Sunday, November 29, 2009
ขุดบ่อล่วงหน้า ก่อนที่จะหิวน้ำ
ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mai: pracob@sb4af.org
Cw022, Proverbs, สุภาษิตจีน, proact, pro-act, การวางแผน, การคิดการณ์ไกล
มีคำกล่าวในสุภาษิตจีนที่พบเขียนในภาษาอังกฤษว่า “Dig the well before you are thirsty.” อันแปลเป็นไทยได้ว่า “ขุดบ่อล่วงหน้า ก่อนที่จะหิวน้ำ” การขุดบ่อล่วงหน้า ก่อนที่เราจะหิวน้ำ เพราะเมื่อเรารอจนหิว แล้วไม่มีน้ำกิน จึงค่อยไปขุดบ่อน้ำนั้น โบราณท่านบอกว่าจะไม่ทันกาล
การขุดบ่อน้ำ หรือขุดเพื่อหาน้ำนั้น ต้องใช้เวลา และกำลัง บางแห่งขุดแล้วก็ยังจะไม่เจอน้ำ ดังเช่นในสภาพทะเลทราย หรือเขตแห้งแล้ง แต่เมื่อเราไม่ได้คิดเตรียมการล่วงหน้า รอให้ปัญหาเกิด ก็จะสายเกินไปที่จะแก้ปัญหา แต่คนไทยเราอยู่ในแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยได้เจอะเจอปัญหาอย่างชาติอื่นๆเขา เรามีอาหารข้าวปลาสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เวลาหิว มีข้าวหูงรอไว้ เดี๋ยวไปยกยอหาปลามาเป็นกับข้าวได้ ไม่ต้องคิดมาก
อันคนเราคิดมองเห็นปัญหา ก็ต้องคิดกาลล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า Pro-act เตรียมการล่วงหน้า ก่อนที่ปัญหาจะเกิด
หากเราต้องการรับประทานอาหารสักมื้อที่บ้าน ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสัก 2-3 นาทีหากใช้วิธีการไมโครเวฟ ถ้าไปกินที่ร้าน ต้องสั่งเขา ก็ใช้เวลาสั่งและรอสัก 5-15 นาที แล้วแต่ว่าจะเป็นอาหารประเภทใด
กว้างไกลไปอีกสักระดับ หากเราบริหารงานองค์การ ดังเช่นมหาวิทยาลัย คนส่วนหนึ่งกำลังจะเกษียณ (Retirement) ต้องมีการเตรียมคนมาทดแทนกำลังเดิมที่กำลังจะหมดไป เราต้องใช้เวลาในการเตรียมกำลังคน หากเราประกาศหาอาจารย์ใหม่สำหรับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยสักแห่ง เราต้องให้เวลาเขาสัก 3-5 ปี เพื่อการสรรหา การคัดเลือก การพัฒนา กว่าได้รับเข้ามาและได้เรียนงาน เหล่านี้เป็นเรื่องใช้เวลา
หากจะต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถแบบสู้ได้ แข่งกันแย่งกันหาคน จ่ายให้สูงกว่าเขา แต่คนอื่นๆ องค์การอื่นๆเขาก็อาจคิดอย่างเดียวกัน ไปแย่งกำลังคนที่ก็มีอย่างจำกัด ทางที่ดีต้องมีการคิดและเตรียมการเรื่องพัฒนาคณาจารย์ (Staff Development) ให้เวลาในการสรรหาคนที่มีศักยภาพ มีเวลาในการดูใจ ดูนิสัยเขา แล้วก็ให้มีเวลาให้เขาเติบโตไปกับงาน กว่าที่จะใช้งานคนดีมีศักยภาพได้จริง ซึ่งต้องใช้เวลา
ปัญหาด้านพลังงานของโลก และประเทศไทยก็เช่นกัน เห็นทีจะต้องคิดกันล่วงหน้านานๆ ข้อเท็จจริงคือน้ำมันปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติ คงจะหมดไปภายใน 30-50 ปีสูงสุด ช่ววที่จะมีการใช้สูงสุด หรือ Peak Oil แล้วจะมีน้ำมันให้ขุดใช้ได้ลดลงไปเรื่อยๆ น้ำมันปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ ถ่านหินจะขาดแคลน และต้องหาพลังงานทดแทน
การจะสร้างเขื่อนเพื่อใช้พลังน้ำในการผลิตไฟฟ้า ต้องใช้เวลาสำรวจ ออกแบบ และก่อสร้าง การหาเงินทุน และดำเนินการก่อสร้างจริง กว่าจะได้ใช้งานจริงคงประมาณ 10-12 ปี การจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (Nuclear Power Plants) ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 12-15 ปี
ในอีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยมีปัญหาด้านระบบขนส่ง (Logistics) การเดินทาง (Transportation System) เราพูดกันถึงการใช้ระบบรางในการขนส่ง ขนคน ไม่ใช่ขนรถ หรือแห่กันนำรถส่วนตัวมาวิ่งกันในท้องถนน เกิดปัญหาการจราจรติดขัด ระบบขนส่งมวลชนความเร็วสูงในเมือง (Rapid Mass Transit System) ก็ต้องใช้เวลา เงิน การออกแบบ การเวนคืนที่ดิน การชดเชย และการลงมือก่อสร้างไปจนเสร็จ ฯลฯ ซึ่งก็ต้องใช้เวลารวมประมาณ 10-12 ปี
รถไฟฟ้าความเร็วสูง (High Speed Train) เป็นเรื่องที่พูดกันมาก แต่ยังไม่ได้มีการคิด การสำรวจ การออกแบบ การประชาพิจารณ์ ทั้งหมดนี้ประมาณการว่าจะต้องใช้เวลานับ 10 ปีเช่นกัน
ในโลกนี้ไม่มีอะไรมากนักที่จะนึกแล้วได้เลย บางอย่างแม้มีเงินทองมากมาย แต่หากไม่มีการเตรียมการที่ดี เราก็จะไม่สามารถเนรมิตสิ่งต่างๆได้อย่างทันใจ
ดังนั้น เราจำเป็นต้องเตรียม "ขุดบ่อล่วงหน้า ก่อนที่เราจะหิวน้ำ" ต้องเตรียมงานล่วงหน้า ก่อนที่จะปล่อยให้ปัญหาต่างๆได้โถมเข้ามาในแบบที่เราตั้งตัวไม่ทัน
ครูเป็นผู้เปิดประตูให้ แต่ท่านต้องก้าวเข้าไปเอง
ครูเป็นผู้เปิดประตูให้ แต่ท่านต้องก้าวเข้าไปเอง
ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
Cw022, Proverbs, สุภาษิตจีน, การศึกษา, โรงเรียนเทพศิรินทร์, Dhebsirin School
มีสุภาษิตจีนหนึ่งที่ฝรั่งนำไปเขียนเสนอเป็นภาษาอังกฤษว่า “Teachers open the door. You enter by yourself.” แปลเป็นไทยว่า “ครูเป็นผู้เปิดประตูให้ แต่ท่านต้องก้าวเข้าไปเอง”
ในปัจจุบัน การศึกษาเป็นเหมือนใบเบิกทางแห่งชีวิต ขอให้เรียนให้ดี สอบให้ชนะคนอื่นๆ ก็จะได้เรียนในที่ๆดี มีอนาคตที่ดีตลอดไป
เมื่อมีการศึกษาเป็นรางวัล พ่อแม่ที่ดีดลูกคิดบวกลบคูณหารแล้ว ก็ลงทุนจ้างครูเก่งมาสอน หรือลงทุนส่งลูกไปเรียนพิเศษ แพงเท่าไรไม่ว่า แต่ขอให้ได้เรียนกับครูเก่งๆ แต่นั่นไม่ได้เป็นเครื่องประกันว่า แล้วเด็กๆ หรือผู้เรียนจะประสบความสำเร็จในการเรียน
ภาพ ตึกแม้นนฤมิตรในสมัยก่อน โรงเรียนเทพศิรินทร์
ในอดีต ที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ (ในปัจจุบันมืชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โรงเรียนเทพศิรินทร์ และในภาษาอังกฤษว่า Dhebsirin School) ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาชั้นนำของประเทศ มีศิษย์เก่าประสบความสำเร็จในวงราชการ การเมือง และธุรกิจมากมาย มีคำขวัญเป็นภาษาบาลี แปลเป็นไทยได้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แปลกันได้หลายแบบ บ้างแปลแบบวิพากษ์ว่า เป็นคำขวัญที่ไม่ดี ทำให้คนมองแต่ตนเอง เอาตัวรอดไปตามลำพัง ทำให้คนเห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงสังคม และคนอื่นๆ
แต่สำหรับในปัจจุบัน ผมมองในแง่ดีและเห็นว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” นั้นเป็นคำสอนมีประโยชน์เตือนใจผู้เรียนทุกคน
ด้วยเหตุที่ว่าโรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์เป็นโรงเรียนมีชี่อเสียง ใครๆก็อยากให้ลูกหลานของตนได้เข้าเรียน มีคนใหญ่คนโตมาฝากลูกหลานเข้าเรียนกันตั้งแต่สมัยโบราณ เช่นเดียวกับโรงเรียนมัธยมศึกษาชั้นนำทั้งหลาย ฝากเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาได้แล้ว พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไปลุ้นกันอีกทีหนึ่ง เพราะฝากไม่ได้แล้ว เมื่อจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย อันเป็นระบบสอบแข่งขันในระดับชาติ จะวิ่งเต้นเส้นสายกันได้ยาก ก็หวังว่าโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ดี จะมีครูดีๆช่วยสั่งสอนให้เด็กไปเรียนรู้ดี มีความสามารถ แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป มันไมได้เป็นหลักประกันว่าผู้เรียนทุกคนจะประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียน ตรงกันข้าม ผมเห็นมีเพื่อนๆรุ่นเดียวกันและรุ่นใกล้เคียงบางคนที่พ่อแม่ใหญ่โต แต่เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน และชีวิต และที่เขาเสียประโยชน์ไปนั้น เพราะเขาเป็น “เด็กฝาก” แล้วเขาเข้าใจผิดว่า จะมีคนอุ้มสมเขาไปได้ตลอดชีวิต เด็กฝากพวกนี้ ส่วนหนึ่งเขาจะเติบโตมาอย่างเสียคน หรือไม่ก็กลายเป็นเด็กไม่เชื่อมั่นในตนเอง เพราะจะคิดคลอดเวลาว่า เขาไม่มีความสามารถใดๆ หากไม่มีใครช่วยแล้ว เขาจะทำอะไรประสบความสำเร็จเองได้ยาก กลายเป็นเด็กอ่อนแอ ไม่เชื่อมั่นในตนเอง
ในอีกด้านหนึ่ง เด็กที่ไม่ได้มีใครฝาก เข้ามาด้วยการสอบแข่งขันตามปกติ เวลาเรียนเขาก็เรียนอย่างตั้งใจ เพราะนึกตลอดเวลาว่าเขาต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด ตนเป็นที่พึ่งของตน ท้ายที่สุด ผลดีคือเขาก็ได้ประสบความสำเร็จในการเรียน
สำหรับ “เด็กฝาก” จะเป็นเด็กที่ครูหนักใจ เด็กที่พ่อแม่เป็นคนใหญ่โต เข้ามาเรียนได้ด้วยเส้นสาย ฝ่ายครูอาจารย์ก็ต้องสอนด้วยความยากลำบาก เพราะเด็กนักเรียนเองมีปัญหาความอ่อนแอทางวิชาการ บางทีพ่อแม่ใหญ่โต ครูจะไปแตะต้องก็เกรงใจหรือเกรงกลัว ท้ายสุดกลายเป็นเด็กเสียคน เรียนไม่ดี แถมเป็นเด็กเกเร ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นความสูญเสียแก่ครอบครัว และพ่อแม่ ความจริงเด็กที่เสียคนในลักษณะเช่นนี้ เขาอาจไม่มีอะไรเสียหายเลย เพียงแต่ว่า เพราะเขาคิดว่าชีวิตเขามีทุกสิ่งทุกอย่างรองรับอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปเรียนหนังสือหนังหาให้เหนื่อยยาก เขามีทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่ว่าเงิน อำนาจ บารมีจากพ่อแม่
