ประกอบ คุปรัตน์
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
แปลและเรียบเรียง
มูลนิธิก้าวไกลในเอเซีย
Springboard For Asia Foundation (SB4AF)
Updated: Sunday, May 11, 2008
From Wikipedia, the free encyclopedia
Keywords: ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
Pracob Cooparat
E-mail: pracob@sb4af.org
แปลและเรียบเรียง
มูลนิธิก้าวไกลในเอเซีย
Springboard For Asia Foundation (SB4AF)
Updated: Sunday, May 11, 2008
From Wikipedia, the free encyclopedia
Keywords: ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
ความนำ
หากอ่านประวัติของ Alexander Hamilton หลายคนจะสงสัยว่าคนที่มีความเป็นอัจฉริยะ และทิ้งผลงานอย่างมากมายอันเป็นรากฐานให้กับระบบการปกครองของสหรัฐนั้น ทำไมจึงไม่ได้เป็นประธานาธิบดี
อเลกซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) เกิดในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1755 หรือ 1757 และเสียชีวิตในวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1804 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (United States Secretary of the Treasury) คนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุคคลหนึ่งในคณะผู้ก่อการของประเทศสหรัฐ (a Founding Father) นักเศรษฐศาสตร์ (economist) นักปรัชญาการเมือง (political philosopher) เขาเป็นคนเรียกให้มีการประชุมที่เมืองฟิลาเดลเฟีย (the Philadelphia Convention) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประเทศใหม่ เป็นนักกฎหมายรัฐธรรมนูญคนแรก เป็นคนเขียนแนวคิดเกี่ยวกับระบบมีรัฐบาลกลาง (Federalist Papers) และเป็นผู้ตีความเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่สำคัญ (Constitutional interpretation)
อเลกซานเดอร์ แฮมิลตัน เกิดที่เมือง Nevis และได้รับการศึกษาในเขตที่เรียกว่า “อังกฤษใหม่” ( New England) ซึ่งเป็นเขตตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสหรัฐในปัจจุบัน เป็นเขตที่ชาวอังกฤษมาก่อตั้งชุมชนอาณานิคมใหม่ขึ้นในทวีปอเมริกา
เขาเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครร่วมรบในสงครามปฏิวัติสหรัฐ (American Revolution War) ที่ชาวอาณานิคมได้ยืนหยัดขบถไม่ยอมอยู่ในอำนาจการปกครองของอังกฤษอีกต่อไป โดยแฮมิลตันสมัครเป็นทหารพราน (Militia) และได้เติบโตในวงการทหาร ได้รับเลือกให้เป็นนายพันกองทหารปืนใหญ่ และได้เป็นนายทหารอาวุโสช่วยงาน (aide-de-camp) ของนายพลจอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ในการสู้รบในสงครามปฏิวัติ เป็นผู้นำกองทหารในการสู้รบใหญ่ 3 ครั้ง ในการเข้ายึดเมือง Yorktown (the Siege of Yorktown) และเมื่อสงครามได้ยุติลง เขาได้กลับเข้ามาทำงานด้านนิติบัญญัติให้กับรัฐนิวยอร์ค และเป็นชาวนิวยอร์คคนเดียวที่ลงนามในการประชุมใหญ่ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย
เมื่อนายพลจอร์จ วอชิงตันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ เขาได้รับบทบาทเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีบทบาทอย่างสูงในคณะรัฐมนตรีของวอชิงตัน
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของวอชิงตัน เขาได้ผลักดันให้เกิดนโยบายภาครัฐของรัฐบาลกลางใหม่ๆ โดยเขายกย่องระบบการเมืองของประเทศอังกฤษ แฮมิลตันเน้นการมีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง และนั่นหมายถึงต้องมีอำนาจทางการทหาร แต่ยังอยู่ภายใต้รัฐสภา (U.S. Congress) เขาต้องการให้มีระบบดูแลหนี้ของรัฐบาลกลาง โดยให้รัฐแต่ละรัฐ (State) ต้องมีบทบาทหน้าที่และรับผิดชอบด้านการจัดเก็บภาษีและจัดส่งสู่ส่วนกลางจำนวนหนึ่ง เขาสร้างระบบธนาคารกลาง และการกำหนดภาษีขาเข้าและภาษีเหล้า (whiskey tax)
ในราวปี ค.ศ.1792 แนวร่วมของ Hamilton และกลุ่มของ Jefferson-Madison ได้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแนวนโยบาย แฮมิลตันเน้นความเข้มแข็งของรัฐบาลกลาง (Federalist Party) และฝ่าย Jefferson-Madison เป็นพรรคเน้นสาธารณรัฐประชาธิปไตย (Democratic-Republican Party) ที่ไม่ต้องการขยายบทบาทของรัฐบาลกลาง และให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยในแบบที่ไม่มีกษัตริย์
ในช่วงการเลือกประธานาธิบดีคนที่สอง หลังจากยุควอชิงตัน เขาเลือกบุคคลที่เป็นคู่แข่งในพรรค Federalist คือจอห์น อาดัมส์ (John Adams) ทำให้กลุ่ม Federalist มีฐานสนับสนุนเหนือกลุ่มของ Thomas Jefferson ซึ่งทำให้ฝ่ายเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลกลางได้มีอำนาจในการบริหารประเทศต่อมา และเมื่อต้องมีการเลือกประธานาธิบดีสมัยต่อมาในปี ค.ศ. 1800 ผู้รับการเสนอชื่อสำคัญ 2 คนมีคะแนนเท่ากัน คือ Thomas Jefferson และ Aaron Burr แม้ฝ่าย Federalist ของเขาได้พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่เขาก็ใช้อิทธพลหันมาหนุนให้กับ Jefferson จึงทำให้ Jefferson ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และ Aaron Burr ทีมีคะแนนรองลงมาได้เป็นรองประธานาธิบดี โดยเห็นว่าระหว่างผู้รับการเลือกตั้งสองคนนี้
ในช่วงปี ค.ศ 1801 เมื่อเขาหมดบทบาทในรัฐบาลกลาง แฮมิลตันได้หันมาก่อตั้งหนังสือพิมพ์เป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่ม Federalist ที่มีชื่อว่า New-York Evening Post. ในช่วงดังกล่าว ได้มีการกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้งระหว่างเขาและรองประธานาธิบดี Aaron Burr จนในที่สุดมีการท้าดวลปืนกัน ซึ่งเป็นผลให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักและเสียชีวิตในวันต่อมา หลังจากสงครามในปี ค.ศ. 1812 กับประเทศอังกฤษ ฝ่ายที่เป็นปฏิบักษ์ของเขาในยุคต่อมา ก็หันมาใช้นโยบายของเขา คือสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบรัฐบาลกลาง คนเหล่านี้ได้แก่ Madison และ Albert Gallatin มีการจัดทำโปรแกรมของรัฐบาลกลางขึ้น อันได้แก่ การให้มีธนาคารแห่งชาติ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคส่วนกลาง การมีระบบภาษี การมีกองทัพบก กองทัพเรือที่ดำเนินการโดยรัฐบาลกลาง และแนวนโยบายที่เขาเสนอก็ยังมีบทบาทต่อมาจนถึงรัฐบาลสหรัฐในยุคปัจจุบัน
ชีวิตในวัยเริ่มแรก Early years
ภาพ Alexander Hamilton ในช่วงยังเยาว์วัย
จากคำบอกเล่าของเขา Hamilton เกิดที่เมือง Charlestown เป็นเมืองหลวงของ Nevis ในทางหมู่เกาะอินเดียตะวันตก (West Indies)
Nevis อ่านว่า นีวีส เป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะแคริบเบียน (Baribbean) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของหมู่เกาะ Lesser Antilles ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 350 กิโลเมตรทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ของ Puerto Rico และ 80 กิโลเมตรทางตะวันตกของ Antigua เป็นเกาะมีพื้นที่ประมาณ 93 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวงของ Nevis ชื่อ Charlestown.
Hamilton เป็นลูกที่เกิดนอกสมรสของนาง Rachel Faucett lavien อันมีเชื้อสายในราชวงศ์ Huguenot ของฝรั่งเศส กับ James A. Hamilton อันเป็นบุตรคนที่ 4 ของชาวสก๊อต ชื่อว่า laird Alexander Hamilton แห่ง Grange, Ayrshire. เขาเกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1755 หรืออาจเป็นปี ค.ศ. 1757 แม้นักประวัติศาสตร์ในยุคต่อมามีความเห็นว่าน่าจะเป็นปี ค.ศ.1955 Hamilton อาจพยายามแจ้งว่าเขาเกิดปี ค.ศ. 1757 เพื่อทำให้อายุน้อย เพราะในชั้นเรียน หากแจ้งว่าอายุมากก็จะดูแตกต่างจากเพื่อนร่วมห้องในรุ่นเดียวกัน และบางครั้งเขาอ้างว่าเกิดปี ค.ศ.1955 เพราะในขณะที่เขาต้องการทำงานหลังจากที่มารดาของเขาเสียชีวิต ในช่วงชีวิตของเขาไม่เคยได้พูดถึงอายุจริง เป็นลักษณะอายุประมาณการตลอด
แม่ของ Hamilton ได้เลิกกับ Johann Michael Lavien[6] แห่ง St. Croix เพื่อหนีจากชีวิตการแต่งงานที่ไม่มีความสุข แม่และเขาได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านเกิด คือที่ Nevis ที่ซึ่งเธอได้รับมรดกจากบิดาของเธอ แม่ของ Hamilton มีลูกสองคน คือ James, Jr., และ Alexander เพราะ James ผู้พ่อ และ Rachel ไม่เคยได้แต่งงานกันอย่างถูกกฎหมาย ทางศาสนา คือ Church of England จึงปฏิเสธ Alexander ที่จะได้เป็นสมาชิกของโบสถ์ และทำให้เขาไม่ได้รับการศึกษา ด้วยเหตุดังกล่าว Alexander น้อยนี้จึงต้องรับการศึกษาแบบครูสอนพิเศษ และเรียนร่วมกับชั้นเรียนที่เป็นของศาสนาในนิกายยิว Alexander ได้เลือกเรียนเสริมจากห้องสมุดของครอบครัว ซึ่งมีหนังสืออยู่ 34 เล่ม รวมทั้งหนังสือที่เกี่ยวกับกรีกและโรมัน
ในปีค.ศ. 1765 เพราะกิจการธุรกิจของครอบครัว จึงทำให้ James ต้องอพยพครอบครัวไปอยู่ที่ Christiansted, St. Croix และทำให้เขาต้องละทิ้งครอบครัว ทั้งแม่และลูกสองคนไว้ตามลำพัง Rachel ต้องช่วยตัวเองและลูกๆ ทำร้านค้าขนาดเล็กที่ Christiansted และในระยะต่อมาเธอได้ติดโรคไข้รุนแรง ทำให้เสียชีวิตในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1768 ทำให้ Alexander เป็นเด็กกำพร้าโดยปริยาย อันเป็นผลกระทบต่อจิตใจของเขาที่นับว่ารุนแรง แม้ในมาตรฐานของเด็กในยุคศตวรรษที่ 18 นั้น ในการตัดสินเกี่ยวกับมรดก ทำให้พี่น้องต่างมารดาของเขาได้รับมรดกไป ของหลายอย่างในครอบครัวต้องมีการประมูลกันออกไป แต่มีส่วนที่เป็นหนังสือนั้นญาติๆได้ช่วยกันประมูล และมอบให้ Alexander ด้วยเหตุว่าเขาเป็นคนสนใจศึกษาเล่าเรียน ในหลายปีต่อมา Alexander ได้รับจดหมายแจ้งการตายของพี่น้องต่างมารดาของเชา และได้มีเงินส่วนหนึ่งมีเงินส่วนหนึ่งที่ไม่มากนักให้มาด้วย
Alexander Hamilton ในขณะนั้นได้เข้าทำงานเป็นเสมียนห้างธุรกิจด้านนำเข้าและส่งออกสินค้า ชื่อ Beekman and Cruger ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับทาง New England ในขณะนั้นเขาได้รับอนุเคราะห์จากญาติ ชื่อ Peter Lytton และเมื่อ Peter ได้ฆ่าตัวตาย Alexander เองก็แยกทางจากพี่ของเขา คือ James โดย James ได้ฝึกงานเป็นช่างไม้ในท้องที่นั้น ส่วน Alexander ได้รับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมโดยพ่อค้าจาก Nevis ชื่อ Thomas Stevens มีหลักฐานบางประการบ่งว่า Stevens อาจเป็นพ่อแท้ๆตามสายเลือดของ Hamilton เพราะลูกชายของเขาอีกคน คือ Edward Stevens ซึ่งได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของ Alexander มีหน้าตาคล้ายกันมาก และทั้งคู่ต่างเก่งภาษาฝรั่งเศส และมีความสนใจในหลายๆอย่างคล้ายกัน
Alexander Hamilton คงทำงานเป็นเสมียน ยังคงเป็นนักอ่านที่จริงจัง พัฒนาตนเองทางด้านการเขียน และแสวงหาโอกาสของชีวิตนอกเกาะเล็กๆนั้น จดหมายฉบับแรกของ Hamilton ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ชื่อ Royal Danish-American Gazette พรรณนาถึงพายุเฮอริเคนที่ทำลายเมือง Christiansted ในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1772 ชาวเมืองและชุมชนของเขาได้ประทับใจในความสามารถนี้และได้รวบรวมเงินเป็นทุนส่งเสียให้ Hamilton น้อยนี้ได้มีโอกาสศึกษาต่อใน New England ที่มีความเจริญมากกว่า Hamilton ได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมในขณะนั้น (grammar school) ที่เมือง Elizabethtown, ในรัฐ New Jersey, อันเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ.1772.
