Sunday, April 5, 2009

บทที่ 16 สหรัฐอเมริกา ช่วงรัฐบาลเรแกน (The Reagan Years)

ประกอบ คุปรัตน์แปลและเรียบเรียง
Pracob Cooparat
มูลนิธิก้าวไกลในเอเซีย
SpringBoard For Asia Foundation (SB4AF)
ห้อง 2 -106 (อาคาร 2 ชั้น 1) เลขที่ 2/1
ถ.พญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์. 0-2354-8254-5
โทรสาร 0-2354-8316
Website: www.sb4af.org
E-mail: pracob@sb4af.org

Keywords: ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

ช่วงรัฐบาลเรแกน (The Reagan Years)

ชาวอเมริกันได้ตอบสนองต่อแนวทางอนุรักษ์นิยมใหม่ (Neoconservatism) และทำให้ Ronald Reagan ได้เป็นประธานาธิบดี ซึ่งมีอายุมากที่สุดที่ได้รับเลือกตั้งที่ 70 ปี แนวทางของเรแกนได้รับการตอบรับอย่างดี และทำให้ในรัฐสภาก็มีตัวแทนพรรครีพับลิกันรับเลือกเข้ามามากยิ่งขึ้น และเป็นเสียงข้างมากในสภาหลังจากปี ค.ศ. 1954 เป็นต้นมา ซึ่งนับเป็นการกลับมาของนโยบายเศรษฐกิจแบบอนุรักษ์นิยม แนวนโยบายของเขาเรียกว่า
supply-side economics โดยเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการลดภาษี แต่เพราะลดภาษีกลับทำให้ได้เก็บภาษีเพิ่มมากขึ้น ฝ่ายต่อต้านแย้งว่าการลดภาษีทำให้บริษัทขนาดใหญ่และคนร่ำรวยได้ประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันเรแกนได้ตัดโปรแกรมเพื่อสวัสดิการสังคมบางอย่างลง เพื่อทำให้ค่าใช้จ่ายภาครัฐบาลกลางลดลง

การถดถอยของสหภาพแรงงาน

ในทางด้านแรงงาน เรแกนมีนโยบายไม่สนับสนุนสหภาพแรงงาน ดังใน ค.ศ. 1981 เมื่อมีการนัดหยุดงานเกิดขึ้นในกิจการควบคุมการบิน เขาได้มีคำสั่งปลดผู้ร่วมนัดหยุดงาน 13000 คนออกจากงาน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1981 เขาได้รับบาดเจ็บจากการลอบสังหาร แต่ก็กลับสู่สภาพปกติได้ ทำให้เสียงคนวิพากษ์ด้านประสิทธิภาพและปัญหาอายุของเขาลงไป แต่อย่างไรก็ตามสภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังคงเลวลง จนในปี ค.ศ. 1983 อัตราคนว่างงานได้ถึงจุดสูงสุดที่ร้อยละ 11 นับว่าเลวร้ายที่สุดตั้งแต่มีวิกฤติเศรษฐกิจในช่วง ค.ศ. 1929 ที่เรียกว่า The Great Depression แต่อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มลดลง อัตราเงินเฟ้อลดลง ซึ่งได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เรแกนได้ใช้วิธีการลดการควบคุมธนาคาร สายการบิน และอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันกันได้อิสระยิ่งขึ้น ทำให้เศรษฐกิจมีพลภาพมากยิ่งขึ้นอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1984 อัตราคนว่างงานได้ลงดลง เงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น และสัญญาณเศรษฐกิจหลายๆตัวได้ดีขึ้น ทำให้เรแกนได้รับเลือกเข้าสู่ตำแหน่งอีกครั้งอย่างท่วมท้น

การเลือกตั้ง

พรรคเดโมแครตได้เลือก Walter F. Mondale เป็นตัวแทนพรรคในตำแหน่งประธานาธิบดี และมีผู้แทนรัฐสภาหญิงชื่อ Geraldine Ferraro เป็นทีมตัวแทนแข่งขันในตำแหน่งรองประธานาธิบดี นับเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับเลือกให้ชิงต่ำแหน่งระดับสูงเช่นนี้ ในการนี้เรแกนชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น โดยชนะใน 49 รัฐ และชนะให้เสียงตัวแทน 525 เสียง (Electoral Vote) แต่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ไม่นาน ในขณะที่เรแกนได้ตัดงบประมาณภาครัฐบาลกลางลง ซึ่งรวมถึงสวัสดิการสังคม แต่งบประมาณด้านทหารกลับได้รับเพิ่มขึ้นสูงสุดนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง งบประมาณรัฐบาลกลางมีลักษณะติดลบหนักยิ่งขึ้น และในปี ค.ศ. 1987 เรแกนได้เสนอรัฐสภาขอผ่านงบประมาณที่ทำให้งบประมาณติดลบ คือใช้มากกว่าที่จะจัดเก็บรายได้ และงบประมาณของประเทศได้ขึ้นถึง 1ล้านล้านเหรียญ (Trillion Dollar Budget) เป็นครั้งแรก หรือคิดเป็นประมาณ 40 เท่าของประเทศไทย ในขณะที่การลดการควบคุมด้านเศรษฐกิจได้ก่อให้เกิดเสียงครหา และการค้าแบบติดลบ คือสินค้าเข้า มากว่าสินค้าส่งออกหรือว่าขายได้ (Trade Imbalance) ในที่สุดเศรษฐกิจบนฐานที่ไม่มั่นคงก็ได้ประสบวิกฤติ โดยในปี ค.ศ. 1987 หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ล่วงลงมา 508 จุดในวันเดียว