ด้วยเหตุนี้ ด้วยเหตุที่ผมเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่จบมาเป็นครู ผมจึงยึดคำสอนที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ให้ทุกคนได้แข่งขันกันอย่างยุติธรรม ไม่มีการฝากเด็ก ไม่รับฝากเด็ก แต่เมื่อมีใครมาเป็นศิษย์ ก็ให้ความรักและปรารถนาดีต่อทุกคน ไม่เลือกเขาเลือกเรา หากเขาประสบความสำเร็จก็ให้มั่นใจได้ว่า เป็นเพราะตัวเขา หากเขาจะมีปัญหาก็ให้คิดว่า แม้ครูอาจารย์จะมีความปรารถนาดีต่อเขา หรือพ่อแม่ ครูอาจารย์จะเอาใจช่วยเขามากอย่างไร แต่ที่สำคัญ เขาต้องใช้สติปัญญา ความสามารถอย่างเต็มกำลัง ที่จะนำตัวเขา และงานของเขาสู่ความสำเร็จ ด้วยความมั่นใจที่จะยืนบนขาของตัวเอง
Friday, November 27, 2009
มารู้จักรัฐดูไบ (Dubai)
มารู้จักรัฐดูไบ (Dubai)
ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
ศึกษาและเรียบเรียง จาก Wikipeida
Updated: Saturday, November 28, 2009
Keywords: การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ
ความนำ
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯธุรกิจ
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในเอเชียร่วงลงถ้วนหน้าเช้านี้ (27 พ.ย. 2552) จากความวิตกกังวลเรื่องการขาดทุนหลังจากที่บริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบขอเลื่อนการชำระหนี้จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งครบกำหนดในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ ออกไปเป็นเดือนพ.ค.ปีหน้า (ค.ศ. 2553) รวมทั้งปัจจัยจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 9,354.80 จุด ลดลง 28.44 จุด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,623.92 จุด ลบ 586.49 จุด ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นโซลเปิดวันนี้ที่ 1,574.56 จุด ลดลง 24.96 จุด ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,674.10 จุด ลดลง 34.50 จุด ส่วน ตลาดหุ้นสิงคโปร์, มาเลเซีย ปิดทำการ
ตามธรรมชาติของธุรกิจที่ขึ้นอยู่กับความมั่นใจและการคาดเดา มีผู้กังวลไปถึงกิจการอสังหาริมทรัพย์ของ บริษัท ดูไบ เวิลด์ (Dubai World) ทีมีการลงทุนไปนับเป็น 80,000 ล้านเหรียญ ซึ่งมูลค่าของหนี้จะทำให้บริษัทมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ลดลงอย่างยังประมาณค่าไม่ได้ในปัจจุบัน คล้ายกับปรากฏการณ์ฟองสุบู่แตกที่ได้เกิดขึ้นในหลายๆที่ของโลก
ก่อนที่เราจะทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในธุรกิจของโลก ควรต้องทำความเข้าใจและรู้จักรัฐดูไบให้มากขึ้น
ดูไบเป็นส่วนหนึ่งของ UAE
เขตประชากรหนาแน่น (Leading population centers)ของสหรัฐอาหรับอิมิเร็ต (UAE) มีอยู่ 9 จุด
Core city | Population | Metro area rank | ||
1 | 1,770,533 | 1 | ||
2 | 896,751 | 2 | ||
3 | 845,617 | 3 | ||
4 | 651,904 | 2 | ||
5 | 372,923 | 5 | ||
6 | 171,903 | 6 | ||
7 | 107,940 | 7 | ||
8 | 69,936 | 8 | ||
9 | 49 635 | 7 | ||
10 | 30,000 | 7 |
2008 Calculation
เขตชุมชนใหญ่ของสหรัฐอาหรับอิมิเร็ต (UAE) ดูไบมีขนาดเป็นชุมชนใหญ่สุดของประเทศ มีประชากรรวมทั้ง 7 รัฐ ประมาณ 5.6 ล้านคน
รัฐดูไบ
รัฐดูไบ (Dubai) หรือบางทีเรียกในภาษาอังกฤษว่า Dubai state เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ (Country) สหรัฐอาหรับอิมิเร็ต (United Arab Emirates) ซึ่งประกอบด้วย 7 รัฐ (the seven emirates) แต่เป็นรัฐส่วนที่มีประชากรมากที่สุดของสหรัฐอาหรับอิมิเร็ต (United Arab Emirates - UAE) อันเป็นประเทศตั้งอยู่ในบริเวณอ่างเปอร์เซีย (Persian Gulf) บนแหลมอาหรับ (Arabian Peninsula)
ในส่วนของประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเร็ต (UAE) ประกอบด้วยรัฐที่เรียกว่า emirates, มี 2 รัฐใหญ่สุด ได้แก่ Abu Dhabi อันเป็นเมืองหลวง และเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ, และดูไบ (Dubai), อันจัดเป็นเมืองหรือรัฐใหญ่สุดของประเทศ และตามมาด้วยอีก 7 รัฐ อันได้แก่ Sharjah, Ajman, Umm al-Quwain, Ras al-Khaimah และ Fujairah
รัฐดูไบร่วมเป็นส่วนหนึ่ง (Incorporated (town) ของสหรัฐอาหรับอิมิเร็ต ในวันที่ 9 เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1833 โดยในประวัติศาสตร์ ผู้ก่อตั้งรัฐดูไบ (Founder) คือ Maktoum bin Bati bin Suhail (1833)
ในปัจจุบันรัฐดูไบมีเมืองและหมู่บ้าน (Towns and villages) ประกอบด้วย Jebel Ali, Hatta, Al Hunaiwah, Al Aweer, Al Hajarain, Al Lusayli, Al Marqab, Al Faq, Hail, Al Sufari, Ud al-Bayda, Al Malaiha, Al Madam, Margham, Urqub Juwayza, และ Al Qima
รัฐดูไบมีระบบการปกครอง (Government) แบบมีรัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (Type - Constitutional monarchy) มีพื้นที่ (Area) ในส่วนที่เป็นรัฐ Emirate มีพื้นที่ 4,114 ตารางกิโลเมตร ส่วนที่เป็นเมือง (Metro) หรือมหานคร 1,287.4 ตารางกิโลเมตร มีประชากร (Population) สำรวจในปี ค.ศ. 2008 ของทั้งรัฐ (Emirate) 2,262,000 คน และทั้งหมดอาศัยอยู่ในส่วนของเมือง เฉลี่ยมีความหนาแน่น (Density) 408.18 ตารางกิโลเมตรม มีคนอาศัยอยู่ในเมือง (Metro) 2,262,000 คน
พิจารณาโดยเชื้อชาติ (Nationality) ในปี ค.ศ. 2005) ประกอบด้วย 26.1% เป็นชาวอาหรับ (Arab) และในจำนวนนี้ 17% เป็นชาวอิมิเร็ต (Emirati), 42.3% เป็นชาวอินเดีย (Indian), 13.3% เป็นชาวปากีสถาน (Pakistani), 7.5% เป็นชาวบังคลาเทศ (Bangladeshi) ที่เหลือเป็นส่วนน้อย ได้แก่ 2.5% เป็นชาวฟิลิปปินส์ (Filipino), 1.5% เป็นชาวศรีลังกา (Sri Lankan), 0.9% เป็นชาวยุโรป (European), 0.3% เป็นชาวอเมริกัน (American), และ 5.7% มาจากประเทศอื่นๆ (other countries)
รัฐดูไบอยู่ในเขตที่มีเวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 3 ชั่วโมง (Time zone, UAE standard time - UTC+4) หากใครจะเดินทางไปยุโรป แล้วเลือกใช้บริการสายการบินของกลุ่มอาหรับ ก็จะใช้ที่จอดพักกลางทางที่ Dubai หรือ Abu Dhabi นี้ แล้วก็แยกสายการบิน เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆในยุโรป
รายได้ของรัฐดูไบในปัจจุบันมาจากการท่องเที่ยว (tourism), อสังหาริมทรัพย์ (real estate) และกิจการด้านการเงินการธนาคาร (financial services) ถึงแม้ในอดีตเศรษฐกิจของดูไบจะมาจากอุตสาหกรรมน้ำมัน (oil industry) รายได้หลักมาจากปิโตรเลียม (petroleum) และแก๊สธรรมชาติ (natural gas) แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมมีมูลค่าน้อยกว่าร้อยละ 6 ของกิจการรวมของรัฐดูไบ คือประมาณ 37,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (2005) กิจการอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าประมาณร้อยละ 22.6
ในปี ค.ศ. 2004 ได้มีการก่อตั้ง Dubai International Finance Centre ซึ่งหวังว่าจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินสำคัญของโลก ขึ้นเทียบกับ เมืองนิวยอร์ค (New York) ประเทศสหรัฐอเมริกา, เมืองลอนดอน (London) ประเทศสหราชอาณาจักร, และเกาะฮ่องกง (Hong Kong) อันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน
บทส่งท้าย
หากจะถามว่าแล้ววิกฤติการเงินของรัฐดูไบจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด ก็คงมองได้ว่า มีไม่มากนัก เพราะรัฐดูไบ หรือสหรัฐอาหรับอิมิเร็ตอยู่ไกลออกไปจากประเทศไทยมาก แต่สิ่งที่เราควรได้เรียนรู้ ก็คือเรื่องของเศรษฐกิจฟองสบู่ (Bubble Economy) ที่ได้เกิดขึ้นในรัฐนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประเทศไทย และก็มีโอกาสเกิดขึ้นอีก หากเราไม่ระวังในการลงทุนในกิจการใดอย่างเกินตัว กระทำไปอย่างไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานที่มั่นคง
ย้อนมามองประเทศไทย เมืองมี่อยากจะให้เทียบเคียงได้ คือ เมืองเชียงใหม่ (Chiangmai City) และเมืองพัทยา (Pattaya City) และความจริงอาจรวมไปถึงเมืองอื่นๆที่หวังพึ่งธุรกิจการท่องเที่ยวมากจนเกินไป เกินความต้องการของตลาด ซึ่งมักจะเกิดจากพวกทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่พยายามสร้างภาพ และปั่นราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่สูงเกินความเป็นจริง นำไปสู่การลงทุนที่เกินความต้องการ ยามเศรษฐกิจชะลอตัว ผลกระทบก็จะตามมาและกระทบอย่างแรง
ยังดีที่ประเทศไทยมีความสมดุลในด้านฐานเศรษฐกิจ ที่มีทั้งด้านอุตสาหกรรมหนักและเบา การเกษตร ธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว และอื่นๆ เราได้รับผลกระทบน้อยลง ประกอบกับคนไทยโดยรวมมีภูมิต้านทาน มีประสบการณ์จากเศรษฐกิจฟองสบู่แตกมาก่อนหน้านี้แล้ว สำหรับคนที่คิดจะลงทุนทำอะไร ขอให้คิดในแบบเดินทางสายกลาง ทำอะไรขอให้คิดเผื่อความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ต้องรู้จักบริหารความเสี่ยง (Risk Management) และการศึกษาสิ่งต่างๆอย่างมองหลายๆมิติ และทำความเข้าใจกับองค์ประกอบหลายๆด้าน
การทำธุรกิจต้องมีความฝัน ต้องมีการมองภาพในสิ่งที่เราอยากให้เกิด แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราต้องคิดบนโลกของความเป็นจริง ทำอะไรอย่างคิดถึงประโยชน์กับผู้คนตั้งแต่ระดับฐานราก ทำอะไีีรแล้วคนส่วนใหญ่ได้ประโยขน์ เราได้ประโยชน์ แม้ต้องสะดุดบ้าง เราก็ยังพอเิดินไปได้
ขออำนวยพรให้นักธุรกิจ นักลงทุน ผมเชื่อว่าประเทศไทยกำล้ังจะผ่านวิกฤติต่างๆไปได้แล้ว หากท่านได้ดำเนินธุรกิจด้วยความยากลำบากในช่วงที่ผ่านมา แล้วท่่านได้ดูแลคนของท่านอย่างใส่ใจ อดทน เสียสละ ถึงเวลาต่อไปนี้ ก้ขอให้ท่านได้ดำเนินธุรกิจต่อไปสู่ความสำเร็จ สำหรับลูกจ้าง ยามนี้ หากมีเจ้านายที่รับผิดชอบดูแลเรายามยาก เราพึ่งขอบคุณเขา ช่วยกันทำงานไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน
Thursday, November 26, 2009
เราควรเลือกเดินทางสายกลาง
ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
Updated: Friday, November 27, 2009
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯธุรกิจ
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในเอเชียร่วงลงถ้วนหน้าเช้านี้ (27 พ.ย. 2552) จากความวิตกกังวลเรื่องการขาดทุนหลังจากที่บริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบขอเลื่อนการชำระหนี้จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งครบกำหนดในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ ออกไปเป็นเดือนพ.ค.ปีหน้า รวมทั้งปัจจัยจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 9,354.80 จุด ลดลง 28.44 จุด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,623.92 จุด ลบ 586.49 จุด ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นโซลเปิดวันนี้ที่ 1,574.56 จุด ลดลง 24.96 จุด ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,674.10 จุด ลดลง 34.50 จุด ส่วน ตลาดหุ้นสิงคโปร์, มาเลเซีย ปิดทำการ
ผมเองเป็นคนไม่ได้เล่นหุ้น หากผมจะทำธุรกิจ ผมคงเลือกที่จะทำธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่ต้องพะวงกับตลาดหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ มากนัก ทำอะไรที่เป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานของคน เช่น เรื่อง อาหารการกิน ยาหรือบริการรักษาโรค การดูแลสุขภาพพื้นฐาน การศึกษา การฝึกอบรม การเรียนรู้ หรือพลังงานแบบทางเลือก
สำหรับคนที่อยากมีสถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น บางคนดิ้นรน เพราะเงินเดือนหรือรายได้ไม่พอยังชีพ ผมขอแนะนำว่า ลองหาทางลดค่าใช้จ่ายในชีวิตลงบ้าง ศึกษาให้ดี อาจพบว่ามีหลายสิ่งที่สามารถลดลงได้มาก เช่น เรื่องของการเดินทาง การมีหรือใช้รถยนต์ที่เกินความต้องการ การกินการอยู่ที่เกินจำเป็น อาหารมื้อละ 300-600 บาทต่อคน คงจะลดลง และเลือกกินเลือกอยู่อย่างที่ไม่ต้องไปกังวลว่าจะมีค่าใช้จ่ายมากเกินรายได้หรือไม่ หากคนหนุ่มสาว กำลังจะมีคู่ ก็ให้มองการเป็นคู่สมรสที่ทำงานทั้งคู่ หากเป็นสตรี ก็อย่าเลือกที่จะเป็นแม่บ้าน แล้วมีคนหาเงินเป็นสามีเพียงคนเดียว สตรีเป็นอีกเท้าข้างหนึ่งที่มีพลังไม่น้อยไปกว่าชาย ครอบครัวที่ทำงานทั้งสองคน จะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต คนหนี่งประสบปัญหาก็ยังพอมีอีกคนที่จะเป็นแรงพยุงชีวิตได้
ผมได้ไปเที่ยวเมืองพัทยา (Pattaya, Cholburi) และพักโรงแรมระดับ 5 ดาว ไม่ขอบอกว่าโรงแรมอะไร ผมและครอบครัวกำลังคิดสร้างห้องชุดที่พักอาศัย (Apartments) สำหรับคนระดับกลางอยู่ จึงต้องหาข้อมูลว่า เขามีวิธีการคิดและสร้างที่พักอาศัยกันอย่างไร ที่พัทยาจัดเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างแท้จริง เขาสร้างโรงแรมและที่พักตากอากาศขึ้นมาอย่างดีหรูหรา โรงแรมที่ผมไปพัก เขาเพิ่งเสร็จอาคารโรงแรมหลังใหม่เสร็จไปไม่ถึง 2 ปี ขับรถไปรอบๆเมืองพัทยา และเขตใกล้เคียงก็พบร่องรอยของการเติบโตทางธุรกิจท่องเที่ยวและพักผ่อนอย่างมากที่เดียว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการมีสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ทำให้มีคนเลือกมาท่องเที่ยว บางส่วนมาพักแบบยาว ซึ่งได้แก่ผู้สูงอายุ แต่กระนั้นก็ตาม ต้องบอกล่วงหน้าแก่ท่านที่ต้องการจะลงทุน ต้องอย่าแห่กันตามไปลงทุนมากจนเกินเหตุ ต้องเรียนรู้บทเรียนจากที่เคยมา