การศึกษาEducation
ในปี ค.ศ. 1776 Hamilton ได้เข้าเรียนในหลักสูตรเตรียมอุดมศึกษา (college-preparatory program) กับ Francis Barber ที่เมือง Elizabethtown, ในรัฐ New Jersey ในช่วงดังกล่าว เขาได้รับอิทธิพลจากปัญญาชนนักปฏิวัติชื่อ William Livingston.[ตามประวัติ Hamilton อาจได้สมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยแห่ง New Jersey ในขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันคือ Princeton University แต่ไม่ได้รับโอกาส เพราะทางสถาบันเห็นว่าเขามีพื้นฐานมาแบบกวดวิชา Hamilton ได้ตัดสินใจเข้าเรียนที่ King's College ซึ่งในปัจจุบันคือ Columbia University ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง New York City ขณะที่ศึกษาอยู่ที่ King's College เขาและเพื่อนร่วมชั้นได้จัดตั้งสมาคมนักเขียนและนักโต้วาที ซึ่งได้กลายเป็นสมาคมชื่อ Philolexian Society แห่งมหาวิทยาลัย Columbia ในปัจจุบัน
เมื่อทางศาสนานิกาย Church of England โดยพระชื่อ Samuel Seabury โดยออกเอกสารสนับสนุนกลุ่ม Tory ในอังกฤษ ในปีต่อมา Hamilton ได้ตอบโต้ด้วยงานเขียนทัศนะด้านการเมืองของเขา ชื่อ, A Full Vindication of the measures of Congress, และ The Farmer Refuted งานทั้งสองชิ้นนี้เป็นการโจมตี นิติบัญญัติชื่อ Quebec Act แล้วเขายังเขียนงานที่ไม่ลงชื่อผู้แต่งอีก 14 รายการ ลงในคอลัม "The Monitor" ให้กับ Holt's ในหนังสือพิมพ์ชื่อ New York Journal. อย่างไรก็ตาม แม้ Hamilton เป็นฝ่ายสนับสนุนการปฏิวัติประกาศอิสรภาพจากอาณานิคมอังกฤษในช่วงเริ่มแรกนี้ แต่เขาไม่เห็นด้วยที่จะใช้ฝูงชนเข้าตอบโต้กับฝ่ายอังกฤษ หรือคนที่ไม่เห็นด้วย ในหลักฐานหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับคือ เขาได้ปกป้องอธิการบดีของ King’s Collegeซึ่งอยู่ในกลุ่มสนับสนุน Tory ที่ชื่อว่า Myles Cooper โดยได้พูดปราศรัยกับฝูงชนที่บ้าคลั่งเป็นเวลานานพอที่จะทำให้ Cooper ได้หนีจากสถานการณ์อันตรายนั้นได้ทัน
ในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพ
During the War of Independence
Alexander Hamilton ในเครื่องแบบทหารปืนใหญ่แห่งรัฐนิวยอร์ค เขียนภาพโดย Alonzo Chappel ศิลปินที่มีอายุอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1828-1887
ชีวิตทางการทหารเริ่มแรกEarly military career
ในปี ค.ศ 1775 ในช่วงที่มีการสู้รบกันระหว่างกองกำลังฝ่ายอเมริกัน กับฝ่ายอังกฤษที่เมืองบอสตัน (Boston) Hamilton ได้เข้าร่วมกับกองกำลังอาสาสมัครแห่งนิวยอร์ค ได้มีการจัดตั้งเป็นกองทหารพรานอาสาสมัคร เรียกตัวเองว่า กลุ่ม the Hearts of Oak, ในการจัดตั้งนี้เป็นการร่วมกับนักศึกษาของวิทยาลัย King's College เขาได้ฝึกฝนกองทหารของเขาก่อนเข้าชั้นเรียนที่สุสานใกล้กับโบสถ์ ชือ. St. Paul's Chapel. เขาศึกษาประวัติศาสตร์การทหาร และยุทธวิธีต่างๆด้วยตัวเอง และได้ก้าวหน้าในอาชีพทหารจนรับตำแหน่งเป็นนายร้อยแห่งกองทัพ
ในช่วงถูกโจมตีจาก the HMS Asia, เขาได้นำทหารรุกเข้าชิงปืนใหญ่จากฝ่ายกองทัพอังกฤษ การได้ครอบครองปืนใหญ่และการควบคุมคณะทหารของเขา จึงทำให้ได้ฉายาว่า กองกำลังปืนใหญ่ Hearts of Oak และด้วยความที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มรักชาติแห่งเมืองนิวยอร์คอย่าง Alexander McDougall และ John Jay เขาได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทหารปืนใหญ่ที่มีกำลังพล 60 คนในปี ค.ศ. 1776 และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายพัน (Captain) กองทหารของเขาได้เข้าร่วมรณรงค์ในปี ค.ศ. 1776 ในเขตรอบๆเมืองนิวยอร์ค ได้เข้าร่วมในการรบที่ the Battle of White Plains; และที่ Battle of Trentonโดยเขาได้ตั้งมั่นในที่สูงของเมืองซึงในปัจจุบันคือเขต Warren และถนนชื่อ Broad Streets เพื่อตรึงกำลังกลุ่ม Hessians ให้จำกัดอยู่ในป้อม Trenton Barracks.[22]
คณะทำงานให้กับ WashingtonWashington's staff
Hamilton ได้รับเชิญเข้าร่วมกับนายพลคนสำคัญของฝ่ายปฏิวัติ ได้เป็นนายทหารประจำตัวของ Nathaniel Greene และคนอื่นๆจนในที่สุด ได้เป็นคณะทำงานให้กับผู้บัญชาการรบสูงสุด คือ
เขาได้ร่างจดหมายคำสั่งและการสั่งการ และในที่สุดได้รับอนุญาตจาก Washington ให้สามารถสั่งการแทนได้ด้วยลายเซนต์ตนเอง Hamilton ได้เข้าเกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ทั้งการสืบราชการลับ การฑูต และการเจรจากับบรรดานายพลต่างๆ ทั้งในฐานะฑูตและจารบุรุษ ได้รับความไว้วางใจจาก Washington อย่างสูงด้วยความสามารถและบุคลิกในขณะนั้น และในระยะต่อมา อำนาจเหล่านี้เป็นอำนาจอันเกิดจากความไว้วางใจที่เจ้านายมีต่อเขา
ในสถานการณ์สำคัญหนึ่ง Washington ได้ส่ง Hamilton ไปพบนายพล Horatio Gates เพื่อต่อรองการโอนคนของ Gates ไปสู่ Washington ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจและทำให้เกิดเหตุการณ์ใกล้กับการล้มล้างอำนาจของ Washington ที่เรียกว่า "Conway Cabal" อันประกอบด้วย Conway, Gates, และคนอื่นๆ ได้วิพากษ์ Washington และมีความพยายามที่จะปลดเขาออกจากเป็นผู้บัญชาการกองทัพฝ่ายภาคพื้นทวีป และโดยไม่ใช่ความผิดของ Hamilton จดหมายดังกล่าวที่มีถึงรัฐสภาได้เปิดเผยสู่สาธารณะ Washington โกรธมากและเรียกให้ต้องมีการชี้แจง เพื่อหลีกเลี่ยงจากเรื่องนี้ Gate แก้ตัวว่า Hamilton ได้ขโมยเอกสารของเขาไปในขณะเรียกกำลังพล แต่เหตุการณ์ปรากฎว่า Hamilton ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแต่ประการใด แต่คำกล่าวนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจกันเป็นส่วนตัวระหว่าง Hamilton กับ Gates และ Hamilton ได้แสดงให้เห็นความสวามิภักดิ์ของเขาต่อ Washington ตลอดเวลาต่อมา
ในช่วงสงคราม Hamilton ได้สร้างพรรคพวกเพื่อนฝูงกับบรรดานายทหารทั้งหลาย รวมทั้ง John Laurens และ Marquis de Lafayette.ในช่วงดังกล่าว Jonathan Katz ได้เปิดเผยจดหมายของ Laurens แสดงเป็นนัยว่า Hamilton อาจมีลักษณะเป็นพวกรักร่วมเพศ Ron Chernow แสดงเป็นนัยเมื่อมีการสื่อสารกับ Laurens ในอีกด้านหนึ่ง Thomas Flexner ได้แสดงสัมพันธ์ในลักษณะรักร่วมเพศกับ Lafayette ซึ่งมีนักประวัติศาสตร์บางส่วนให้ความเห็นว่าผู้เขียนบันทึกอัตตชีวประวัติของคนในสมัยปลายศตวรรษที่ 18 ได้ตีความข้อความในยุคนั้นไม่เข้าใจยุคแห่งอารมณ์ร่วม (age of sentiment)
แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ Hamilton ได้อยู่ในสถานะของอำนาจ แม้ไม่ใช่อำนาจโดยตรงของเขา แต่เป็นอำนาจที่มีฐานจาก Washington แต่ก็ทำให้มีทั้งคนที่รักและพอใจในการทำงานของเขา ทำให้มีพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นฐานอำนาจให้ในเวลาต่อมา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้มีคนที่ไม่ชอบอย่างมากๆ ทั้งในส่วนตัวของเขา และในแนวคิดและอุดมการณ์ที่เกี่ยวกับการปกครองประเทศ
ชีวิตครอบครัวและการแต่งงาน
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1779 Hamilton ได้เขียนจดหมายถึงเพื่อนชื่อ John Laurens เพื่อให้เขาช่วยเสาะหาคนที่เหมาะสมจะเป็นภรรยาของเขาที่ South Carolina เขาเขียนจดหมายถึงเพื่อนเกี่ยวกับลักษณะหญิงที่ต้องการดังต่อไปนี้
เธอต้องยังสาว สวย (ผมขอเน้นว่าต้องมีรูปร่างดี) มีความเป็นเหตุเป็นผล มีการศึกษาดีก็ยิ่งดี ได้รับการอบรมดี เป็นพรหมจรรย์ และอ่อนหวาน ผมเป็นคนจริงจังกับความซื่อสัตย์และความรักอย่างจริงใจ เป็นคนใจกว้าง ไม่งกเงิน ผมไม่ชอบคนที่ปากร้าย และคนที่เอาแต่คิดเรื่องเงินดังเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ในทางการเมืองนั้นผมไม่สนใจว่าเธอมีทัศนะอย่างไร จะอยู่ฝ่ายไหน เพราะผมคิดว่าผมคงสามารถเปลี่ยนใจเธอให้เห็นตามผมได้ ในทางศาสนา หาระดับกลางๆพอ เธอต้องเชื่อในพระเจ้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นพวกคลั่งไคล้ แต่ในด้านโชคลาภแล้ว หากเธอมีฐานะเท่าใดก็ยิ่งดี
Alexander Hamilton ฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 1779
Hamilton ได้พบเจ้าสาวของเขาเองในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1780 โดยเขาได้แต่งงานกับ Elizabeth Schuyler, ธิดาของนายพล Philip Schuyler, ผู้ที่ทั้งรวยและมีอำนาจทางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่งของรัฐนิวยอร์ค การแต่งงานมีขึ้นที่คฤหาสถ์ของ Schuyler Mansion ใน Albany, New York.
