Thursday, November 19, 2009

มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียมี่มติขึ้นค่าเล่าเรียนอีกร้อยละ 32

มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียมี่มติขึ้นค่าเล่าเรียนอีกร้อยละ 32

ประกอบ คุปรัตน์
ศึกษาและเรียบเรียง

November 19, 2009 4:18 p.m. EST

ที่เมืองลอสแองเจลีส รัฐแคลิฟอร์เนีย (Los Angeles, California) ประเทศสหรัฐอเมริกา ข่าวจากซีเอ็นเอ็น (CNN) แจ้งว่า แม้มีแรงกดดันจากการประท้วงของนักศึกษา แต่สภามหาวิทยาลัยของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Board of Regents) ได้ลงมติขึ้นค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีอีกร้อยละ 32 ในช่วง 2 ปีต่อไปนี้

ในขณะที่นักศึกษานับร้อยๆคนกำลังเดินขบวนและตะโกนอยู่นอกที่ประชุมของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่วิทยาเขตลอสแองเจลิส (UCLA) ขณะที่ฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัยกำลังประชุมอยู่ และได้ออกมาชี้แจงว่า เหตุที่ต้องขึ้นค่าเล่าเรียนอีกถึงร้อยละ 32 ในรอบ 2 ปีต่อไป หรือประมาณร้อยละ 16 ต่อปี เพราะทางรัฐบาลของรัฐได้ตัดงบประมาณด้านการศึกษาไปอย่างมาก และเป็นอย่างที่ทราบกัน รัฐบาลของรัฐแคลิฟอร์เนียเองก็ประสบวิกฤติด้านงบประมาณอย่างมากเช่นกัน

หลังจากทราบมติ นักศึกษาได้รีบไปที่ลานจอดรถ เพื่อประท้วงด้วยการปิดกั้นไม่ให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยได้ออกไป ฝ่ายตำรวจของวิทยาเขตและตำรวจทางหลวงของแคลิฟอร์เนียที่อยู่ใกล้ๆได้เตรียมพร้อมในชุดต่อต้านการจราจล

ฝ่ายนักศึกษาเองและกลุ่มประท้วงอื่นๆได้กล่าวว่า การที่รัฐบาลตัดงบประมาณและทำให้ต้องมีการขึ้นค่าเล่าเรียนนี้ มีผลกระทบต่อคนทำงานและชนชั้นกลางที่ได้ประโยชน์จากการสนับสนุนงบประมาณการศึกษานี้

รัฐแคลิฟอร์เนียมีประชากร (Population) 36,756,666 คน หรือประมาณกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศไทย จัดว่าเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ ในด้านรายได้ของประชากรเฉลี่ยต่อคนที่ US$54,385 จัดเป็นอันดับที่ 11 ของประเทศสหรัฐที่มีทั้งหมด 50 รัฐ และในสหรัฐอเมริกานั้น รัฐใหญ่ๆอย่างแคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ค (New York State) และรัฐเทกซัส (Texas) จัดเป็นรัฐขนาดใหญ่ที่มีส่วนเป็นตัวชี้นำทิศทางของระบบมหาวิทยาลัยในรัฐอื่นๆของประเทศ

ระบบอุดมศึกษาของรัฐแคลิฟอร์เนีย (postsecondary education) ได้จัดให้มีระบบอุดมศึกษาที่น่าสนใจที่เขาเรียกว่า ระบบ 3 ระดับ (three tiered system)

ระดับแรก เป็นระบบมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำ (preeminent research university system) ซึ่งเป็นระบบที่รองรับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (University of California - UC) จัดว่าเป็นระบบมหาวิทยาลัยที่จ้างคนได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) มากกว่าที่สถาบันการศึกษาใดๆในโลก จัดว่าเป็นระบบมหาวิทยาลัยของรัฐ (public university systems) ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งหมดมีอยู่ 10 วิทยาเขต และมีวิทยาเขตที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีนักศึกษาทุกระดับรวมทั้งสิ้นประมาณ 191,000 คน