ระวังอย่าให้เป็นเหมือนเมืองกลางทะเลทราย ที่ประเทศผู้ร่ำรวยจากธุรกิจน้ำมัน แล้วไปเนรมิตสร้างเมืองบนที่ดินที่ไม่มีพื้นฐานที่จะดำรงอยู่ได้ในระยะยาว จะหาอาหารมาจากไหน จะมีอะไรเป็นพลังงาน จะมีน้ำดื่มน้ำใช้กันอย่างไร หากสักวัน น้ำมันหมดไปจากแผ่นดิน หรือประเทศแล้วเขาจะเอาอะไรมาเป็นรายได้ มาเป็นค่าใช้จ่าย
ประเทศไทยเรานี้ธรรมชาติได้สร้างมาอย่างให้อยู่อย่างสมดุล เรามีการเกษตรที่มีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์สมเป็นแผ่นดินทอง มีมากพอจนสามารถส่งออกได้ เรามีอุตสาหกรรมบางรายการที่ต้องแสดงถึงความมีวิริยะอุตสาหะของเยาวชนคนหนุ่มสาว ที่มีขีดความสามารถที่จะแข่งขันได้
เรามีธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว โรงแรม การรักษาพยาบาล เพราะความที่เป็นคนมีน้ำใจ เห็นและเข้าใจในความรู้สึกของคน การดูแลต้อนรับผู้คนถือเป็นคุณสมบัติติดตัวเราทุกคนที่ควรรักษาไว้
เรามีทุกอย่างทีพอสมดุล อย่างที่เขามีตำราบอกว่า “Don’t put all eggs in one basket.” คือ อย่าทุ่มลงไปในธุรกิจใดอันหนึ่ง ให้เผื่อทางออกไว้ด้วย ประเทศไทยเรามีกิจกรรมที่สร้างผลิตผลและบริการในหลายๆด้าน หากอย่างใดได้รับผลกระทบ ก็จะไม่กระทบไปทั้งประเทศ เราก้าวเดินไปอย่างไม่เร็วนัก ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ก้าวเดินอย่างมั่นคง ระมัดระวัง อย่างมีสติ และเมื่อยามวิกฤติ ก็ต้องเผชิญอย่างรู้ทัน ไม่ตื่นตูม
หากจะมีสิ่งที่ผมอยากจะบอก ก็คือ ต้องหัดคิดอะไรอย่างมองอนาคต (Proactive) ไว้ด้วย สิ่งนี้ที่คนไทยขาด เราไม่มีวิธีการคิดด้านเวลา คือเราอยู่กับปัจจุบัน ไม่เคยได้ใช้อดีตเป็นบทเรียน เคยมีปัญหาอะไร ก็จะบอกว่า “ไม่เป็นไร ลืมเสียเถิด” เราไม่ได้บันทึกสิ่งที่ควรเป็นประวัติศาสตร์เอาไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษา หรือจัดทำไว้เป็นบทเรียน ในด้านอนาคต เราเลือกที่จะอยู่กับปัจจุบัน มีหลายอย่างที่เราควรต้องคิดและเตรียมตัวสำหรับอนาคต เช่น เรื่องการศึกษาของเรา ที่เริ่มอ่อนด้อยอย่างเห็นได้ชัด เรื่องคุณภาพการศึกษาที่เราต้องหันมาใส่ใจ เตรียมคนของเราสำหรับอนาคตที่ความไม่แน่นอนจะทำให้เราต้องมีควาเข้มแข็ง และมีทักษะที่จะปรับตัว แข่งขันกับโลกอนาคตได้
มหาวิทยาลัยไอทูนส์ (iTunes U)
ประกอบ คุปรัตน์
ศึกษาและเรียบเรียง
จาก Wikipedia
Updated: Friday, November 27, 2009
Keywords: เทคโนโลยี, IT, ICT, มหาวิทยาลัย, การอุดมศึกษา, E-Learning
มหาวิทยาลัยไอทูนส์ เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “iTunes U” ตัวไอนำหน้าเป็นตัวเล็ก และตามด้วยตัวทีใหญ่ ส่วนคำว่า Tunes จะมีตัวเอสลงท้าย แสดงถึงหลายๆจุด
ภาพ หน้าหนึ่งของกิจกรรมใน iTunes U
โครงการ iTunes U ได้เปิดตัวที่ Cupertino, รัฐแคลิฟอร์เนียในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 เป็นบริการเพื่อการจัดการ (manage), การเผยแพร่กระจาย (distribute), และการควบคุมการใช้บริการ (control access) ของเนื้อหาทางด้านการศึกษาที่สื่อออกมาในรูปเสียง และภาพเคลื่อนไหว (audio and video content) สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยและผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วไป สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ จะสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานของร้านออนไลน์ที่ชื่อว่า Apple’s iTunes Store บริการออนไลน์นี้จะไม่มีค่าบริการ Upload หรือ Download เนื้อหาสาระต่างๆ เนื้อหาเหล่านี้รวมถึง การบรรยายรายวิชา (course lectures), บทเรียนด้านภาษา (language lessons), การสาธิตการทดลอง (lab demonstrations), ข่าวสารและสารคดีด้านกีฬา (sports highlights) ตลอดจนการนำเที่ยวในวิทยาเขตต่างๆ (campus tours) ซึ่งเป็นบริการของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ เช่น สหรัฐ (US), สหราชอาณาจักร (United Kingdom), ออสเตรเลีย (Australia), แคนาดา (Canada), ไอร์แลนด์ (Ireland) และ นิวซีแลนด์ (New Zealand)
ข้อได้เปรียบของ iTunes U ที่เหนือกว่า Podcasting ซึ่งเป็นของ Apple เช่นกัน คือ การจะเข้าถึงเนื้อหาต่างๆ และการเข้าใช้ในโครงสร้างพื้นฐานของ iTunes U เป็นแบบจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งแบบ end-to-end ทำให้สมาชิกที่เป็นสถาบันที่ให้เนื้อหา สามารถตรวจสอบความถูกต้องของผู้เข้าใช้งานได้อย่างตรงไปตรงมา ดังเช่นบัญชีผู้เข้าใช้งาน และรหัส (Password) เป็นแบบเฉพาะสถาบัน และก็ส่งต่อมายังร้าน iTunes U ซึ่งจะเป็นการกำกับระดับของผู้เข้าเยี่ยมใช้ ดัวอย่าง หากคนที่ต้องการเข้าฟังการบรรยายของวิชาหนึ่งในมหาวิทยาลัยหนึ่ง จะเป็นเฉพาะของผู้ที่ได้ลงทะเบียนในชั้นเรียนนั้นๆของมหาวิทยาลัย