Hamilton มีความใกล้ชิดอย่างมากับน้องสาวของ Eliza ชื่อ Angelica Church ซึ่งแต่งงานกับ Barker Church, ซึ่งเป็นสมาชิกรัฐสภาขออองประเทศอังกฤษ (Member of Parliament in Great Britain) นักประวัติศาสตร์บางคนคาดเดาว่าเขาอาจมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาวกับ Angelica แต่เนื่องด้วยเอกสารต่างๆมีการเรียบเรียงใหม่ มีการตัดตอนจากบรรดาลูกหลาน จนยากที่จะยืนยันได้แน่ชัด
ภายใต้สหพันธรัฐ (Under the Confederation)
ในการก่อตั้งประเทศในช่วงแรกยังอยู่ในสถานะ สหพันธรัฐ (A confederation) อ้นหมายถึงกลุ่มของชุมชนหรือรัฐ สรรสร้างขึ้นด้วยข้อตกลง โดยมีรัฐธรรมนูญร่วมกัน สหพันธรัฐมีแนวน้าที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์วิกฤติที่เกิดขึ้น เช่น มารวมตัวกันเพื่อการป้องกันประเทศร่วมกัน เพื่อการต่างประเทศ การค้าขายระหว่างประเทศ การกำหนดค่าเงินร่วมกัน โดยมีรัฐบาลกลางเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนสมาชิกชุมชนหรือรัฐ
ในช่วงการเกิดประเทศสหรัฐอเมริกามีลักษณะที่ยังไม่มีความเป็นประเทศดังที่เป็นในปัจจุบัน
Hamilton เข้าสู่สภาHamilton enters Congress
หลังจากงานในหน้าที่ของเขาที่ Yorktown เขาได้ลาออกจากหน้าที่และเข้าสู่การเมือง โดยได้รับเลือกเป็นสมาชิกจาก Niew York ในคณะ Continental Congress ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1782 ในขณะที่เขาทำงานเป็นทีมงานการทหารให้กับนายพลวอร์ชิงตัน เขาอึดอัดกับธรรมชาติของสภาฯ (Continental Congress) ที่มีลักษณะการกระจายอำนาจที่ไม่มีความสะดวกในการบริหารการเงินที่จะใช้ในกิจกรรมสงคราม สภาฯในช่วงปฏิวัติไม่มีอำนาจในการเรียกเก็บภาษี หรือไม่มีเงินจากแต่ละรัฐมาช่วย และด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้เกิดการขาดแคลนการส่งกำลังบำรุงและการสนับสนุนในเกือบจะทุกด้าน ทั้งเงินเดือนทหาร เสบียงกรัง ดังนั้นเมื่อเขาเข้าสู่สภาฯ เป้าหมายของเขาคือการเพิ่มอำนาจให้กับรัฐบาลกลาง และการทำให้รัฐบาลกลางที่ต้องอยู่ในสถานะสู้รับได้มีความเป็นอิสระในทางการเงินมากขึ้น
สำหรับคนอื่น รวมถึง James Madison เป็นส่วนที่ต้องการให้มีมาตรการทางการเงินที่จะให้รัฐบาลกลาง (Federal government) มีความเป็นอิสระในการจัดการด้านการเงิน และในเรื่องดังกล่าว Madison ได้ร่วมกับ Hamilton ในการผลักดันให้มีการจัดเก็บภาษีเข้าสู่รัฐบาลกลางได้ร้อยละ 5 จากการนำสินค้าเข้าในทุกรายการ ภาษีนี้ไม่เคยไดรับการอนุมัติอย่างเต็มที่ และดังนั้นจึงยังไม่ได้เป็นกฎหมาย Hamilton และ Madison ยังได้ร่วมกันผลักดันให้รัฐบาลกลางสามารถมีกฎหมายที่ต้องอยู่เหนือกฎหมายของแต่ละรัฐ (Individual states)
ในรัฐสภาและกองทัพ Congress and the army
สำหรับเพื่อนร่วมงานในแนวทางเดียวกับ Hamilton ที่สำคัญได้แก่ ผู้ดูแลด้านการเงิน (superintendent of finance) ชื่อ Robert Morris, และผู้ช่วของเขาชื่อ Gouverneur Morris ได้พยายามผลักดันให้เกิดแหล่งเงินที่เป็นอิสระเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลกลาง (Federal government) เพื่อให้สามารถจ่ายเงินค้างจ่ายเบี้ยบำนาญสำหรับคนที่ไปทำหน้าที่เป็นทหาร เขาได้เข้าร่วมกับกลุ่มคนดังกล่าวที่จะผลักดัน โดยอาศัยความไม่พอใจของบรรดาทหาร ดังในกรณีของ Newburgh conspiracy เพิ่มแรงผลักดันให้ใช้บังคับในทั้งสองกรณี ในวันที่ 15 มีนาคม วอร์ชิงตันได้เข้าแก้ไขสถานการณ์ โดยในช่วงหลังจากนั้นเขาได้เขียนจดหมายถึง Hamilton ตำหนิในสิ่งที่เขาคิดว่า Hamilton ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าว
ในที่สุดสภาฯ ได้ผ่านกฎหมายที่เป็นข้อตกลงด้านเบี้ยบำนาญและการจ่ายเงินเดือนให้ 5 ปีสำหรับเงินเดือนและค่าจ้างในการเป็นทหาร และอีกครั้งหนึ่งที่รัฐไม่ได้ให้การอนุมัติตามมาตรการที่เสนอ ทหารจำนวนมากไม่ได้รับเงินบำนาญทีค้างจ่าย สภาฯได้มีคำสั่งเลิกทัพและไม่มีการจ่ายเงินบำนาญในช่วงเดือนเมษายน ค.ศ. 1783
ในช่วงเดือนมิถุนายน ได้มีกลุ่มทหารอื่นๆจาก Lancaster, Pennsylvania ได้ยื่นจดหมายเรียกร้องให้มีการจ่ายเงินเดือนที่ค้างไว้ และเมื่อพวกเขาเริ่มเดินขบวนไปยัง Philadelphia สภาฯได้สั่งให้ Hamilton และคนอื่นๆอีก 2 คน ได้เข้าหยุดฝูงชน Hamilton ได้ขอกำลังทหารพราน (Militia) จากสภาบริหารสูงสุดแห่ง Pennsylvania แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ Hamilton ได้สั่งให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีสงคราม William Jackson ให้เข้าไปหยุดฝูงชน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ในที่สุดฝูงคนที่ไม่พอใจได้มาถึงเมือง Philadelphia และเข้ากดดันรัฐสภาเพื่อให้จ่ายค่าจ้าง ประธานรัฐสภาในขณะนั้น คือ John Dickinson ไม่มีความไว้วางใจกองทหารพรานจากรัฐ Pennsylvania จึงปฏิเสธความช่วยเหลือ Hamilton ได้แนะนำให้ย้ายสภาฯ ไปอยู่ที่เมือง Princeton ในรัฐ New Jersey รัฐสภาได้ตอบตกลง และได้ย้ายไปตั้งอยู่ ณ เมืองดังกล่าว
ด้วยความที่อึดอัดในความอ่อนแอของรัฐบาลกลาง Hamilton ได้ร่างบางมาตราที่ว่าด้วยความเป็นสหพันธรัฐในขณะที่อยู่ที่เมือง Princeton คำร่างนั้นเป็นหลายๆส่วนของรัฐธรรมนูญของสหรัฐ ที่ทำให้มีรัฐบาลกลางที่แข็งแรง มีความสามารถในการจัดเก็บภาษีและการจัดตั้งกองทัพบกได้ รวมถึงการแบ่งอำนาจของสามสถาบัน อันได้แก่ ฝ่ายบริหาร (Executive), ฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislative) และฝ่ายตุลาการ (Judicial branches)
วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีในช่วงแรก 3 คน 5 สมัย
คนที่
ประธานาธิบดีPresident
เข้ารับตำแหน่งTook office
พ้นจากตำแหน่งLeft office
พรรคการมืองParty
รองประธานาธิบดีVice President
วาระTerm
George Washington
April 30, 1789
March 4, 1797
No party
John Adams
1
2
2 - John Adams
March 4, 1797
March 4, 1801
Federalist
Thomas Jefferson
2 -
3 - Thomas Jefferson
March 4, 1801
March 4, 1809
Democratic-Republican
4. Aaron Burr
5 - George Clinton[1]
กลับสู่นิวยอร์คReturn to New York
Hamilton ได้ลาออกจากสภาฯ และในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1783 ได้รับเข้าเป็นสมาชิกของเนติสภาแห่งรัฐนิวยอร์ค (New York Bar) ทั้งนี้โดยเขาได้ใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองอยู่หลายเดือน เขาได้เริ่มทำงานด้านกฎหมายที่เมืองนิวยอร์ค และเชี่ยวชาญในเรื่องที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง Tories และเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศอังกฤษ Rutgers v. Waddington ที่เขาว่าความให้การเรียกร้องค่าเสียหายโรงกลั่นเหล้าของชาวอังกฤษที่ทางทหารได้เข้ายึดครองในช่วงสงคราม โดยเขาได้เสนอให้การตีความตามกฎหมายต้องให้ยึดหลักข้อคกลงตามข้อตกลงปารีส (1783 Treaty of Paris) ที่มีผลทำให้สงครามปฏิวัติได้ยุติลง
ในปี ค.ศ. 1784 เขาได้ก่อตั้งธนาคารแห่งนิวยอร์ค (Bank of New York) ซึ่งตราบถึงปัจจุบัน จัดเป็นธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา Hamilton ยังได้เป็นผู้กลับไปบูรณะ King's College ซึ่งต้องปิดตัวลงในช่วงสงครามปฏิวัติ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Columbia College วิทยาลัยดังกล่าวได้รับความเสียหายอย่างมากในช่วงสงคราม งานด้านสาธารณะของเขาได้กลับมาเริ่มอีกครั้งเมื่อเขาเข้าร่วมการประชุม Annapolis Convention โดยเป็นตัวแทนจากรัฐ ซึ่งทำให้ความหวังของเขาประสบผล คือการทำให้มีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง มีอำนาจ มีอิสระทางการเงิน สามารถมีกฎหมายรองรับจัดเก็บภาษีเพื่อมาดำเนินการได้
การร่างรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลกลาง
Constitution and the Federalist Papers
ภาพวาดของ Alexander Hamilton ไม่นานนักหลังสงครามประกาศอิสรภาพ
ในปี ค.ศ. 1787 Hamilton ได้ร่วมเป็นสมาชิกรัฐสภาจากเขต New York County ในรัฐสภาของรัฐนิวยอร์ค และเป็นสมาชิกคนแรกที่ได้เข้าไปร่วมในสภาร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional Convention) แม้เขาจะเป็นหนึ่งในผู้นำที่เรียกร้องให้มีการประชุมเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ แต่บทบาทโดยตรงของเขาต่อการร่างฯ น้อยมาก
ส่วนของผู้ว่าการรัฐในขณะนั้น คือ George Clinton ได้เลือกตัวแทนอีกสองคน คือ John Lansing และRobert Yates ให้เป็นตัวแทน และทั้งสองมีทัศนะที่ตรงกันข้ามกับ Hamilton ที่ต้องการให้มีรัฐบาลกลางที่แข็งแรง และเมื่อใดที่ทั้งสองคนปฏิเสธการลงคะแนนเสียงและเดินออกจากที่ประชุม แม้ Hamilton จะอยู่ในที่ประชุม แต่ก็ไม่มีสิทธิโวตสนับสนุน ได้ เพราะตามข้อตกลง ตัวแทนรัฐจะออกเสียงได้จะต้องมีเสียงที่ห็นด้วยอย่างน้อยสองในสาม
