่างรวดเร็ว

แนะนำ

การใช้วิธีการเรียนรู้การเรียนอย่างเป็นระบบ ดังเช่น

- ฝึกการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต และนำไปสู่การค้นคว้า การใช้ระบบสืบค้นเป็น เช่น การใช้ Google, Yahoo, Dictionary.com, ฯลฯ

- ฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ และอ่านจับใจความ (Reading Comprehension)

- เรียนรู้ที่จะเลือกอ่านตามลำดับความสำคัญ ข้อมูลในโลกมีมาก เราต้องตัดสินใจได้ว่า อะไรต้องอ่าน (Must) อะไรควรอ่าน ถ้ามีเวลา และเป็นความสนใจของเรา (Shoud) และอะไรรับรู้เอาไว้ และเมื่อมีความสนใจในอนาคต ก็กลับมาศึกษาอีกครั้ง (May Be)

รู้กว้าง

รู้กว้างและรู้ไกล ลองมองลักษณะเหยี่ยวหรือนกอินทรีย์ที่มีสายตาที่มองได้ยาวไกล เห็นได้ชัดอย่างยาวไกล เมื่อบินในที่สูงก็จะเห็นป่าทั้งป่า

คนบางคนรู้ลึก แต่ไม่รู้กว้าง แต่นักบริหารที่จำเป็นต้องเรียนรู้อย่างเชื่อมโยงจึงจำเป็นต้องมีความรอบรู้กว้างขวาง

แนะนำ

คนเราจะเป็นคนรู้กว้างได้ด้วยหลายสาเหตุ ความรู้กว้างเป็นประโยชน์ ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ที่มีอยู่ทั่วไปได้อย่างดี ทำให้การเรียนรู้นั้นๆ ไม่จำเป็นต้องไปจับต้องในรายละเอียด ข้อแนะนำคือ

- ความรู้กว้างที่ทำให้เข้าใจความเป็นระบบ รู้ความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลง

- ความรู้กว้างที่ทำให้เข้าใจในสิ่งที่เป็นสภาพแวดล้อม (Environment, Context) บางอย่างในประสบการณ์ชีวิต อะไรที่ประสบความสำเร็จ ณ ที่หนึ่ง แต่เมื่อนำไปใช้ในอีกที่หนึ่ง หรือในกาลเวลาที่แตกต่างกัน ก็อาจไม่ได้ประสบผลดังที่เคยเป็น

ความรู้กว้างจะเป็นตัวช่วยอธิบาย

รู้ลึก

เหยี่ยวหรือนกอินทรีย์ มองกว้างเห็นทั้งป่าแล้ว แต่เมื่อต้องการจะจับเหยื่อกินเป็นอาหาร นกจะเริ่มมุ่งความสนใจไปสู่เป้าหมาย คนที่จะทำงานบริหารนั้นก็จะมีลักษณะเช่นเดียวกัน

เมื่อเริ่มจากรู้กว้างแล้ว เมื่อจะนำไปสู่การตัดสินใจใดๆ จำเป็นต้องมีการศึกษาในแนวลึก และนักบริหารการศึกษาจะต้องมีขีดความสามารถที่จะจับประเด็น เรียนรู้ในสิ่งนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง

เราเลือกที่จะศึกษา เลือกที่จะ Focus สู่ประเด็น แล้วจึงนำไปสู่การรู้ลึก เพราะถ้าไม่รู้พอ และรู้อย่างแท้จริง ก็อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้

แนะนำ

เป็นไปได้หรือไม่ที่คนเราจะรู้กว้างและรู้ลึกไปพร้อมๆ กัน คำตอบคือเป็นไปได้

เช่นความรู้กว้างๆ บางอย่างเป็นความจำเป็นในชีวิตที่ทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ ในมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งในการเรียนระดับปริญญาตรี เขาให้ต้องเรียนวิชาทางด้าน General Educatio หรือในภาษาไทยเรียกว่า การศึกษาทั่วไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คนเราต้องเรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างคับแคบ ความเป็นบัณฑิตนั้นคือผู้ที่ต้องรอบรู้