ภาพ หน้ากราฟิกของมหาวิทยาลัย Stanford
ที่เข้าร่วมนำเสนอเนื้อหาใน iTunes U
เนื้อหาที่ได้มีการนำเสนอโดยมหาวิทยาลัยต่างๆ มีมากกว่า 75,000 ไฟล์ โปรแกรม iTunes U ทำหน้าที่คล้ายกับ Podcasts ที่ผู้ใช้งานสามารถใช้การ Download ทั้งหมดของเนื้อหา แล้วค่อยมาเปิดใช้แบบ On Demand หรือจะใช้เป็นแบบเปิดไป ฟังหรือดูไปแบบที่เรียกว่า Streaming และในขณะเดียวกัน ก็เรียก Download ไฟล์นั้นเพื่อใช้งานได้ในครั้งต่อๆไป โดยไม่ต้องไปเปิดเรียกใช้จากเครือข่าย ให้เสียเวลาและทรัพยากรอีก และในอีกด้านหนึ่ง เขาก็เตรียมการสำหรับโอกาสที่จะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันด้านเนื้อหาทางวิชาการ ซึ่งในขณะนี้ iTunes Stores ได้มีการซื้อขายเพลงกันในแบบออนไลน์กันอย่างกว้างขวางแล้ว
เนื้อหาสาระเป็นอันมากจะมีไว้ให้บริการฟรี บางมหาวิทยาลัยเขาถือว่าเนื้อหา การบรรยายในวิทยาเขตของเขาในหลายๆวิชานั้นเปิดเป็นบริการแบบไม่เก็บค่าใช้จ่าย แต่เมื่อใดที่ต้องการจะเรียนแบบมีหน่วยกิตกับเขา ก็ต้องไปลงทะเบียน มีการจัดทดสอบ มีกิจกรรรมการเรียนอื่นๆ ตามระบบการควบคุมมาตรฐานวิชาการของแต่ละมหาวิทยาลัย การปล่อยให้มีเนื้อหาแบบเปิดนี้ เท่ากับเป็นการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยของเขา และเป็นบริการทางวิชาการแก่ประชาชนทั้งภายในประเทศ และสู่โลกสากล
สำหรับประโยชน์ใช้สอยเพื่อการศึกษาในประเทศไทยนั้น ผมเห็นว่าน่าจะเป็นไปเพื่อลองทดสอบระดับความสามารถของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของไทย และในขณะเดียวกัน ก็เป็นการสร้างความคุ้นเคยให้กับนักศึกษาที่ต้องเรียนรู้ในโลกที่มีความเป็นสากลเพิ่มมากขึ้นด้วย
การเรียนในลักษณะที่ใช้เนื้อหาที่มีอยู่ในระบบเครือข่ายนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะทำให้ผู้สอนไม่ต้องไปเสียเวลากับการต้องเตรียมเนื้อหา แต่ให้ไปสนใจเพิ่มขึ้น ในการควบคุมกระบวนการเรียน การให้คำแนะนำแก่ผู้เรียน การตรวจการบ้าน และการประเมินผลในการเรียน ซึ่งก็จะต้องมีความซับซ้อนไปตามธรรมชาติของการเรียนในยุคใหม่ ที่เนื้อหาสาระนั้นมีให้เลือกอย่างกว้างขวาง ซึ่งผู้สอนก็จะต้องตามให้ทันความเปลี่ยนแปลง
Wednesday, November 25, 2009
ความเป็นผู้นำแบบ Steve Jobs
ความเป็นผู้นำแบบ Steve Jobs
ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipeida
Keywords: cw059, ความเป็นผู้นำ, เทคโนโลยีสารสนเทศ, ICT, ความคิดสร้างสรรค์
ความนำ
ความเป็นผู้นำของ Steve Jobs
ในการศึกษาเกี่ยวกับความเป็นผู้นำนั้น ประวัติของ Steve Jobs นับว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่งรายหนึ่ง ในประวัติของเขา หลายคนนำมาเปรียบเทียบกับ Bill Gates ที่เติบโตมาในวัยเดียวกัน มีประวัติชีวิตบางส่วนคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกันทีเดียว Bill Gates จัดเป็นนักธุรกิจที่เติบโตมาจากการเป็นนักประดิษฐ์โปรแกรมที่เขาเรียกว่า
ภาพ Steve Jobs และ Bill Gates
ในการนำปรากฎตัว
Steve Jobs นับเป็นนักธุรกิจที่มีลักษณะเน้นความเป็นผู้บุกเบิก แม้ในทางธุรกิจ เขาจะไม่ได้มีการตัดสินใจได้อย่างเข้าใจตลาด ไม่ได้มีความเป็นนักเทคโนโลยีสารสนเทศที่เข้าใจการทำงานร่วมกันระหว่างการพัฒนา Hardware ที่ต้องร่วมและรองรับกับ Software แต่ต้องกล่าวได้ว่า เขาเป็นนักบุกเบิกอีกคนหนึ่งที่เข้าใจเรื่องของการนำหลายๆสิ่งมาประกอบ และทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด สวยงาม ง่ายที่จะใช้ และดึงดูดคนให้ใช้งาน
ประวัติ
Steven Paul "Steve" Jobs หรือเรียกว่า สตีฟ จอบส์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน (American businessman), ผู้ร่วมก่อตั้ง (co-founder) และผู้บริหารสูงสุด (chief executive officer) ของบริษัทแอปเปิล (Apple Inc.) Jobs ก่อนหน้านี้เคยทำหน้าที่เป็นผู้บริหารของบริษัทผู้นำและบุกเบิกการพัฒนางานด้านภาพยนตร์ที่ผลิตด้วยกราฟิก ชื่อ Pixar Animation Studios ซึ่งในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970s จอบส์ได้ร่วมกับผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล อีกคนหนึ่ง คือ Steve Wozniak สร้างคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัว หรือที่เรียกในต่อมาว่าเป็นประเภท Personal Computer หรือ PC