.ในระยะแรกของการประชุม สุนทรพจน์ของ Hamilton มีลักษณะความเป็นระบบกษัตริย์ แสดงความดุดันเผ็ดร้อน แต่มีผลต่อการประชุมไม่มากนัก ข้อเสนอของเขาคือการให้ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้ง และวุฒิสมาชิกของรัฐสภามาจากการเลือกตั้ง แต่ให้อยู่ในตำแหน่งได้จนตลอดชีวิตขึ้นอยู่กับคามประพฤติ และการจะถอดถอนให้เป็นเรื่องของการคอรัปชั่นและการใช้อำนาจอย่างผิดๆ แผนงานของเขาเน้นไปที่เสรีภาพแห่งสาธารณรัฐ (liberties of a republic) ซึ่งเป็นตัวป้องกันระบบความสับสนยุ่งเหยิง และในอีกด้านหนึ่งคือการไม่ปล่อยให้มีเผด็จการเข้าครองอำนาจ แนวคิดของเขาไว้ใจประชาชนและเชื่อในสติปัญญาของประชาชนน้อย สำหรับการลงคะแนนเสียงของรัฐสภาให้ใช้การลงคะแนนลับ เพื่อให้สมาชิกสามารถได้ลงมติได้อย่างเสรี และการแสดงความคิดเป็นไปอย่างกว้างขวาง และด้วยความที่เสนอให้วาระการดำรงตำแหน่งของผู้อยู่ในอำนาจเป็นไปตลอดชีวิต ทำให้คนในยุคต่อๆมามองเขาว่ามีลักษณะเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราช (Monarchial) และหลายๆฝ่ายมองเขาว่าเป็นพวกที่นิยมระบบกษัตริย์
ในที่ประชุมของสภาร่างรัฐธรรมนูญ เขาได้ร่างรัฐธรรมนูญในแบบของเขาเพื่อเป็นฐานของการอภิปราย แต่ไม่ได้มีโอกาสนำเสนอจริง ข้อร่างของเขามีรายละเอียดเหมือนกับเป็นรัฐธรรมนูญจริง มีรายละเอียดจนถึงระดับการออกเสียงที่เสนอให้ใช้สองในห้า (three-fifths clause) สมาชิกวุฒิสภาให้มาจากการเลือกตั้งตามสัดส่วนประชากร การเลือกประธานาธิบดีและวุฒิสมาชิกเป็นแบบซ้อนหลายระดับ (complex multi-stage elections) โดยประชาชนเป็นผู้เลือก “ผู้ทำหน้าที่เลือก” (Electors) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นองค์ประชุมของคณะผู้เลือก ซึ่งเขาเหล่านี้จะอยู่ในตำแหน่งตลอดชีวิต แต่จะถูกถอดถอนด้วยเหตุแห่งความประพฤติ ประธานาธิบดีจะมีสิทธิคัดค้าน (absolute veto) มีระบบศาลสูง (Supreme Court) ซึ่งจะทำหน้าที่ดูแลด้านกฎหมายทั่วมวลของประเทศ ผู้ว่การรัฐ (State governors) ได้รับการต่างตั้งจากรัฐบาลกลาง (Federalgovernment)
ในการสิ้นสุดของการประชุม Hamilton ก็ยังไม่พอใจกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายนัก แต่ก็ร่วมลงนาม ส่วนที่ว่าด้วยความเป็นสหพันธรัฐ (Confederation) ได้มีการปรับเปลี่ยนไปมากพอสมควร และเขาได้ผลักดันให้ตัวแทนจากรัฐได้ร่วมลงนามด้วย
ด้วยความที่สมาชิกตัวแทนจากรัฐนิวยอร์คอีกสองคน อันได้แก่ Lansing และ Yates ได้ถอนตัวไป Hamilton จึงเป็นเพียงคนเดียวจากรัฐนิวยอร์คที่ได้ร่วมลงนามในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐ
Hamilton ได้เข้ามีบทบาทอย่างมากในการรณรงค์ให้มีการปรับปรุงบทว่าด้วยรัฐบาลกลางที่ได้จัดให้มีขึ้นที่ New York ในปี ค.ศ. 1788 ซึ่งจัดเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยได้สรรหาผู้ร่วมความคิดอนได้แก่ John Jay และ
การเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
Secretary of the Treasury: 1789–1795
ประธานาธิบดี
Hamilton เป็นคนทำงานมีประสิทธิภาพ ภายในหนึ่งปี เขาได้ส่งรายงาน 5 เรื่องที่สำคัญและเป็นรากฐานดังต่อไปนี้
1. รายงานสถานะการเงิน (First Report on the Public Credit) รายงานต่อสมาชิกสภาผู้แทนในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1790
2. การดำเนินการด้านจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้า (Operations of the Act Laying Duties on Imports:) ต่อสมาชิกสภาผู้แทนในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1790
3. รายงานสถานะการเงินของสาธารณรัฐครั้งที่ 2 (Second Report on Public Credit) รายงานต่อสมาชิกสภาผู้แทนในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1790
4. รายงานการจัดตั้งโรงกษาปน์ (Report on the Establishment of a Mint) สื่อสารต่อสภาผู้แทนฯ ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1791
5. รายงานด้านการดำเนินการด้านระบบอุตสาหกรรม (Report on Manufactures) สื่อสารต่อสภาผู้แทนฯ ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1791
รายงานสถานการเงิน
Report on Public Credit
ในรายงานด้านการเงิน (Public Credit) ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไดเสนอให้รัฐบาลกลาง (Federal Government) มีหน้าที่รับผิดชอบต่อหนี้ในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพ (ค.ศ. 1776) ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลางมีอำนาจในการรับผิดชอบด้านการเงิน แทนที่จะเป็นรัฐบาลของแต่ละรัฐ (Stae governments)
คำวิพากษ์ในแผนงานนี้มาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (Secretary of State) ในคณะรัฐบาลเอง ซึ่งคือ
ส่วน Madison ได้วิจารณ์ข้อเสนอของ Hamilton เห็นว่าควรจะลดอัตราดอกเบี้ย และควรเลื่อนการจ่ายเงิน หรือเห็นว่าไม่ควรต้องจ่ายเต็มตามจำนวน และเขาเห็นว่าจะทำให้เกิดการคาดการณ์ผลประโยชน์ต่างๆที่จะตกอยู่กับคนบางกลุ่ม ส่วนเงินหนี้ที่ได้ใช้ไปในสงครามนั้นจะไปตกกับทหารผ่านศึก ซึ่งสภาภาคพื้นทวีป (
ส่วน Samuel Livermore จาก New Hampshire หวังว่าควรจะมีการสกัดพวกเก็งกำไร และทำให้ภาระเสียภาษีลดลง โดยมีการจ่ายเพียงบางส่วนของเงินพันธบัตรที่รัฐบาลได้ค้ำประกันไปแล้ว ความไม่เห็นด้วยระหว่าง Madison และ Hamilton ได้กลายเป็นความเห็นที่แตกต่างระหว่างฝ่าย Jefferson และ Hamilton ที่ได้ยืดยาวไปสู่ส่วนอื่นๆที่มีการเสนอต่อรัฐสภา (Congress) ฝ่าย Hamilton ได้เป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้สนับสนุนให้มีรัฐบาลกลางที่แข็งแรง (Federalists) และฝ่าย Jefferson ถือเป็นฝ่าย “สาธารณรัฐ (Republicans)
ความแตกต่างระหว่าง Hamilton และ Jefferson นั้นเป็นความแตกต่างกันทั้งทางด้านแนวคิด การดำเนินการ และพื้นฐานดั่งเดิม Hamilton เป็นฝ่ายที่ต้องปฏิบัติงานที่เขาประสบกับความขัดสนของกองทัพที่ไม่สามารถได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ และขณะเดียวกันต้องเริ่มกองทัพที่มีแต่เด็กหนุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกฝนทางการทหารมาก่อน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายรัฐสภา ที่มีตัวแทนมาจากทางรัฐแต่ละรัฐที่เป็นผู้มีพื้นฐานจากชนชั้นสูง มีการศึกษา มีฐานะทางครอบครัวที่ดี และไม่ได้เป็นฝ่ายไปรบในสงคราม ไม่ได้เห็นปัญหาทีได้เกิดขึ้นในภาคสนาม Hamilton เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ฉลาด เรียนมาสูง สู้ชีวิตจากครอบครัวที่ยากจน ปากกัดตีนถีบ แต่ Jefferson เป็นคนฉลาดอย่างมากเช่นกัน เรียนมาสูง คิดอย่างปรัชญา แต่ไม่ได้ลงปฏิบัติในสนามรบเหมือนกับ
Hamilton แม้เป็นฝ่ายกำลังทหารต่อสู้กับอังกฤษ แต่ชื่นชอบระบบการปกครองและแนวทางแบบอังกฤษ ส่วน Jefferson ในฐานะทำงานการฑูตและการต่างประเทศ ได้เห็นและชื่นชอบระบบของฝรั่งเศส
แม้ในท้ายสุดทุกฝ่ายจะเห็นด้วยในความจำเป็นต้องมีเมืองหลวง (Capital City) เพื่อเป็นศูนย์กลางทางการบริหาร แต่ฝ่าย Hamilton ก็ต้องเจรจาและยอมตาม Jefferson ที่ต้องการให้เมืองหลวงตั้งอยู่ในบริเวณแม่น้ำ Potomac และ Jefferson ก็เป็นฝ่ายชักจูงส่วนอื่นๆให้ยอมรับแผนงานด้านการจัดตั้งรัฐบาลกลาง การแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาลกลาง และการผลักดันให้มีนิติบัญญัติขึ้นมารองรับ และผ่านร่างไปในที่สุดในวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1790
การจัดตั้งโรงกษาปณ์
(Founding the U.S. Mint)
Hamilton ได้ผลักดันให้เกิดระบบโรงกษาปณ์ (United States Mint) ธนาคารแห่งชาติ (first national bank) และเพื่อให้สามารถมีอำนาจบังคับด้านการเสียภาษี จึงได้มีหน่วยงานที่เรียกว่า Revenue Cutter Service ทำหน้าที่โดยมีกองเรือติดอาวุธ มีหน้าที่สมบูรณ์ในการตรวจจับผู้ลักลอบน้ำเข้าหรือส่งออกสินค้า โดยหลีกเลี่ยงหรือหนีภาษี ในระยะต่อมา หน่วยงานนี้ได้เปลี่ยนเป็น United States Coast Guard ซึ่งในช่วงแรกมีหน้าที่ในการบังคับการดำเนินการด้านภาษีสินค้าน้ำเข้าและส่งออก ระบบที่นำเสนอโดย Hamilton ลดความสับสนของระบบการเงิน สร้างเสถียรภาพ ทำให้ประเทศมีเครื่องมือที่จะใช้ในการค้าขายทั้งภายในและระหว่างประเทศ สร้างความั่นใจให้กับนักลงทุนด้วยการมีพันธบัตรรับประกันโดยรัฐบาลกลาง (Government bonds)
แหล่งของการเงิน
Sources of revenue
แหล่งการเงินที่จะมีขึ้นให้กับรัฐบาลกลาง คือการจัดเก็บอากรเหล้า (excise tax on whiskey) ฝ่ายที่ต่อต้านการจัดเก็บภาษีเหล้าคือพวกที่เป็นผู้ผลิตฝ้าย (cottage producers) ในเขตชนบทห่างไกล เพราะคนกลุ่มดังกล่าวมองเห็นว่าการต้มเหล้าบริโภคกันเองนั้น คือเป็นสิทธิของประชาชนที่จะทำได้ จึงทำให้เกิดกบฎเหล้า (Whiskey Rebellion) ขึ้นในปี ค.ศ. 1794; ในแขตตะวันตกของรัฐเพนซิลเวเนีย (Western Pennsylvania) และตะวันตกของเวอร์จิเนีย (western Virginia) ซึ่งในขณะนั้น เหล้าถือเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนที่เปรียบเหมือนทำหน้าที่แทนเงินในชุมชน แต่ในช่วงดังกล่าว ได้มีการระดมกำลังคนเพื่ออำนาจรัฐบาลกลาง ที่มากเสียยิ่งกว่าในการรบในสงครามประกาศอิสรภาพ ทัพที่นำโดยนายพล Henry "Light Horse Harry" Lee ที่ประธานาธิบดี
ระบบอุตสาหกรรม
Manufacturing and industry
อนุสาวรีย์ Hamilton โดย Franklin Simmons, กำลังมองไปยัง Great Falls of the Passaic River ใน Paterson, รัฐ New Jersey. Hamilton มองว่าน้ำตกหรือพลังน้ำนี้จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนโรงงานต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
รายงานระบบอุตสาหกรรม (Report on Manufactures) ที่มีต่อรัฐสภา โดยไม่มีการอภิปรายกันมากนัก ยกเว้น Madison ได้อภิปรายในประเด็นเพื่อสวัสดิการทั่วไป ในขณะนั้น เขตอาณานิคม และเมื่อเป็นประเทศใหม่ อเมริกาก็ยังเป็นดินแดนชนบทที่ห่างไกลความเจริญ เป็นเขตการเกษตรที่ส่งผลผลิตไปขายยังยุโรป
ใน ค.ศ. 1791 Hamilton ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ทำงานในฐานะเอกชนที่จะจัดตั้ง “สมาคมก่อตั้งระบบอุตสาหกรรมที่เป็นประโยชน์” (Society for the Establishment of Useful Manufactures) จัดเป็นวิสาหกิจเอกชนที่จะใช้อำนาจในการอุตสาหกรรมโดยตรง ในระยะแรกไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากการปล่อยให้มีการเช่าที่ดินให้แก่คนที่จะนำไปทำโรงสีข้าว และพลังงานในโรงงานอื่นๆ ที่ส่งผลในช่วง 150 ปีต่อมา เมื่อสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนไปเป็นเมืองอุตสาหกรรมมากขึ้น
การเกิดพรรคใหม่
Emergence of parties
ประธานาธิบดี
กลุ่มในแนวทางของ Hamilton ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กลายเป็นกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์ของตนเองชัดเจนมากขึ้น และเรียกตัวเองว่าพวก Federalists อันเป็นกลุ่มสนับสนุนให้มีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง มีระบบการเงินเป็นอิสระ และสนับสนุนให้มีกองทัพเป็นของส่วนกลางได้ และในขณะเดียวกันในรัฐสภา ก็ได้เกิดกลุ่มที่นำโดย
เมื่อเป็นพรรคการเมืองในทางพฤตินัย ต่างก็มีกระบอกเสียงและสื่อที่เป็นของตนเอง ฝ่าย Federalists มีหนังสือพิมพ์ของตน โดยมี Noah Webster, John Fenno, และรวมถึง William Cobbett เป็นบรรณาธิการให้กับกลุ่ม ในทางการ
ในปี ค.ศ. 1801 Hamilton ได้จัดตั้งหนังสือพิมพ์ของตนเองขึ้นในนิวยอร์ค เรียกว่า New-York Evening Post โดยมี William Coleman เป็นบรรณาธิการ และจัดว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีการนำเสนอต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดในสหรัฐ และในปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ New York Post.[52]
The
สงครามปฏิวัติ
Revolutionary wars
ในท่ามกลางความขัดแย้งในยุโรปของสองมหาอำนาจ นโยบายต่อการเป็นฝ่ายอังกฤษ หรือฝรั่งเศส
เมื่อฝรั่งเศสและอังกฤษได้ประกาศสงครามต่อกันในช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 1793 ผู้นำของสหรับได้มีการหารือกับบุคคลสำคัญในคณะรัฐมนตรีทั้ง 4 คน และได้มีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะวางตัวเป็นกลางในสงครามดังกล่าว Hamilton และ Jefferson ได้เป็นสถาปนิกหลักในการทำรายละเอียดในการที่จะบังคับใช้เพื่อรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด
ในช่วง Hamilton ร่วมในคณะรัฐมนตรีปีสุดท้าย นโยบายต่ออังกฤษได้กลายเป็นเรื่องสำคัญในทั้งสองพรรคการเมือง Hamilton และกลุ่ม Federalists หวังว่าจะเพิ่มการค้ากับทางอังกฤษ ซึ่งจะทำให้เกิดรายได้จากการค้าที่มาจากภาษีอากรต่างๆ ฝ่ายพวก DemocraticRepublicans ต้องการบังคับใช้นโยบายห้ามการค้ากับอังกฤษ เพื่อทำให้อังกฤษต้องหันมาให้ความเคารพสิทธิประเทศสหรัฐ และยกเลิกป้อมค่ายต่างๆที่ยังตั้งอยู่ในแผ่นดินอเมริกัน ที่ตรงกันข้ามกับสัญญาที่ได้กระทำที่กรุงปารีส (Treaty of Paris)
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงคราม ประธานาธิบดี Washington ได้ส่งหัวหน้าฝ่ายยุติธรรม ชื่อ John Jay ไปเจรจากับอังกฤษในปี ค.ศ. 1794 ฝ่าย Hamilton เป็นฝ่ายเขียนในรายละเอียด ผลจึงได้เกิดสนธิสัญญาใหม่ที่เรียกว่า Jay's Treaty สนธิสัญญานี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบนัก และฝ่าย Democratic-Republicans ได้ต่อต้านเนื่องจากในสัญญาไม่ได้ให้ความสำคัญต่อข้อเรียกร้องที่มีมาก่อนหน้านี้ ไม่ได้เป็นการบ่งบอกถึงการที่อังกฤษได้ฝ่าฝืนความเป็นกลางของสหรัฐในช่วงสงครามกับฝรั่งเศส
ในช่วงความขัดแย้งดังกล่าว หลายประเทศในยุโรปได้จัดตั้งกลุ่มเป็นกลางทางการทหาร (League of Armed Neutrality) คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประธานาธิบดี Washington ในช่วงดังกล่าวได้หารือกันที่จะไม่เข้าร่วมกับกลุ่มเป็นกลางหรือกลุ่มใดๆ แต่ยังเก็บไว้เป็นความลับ Jay ในขณะนั้นอยู่ที่กรุงลอนดอน ได้ขู่ฝ่ายอังกฤษว่าจะเข้าร่วมกับกลุ่มหากสิทธิสภาพของสหรัฐได้รับการคุกคาม แต่ Hamilton ได้เปิดเผยการตัดสินใจกับ George Hammond ซึ่งเป็นรัฐมนตรีของอังกฤษประจำสหรัฐ และโดยที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับ Jay หรือคนอื่นๆ ความมาเปิดเผยเอาในปี ค.ศ. 1920 ซึ่งอาจเป็นผลทีทำให้การเจรจาความที่ส่ง Jay ไปนั้น กระทำได้อย่างจำกัด Jay ได้มีการขู่อังกฤษในการเจรจา แต่อังกฤษไม่ได้จริงจังกับเรื่องของ League มากนัก
เกษียณอายุจากรัฐบาลกลางRetirement from federal service
ชีวิตส่วนตัว
Affair
ในปี ค.ศ. 1791 Hamilton ได้มีเรื่องอื้อฉาวขึ้นกับ Maria Reynolds หญิงที่มีสามีแล้ว และ James Reynold ผู้สามีได้นำความนี้มาดัดหลัง Hamilton เพื่อเรียกร้องเงิน และขู่ว่าจะบอก Elizabeth ภรรยาของ Hamilton เมื่อ James ได้ถูกจับด้วยทำผิดกฏหมายการปลอมแปลง เขาได้นำความนี้ไปบอกแก่สมาชิกหลายคนของพรรค Democratic-Republican ที่ชัดเจนที่สุดคือ James Monroe และ Aaron Burr และขู่ว่าจะเปิดเผยเรื่องทั้งหมดนี้แก่สาธารณะ ทั้งสองได้เข้าพบ Hamilton และบอกว่า James Raynolds อาจนำเรื่องส่วนตัวนี้เปิดเผยอันจะทำให้สถานะของ Hamilton ในคณะรัฐมนตรีของ Washington ได้เสื่อมเสียไป Hamilton ได้ตัดสินใจเปิดเผยเรื่องของเขากับ Maria Reynolds อย่างหมดเปลือก และยืนยันว่าเขาไม่เคยทำผิดในหน้าที่ของบ้านเมือง และเมื่อมีข่าวลือมากขึ้น Hamilton ได้พิมพ์คำสารภาพเรื่องส่วนตัวของเขา ทำให้ครอบครัวของเขาและผู้ให้การสนับสนุนทั้งหลายตระหนกและช๊อคในรายละเอียดในคำสารภาพนั้น และสิ่งนี้ได้ทำให้ชื่อเสียงของ Hamilton ได้รับความกระทบกระเทือนไปตลอดชีวิตการงานของเขาในระยะต่อมา
ในครั้งแรก Hamilton โกรธและได้กล่าวหาว่า Monroe ได้นำเรื่องส่วนตัวของเขาเปิดเผยต่อสาธารณะ จนระดับท้า Monroe เพื่อดวลปืนตัดสินกัน แต่ Aaron Burr ได้เข้าขวางและหว่านล้อม Hamilton ว่า Monroe ไม่รู้เรื่องและไม่ได้เกี่ยวข้องในการกล่าวหานั้น และด้วยอารมณ์ร้อนของ Hamilton ได้ท้าอีกหลายๆคนเพื่อดวลปืนในช่วงการทำงานในชีวิตของเขา
Hamilton ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะที่เรื่องส่วนตัวของเขาได้รับการสอบสวน เขาได้ยื่นใบลาออกในวันที่ 1 ธ้นวาคม ค.ศ. 1794 และมีผลในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1795
การเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 17961796 presidential election
Hamilton เมื่อลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (Secretary of the Treasury) ที่ทรงอำนาจในปี ค.ศ. 1795 นั้น ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเขาต่อการทำงานการเมืองให้กับประเทศได้ถดถอยลง เขาได้กลับไปทำงานด้านกฏหมาย และยังมีความใกล้ชิดกับ Washington ทั้งในฐานะที่ปรึกษาและเป็นเพื่อน เขายังมีบทบาทในด้านการเขียนงานให้กับ Washington และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับคณะรัฐมนตรีที่มาปรึกษากับเขา
