เมื่อหางกระดิกหมา
ประกอบ คุปรัตน์
ศึกษาและเรียบเรียง
“Wag the Dog.” เมื่อหางกระดิกหมา”
Wag เป็นคำกิริยา แปลว่า กระดิก เขย่า หรือ โคลง ดังประโยคว่า The dog wags its tail. หรือ “หมาตัวนั้นกระดิกหาง” ซึ่งคนทั่วไปจะเข้าใจว่าเมื่อหมาต้องการแสดงความเป็นมิตร จะดูได้จากหางที่กระดิก แต่มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1997 มีชื่อว่า Wag the Dog หรือ “หางกระดิกหมา” โดยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับนักการเมืองที่นำเรื่องเล็ก หรือสร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนประเด็นใหญ่ๆ หรือประเด็นอื้อฉาวที่ต้องการปกปิด
ในสหรัฐเคยมีอดีตประธานาธิบดี George Bush ผู้พ่อ เคยใช้กิจกรรมสงครามกลบความล้มเหลวด้านนโยบายเศรษฐกิจของตนเอง แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะท้ายที่สุด ก็ต้องแพ้ในการเลือกตั้งที่ Bill Clinton ใช้นโยบายฟื้นเศรษฐกิจประเทศเอาชนะไปได้ในที่สุด
George W Bush ประธานาธิบดีสหรัฐผู้ลูก เคยบอกคนอเมริกันว่า เพราะอีรักมีอาวุูํธสงครามร้ายแรง (Weapon of Mass Destruction - WMD) ที่จะเป็นภัยต่อโลกเสรี เป็นตัวที่มีบทบาทนำในการก่อการร้ายโลก แต่ท้ายที่สุด ก็พิสูจน์ว่าไม่เป็นความจริง แต่อเมริกันได้ถลำเข้าไปในสงครามอย่างเต็มตัวแล้ว
รวมความ ประโยคว่า “Wag the dog.” จะมีความหมายว่า การที่ชอบนำเรื่องเล็กๆมาเป็นประเด็นใหญ่ เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องใหญ่ๆที่คนควรให้ความสนใจในสาระสำคัญ
ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 ประมาณ 4 ชั่วโมงก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้
อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้เข้าไปใน Twitter เพื่อตอบโต้กับนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนที่ท่านชอบเข้าไปสื่อกับคนอ่าน ซึ่งข้อความมีดังนี้
"Thaksinlive - ใคร เคยดูหนังเมื่อปี 1997 ชื่อ Wag the Dog นำโดย Robert Deniroเกี่ยวกับอเมริกาส่งคนไปสงครามเพื่อจะได้ลืมความล้มเหลวในบ้าน สร้างตอนนี้พระเอกชื่อ??? "
ประเด็นอยู่ที่ว่า นายกฯอภิสิทธิ์หรือคุณทักษิณที่ชอบสร้างสถานการณ์ คำตอบก็คือทั้งสองฝ่ายเป็นนักการเมือง ที่ต้องรู้จังหวะ ในทางการเมืองถูกผิดไม่สำคัญ แต่สำคัญว่าแล้วท้ายสุดใครจะได้ประโยชน์
ผมมองว่าที่คุณทักษิณเคลื่อนไหวในคราวนี้มีแต่เสียประโยชน์ เพราะการไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดคิด กลายเป็นว่าข่าวที่ออกมามีแต่คนโกรธแค้นคุณทักษิณ การที่นายกรัฐมนตรีประเทศหนึ่งไปรับเป็นที่ปรึกษาไปรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับประเทศหนึ่งนั้น มองได้ตั้งแต่การเสียศักดิ์ศรี การไปรับใช้กับประเทศที่ทำให้ขัดผลประโยชน์ของแผ่นดินแม่ตนเอง และรวมไปถึงกลายเป็น “คนขายชาติ” (Traitor)
ผมมองว่า หากคุณทักษิณจะกระทำได้ คือหยุดการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่เป็นการยั่วยุปลุกปั่น จะคิด จะพูด หรือเขียนอะไร ควรออกมาในลักษณะที่สร้างความสามัคคี มีความอดทน ปากหนัก ใจหนัก ไม่วู่วาม หากท่านยกตัวอย่างอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษที่ต้องไปมีชีวิตในต่างแดนนับเป็นสิบๆปี ตราบจนสิ้นชีวิต คนที่ออกมารณรงค์อย่างเห็นคุณค่า ไม่ใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นคนอื่นๆที่ได้ทราบประวัติและเห็นในคุณค่าและผลงานของท่าน
เมื่ออ้างอิงถึงว่านายกทักษิณเองเป็นเหมือนดังนางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านในพม่า แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น สิ่งที่นางอองซาน ซูจีเขามีคือความอดทน อดทนหลายสิบปีโดยไม่ได้ใช้ความรุนแรง และไม่ส่งเสริมผู้ตามของเขาให้ใช้ความรุนแรง ทั้งๆที่รัฐบาลเผด็จการพม่า อยากที่จะผลักด้นให้ออกไปลี้ภัยนอกประเทศ แต่เขากลับยืนหยัดรับชะตากรรมร่วมกับคนพม่าในประเทศ แสดงออกซึ่งความรักชาติ ด้วยการยืนหยัดต่อสู้ด้วยสันติวิธีในแบบพุทธ
หากใครได้ติดตามกิจกรรมเครือข่ายสังคมอย่าง Twitter ที่คุณทักษิณเข้าไปใช้สื่อสารแล้ว คงจะมองเห็นคล้ายกับผม คือคุณทักษิณออกอาการเหมือนคนรนร้อน เหมือนกับทีมฟุตบอลที่ตามเขาอยู่สัก 2 ลูก มีเวลาเหลือจำกัด จึงได้บุกแหลก เสี่ยงได้เสี่ยงเสีย แล้วที่สุด ก็เพรี่ยงพล้ำหนักขึ้น เสียประตูเพิ่มขึ้นไปอีก เวลาก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก
ในทางความเป็นจริง “หางกระดิกหมา” ไม่ได้ยาวนานนัก คนเราจะหลอกกันได้เพียงบางครั้งบางคน และบางเวลา แต่ไม่มีใครที่จะหลอกหรือจูงคนไปได้ทุกคน ในทุกเรื่อง และในทุกเวลา
ในยามนี้ คนที่ประพฤติเยี่ยงผู้ใหญ่ มีสติ ให้สติแก่ผู้คน ย่อมมีค่ากว่าคนที่ชวนทะเลาะกันตลอดเวลา คนที่ทำตน แสดงตนนำเพื่อประโยชน์ของชาติ มากกว่าไปเร่งตอกลิ่มขยายความขัดแย้งของคนในชาติ และระหว่างชาติ ย่อมเป็นที่ขอบคุณของคนทั้งหลาย คนที่พยายามนำสังคมและชาติไปสู่ความสงบและสันติ นั่นแหละคือคนที่ชาติบ้านเมืองต้องการ
Sunday, November 8, 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment