Sunday, March 4, 2012

การอุดมศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา Higher education in the United States

การอุดมศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา
Higher education in the United States

ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: Higher education, การอุดมศึกษา, มหาวิทยาลัย, USA, the United States, สหรัฐอเมริกา

ศึกษาและเรียบเรียงจาก Wikipedia, the free encyclopedia

บทความนี้เป็นความพยายามของนักวิชาการอิสระ เพื่อร่วมกันทำความรู้ที่เป็นสากล ด้วยช่วยกันแปลและเรียบเรียงความรู้ที่มีอยู่แล้วใน Wikipedia ร่วมกันตรวจสอบองค์ความรู้ หาทางใช้ประโยชน์ และปรับปรุงข้อมูลนี้ให้ทันสมัยเป็นระยะๆ กิจกรรมนี้เราเรียกว่าการก้าวสู่ความเป็นนานาชาติ (Internationalization) ด้วยวิธีการทำให้ท้องที่ได้ใช้ประโยชน์ (Localization)

ความนำ

หากเราจะก้าวไปข้างหน้า เราคงต้องรู้จักโลก จะด้วยการอ่าน การฟัง หรือจะด้วยวิธีการเขียน และพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน สหรัฐอเมริกาเป็นโลกใหม่ หากนับอายุย้อนหลังที่คนยุโรปอพยพไปอยู่กัน ก็เพียงในช่วง 300-400 ปี ไม่เกินนี้ แต่ประเทศนี้และภูมิภาคนี้ได้ก้าวเป็นผู้นำในโลกทั้งทางด้านการทหาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวัฒนธรรม เห็นเด่นชัดในศตวรรษที่ 20 และจุดที่สูงที่สุดน่าจะเป็นช่วงหลังสงครามโลกที่สอง

เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ด้วยมองเขาอย่างรอบด้าน ดูทั้งด้านที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อน ดูในอดีต ปัจจุบัน และพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับอนาคตการศึกษาของเขา

ภาพ มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology (MIT) Great Dome อยู่ที่เมืองบอสตัน จัดเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องของความหลากหลายในประเภทสถาบันอุดมศึกษา โดยทั่วไปเน้นที่การมีงานวิจัยและการสนับสนุนที่ทำให้วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกามีคุณภาพและสถานะในระดับโลก ทำให้เป็นที่ดึงดูดนักศึกษาจากนานาชาติ คณาจารย์และนักวิจัยจากทั่วโลกที่มุ่งหวังมาแสวงหาความเป็นเลิศทางวิชาการ

จากการจัดอันดับโดย มหาวิทยาลัยเซียงไฮ้เจียวตง (Shanghai Jiao Tong University's Academic Ranking of World Universities) จากจำนวนมหาวิทยาลัยชั้นเลิศด้านการวิจัย 45 แห่ง มีมหาวิทยาลัยของสหรัฐติดอันดับอยู่ 30 แห่ง ระบบอุดมศึกษาทั้ง มหาวิทยาลัยของรัฐ (Public universities), มหาวิทยาลัยเอกชน (private universities), วิทยาลัยศิลปศาสตร์ (liberal arts colleges), และวิทยาลัยชุมชน (community colleges)

ประเทศสหรัฐอเมริกามีสถาบันอุดมศึกษาอยู่ทั้งสิ้น 5,758 แห่ง หรือเฉลี่ยหนึ่งรัฐ (A state) มีมหาวิทยาลัย 115 แห่ง ในปี ค.ศ. 2010 สหรัฐอเมริกาจากมีประชาการกว่า 300 ล้านคนเล็กน้อย มีนักศึกษาในระบบอุดมศึกษาทั้งสิ้น 20.3 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 5.7 ของประชากรทั้งประเทศ ประมาณ 14.6 ล้านคนลงทะเบียนเรียนในแบบเต็มเวลา (Full-time students) จากการศึกษาของสำนักงานสถิติการศึกษาแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (The National Center for Education Statistics - NCES) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงการศึกษาของสหรัฐอเมริกา (The US Department of Education) ในปี ค.ศ. 2010 มีสถาบันที่สามารถให้ปริญญาบัตรได้รวมทั้งสิ้น 4,495 แห่ง ซึ่งสถาบันเหล่านี้รวมถึงวิทยาลัย มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยชุมชนในทั้งประเทศ

จากการสำรวจชุมชนอเมริกัน (American Community Survey) ในปี ค.ศ. 2006 สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (United States Census Bureau) พบว่าร้อยละ 19.5 ได้เคยเรียนในสถาบันอุดมศึกษาแต่ไม่ได้รับปริญญา ร้อยละ 7.4 ได้รับอนุปริญญา (associate's degree) ร้อยละ 17.1 ได้รับปริญญาตรี และร้อยละ 9.9 ได้รับปริญญาระดับบัณฑิตศึกษาและการศึกษาวิชาชีพขั้นสูง (graduate or professional degree) ในจำนวนนี้มีความแตกต่างทางด้านเพศน้อยมาก ร้อยละ 27.0 เป็นจำนวนผู้รับปริญญาตรีของทั้งสองเพศ ร้อยละ 27.9 ในกลุ่มชาย และร้อยละ 26.2 ในกลุ่มหญิง อย่างไรก็ตาม แม้คนได้รับปริญญาขั้นสูงจากมหาวิทยาลัยจะมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าผู้ไม่ได้รับการศึกษาขั้นอุดม แต่ในปี ค.ศ. 2008 พบว่ามีผู้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาลดลง โดยในปี ค.ศ. 2009 ร้อยละ 70.1 ของผู้จบมัธยมศึกษาเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย แต่ก่อนหน้านี้ มีถึงร้อยละ 76 ของคนที่มีผลการเรียนอยู่ในกลุ่มต่ำร้อยละ 40 ของชั้นเรียนในมัธยม ที่เลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย แต่คนเหล่านี้ก็จะไม่ได้ศึกษาต่อจนจบการศึกษาในที่สุด สรุปได้ว่าในอดีตไม่นานมานี้ คนจะเลือกเรียนมหาวิทยาลัย แม้ว่าเมื่อเรียนแล้วจะไม่จบการศึกษา ก็ยังสนใจที่จะศึกษาต่อ

ในสหรัฐอเมริกา สถิติคนที่อายุเกินกว่า 25 ปีได้ศึกษาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยจนจบการศึกษาขั้นปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย ซึ่งกลุ่มคนได้เรียนมหาวิทยาลัยในอัตราสูงจะอยู่ในที่ต่อไปนี้ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี (District of Columbia) ร้อยละ 45.9, รัฐแมสสาชูเสท (Massachusetts) ร้อยละ 37, รัฐแมรีแลนด์ (Maryland) ร้อยละ 35.1, รัฐโคโรราโด (Colorado) ร้อยละ 34.3, และรัฐคอนเนคติกัต (Connecticut) ร้อยละ 33.7 ส่วนรัฐที่มีสัดส่วนคนอายุ 25 ปีขึ้นไปที่ได้จบการศึกษาขั้นปริญญาตรีขึ้นไปในระดับต่ำนั้นประกอบด้วย รัฐเวอร์จิเนียตะวันตก (West Virginia) ร้อยละ 16.5, รองลงมาคือรัฐอาแคนซอว์ (Arkansas) ร้อยละ 18.2, รัฐมิสซิสซิปปี (Mississippi) ร้อยละ 18.8, รัฐเคนตักกี้ (Kentucky) ร้อยละ 20, และรัฐลุยเซียน่า (Louisiana) ร้อยละ 20.3

No comments:

Post a Comment