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980s เขาได้เป็นคนกลุ่มแรกที่เห็นประโยชน์ของการใช้เมาส์ (mouse-driven) เพื่อการใช้งานคอมพิวเตอร์ในกิจกรรรมด้านกราฟิก (graphical user interface) นอกเหนือไปจากการใช้แป้นพิมพ์ (Keyboards)
ในช่วงต่อมา เขาได้สูญเสียอำนาจในการจัดการบริษัท Apple เมื่อต้องต่อสู้กับคณะกรรมการของบริษัทฯ ที่เริ่มประสบปัญหาในด้านธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาได้ลาออกจากบริษัทที่เขาสร้างขึ้นเอง และไปก่อตั้งบริษัทใหม่ ชื่อ NeXT โดยมีการสร้าง Platform ที่เหมาะแก่การใช้งานในระบบอุดมศึกษาและธุรกิจ ในระยะต่อมาราวปี ค.ศ. 1997 Apple Computer Inc. ได้ซื้อกิจการของ NeXT และนำจอบส์กลับมาทำงานให้กับบริษัทอีกครั้งหนึ่ง และเขาได้ทำงานในฐานะผู้บริหารสูงสุด (CEO) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปี ค.ศ. 2007 นิตยสารมีชื่อ Fortune Magazine ได้ยกย่องเขาเป็นนักธุรกิจที่มีอำนาจที่สุดแห่งปี
ในปี ค.ศ. 1986 เขาได้ซื้อกิจการด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก อันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทภาพยนตร์ Lucasfilm Ltd และตั้งชื่อบริษัทนั้นว่า Pixar Animation Studios โดยเขาทำหน้าที่เป็นผู้บริหารสูงสุด (CEO) พร้อมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จนกระทั่ง Walt Disney Company ได้เข้าซื้อกิจการ และได้เข้าดำเนินการทั้งหมดในปี ค.ศ. 2006 โดยจอบส์ ยังคงนั่งเป็นกรรมการหนึ่งในคณะกรรมการบริหารบริษัท (Board of Directors)
จอบส์เป็นประวัติและตำนานของธุรกิจเริ่มแรกของคอมพิวเตอร์ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ที่มีลักษณะความเชื่อในการบริหารงานที่เป็นแบบเฉพาะตัว (idiosyncracy) ของผู้ประกอบการที่ถือความเห็นของตนเองเป็นใหญ่ ของกิจการบุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ในแถบแคลิฟอร์เนีย ที่เรียกว่าซิลิคอนแวเล่ย์ (Silicon Valley) ผลงานของจอบส์จะให้ความสำคัญในการออกแบบ ความเข้าใจในบทบาทของความสวยงามที่จะปรากฏต่อคนทั่วไป งานที่เขาริเริ่มจะผลักดันงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทั้งทำงานได้ดีและมีรูปแบบที่สวยงาม และทำให้มีคนติดตามชื่นชมและใช้ผลิตภัณฑ์ของเขาอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงกลางเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 เขาได้ลากิจต่อเนื่องยาว 5 เดือน เพื่อไปผ่าตัดเปลี่ยนตับ (liver transplant)
ผลงานที่ฝากไว้
หากจะกล่าวถึงเขาในฐานะที่เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมองเห็นการณ์ไกล เข้าใจโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ในทางธุรกิจก็ได้ หรือจะในฐานะนักประดิษฐ์ (Inventor) ที่นำวิทยาการหลายๆด้านมาใช้ร่วมกันอย่างเป็นสหวิทยาการ (Inter-Disciplinary Approach) หรือจะเป็นนักบริหารงานวิจัยและพัฒนา ที่ต้องบุกเบิกงานในระดับที่ทำให้เกิดประโยชน์ไปสู่การใช้สอยก็ย่อมถูกต้องเช่นเดียวกัน
ผลงานของเขาที่ควรจะบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ มีดังนี้ คือ
ภาพ คอมพิวเตอร์ต้นแบบ Apple
ในปี ค.ศ. 1983
Apple Lisa ปี ค.ศ. 1983 งานประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ต้นแบบ ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดนัก แต่นับได้ว่าทำให้เกิด Macintosh ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในระยะต่อมา
Macintosh ปี ค.ศ. 1984 งานประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่มีขนาดเล็ก ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่นับได้ว่าก้าวล้ำนำหน้าเครื่องพีซีอื่นๆในงานด้านกราฟิก กว่าที่โปรแกรมและเครื่องอื่นๆจะตามทันนับได้ 5-7 ปี
พัฒนาโดย Pixar
Pixar Animation Studios ปี ค.ศ. 1986 นับเป็นผู้บุกเบิกงานด้านภาพยนตร์ที่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก และเป็นผู้นำด้านภาพยนตร์ในแบบดังกล่าวในระยะต่อมา
ภาพ iMac ในปี ค.ศ. 1998 สะดุดใจสำหรับวัยรุ่น
และหนุ่มสาว
iMac ปี ค.ศ. 1998 เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาในแบบของ Macintosh ที่มีขนาดเล็ก ราคาไม่แพง เคลื่อนย้ายได้สะดวก แบบประทับใจวัยรุ่นและหนุ่มสาว นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ต้องมีการย้ายที่พักกันบ่อยๆ