ในอีกด้านหนึ่ง คือต้องรู้ลึก ดังเช่น คนเราต้องมีสายวิชาเอก ความรู้ความสนใจในระดับนำไปประกอบอาชีพ หรือเป็นนักวิชาชีพได้ เช่น จะเป็นแพทย์ก็ต้องรู้ลึกที่จะทำงานได้ สมกับใบประกอบวิชาชีพ รู้งูๆปลาๆ หรือรู้ไม่จริง ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ วิศวกร สถาปนิก อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้

ดังนั้นจึงต้องเป็นเรื่องรู้กว้างในส่วนใด และรู้กว้างสักเพียงใดพอ และในส่วนของรู้ลึกนั้นในส่วนของอะไร และจะลึกเพียงใดพอ

รู้อย่างวิเคราะห์และสร้างสรรค์

การเรียนรู้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเชื่อ

สิ่งที่รู้มาอาจไม่ใช่เป็นความจริงก็ได้ ดังนั้นจึงต้องมีทักษะในการคิดอย่างวิเคราะห์ (Analytical Thinking)

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือต้องมีความสามารถในการคิดอย่างสร้างสรรค์ (Creative Thinking) คนบางคนเรียนมาแบบตะวันตก คือมีความสามารถในการวิเคราะห์วิพากษ์ แต่ไม่มีความสามารถที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ในสังคม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่เกิดการคิดริเริ่มใหม่ๆ ในเรื่องนี้สิ่งหนึ่งคือความสามารถที่จะคิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอย่างต้องหาหนทางทำสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม

แนะนำ

ศึกษาเพิ่มเติมในส่วนของ Critical Thinking, Analytical Thinking, Creative Thinking) การเรียนในระดับนักวิชาการ วิชาชีพ และการนำไปสู่ความเป็นผู้นำ และนักบริหารระดับสูงนั้น คุณสมบัติการคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์จำเป็น

ให้ศึกษาเพิ่มเติม และปรับนิสัยไปสู่การคิด ทำงาน อ่านและ เขียนอย่างวิเคราะห์ และสร้างสรรค์

รู้แล้วนำไปปฏิบัติได้

บทบาทของนักบริหารประการหนึ่งคือ เรื่องของ Action, Action, and Action

กล่าวคือท้ายที่สุดคือการต้องนำไปสู่การปฏิบัติได้ และการได้ลองปฏิบัติในขนาดไม่ใหญ่โตอะไรนัก แล้วเรียนรู้ปรับปรุงระบบไปสู่สิ่งที่ดีและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

แนะนำ

การศึกษาต่อในระดับปริญญาขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนในเวลาปกติ หรือนอกเวลา แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นการศึกษาเล่าเรียนในขณะที่มีงานที่ต้องทำเพื่อเลี้ยงชีพควบคู่ไปด้วย จึงต้องมีการจัดแบ่งเวลา และบริหารเวลาอย่างเหมาะสม และขณะเดียวกัน เรียนอะไรแล้ว ต้องฝึกนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานไปด้วย ดังคำที่ว่า

- Learning by doing.

กิจกรรม

การสมัครเป็นสมาชิกของโครงการ พัฒนาคุณภาพการศึกษา (Education Quality Improvement – EQI) โดยไปที่ Website: www.itie.org/eqi/ และทำกิจกรรมต่อไปนี้

  1. สมัครเป็นสมาชิกใหม่ เพื่อให้ได้ Login และมี Password ของตนเอง
  2. เข้าไปใช้งานในครั้งแรก โดยต้องมี Login และ Password ที่ถูกต้อง โครงการจะอนุญาตให้คนเข้าไปนำเสนองานและความคิดเห็นต่างๆ ได้ด้วยต้องลงทะเบียน สมาชิกไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
  3. ปรับแก้ข้อมูลส่วนตัวที่สมบูรณ์ อย่าลืมต้องใส่ Signature รายละเอียดส่วนตัว ชื่อภาษาไทย ชื่อภาษาอังกฤษ หน่วยงานหรือสถานภาพ E-mail Address ที่สามารถติดต่อได้ แล้วอย่าลืม Click ในคำสั่งให้ต้องแสดง Signaturre ทุกครั้งที่นำเสนอบทความ เสวนาและข่าวสาร