ต่อต้านคอมมิวนิสต์

ในด้านการต่างประเทศ เรแกนมีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ และไม่ได้ดำเนินนโยบายสายกลางๆ คือไม่เห็นด้วย แต่ยังคบหากัน แบบของนิกสัน ฟอร์ด และคาร์เตอร์ เรแกนได้กลับไปใช้วาจาที่แรงในแบบสงครามเย็นอีกครั้ง โดยเรียกสหภาพโซเวียตว่า The Evil Empire หรือ “อาณาจักปีศาจ” ในทางการทหาร ได้มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ มีการเตรียมระบบป้องกันขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่เรียกว่า Strategic Defense Initiative ซึ่งเป็นแผนที่เรียกกันติดปากว่า Star Wars ในปี ค.ศ. 1981 เรแกนได้ใช้นโยบายไม่คบค้ากับโปแลนด์ (Poland) หลังจากที่ประเทศนั้นได้มีรัฐบาลทหารเข้าปกครองประเทศ เรแกนได้ใช้เงินช่วยพวก contras ในการต่อสู้กับรัฐบาลฝ่ายซ้ายนิยมมาร์กซิสต์ที่เรียกว่าพวก Sandanista ในประเทศนิคารากัว (Nicaragua)

นาวิกโยธิน 241 คนในเบรุตถูกฆ่า

สงครามที่เปลี่ยนไป ภัยจากการก่อการร้ายแบบใหม่ได้เพิ่มขึ้น

ในปี ค.ศ. 1983 ทหารนาวิกโยธินของสหรัฐที่ประจำอยู่ในเบรุต ประเทศเลบานอน ในฐานะกองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติได้ถูกโจมตีด้วยผู้ก่อการร้ายได้ขับรถบรรทุกระเบิดพุ่งเข้าใส่ เป็นผลทำให้ทหารนาวิกโยธินเสียชีวิต 241 คน ในปีเดียวกันเรแกนได้สั่งทหารบุกเข้าประเทศเล็กๆ ในทะเลแคริเบียน ชื่อว่า Grenada ซึ่งทำให้สังคมชาวโลกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ทำให้สามารถล้มรัฐบาลที่นิยมคอมมิวนิสต์แบบคิวบาได้

ในปี ค.ศ. 1986 ในด้านอวกาศที่สหรัฐประสบความสำเร็จมาตลอดนั้น ได้เกิดเหตุยานอวกาศแบบบินขนส่ง ชื่อ Challenger ได้เกิดระเบิดหลังจากปล่อยออกจากฐานไม่ได้นาน เป็นผลทำให้ลูกเรือนักบินอวกาศทั้ง 7 คนเสียชีวิต นโยบายใช้ความรุนแรงในตะวันออกกลางของเรแกนเลวร้ายและทำให้สัมพันธภาพกับโลกอาหรับเลวร้ายยิ่งขึ้น ในปี ค.ศ. 1986 เขาได้สั่งให้กองทัพอากาศโจมตีลิเบียในฐานที่สนับสนุนการก่อการร้ายในเบอร์ลินตะวันตกที่ได้ฆ่าทหารอเมริกันไป 2 นาย

การก่อการร้าย

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีที่ประกาศว่าจะไม่เจรจากับพวกผู้ก่อการร้าย แต่สมาชิกของฝ่ายบริหารในรัฐบาลกลับได้มีการเจรจาอย่างลับๆ ที่เป็นเรื่องอื้อฉาวที่เรียกว่า Iran Contra Affair อันเป็นการขัดกับนโยบายและสวนทางกับรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเรแกนได้จัดหาอาวุธให้กับอิหร่าน เพื่อเป็นการแลกกับการปล่อยตัวประกันชาวอเมริกันในตะวันออกกลาง และผลจาการขายอาวุธได้นำไปใช้สนับสนุนขบถฝ่ายขวา คือพวก Contra ในประเทศนิคารากัว

เรแกนได้ปรับปรุงภาพลักษณ์ของเขาก่อนที่จะออกจากตำแหน่ง เมื่อเขาตกลงที่จะเจรจาลดอาวุธกับโซเวียต โดยมีผู้นำของโซเวียตในขณะนั้นคือ Mikhail Gorbachev ในช่วงดำรงตำแหนง เขาได้แต่งตั้งบุคคลฝ่ายอนุรักษ์เข้าดำรงตำแหน่งในศาลสูงถึง 3 คน ซึ่งรวมถึง Sandra Day O'Connor ซึ่งเป็นสตรีคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งในศาลระดับสูงเช่นนี้

No comments:

Post a Comment