ในช่วงการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1796 การเลือกประธานาธิบดีเป็นการเลือกทางอ้อมผ่านตัวแทนผู้เลือก (Electors) ผู้เลือกแต่ละคนเลือกได้ 2 คน คนที่ได้รับคะแนนสูงสุดได้เป็นประธานาธิบดี และคนที่ได้รับคะแนนอันดับที่สอง ได้เป็นรองประธานาธิบดี ระบบนี้ได้ออกแบบมาในแบบที่ไม่ได้เน้นการมีระบบพรรคการเมือง ทำให้เกิดการเลือกตั้งที่แตกแยกและสับสน ฝ่าย Federalists หวังว่าจะเลือกเพื่อให้ได้
Hamilton โดยส่วนตัวไม่ชอบ Adams นัก และเห็นโอกาส ได้วิ่งเต้นผลักดันให้ผู้ทำหน้าที่เลือกจากรัฐฝ่ายเหนือในออกเสียงให้กับ Adams และ โดยไม่ปล่อยให้ Jefferson ได้เข้ามามีบทบาทในรัฐบาล และในขณะเดียวกันได้ตกลงกับฝ่ายใต้ให้เลือกทั้ง Jefferson และ Pinckney ตามแผนของเขา Pinckney จะได้คะแนนมากกว่าทั้งสองคน และได้เป็นประธานาธิบดี ส่วน Adams ที่ได้คะแนนรองลงมาจะได้เป็นรองประธานาธิบดี แต่การไม่ได้เป็นประธานาธิบดี ดังนั้น พวก Federalists ฝ่ายทางเหนือ เลือก Adams แต่ไม่เลือก Pinckney ทำให้ Pinckney ไม่ได้รับคะแนนเลือกมากพอ และกลายเป็นอันดับสาม Adams ได้นำมาเป็นอันดับหนึ่ง ได้เป็นประธานาธิบดี ตามมาด้วย Jefferson ซึ่งได้เป็นรองประธานาธิบดี ส่วน Pinckney ได้คะแนนไม่พอ กลายเป็นที่สาม และตกไป
Adams ไม่ชอบวิธีการของ Hamilton และอิทธิพลของเขาที่มีต่อ Washington และเห็นว่า Hamilton เป็นคนมักใหญ่ไฝ่สูง ส่วน Hamilton มองว่า Adams เป็นคนอารมณ์ไม่คงเส้นคงวา วางใจไม่ได้กับการทำงานกับประธานาธิบดี Washington แต่การได้ Adams เป็นประธานาธิบดียังดีกว่าได้
สงคราม Quasi-War
Quasi-War คือสงครามแบบครึงๆกลางๆ เป็นสงครามที่ไม่มีการประกาศ เป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและฝรั่งเศสในช่วงปี ค.ศ. 1798-1800 ซึงสงครามนี้ในสหรัฐเรียกว่า "สงครามที่ไม่มีการประกาศ" (Undeclared War) เป็นสงครามโจรสลัด และสงครามแบบครึงๆ กลางๆ
ในช่วงสงคราม Quasi-War ในปี ค.ศ. 1798–1800 ด้วยการสนับสนุนของ Washington ทำให้ Adams ต้องสนับสนุนและแต่งตั้ง Hamilton ให้เป็น Major General ของกองทัพบก เพื่อไปนำรบในสงครามนี้ สงครามนี้หากเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ จะทำให้ขับไล่ฝรั่งเศสให้พ้นอิทธิพลไปได้อย่างกว้างไกล ตามความเห็นของ Hamilton กองทัพบกจะสามารถรบชนะและครอบครองเขตอาณานิคมภาคเหนือที่เคยเป็นของฝรั่งเศสและสเปนที่ติดชายแดนสหรัฐ
เพื่อให้การสนับสนุนกองทัพ Hamilton ได้เขียนจดหมายถึง Oliver Wolcott ซึ่งเป็นผู้สืบตำแหน่งรัฐมตนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อจากเขา และเขียนถึง William Loughton Smith ซึ่งมีอิทธิพลในรัฐสภา และ Theodore Sedgwick, จากรัฐ Massachusetts เขาได้เร่งให้ผ่านกฏหมายเพื่อให้สามารถจัดเก็บภาษีเพื่อการสงคราม Smith ได้ลาออกในช่วงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1797 เพราะถูก Hamilton ตะคอกว่าเป็นพวกล่าช้า และเขาได้บงการให้ Wolcott ได้เปลี่ยนวิธีการจัดเก็บภาษีจากแทนที่จะเป็นเก็บตามที่ดิน ให้เก็บที่บ้านเรือนแทน
ในโปรแกรมของเขา จะรวมถึงการมีรายได้จากอากรแสตมป์ (Stamp Act) เหมือนกับประเทศอังกฤษในช่วงก่อนสงครามประกาศอิสรภาพ การเก็บภาษีของเขาจะรวมถึงการเก็บจากที่ดิน (land) บ้าน (houses) การมีและครอบครองทาส (slaves) และมีการคิดอัตราภาษีแตกต่างกันไปตามลักษณะของรัฐ มีวิธีการจัดเก็บที่ซับซ้อนตามการประเมินลักษณะบ้าน ทำให้เกิดการต่อต้านจากรัฐเพนซิลเวเนียทางตอนตะวันออกเฉียงใต้
Hamilton ได้มีความพยายามผลักดันให้กองทัพบกมีการพัฒนา เขาได้รับใช้ในกองทัพบกสหรัฐและรับตำแหน่งในฐานะ Major General ในช่วงวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1799 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1800 หน้าที่ของกองทัพคือการปกป้องต่อการรุกรานของฝรั่งเศส และ Hamilton ยังได้เสนอว่านโยบายคือการเดินหน้าเข้าครอบครองพื้นที่ๆปกครองโดยสเปน ซึ่งในขณะนั้นเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส และนั่นหมายถึงการเข้ายึดเขตแดน Louisiana ซึ่งปกครองโดยฝรั่งเศส และ Mexico ที่เป็นของสเปน
จากจดหมายติดต่อของเขา เขาต้องการกลับมามีบทบาทในกองทัพ เขาฝันว่าหากกลับมามีอำนาจ รัฐบาลจะต้องมีกำลัง โดยไม่มีบทบาทของฝ่ายผู้ยึดถือในแนวทางของ Jefferson แต่ Adams ซึ่งไม่ได้ต้องการทำสงครามมากมายอย่างที่ Hamilton ต้องการ ได้สกัดแผนดังกล่าวที่จะไม่ให้เกิดสงคราม และได้เปิดเจรจากับฝรั่งเศส Adams เมื่อเป็นประธานาธิบดีได้ใช้สิทธิที่จะคงคณะรัฐมนตรีของ Washington ยกเว้นในประเนที่เขาพบว่าในปี ค.ศ. 1800 ที่เมื่อ Washington ได้เสียชีวิตแล้ว เขาได้เชื่อ Hamilton มากกว่าตัวของเขาเอง และได้ปลดหลายคนออก
การเลือกตั้งปี ค.ศ. 1800
1800 presidential election
อนุสาวรีย์ Hamilton ที่ตั้งอยู่ในโถงที่ United States Capitol rotunda ในกรุงวอร์ชิงตัน ดีซี
ในการเลือกต้ง ปี ค.ศ. 1800 Hamilton ได้ทำงานที่จะไม่เอาชนะฝ่ายตรงกันข้าม คือตัวแทนจากฝ่าย Democratic-Republican แต่รวมไปถึงตัวแทนของฝ่ายเขาเองในขณะนั้น คือ
Hamilton ได้เสนอให้รัฐนิวยอร์ค ที่ Burr ได้ชัยชนะให้กลุ่ม Jefferson ควรจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในบางเขต แต่ John Jay ผู้ซึ่งได้ลาออกจากการเป็นประธานศาลสูง และมารับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค ได้เขียนในจดหมายตอบข้อเสนอว่า แม้จะเป็นข้อเสนอโดยพรรค แต่เขาจะไม่ปฏิบัติตาม และไม่ตอบจดหมายจาก Hamilton
เมื่อฝ่าย Federalists แตกแยกและอ่อนกำลังลง Jefferson จึงจะชนะ Adams แต่ด้วย Jefferson และ Aaron Burr ได้รับคะแนนเสียง 73 คะแนนเท่ากันในระบบเลือกผ่านตัวแทน (Electoral College) ดังนั้นในคณะตัวแทนของประชาชนจึงต้องมาเลือกกันว่าระหว่างสองคนนั้นใครควรจะเป็นประธานาธิบดี ผลจากดังกล่าวจึงต้องมีการมาปรับแก้รัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีดังที่เป็นในปัจจุบัน ที่เลือกประธานาธิบดีในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารเป็นหลัก มิใช่ไปเลือกตัวแทนแล้วนับคะแนนคนเป็นประธานาธิบดีกับรองประธานาธิบดี โดยเลือกจากคนที่ได้อันดับหนึ่งและสอง
ในครั้งนั้นฝ่าย Federalists หลายคนต่อต้าน Jefferson และสนับสนุน Burr แต่ Hamilton ลังเลที่จะดำเนินการดังนั้น โดยได้ให้คะแนนไปที่ Jefferson โดยให้สมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งในฝ่าย Federalists งดออกเสียงที่ไปเท่ากันที่ 36 คะแนน ทำให้ Jefferson ได้รับเลือกป็นประธานาธิบดี แทนที่จะเป็น Burr ที่เป็นดังกล่าว เพราะแม้ Hamilton จะไม่ชอบ Jefferson และมีความเห็นไม่ลงรอยกันในหลายๆกรณี แต่เขาเห็นว่า “Jefferson เป็นคนซื่อสัตย์” ดังนั้น Burr จึงกลายเป็นรองประธานาธิบดี และเมื่อในระยะต่อมา Burr ไม่ได้ถูกขอให้ลงชิงตำแหน่งร่วมกับ Jefferson อีก เขาจึงกลับไปสมัครเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์คในปี ค.ศ. 1804 ในนามตัวแทนของกลุ่ม Federalists โดยฝ่ายตรงข้ามคือตัวแทนพรรค Jeffersonian คือ Morgan Lewis แต่ต้องพ่ายแพ้ไปด้วยกำลังส่วนหนึ่งที่หนุนหลังโดย Hamilton ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ Burr กับ Hamilton ได้ผูกใจเจ็บต่อกันไปตลอดชีวิต
การดวลปืนกับ Aaron Burr และความตาย
Duel with Aaron Burr and death
ภาพวาด Hamilton ในการดวลปืนกับรองประธานาธิบดี Aaron Burr ภาพวาดนี้ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะในการดวลปืนกันจริงนั้นมีพยานที่เห็นการดวลเพียงสองคน
หลังจากการเลือกผู้ว่าการรัฐนิวยอร์คนั้นไม่นาน Morgan Lewis ได้รับชัยชนะด้วยการหนุนหลังของ Hamilton ทำให้ชนะ Aaron Burr หนังสือพิมพ์ Albany Register ได้ตีพิมพ์ข้อเขียนของ Charles D. Cooper's letter แสดงความเห็นไม่สนับสนุน Burr และทำให้มีการตอบโต้กันด้วยข้อเขียนเป็นจดหมายอีก 3 ฉบับ จนนำไปสู่การดวลปืนกัน แม้จะด้วยการทัดทานจากเพื่อนๆ ในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1804 จึงได้เกิดการดวลปืนกันที่บริเวณริมแม่น้ำ Hudson ในบริเวณ Weehawken รัฐ New Jersey ซึ่งเป็นบริเวณที่ได้เคยมีการดวลปืนประวัติศาสตร์มาก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ลูกชายคนโตของ Hamilton ได้ถูกฆ่าตายไปแล้ว
หลุมฝังศพของ Hamilton ในสุสานของวัด Trinity Church ใน เกาะ Manhattan, เมือง New York.
ในใกล้รุ่ง เมื่อเกิดการดวลปืนกัน รองประธานาธิบดี Aaron Burr ได้ยิงถูก Hamilton แต่กระสุนของ Hamilton ได้ยิงไปถูกกิ่งไม้เหนือศีรษะของ Burr จากจดหมายที่ Hamilton ได้เขียนในวันก่อนการดวลปืน กล่าวว่า “ฉันได้แก้ปัญหาจากที่ได้มีการให้สัมภาษณ์ไป การดวลที่จะเกิดขึ้น นัดแรกที่จะยิงนั้นจะยิงทิ้งไป และฉันคิดแม้แต่จะสงวนการยิงนัดที่สองไว้” นั่นคือไม่หวังจะยิงให้ถูก Burr
การตัดสินด้วยการดวลปืนเป็นวิธีการที่ถูกและยอมรับโดยกฎหมายในขณะนั้น แม้ในทางศาสนาได้แสดงความเห็นต่อต้าน การดวลเพื่อเป็นการรักษาเกียรติของลูกผู้ชาย Hamilton ถูกยิงถูกในที่สำคัญ ได้รับบาดแผล ร่างของเขาได้ถูกรีบนำกลับมายังนิวยอร์ค แต่พิษบาดแผลทำให้เขาเสียชีวิตในกลางวันของวันต่อมา คือวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1804 ผู้ว่าการรัฐ Morris ที่เป็นพันธมิตรทางการเมืองของ Hamilton ได้เป็นผู้กล่าวสดุดีในพิธีศพ และได้ตั้งกองทุนอย่างเป็นการส่วนตัว เพื่อช่วยภรรยาหม้ายและลูกๆ ศพ Hamilton ได้ถูกฝังที่ สุสานของวัด Trinity Churchyard ในบริเวณเกาะ Manhattan
สิ่งที่ทิ้งไว้
Legacy
Alexander Hamilton ที่ปรากฎในธนบัตรมูลค่า USD 10 โดยอาศัยภาพวาดของ Hamilton ที่วาดโดย John Trumbull. ในปี ค.ศ. 1805
ในการเริ่มต้นและได้อยู่ในคณะรัฐมนตรีของ
สิ่งที่เขาได้ทำไว้อีกประการหนึ่งคือการตีความรัฐธรรมนูญสหรัฐที่มีลักษณะสนับสนุนการทำงานของรับาลกลาง เพราะรัฐธรรมนูญที่ร่างไว้นั้นเป็นการร่างอย่างกว้างๆและหลวม Hamilton เป็นฝ่ายตีความเข้ากับการใช้อำนาจของรัฐบาลกลางโดยแต่ละรัฐ (State governments) ต้องมาร่วมรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่าย ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่มักจะต้องได้รับการคัดค้านจากฝ่ายไม่เห็นด้วยอย่าง
นโยบายของ Hamilton ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีผลอย่างมากต่อรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา และมีผลจนถึงปัจจุบัน ในด้านอัจฉริยะทางการทหาร เมื่อเกิดวิกฤติ Cuban Missile Crisis อ้นเป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตรัสเซียในกรณีการมีขีปนาวุธในคิวบา กองทัพเรือสหรัฐ U.S. Navy ก็ยังใช้ระบบส่งสัญญาณระหว่างเรือที่ได้เขียนขึ้นในสมัย Hamilton สำหรับกองเรือชายฝั่ง
ความฉลาดในการบริหารบ้านเมืองของ Hamilton นั้นได้รับการยกย่องจาก Charles Maurice de Talleyrand นักการฑูตผู้มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสว่า “นอกจากนโปเลียน, Fox และ Hamilton ที่เป็นผู้นำแห่งยุคแล้ว ฉ้นต้องยกย่องอย่างไม่รีรอว่า คนที่มาอันดับหนึ่งคือ Hamilton”
Hamilton ในสายตาของ Adams และ Jeffersons แล้ว มองเขาว่าเป็นพวกไม่มีหลักการ เป็นพวกขุนนางที่อนตราย แต่ในช่วงสงครามกลางเมือง (American Civil War) ในอีกร้อยปีต่อมา ภาพของเขาได้ถูกนำมาใช้ในธนบัตรใบละ 10 เหรียญ และในช่วงสงครามกลางเมืองที่ต้องมีการจัดเก็บภาษีอย่างสูงนั้น เขาได้รับการยกย่อง รัฐบาลในยุคต่อมา ดัง Herbert Croly, Henry Cabot Lodge, และ Theodore Roosevelt ล้วนเป็นรัฐบาลที่ให้ความสำคัญของบทบาทรัฐบาลกลาง ไม่ว่าจะสนับสนุนการจัดเก็บภาษีมากหรือภาษีน้อย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 หลังจากที่ประวัติของเขาได้รับการบดบังจากฝ่ายครองอำนาจที่ไม่เห็นด้วยกับเขา แต่แนวคิดความเป็นระบบสาธารณรัฐและการบริหารอย่างเข้มแข็งก็กลับมาให้การยกย่องในประวัติและผลงานของเขา
ในปัจจุบัน ทางตอนทิศใต้ของอาคารกระทรวงการคลังในกรุงวอร์ชิงตัน ดีซี มีอนุสาวรีย์ของ Hamilton
ครอบครัวFamily
เมื่อเขาเสียชีวิต ภรรยาหม้ายของเขา ที่มีชื่อเล่นเรียกว่า Eliza หรือ Betsy ได้มีชีวิตต่อมาอีก 50 ปี จนมา
เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1854 Hamilton เรียกภรรยาของเขาว่า “เป็นภรรยาและสตรีที่ดีที่สุด” ภรรยาของเขาจัดเป็นคนเคร่งศาสนา
เธอได้ทำงานและก่อตั้งด้วยตัวเธอเองเพื่อช่วยแม่หม้ายและเด็กกำพร้า หลังจาก Hamilton ได้เสียชีวิต เธอได้ขายบ้านชื่อ The Grange ที่เธอและ Hamilton ได้ร่วมกันสร้างในปี ค.ศ. 1800 ถึง 1802 เธอได้ก่อตั้งสถานเด็กกำพร้าแห่งนิวยอร์ค (New York Orphan Asylum Society) นอกจากกรณีการนอกใจกับนาง Reynolds แล้ว Alexander และ Eliza มีความใกล้ชิดกันมาก ในฐานะเป็นหม้าย เธอได้ปกป้องชื่อเสียงของสามีให้ปรากฎในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาอย่างแข็งขันตลอดมา
Hamilton และ Elizabeth มีลูกด้วยกัน 8 คน รวมทั้งสองคนที่ตั้งชื่อว่า Philip ลูกชายคนโตที่ชื่อ Philip (เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1782) ได้ถูกฆ่าตายในการดวลปืนกับ George I. Eacker ในปี ค.ศ. 1801 ซึ่งเขาได้กระทำการหักหน้าในที่สาธารณะที่สถานมหรสพในเกาะแมนฮัตตัน ลูกที่ชื่อ Philip อีกคนเป็นคนสุดท้าย เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1802 เขาตั้งชื่อให้เมื่อ Philip คนแรกได้เสียชีวิต ลูกคนอื่นๆ คือ Angelica เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1784, Alexander เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ.1796; James Alexander เกิดเมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1788(เสียชีวิตเดือนกันยายน ค.ศ.1878) John Church เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ.1792; William Stephen เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1797 และ Eliza เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1799
เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
On economics
Alexander Hamilton ในบางครั้งจัดให้เป็น “นักบุญ” แห่งปรัชญาเศรษฐศาสตร์ของสหรัฐ ตามการศึกษาประวัติศาสตร์นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 เขาสนับสนุนการแทรกแซงของรัฐบาลกลาง เพื่อประโยชน์ของธุรกิจในประเทศ ตามแนวทางแบบ Jean-Baptiste Colbert ซึ่งพบตั้งแต่สมัยฤดูใบไม้ร่วงในปี ค.ศ. 1781
Hamilton ไม่เห็นด้วยกับระบบการค้าเสรีแบบอังกฤษ โดยเห็นว่าการดำเนินการแบบนั้นจะเอนเอียงและอำนวยประโยชน์แก่ฝ่ายผู้มีอำนาจแบบกษัตริย์ ในทางตรงกันข้าม เขาเห็นด้วยกับการปกป้องของรัฐบาล (protectionism) ที่เขาเห็นว่าจำเป็นเพื่อทำให้เศรษฐกิจของประเทศใหม่ที่เกิดขึ้นได้มีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก แนวคิดของเขามีอิทธิพลต่อนักคิดและงานเขียนอย่าง Henry C. Carey และมีอิทธิพลต่อความคิดและผลงานของนักคิดเยอรมันอย่าง Friedrich List
การอ้างอิง
References
"The long tradition of Hamilton biography has, almost without exception, been laudatory in the extreme. Facts have been exaggerated, moved around, omitted, misunderstood and imaginatively created. The effect has been to produce a spotless champion...Those little satisfied with this reading of American history have struck back by depicting Hamilton as a devil devoted to undermining all that was most characteristic and
Secondary sources
- Robert E. Wright: One Nation Under Debt: Hamilton, Jefferson, and the History of What We Owe (New York: McGraw-Hill, 2008).
- Stanley Elkins and Eric McKitrick: Age of Federalism (New York, Oxford University Press, 1993). online edition
- Samuel Eliot Morison and Henry Steele Commager: Growth of the American Republic (New York, Oxford University Press, 1969; other eds as cited).
Biographies
- Brookhiser, Richard. Alexander Hamilton, American. Free Press, (1999) (ISBN 0-684-83919-9).
- Chernow, Ron. Alexander Hamilton. Penguin Books, (2004) (ISBN 1-59420-009-2). full length detailed biography
- Ellis, Joseph J. Founding Brothers: The Revolutionary Generation (2002), won Pulitzer Prize.
- Eliis, Joeseph J. His Excellency:
- Flexner, James Thomas. The Young Hamilton: A Biography. Fordham University Press, (1997) (ISBN 0-8232-1790-6).
- Fleming, Thomas. Duel: Alexander Hamilton, Aaron Burr, and the Future of America. (2000) (ISBN 0-465-01737-1).
- McDonald, Forrest. Alexander Hamilton: A Biography(1982) (ISBN 0-393-30048-X), biography focused on intellectual history esp on AH's republicanism.
- Miller, John C. Alexander Hamilton: Portrait in Paradox (1959), full-length scholarly biography; online edition
- Mitchell, Broadus. Alexander Hamilton (2 vols, 1957–62), the most detailed scholarly biography; also published in abridged edition
- Randall, Willard Sterne. Alexander Hamilton: A Life.
- Don Winslow Alexander Hamilton: In Worlds Unknown (Script and Film New York Historical Society)
Specialized studies
- Douglass Adair and Marvin Harvey: "Was Alexander Hamilton a Christian Statesman?" The William and Mary Quarterly, 3rd Ser., Vol. 12, No. 2, Alexander Hamilton: 1755-1804. (Apr., 1955), pp. 308-329. JSTOR URL.
- Arming slaves : from classical times to the modern age, Christopher Leslie Brown and Philip D. Morgan, eds. esp. 180–208 on the American Revolution, by Morgan and A. J. O'Shaubhnessy.
- Douglas Ambrose and Robert W. T. Martin, eds. The Many Faces of Alexander Hamilton: The Life & Legacy of America's Most Elusive Founding Father (2006)
- Brant, Irving: The Fourth President: a Life of
- Burns, Eric. Infamous Scribblers: The Founding Fathers and the Rowdy Beginnings of American Journalism. (2007)
- Chan, Michael D. "Alexander Hamilton on Slavery." Review of Politics 66 (Spring 2004): 207-31.
- Fatovic, Clement. "Constitutionalism and Presidential Prerogative: Jeffersonian and Hamiltonian Perspectives." American Journal of Political Science 2004 48(3): 429-444. Issn: 0092-5853 Fulltext in Swetswise, Ingenta, Jstor, Ebsco
- Flaumenhaft; Harvey. The Effective Republic: Administration and Constitution in the Thought of Alexander Hamilton Duke University Press, 1992
- Harper, John Lamberton. American Machiavelli: Alexander Hamilton and the Origins of U.S. Foreign Policy. (2004)
- Horton, James
- Roger G. Kennedy; Burr, Hamilton, and Jefferson: A Study in Character Oxford University Press, 2000
- Knott, Stephen F. Alexander Hamilton and the Persistence of Myth University Press of Kansas, (2002) (ISBN 0-7006-1157-6).
- Richard H. Kohn, "The Inside History of the Newburgh Conspiracy: America and the Coup d'Etat"; The William and Mary Quarterly, Third Series, Vol. 27, No. 2 (Apr., 1970), pp. 188-220. JSTOR link. A review of the evidence on Newburgh, source for most more recent coverage. Despite the title, Kohn is doubtful that a coup d'etat was ever seriously attempted.
- Harold Larsen: "Alexander Hamilton: The Fact and Fiction of His Early Years" The William and Mary Quarterly, 3rd Ser., Vol. 9, No. 2. (Apr., 1952), pp. 139–151. JSTOR link.
- Littlefield, Daniel C. "John Jay, the Revolutionary Generation, and Slavery." New York History 2000 81(1): 91–132. ISSN 0146-437X
- Martin, Robert W. T. "Reforming Republicanism: Alexander Hamilton's Theory of Republican Citizenship and Press Liberty." Journal of the Early Republic 2005 25(1): 21-46. Issn: 0275-1275 Fulltext online in Project Muse and Ebsco
- McManus, Edgar J. History of Negro Slavery in New York. Syracuse University Press, 1966.
- Mitchell, Broadus: "The man who 'discovered' Alexander Hamilton". Proceedings of the New Jersey Historical Society 1951. 69:88–115
-
- Monaghan, Frank: John Jay. Bobbs-Merrill (1935).
- Nettels, Curtis P. The Emergence of a National Economy, 1775–1815 (1962).
- Newman, Paul Douglas: Fries's Rebellion; The Enduring Struggle for the American Revolution. University of Pennsylvania Press, 2004.
- Rossiter, Clinton. Alexander Hamilton and the Constitution (1964)
- Sharp, James. American Politics in the Early Republic: The New Nation in Crisis. (1995), survey of politics in 1790s
- Sheehan, Colleen. "Madison V. Hamilton: The Battle Over Republicanism And The Role Of Public Opinion" American Political Science Review 2004 98(3): 405–424.
- Smith, Robert W. Keeping the Republic: Ideology and Early American Diplomacy. (2004)
- Staloff, Darren. "Hamilton, Adams, Jefferson: The Politics of Enlightenment and the American Founding." (2005)
- Stourzh,
- Thomas, Charles
- Trees, Andrew S. "The Importance of Being Alexander Hamilton." Reviews in American History 2005 33(1): 8-14. Issn: 0048-7511 Fulltext: in Project Muse
- Trees, Andrew S. The Founding Fathers and the Politics of Character. (2004)
- Wallace, David Duncan: Life of Henry Laurens, with a sketch of the life of Lieutenant-Colonel John Laurens Putnam (1915)
- Weston, Rob N. "Alexander Hamilton and the Abolition of Slavery in New York" Afro-Americans in New York Life and History 1994 18(1): 31–45. ISSN 0364-2437 An undergraduate paper, which concludes that Hamilton was ambivalent about slavery.
- White, Leonard D. The Federalists (1949), coverage of how the Treasury and other departments were created and operated.
- Richard D. White; "Political Economy and Statesmanship: Smith, Hamilton, and the Foundation of the Commercial Republic" Public Administration Review, Vol. 60, 2000
- Wright, Robert E. Hamilton Unbound: Finance and the Creation of the American Republic Praeger (2002)
Primary sources
- Hamilton, Alexander. (Joanne B. Freeman, ed.) Alexander Hamilton: Writings (2001), The Library of America edition, 1108 pages. ISBN 978-1-93108204-4; all of Hamilton's major writings and many of his letters
- Syrett, Harold C.; Cooke, Jacob E.; and Chernow, Barbara, eds. The Papers of Alexander Hamilton (27 vol, Columbia University Press, 1961–87); includes all letters and writing by Hamilton, and all important letters written to him; this is the definitive letterpress edition, heavily annotated by scholars; it is available in larger academic libraries.
- Goebel, Julius, Jr., and Smith, Joseph H., eds., The Law Practice of Alexander Hamilton (5 vols., Columbia University Press, 1964-80); the legal counterpart to the Papers of Alexander Hamilton.
- Morris, Richard. ed. Alexander Hamilton and the Founding of the Nation (1957), excerpts from AH's writings
- Selected Writings and Speeches of Alexander Hamilton. Morton J. Frisch ed. (1985).
- The Works of Alexander Hamilton edited by Henry Cabot Lodge (1904) full text online at Google Books online in HTML edition. This is the only online collection of Hamilton's writings and letters. Published in 10 volumes, containing about 1.3 million words.
- Federalist Papers under the shared pseudonym "Publius" by Alexander Hamilton (c. 52 articles), James Madison (28 articles) and John Jay (five articles)
- Report on Manufactures, his economic program for the United States.
- Report on Public Credit, his financial program for the United States.
- Cooke, Jacob E. ed., Alexander Hamilton: A Profile (1967), short excerpts from AH and his critics.
- Cunningham,
- George Rogers Taylor; ed, Hamilton and the National Debt 1950, excerpts from all sides in 1790s
Notes
1. ^ Chernow, p. 90
2. ^ Allan Nevins, The Evening Post: Century of Journalism, Boni and Liveright, 1922, p. 17
3. ^ McDonald, 366, n. 8, who prefers 1757.
4. ^ From St. Croix records. Ramsing's 1930 Danish publication entered late among Hamilton literature.
5. ^ Chernow, Flexner, Mitchell's Concise Life. McDonald, 366, n. 8, discounts the probate document because the clerk gives another spelling of "Lavien", suggesting unreliability.
6. ^ Hamilton's spelling, which may be a Sephardic version of "Levine"; Chernow, p. 10. The couple may have lived apart from one another under an order of legal separation, with Rachel as the guilty party, meaning remarriage was not permitted on St. Croix.
7. ^ Chernow, p. 12.
8. ^ a b Chernow, p. 17.
9. ^ Glimpses Into American Jewish History. Jewish Press (2007-05-02).
10. ^ Chernow, p. 24.
11. ^ E.g., Flexner, passim.
12. ^ Chernow, p. 25.
13. ^ Flexner, McDonald.
14. ^ Chernow, p. 26.
15. ^ Chernow, p. 28.
16. ^ Chernow, pp. 27-30.
17. ^ Adair and Harvey: "Christian Statesman"
18. ^ :There is some dispute about this.
19. ^ Chernow, p. 53
20. ^ Philolexian Society
21. ^ Morison and Commager, p. 160; Miller p. 19
22. ^ McDonald (p.14), Mitchell (I 75), Chernow (63), and Flexner (78). Flexner even answers the objection that Cooper wrote a poem about the incident and did not mention Hamilton, by suggesting that Cooper did not see Hamilton, who was on the other side of the building.
23. ^
24. ^ Chernow p 90
25. ^ Chernow p 90
26. ^ Chernow p 90
27. ^ Lodge 1: 15–20; Miller 23–26
28. ^ Gay American History 1976; Flexner, Young Hamilton, chiefly p.316. For Chernow, and the criticism see Trees, Andrew S. "The Importance of Being Alexander Hamilton." (a review of Chernow) Reviews in American History 2005 33(1): 8-14
29. ^ Chernow, p. 133
30. ^ Chernow, p. 133–4
31. ^ Chernow p.159
32. ^ Mitchell, p. 254–60; Morison and Commager, p. 160
33. ^ Chernow, p. 176.
34. ^ Chernow, p. 176.
35. ^ Ellis 2004, p. 141-4
36. ^ Chernow, p.179-180
37. ^ Chernow, p.180
38. ^ Chernow, p.182
39. ^ Chernow, p.183
40. ^ Chernow, p.160
41. ^ Chernow, pp. 197–9, McDonald p. 64–9
42. ^ Chernow, p.232.
43. ^ Chernow, p.232.
44. ^ Chernow, p.232.
45. ^ Mitchell, p. 397 ff.
46. ^ Irving Brant, Fourth President, p. 195.
47. ^ Max Farrand, ed., The Records of the Federal Convention of 1787 (RFC), 4 vols. (New Haven, Conn., 1937), 3:533–34
48. ^ Morison and Commager, I 309-11
49. ^ Morrison and Commager, I, p.290
50. ^ James Madison to Thomas Jefferson, March 2, 1794. "I see by a paper of last evening that even in New York a meeting of the people has taken place, at the instance of the Republican party, and that a committee is appointed for the like purpose." See also: Smith, 832.
51. ^ Thomas Jefferson to President Washington, May 23, 1792 "The republican party, who wish to preserve the government in its present form, are fewer in number. They are fewer even when joined by the two, three, or half dozen anti-federalists,..."
52. ^ Michael & Edward Emery, The Press and America, 7th edition,
53. ^ Thomas, Charles
54. ^ Jerald A. Combs. John Jay, American National Biography Online, Feb. 2000. Accessed Wed May 14 00:50:05 EDT 2008
55. ^ John Jay’s Treaty, 1794–95 U.S. State Dept. website.
56. ^ Samuel Flagg Bemis, Jay's Treaty (quoted); Elkins and McKitrick p.411 f.
57. ^ Chernow, p. 479, ANB Hamilton.
58. ^ Elkins and McKitrick; Age of Federalism.pp.523–8, 859; Rutledge had his own plan, to have Pinckney win with Jefferson as Vice-President.
59. ^ Elkins and McKitrick, p.515
60. ^ Newman, 72-3
61. ^ Newman, pp. 44, 76-8
62. ^ Morison and Commager, p.327
63. ^ ANB James McHenry; he also fired Timothy Pickering
64. ^ Elkins and McKitrick, like other historians, speak of Hamilton's self-destructive tendencies in this connection.
65. ^ Monaghan, p. 419–421.
66. ^ Elkins and McKitrick, p. 734–40
67. ^ ANB "Aaron Burr"
68. ^ a b Freeman, Joanne B. "Dueling as Politics: Reinterpreting the Burr-Hamilton Duel" (subscription). The William and Mary Quarterly, Third Series 53 (2): 289-318. Omohundro Institute of Early American History and Culture.
69. ^ Kennedy, Burr, Hamilton, and Jefferson, p. 72.
70. ^ Joseph Wheelan, Jefferson's Vendetta: The Pursuit of Aaron Burr and the Judiciary, New York, Carroll & Graf Publishers, 2005, ISBN 0786714379, p. 90
71. ^ "Je considère Napoleon, Fox, et Hamilton comme les trois plus grands hommes de notre époque, et si je devais me prononcer entre les trois, je donnerais sans hesiter la première place à Hamilton. Il avait deviné l'Europe." Talleyrand, Études sur la République.
72. ^ Brant, Fourth President, p. 201 says "apotheosis"; but he may, in context, be writing of historians, such as James Ford Rhodes.
73. ^ Flexner, Introduction; for example, Arthur H. Vandenburg wrote The Greatest American in 1922, when he was still a newspaper editor, likewise Henry Cabot Lodge's Alexander Hamilton was written when he was a junior professor; for the effect on his career of his "advocacy of his party's views", see American National Biography, Arthur H. Vandenburg.
74. ^
75. ^ http://www.nps.gov/hagr/
76. ^ http://query.nytimes.com/mem/archive-free/pdf?res=9E05E2DE123CE03BBC4E51DFBF668383669FDE His Obit in NYT on September 26, 1878
77. ^ Quotes describing the historiography from Weston, who disagrees with both, finding Hamilton ambivalent.
78. ^ McDonald
79. ^ McManus; "Many national leaders including Washington, Franklin, Jefferson, Madison, Hamilton,
80. ^ The first of these projects was made in August 1776, by Jonathan Dickinson Sargeant, see Arming slaves pp. 192–3, 206; Rhode Island had formed the First Rhode Island regiment in 1777. which fought the Battle of Rhode Island; and there were other black units. Sidney Kaplan: The Black Presence in the Era of the American Revolution, p.64ff
81. ^ McManus, pp. 153-58.
82. ^ Mitchell 1:175–77, 550 n.92; citing the Journals of the
83. ^ letter to Jay of 14 March 1779; Chernow p.121. McManus, p. 154-7
84. ^ McDonald, p. 34; Flexner, p. 257–8,
85. ^ McManus, p. 168.
86. ^ Chernow, p. 216
87. ^ Littlefield, p.126, citing Syrett: 3:605-8. The mention in Wills, p. 209, that Hamilton arranged, a decade later, as Secretary of the Treasury, to recapture one of Washington's slaves is a chronological error; it was his successor, Oliver Wolcott, of Connecticut.
88. ^ Horton, p. 22
89. ^ Horton; Kennedy 97–98; Littlefield. Wills, p. 35, 40
90. ^ McDonald
91. ^ Flexner. 39
92. ^ McDonald, p. 177
93. ^ Lind, Michael. Hamilton's Republic (1997) pages xiv-xv, 229–30.
94. ^ Chernow, 170; citing Continentalist V, Syrett: 3:77; published April 1782, but written Fall 1781
95. ^ This entire paragraph, including the quote on religiosity, is from Adair and Harvey: "Christian Statesman?" passim. Hamilton's early faith is a deduction: Livingstone and Knox would have chosen to sponsor only an orthodox young man. Quotes on the Christian Constitutional Society are from Hamilton's letter to James A. Bayard of April 1802, as quoted by Adair and Harvey; they see this as a great change from the military preparations and Sedition Act of 1798. For Bishop Moore, see also Chernow, p. 707; McDonald, p.3 on Hamilton's secular ambition, although he adds that Hamilton's faith "had not entirely departed" him before the crisis of 1801. (p. 356).
External links
No comments:
Post a Comment