- ดูตัวอย่างที่เมื่อใส่ Signature แล้ว จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับตนเองปรากฏในทุกข้อความที่นำเสนอ คล้ายกับต่อไปนี้

ประกอบ คุปรัตน์ Pracob Cooparat, Ph.D.
มูลนิธิก้าวไกลในเอเซีย
SpringBoard For Asia Foundation (SB4AF)
โทรศัพท์. 0-2354-8254-5, โทรสาร 0-2354-8316
E-mail:
pracob@sb4af.org

4. การแนะนำตนเอง ให้ทุกคนเข้าไปใน โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษา(EQI) หน้ากระดานเสวนาหลัก -> EQI แล้วเขียนแนะนำตนเองในลักษณะของการเขียน Resume หรือที่เรียกว่า Biodata ทั้งนี้ท่านอาจจะไม่ใส่โทรศัพท์ที่เป็นส่วนตัว เช่น Mobilephone Number, บางคนอาจใส่รายละเอียดเพื่อให้คนสามารถติดต่อไปที่ทำงานได้ บางคนอาจจะสงวนไว้ บางคนหากต้องการสงวน Identity ส่วนตัวเอาไว้ ต้องแจ้งให้ผู้สอนทราบ

- ให้ใส่ Titile ว่า แนะนำตนเอง ประกอบ คุปรัตน์ ดังนี้เป็นต้น

  1. การนำเสนอต้องให้เป็นงาน Original ต้องการเห็นงานที่เป็นการค้นคว้า แปล หรือเรียบเรียงขึ้นเองเป็นอันดับแรก หากเป็นงานที่ได้คัดลอกบางส่วนมาจากที่อื่นๆ ต้องใส่แหล่งที่มาอย่างถูกต้อง การไปคัดลอกงานที่อื่นๆ มานำเสนอโดยไม่แจ้งแหล่งที่มานั้นผิดจรรยาบรรณทางวิชาการ และมีความผิดตามกรอบกฎหมายลิขสิทธิ์ทางปัญญา
  2. การนำเสนอบทความหรือเขียนกรณีศึกษา (Case Study) ต้องเน้นการเลือกกรณีที่ตนเองเกี่ยวข้อง เช่นศึกษาเกี่ยวกับหน่วยงานของตนเอง โรงเรียนที่ตนเองสอนหรือบริหารงานอยู่

การทุจริตในการลอกเลียนงานวิชาการ

โดยประกอบ คุปรัตน์
Updated: Monday, October 16, 2006

Keywords: pp001 การบริหารการศึกษา การบริหารวิชาการ

การทุจริตในการลอกเลียนงาน (Plagiarism) เป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้นในโลกยุคปัจจุบันที่มีข้อมูลข่าวสารต่างๆ มากมาย

ในการเรียนในระดับสูงยิ่งขึ้นไปนั้น มักจะใช้วิธีการวัดความสามารถด้วยการให้ทำงานนั้นๆ ในที่อื่นๆ นอกห้องเรียนได้ เช่นเป็นงานภาคนิพนธ์ (Term Paper) หรือดูที่งานวิทยานิพนธ์ (Thesis) และเมื่อเป็นการทำนอกสถานที่ๆ ไม่สามารถไปควบคุมได้ว่าผู้ทำงานนั้นได้งานมาอย่างไร ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีการริเริ่มเอง หรือไปลอกงานคนอื่นๆ มา เรื่องนี้เป็นปัญหาทางงานวิชาการ และในบางกรณีมีผลไปถึงงานอื่นๆ เมื่อนำงานนี้ไปใช้และอ้างอิงกลับมายังงานดั้งเดิม