ระดับที่สอง เรียกว่า ระบบมหาวิทยาลัยของรัฐ (California State University - CSU) ซึ่งระบบนี้มีนักศึกษาประมาณ 450,000 คน จัดเป็นระบบมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุด มีผู้เรียนมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา เป็นระบบมหาวิทยาลัยที่รับนักศึกษาระดับกลุ่ม 1 ใน 3 แรกของผู้จบมัธยมศึกษา ระบบนี้มีอยู่ 23 แห่ง มีลักษณะมุ่งเน้นการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี แม้มีการเรียนการสอนในระดับมหาบัณฑิต (Master Degree Level) อยู่บ้าง

ระดับที่สาม เรียกว่า ระบบวิทยาลัยชุมชน (California Community Colleges system) ให้บริการการศึกษาในวิชาการระดับล่าง หรือสองปีแรก และการฝึกทักษะด้านการงานและการอาชีพ จัดเป็นเครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย 110 วิทยาเขต รองรับผู้เรียนประมาณ 2.6 ล้านคน

ในด้านค่าเล่าเรียนของแต่ละระดับ ก็มีลักษณะลดหลั่นกันไป โดยที่มีค่าเล่าเรียนสูงสุดในระบบการอุดมศึกษาของรัฐคือระบบมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำ หรือที่เรียกว่า UC แต่โดยรวมก็ยังต่ำกว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของเอกชน ส่วนที่มีค่าใช้จ่ายลดลงมา ก็คือระบบมหาวิทยาลัยของรัฐ (California state Universities – CSU) แต่ที่มีค่าเล่าเรียนต่ำสุดของระบบคือกลุ่มวิทยาลัยชุมชน (Community Colleges) นอกจากนี้แล้ว ค่าเล่าเรียนสำหรับคนในท้องที่ (Residential Students) ก็จะน้อยกว่าพวกที่มาจากรัฐอื่นๆ หรือนักศึกษาต่างชาติ

นอกจากนี้ แคลิฟอร์เนียยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงดังเช่น Stanford University, the University of Southern California (USC), the California Institute of Technology (Caltech), และ the Claremont Colleges (ทั้งนี้ รวมถึง Harvey Mudd College และ Pomona College) แคลิฟอร์เนียยังมีวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเอกชนอื่นๆอีกหลายร้อย ซึ่งรวมถึงสถาบันที่ศาสนาเป็นเจ้าของ และสถาบันเฉพาะทาง

อย่างไรก็ตาม มีคำกล่าวว่า “There is no free lunch.” หรือ ไม่มีอาหารกลางวันฟรี ที่แท้จริง การเก็บค่าเล่าเรียนต่ำ หรือไม่เก็บ ท้ายสุดก็ต้องนำเอาภาษีอากรจากประชาชนสูงขึ้น เพื่อเอามาใช้เพื่อการศึกษา โดยทั่วไปนั้น การศึกษาขั้นประถมและมัธยมนั้น เป็นบริการจากรัฐและท้องถิ่นที่จะให้บริการการศึกษาแบบไม่มีค่าเล่าเรียน แต่ในระบบอุดมศึกษานั้น ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ค่าเล่าเรียนได้เพิ่มมากขึ้น เงินสนับสนุนจากรัฐหรือท้องถิ่นที่ให้จะลดสัดส่วนลงตลอด ดังนั้นเมื่อรัฐ (State) มีปัญหาการจัดเก็บภาษี ไม่ได้เงินรายได้อย่างที่เคย ก็ต้องลดการสนับสนุนกิจการด้านต่างๆ เช่น ถนนหนทาง ก็ซ่อมแซมน้อยลง การศึกษาก็ต้องหาทางช่วยตัวเองมากขึ้น แต่หากจัดเก็บภาษีมากกว่านี้ ประชาชนก็จะทนภาษีไม่ไหว และก็จะย้ายไปอยู่รัฐอื่นๆ รายได้ของรัฐก็จะยิ่งตกต่ำลงไปอีก

No comments:

Post a Comment