ทุกสถานศึกษาต้องมีความจริงจังในเรื่องนี้ เพราะการลอกเลียนงาน (Plagiarism) ในลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อแวดวงวิชาการ เป็นการทำให้ความน่าเชื่อถือของการศึกษาเป็นเรื่องที่เสียหาย และจะมีผลลบต่อสถานศึกษาที่ได้ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

ในแวดวงวิชาการไทยในการศึกษาปริญญาขั้นสูง ในปัจจุบันมีบุคคลและหน่วยงานเอกชน นอกระบบรับทำงานวิชาการให้กับบุคคลต่างๆ ที่ต้องการทางลัด ก้าวหน้าทางวิชาการอย่างง่ายๆ การลอกเลียนงานนี้มีราคาตั้งแต่เป็นพันบาท จนเป็นหมื่น และแสนบาท ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการผิดกฎหมาย ผิดจรรยาบรรณทางวิชาการ และเป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างยิ่งในแวดวงวิชาการ ปัญหาเช่นนี้บ่อนทำลายค่านิยมอันดีงามในประเทศและสังคมทั่วโลก

ย้อนไปดูในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขามีค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์และการทำงานอย่างตรงไปตรงมา ปัญหาด้านการทุจริตทางวิชาการเช่นนี้ก็มีอย่างแพร่หลาย โดยได้มีการสำรวจพบว่าร้อยละ 36 ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีได้ใช้งานลอกเลียนส่งอาจารย์ผู้สอน

และจากรายงานของ US News และ World Report พบว่างานร้อยละ 90 ของนักศึกษาเชื่อว่าการโกงนี้ไม่สามารถจับได้ และไม่ได้รับการลงโทษอย่างเหมาะสม

หน่วยงานชื่อ Generation and the Nex ได้กล่าวว่ามีร้อยละ 58.3 ของนักเรียนมัธยมศึกษาได้รับว่าได้เคยให้งานเพื่อนไปลอกในปี ค.ศ. 1969 และในปี ค.ศ. 1989 หรือ 20 ปีให้หลังพบว่าร้อยละ 97.5 ได้ยอมรับในลักษณะเดียวกัน

ในการศึกษาของ Ronald M. Aaron และ Robert T. Georgia ได้ศึกษาฝ่ายบริหารจัดการความไม่ซื่อสัตย์ในสถาบันอุดมศึกษา จากการเก็บข้อมูลจากผู้บริหารงานด้านนักศึกษา 257 คนทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในสหรัฐเองไม่ได้ใส่ใจต่อปัญหาดังกล่าวอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง

จากการศึกษาของ Gallup Organization ซึ่งเป็นสำนักสำรวจ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2000 หรือประมาณ 6 ปีมาแล้ว ได้กล่าวถึงปัญหาสำคัญ 2 ประการในประเทศสหรัฐอเมริกา คือ (1) การศึกษา และ (2) วินัยและศีลธรรม ซึ่งทั้งสองด้านนี้ คนให้ความสำคัญสูงกว่าปัญหาด้าน อาชญากรรม ยาเสพติด การจัดเก็บภาษี การมีปืนในครอบครอง สภาพแวดล้อม และปัญหาการถือผิวในประเทศ

จากการศึกษาในระดับชาติของสหรัฐ และตีพิมพ์ใน Education Week พบว่าร้อยละ 54 ของนักเรียนได้รับว่าได้ทำการลอกเลียนงานผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ร้อยละ 74 รับว่าอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงการเรียนในปีที่ผ่านมาได้มีการกระทำดังกล่าว และร้อยละ 47 เชื่อว่าครูอาจารย์ของเขาได้เลือกที่จะไม่ใส่ใจกับปัญหาการทุจริตดังกล่าว

โดยทั่วไปแล้วครูอาจารย์ต่างตระหนักว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรง แต่เขาก็คิดว่ามีอำนาจน้อยไปที่จะไปหยุดสิ่งเหล่านี้

ย้อนกลับมาดูในประเทศไทย หากระบบการศึกษายังอาศัยการจัดสอบในห้องเรียน วิธีการวัดความสามารถในขั้นสูง เช่น ความคิดริเริ่ม การทำงานเป็นกลุ่ม การคิดซับซ้อนที่ต้องใช้เวลา และต้องอนุญาตให้ใช้การคนคว้านอกห้องเรียน และทำงานส่ง ดังนี้เป็นการเปิดโอกาสในการทุจริต เมื่อนักเรียนนักศึกษาต้องการทำงานให้ดีที่สุดในสายตาครูอาจารย์ แต่ระบบการให้ทำงานนอกชั้นเรียนนั้น เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในโลกแท้จริงนั้นปัญหามิได้มีเหมือนกับระบบสอบแบบกระดาษและดินสอ หรือการพิสูจน์ความสามารถในห้องที่ไม่มีอะไรเลย และให้เวลาในการทำงานเพียง 1-3 ชั่วโมง ซึ่งผู้เรียนต้องใช้ความจำเป็นหลัก จำได้เพียงใด ก็นำไปตอบได้ตามที่จำมาได้ โลกยุคใหม่มีข้อมูลต่างๆ มากมายที่ผู้เรียน และคนทำงานในโลกความเป็นจริง มีสิทธิที่จะไปศึกษา เลือกหา

เราจะทำอย่างไรกับปัญหาทางสองแพร่งเช่นนี้ เลือกใช้การสอบในแบบเดิมที่เป็นแบบกระดาษและดินสอ (Paper and Pencils) ไม่ให้นำอะไรเข้าชั้นเรียนเลย หรือจะให้สอบในวิธีการจำลองชีวิตจริง การให้ทำงานส่ง การทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งเปิดช่องให้มีการทุจริตกัน เรามีทางเลือกอื่นๆ อีกไหม

_________________

ประกอบ คุปรัตน์ Pracob Cooparat, Ph.D.
มูลนิธิก้าวไกลในเอเซีย
SpringBoard For Asia Foundation (SB4AF)
โทรศัพท์. 0-2354-8254-5, โทรสาร 0-2354-8316
E-mail:
pracob@sb4af.org


แบบสำรวจวิธีการเรียนและทำงาน

หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียนและการทำงานในยุคใหม่ ลองปฏิบัติตนดังนี้

กิจกรรมและความสามารถ

Yes

No

1. สอบความสามารถด้านภาษาผ่าน TOEFL, หรือ CU-TEP ด้วยคะแนนไม่น้อยกว่า 500 คะแนน

2. สอบความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ดัง ICDL ผ่านได้อย่างน้อย 4 จาก 7 โมดูล

3. สามารถพิมพ์งาน (Keyboard Skills) ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ พิมพ์สัมผัสได้อย่างถูกต้อง

4. พิมพ์งานภาษาไทยด้วยความเร็วไม่น้อยกว่า 20 คำต่อนาที (WPM)

5. พิมพ์งานภาษาอังกฤษด้วยความเร็วไม่น้อยกว่า 20 คำต่อนาที (WPM)

6. ใช้เวลาในทุกสัปดาห์อย่างน้อย 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ด้วยตนเองนอกชั้นเรียน

7. ฝึกทักษะงานเขียน/พิมพ์งาน ที่ต้องเขียนขึ้นเอง (ไม่ใช่ไป Copy หรือ Cut & Paste) อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 หน้ากระดาษ

8. เขียนผลงานวิชาการ บทความที่มีความเป็น Originality เป็นงานที่มีคุณภาพที่ตนเองพอใจได้อย่างน้อยปีละ 3 เรื่อง

9. ได้จัดทำ Reading Logs เก็บงานวิชาการ ข้อค้นพบ และบันทึกแหล่งที่มาของข้อมูลดังกล่าวจนเป็นนิสัย

10. สามารถใช้โปรแกรมการคำนวณอย่างง่ายๆ ด้วยเครื่องมืออย่าง MS Excel สามารถใส่สูตรการคำนวณได้อย่างถูกต้อง

No comments:

Post a Comment