Tuesday, April 7, 2009

การเรียนภาษาอังกฤษแบบเร่งรัด (Intensive English Courses)

การเรียนภาษาอังกฤษแบบเร่งรัด (Intensive English Courses)
ประกอบ คุปรัตน์ ศึกษาและเปิดประเด็น
E-mail:
pracob@sb4af.org
Updated: Tuesday, April 07, 2009

ความนำ

ความจำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษในโลกปัจจุบันในโลกที่มีความเป็นนานาชาติมีมากขึ้นเป็นลำดับ และคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนาดังในประเทศไทย ต่างต้องหาทางพัฒนาความสามารถในการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม จึงต้องมีภาษาที่สองนอกเหนือจากภาษาประจำชาติของตน และภาษาที่สองที่มีความสำคัญที่สุดในขณะนี้คือภาษาอังกฤษ (English Language) ซึ่งมีใช้กันอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา อินเดีย ออสเตรเลีย ปากีสถาน ศรีลังกา ฯลฯ

ภาษาอังกฤษมีความสำคัญในโลกยุคใหม่แน่ ดูจากข้อมูลเหล่านี้

การใช้เป็นภาษาแรก (First language) 309–400 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 5 ของประชากรโลก


  • ใช้เป็นภาษาที่สอง (Second language) 199–1,400 ล้านคน

  • โดยรวมแล้วมีคนใช้ภาษาอังกฤษประมาณ 500 ล้านคน ถึง 1800 ล้านคน

  • จัดเป็นภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดอันดับ 3 ของโลก

  • แต่เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เชื่อมโยงกับตระกูล Indo-European อันประกอบด้วย Germanic, West Germanic, Anglo–Frisian, English ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่มีอิทธิพลต่อประเทศในยุโรป ทั้งโดยทางตรง และทางอ้อม

  • ภาษาเขียน (Writing system) มีพื้นฐานมาจาก Latin (English variant)

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจ การทหาร วัฒนธรรม อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเป็นภาษาทางการของ 53 ประเทศ ซึ่งรวมถึง สหประชาชาติ (United Nations) สหภาพยุโรป (European Union) ประเทศกลุ่มเครือจักรภาพ (Commonwealth of Nations) องค์การทางทหาร NATO, เครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศอย่าง NAFTA, และความร่วมมือระหว่างประเทศข้ามทวีปอย่าง UKUSA

ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศที่มีการใช้ภาษาอังกฤษมากที่สุดได้แก่ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน แต่ในประเทศอื่นๆที่มีการใช้ตัวอักษรแบบโรมัน ทำให้มีความคุ้นในด้านภาษาเขียนแล้วเสียส่วนหนึ่ง คือเวียตนาม และอินโดนีเซีย

ประเทศไทยมีความตื่นตัวในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง รัฐบาลเองได้ให้ความสำคัญและมีการส่งเสริมให้เกิดโรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนแบบสองภาษา (International and Bilingual Schools) ขึ้น
เมื่อมีการทดสอบความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ที่ยอมรับได้ทั่วโลก อย่าง TOEFL, IELTS, แต่มีราคาแพง ในประเทศไทย การมี CU-TEP ที่พัฒนาโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อราว พ.ศ. 2532 บัดนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือในการวัดความสามารถที่สำคัญของประเทศที่สถาบันต่างๆ ได้นำไปใช้ในการรับคนเข้าศึกษาต่อ และเป็นการวัดเพื่อผ่านมาตรฐานทางวิชาการแล้วเป็นจำนวนมาก

เรียนเพื่ออะไร

สำหรับผู้เรียนที่มีความตื่นตัวกันอย่างมากในปัจจุบันนั้น เขาเรียนภาษาอังกฤษกันไปเพื่ออะไร
คำตอบคือเรียนเพื่อให้สอบผ่านตามข้อกำหนด ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ในการรับคนเข้าศึกษาต่อ ใช้เพื่อการคัดเลือกคนเข้าทำงาน เพื่อสอบผ่านเลื่อนขั้น การเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ที่ต้องใช้ความสามารถด้านภาษา
การศึกษาต่อต่างประเทศต้องใช้คะแนนของระบบทดสอบที่เป็นที่ยอมรับ

TOEFL เป็นระบบทดสอบที่มีฐานในสหรัฐอเมริกา , IELTS เป็นระบบทดสอบความสามารถด้านภาษาอังกฤษที่มีฐานจากสหราชอาณาจักร, CU-TEP เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นในประเทศไทย โดยใช้การเปรียบเทียบได้กับ TOEFL

TOEFL เป็นระบบทดสอบภาษาอังกฤษที่มีฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกา มีสถาบันอุดมศึกษา ที่ยอมรับผลการทดสอบเพื่อใช้ในการพิจารณารับคนเข้าศึกษาต่อมากที่สุดในโลก และป้จจุบันมีระบบทดสอบที่ใช้อินเตอร์เน็ตช่วยจัดการ ทำให้สะดวกที่จะใช้ได้อย่างไม่จำกัดเวลาและสถานที่ แต่ค่าใช้จ่ายคงยังสูงอยู่ หากไม่มีความคิดจะไปศึกษาต่อต่างประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องไปใช้

IELTS เป็นระบบทดสอบความสามารถด้านภาษาที่มีฐานการพัฒนามาจากทางประเทศสหราชอาณาจักร และมีสถาบันการศึกษาในกลุ่มประเทศเครือจักรภาพให้การรองรับผลการใช้งาน

เรียนเพื่อให้ได้ความสามารถตามที่ต้องการใน 4 ด้านดังต่อไปนี้

1. ความสามารถกด้านการอ่าน (Reading Comprehension)
2. ความสามารถด้านการฟัง (Listening Comprehension)
3. ความสามารถด้านการเขียน (Writing Skills)
4. ความสามารถด้านการพูด (Speaking Skills)

ทั้ง 4 เรื่องเป็นความจำเป็นในการสื่อสาร

2 เรื่องหลังเป็นเรื่องที่ยากที่จะวัด คือการวัดด้านทักษะการเขียน คือวัดว่าเขียนได้จริงๆ และการวัดด้านการพูด ซึ่งระบบทดสอบที่เป็นแบบปรนัย และใช้คอมพิวเตอ์ หรือแม้อินเตอร์เน็ตช่วย ก็ยังต้องมีการพัฒนากันต่อ เพราะในปัจจุบัน ยังต้องเป็นระบบที่ใช้คนมาดำเนินการในการตรวจ (Grading)

เป็นความจำเป็นต้องเรียน

ลองคิดโจทย์อย่างง่ายๆ แต่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ คือ

หากมีเวลาสัก 12 เดือน เพื่อจะต้องเพิ่มระดับความสามารถทางภาษาให้ได้สัก 100 คะแนน จะทำอย่างไร
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นเรื่องจริง เพราะการควบคุมมาตรฐานบัณฑิตศึกษา ทำให้ทางสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาหามาตรการบางอย่างเพื่อควบคุมไม่ให้การเปิดการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษานี้เป็นไปอย่างไร้คุณภาพ อย่างที่มีการพูดกันว่า

เรียนครบ จบแน่ หรือ จ่ายครบ จบแน่

สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการหามาตรการที่ชัดเจนด้านการควบคุมคุณภาพที่เป็นรูปธรรม จำต้องได้ นั้นคือการให้มีมาตรฐานความสามารถด้านภาษา ดังเช่น ต้องให้ผู้เรียนสอบผ่าน TOEFL หรือระบบทดสอบเทียบเคียงในระดับ 500 คะแนน จึงจะมีสิทธิจบการศึกษาได้ บางแห่งมีการกำหนดให้ภายในปีแรกของการเรียนต้องสอบให้ผ่านที่ 500 จึงจะได้ศึกษาต่อ มิฉะนั้นต้องให้ออกต้องไปสอบเข้าใหม่

ในโครงการหลักสูตรนานาชาติบางแห่ง มีคนต้องการเข้าศึกษามาก ถึงกับกำหนดให้ผู้เรียนต้องสอบผ่าน TOEFL หรือ CU-TEP ที่คะแนน 600 จึงจะมีสิทธิเข้าศึกษาต่อ

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีผู้ต้องขวนขวายหาทางเรียนเพื่อให้จบผ่านตามคะแนนที่กำหนด และในช่วงเวลาที่กำหนด บางคนต้องลงทุนสอบแล้วสอบอีกถึง 10 ครั้งกว่าจะสอบผ่าน

เรียนด้วยตนเอง

จะเรียนด้วยตนเอง ตัวอย่างจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ กระแสร์ ชนะวงศ์ ซึ่งต้องขออนุญาตมานำเสนอ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านเป็นแพทย์ระดับสูงแล้ว แต่ต้องทำงานกับคนชนบท ไม่มีโอกาสที่จะใช้และฝึกฝนภาษาอังกฤษกันมากนัก

เมื่อมีทุนการศึกษาที่จะให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งต้องมีการวัดความสามารถในด้านต่างๆ และมีภาษาอังกฤษอยู่ด้วย แต่ท่านเองก็สอบไม่ผ่านภาษาอังกฤษ จนเขาให้โอกาสไปสอบภาษาอังกฤษอีกครั้ง ท่านก็ต้องหาทางเรียนรู้ด้วยตนเอง แม้บางอย่างจะต้องใช้วิธีการฝึกเขียน อ่าน หรือแม้แต่ท่องจำ ก็ทำ คือทุ่มเท ให้เวลาในการเรียนการพัฒนาตนเอง เพราะต้องทำงานเป็นแพทย์ในชนบทไปด้วย จะหาเวลาไปนั่งเรียนอย่างเป็นระบบก็ไม่มี จึงต้องซื้อหาหนังสือมาอ่าน หาเทปมาเปิดฟัง และฝึกหัดพูดบ้าง ท่องบ้าง เพื่อให้คุ้นที่จะสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ท้ายสุดท่านสามารถสอบผ่าน ได้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ จนจบปริญญาเอกกลับมาอีกสาขาหนึ่ง

คนระดับเรียนแพทย์ดังท่าน ศ. นายแพทย์กระแสร์ ชนะวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกมาอย่างสูง มีสติปัญญาความสามารถ การจะเร่งรัดพัฒนาภาษาอังกฤษคงจะไม่ยาก แต่สำหรับคนอื่นๆ สายวิชาชีพอื่นๆ อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทำได้ ก็ต้องนับว่าดีมาก

สำหรับคนทั่วไป หากไม่สามารถกระทำได้ ก็ต้องยอมรับว่า ไปเข้าโรงเรียนแบบกวดวิชาก็ให้กระทำเถิด เรียนแบบให้ต้องมีคนเขาสั่งเขาสอน

เรียนโดยต้องมีระบบโรงเรียน เรียนแบบมีระบบทดสอบ มีสถานศึกษารองรับ

เรียนโดยเข้าโรงเรียน

ไม่ใช่ง่าย ต้องเร่งเรียน หรือเรียนภาษาอังกฤษอย่างเร่งรัด (Intensive English)
มีสองทางเลือก ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ คือต้องเลือกว่าจะเรียนที่ไหน นั่นคือ
เรียนในประเทศไทย อาจหาทางไปศึกษาในเมืองที่ใกล้บ้านที่สุด หรือเมืองใหญ่ หรือที่กรุงเทพฯ หรือ
ตัดสินใจไปหาที่ศึกษา เรียนในต่างประเทศ

การเรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทย

เรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทยให้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ ย่อมดีกว่าเดินทางไปเรียนในต่างประเทศที่ต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง แล้วก็ยังอาจไม่ได้ผลตามที่ต้องการ มีหลักสูตรที่เปิดสอน

เรียนเร่งรัดภายใน 2 – 3 สัปดาห์ก็มี

เรียนเป็นระยะเวลายาวหน่อย คือ 1- 2 เดือน คือเลือกเรียนในช่วงปิดภาคฤดูร้อน คนที่มีอาชีพทางการศึกษา ไม่มีการเรียนการสอน ก็สามารถใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนได้ โดยไม่เสียงาน

การเรียนในประเทศไทย ก็มีส่วนเสียเหมือนกัน คือเสียเวลา เสียโอกาสที่จะไปทำอย่างอื่นๆ และ
อีกด้านหนึ่ง คือ เสียค่าใช้จ่าย สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นมีรายงานมาว่าเสียตั้งแต่ 8500 บาทต่อ 2-3 สัปดาห์ และต้องไปหาที่เรียนในเมืองใหญ่ หรือเมืองหลวง หากเรียนยาวนานกว่านี้ มีที่เสียค่าใช้จ่ายถึง 25,000 – 30,000 บาท แบบเขารับรองผลการเรียน หากสอบไม่ผ่านตามที่ตกลงกัน เขาให้เรียนซ้ำได้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม

หากใครมีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์แก่วงการ ช่วยส่งข้อมูล หรือความเห็นมาสมทบด้วยครับ
การเรียนในชั้นเรียน

การเรียนภาษาอังกฤษแบบเร่งรัด กวดวิชา หรือเข้มข้นนั้น เขาเรียนประมาณ 15-20 ชั่วโมงเรียนต่อสัปดาห์ ซึ่งเทียบเหมือนกับการเรียนระดับปริญญาตรี หรือบัณฑิตศึกษาเต็มเวลานั้นเอง

การเรียนภาษาอังกฤษในแบบมีชั้นเรียน โดยมีครูเป็นคนจัดการระบบการเรียน ถ้าเป็นการเรียนในเมืองไทย เท่าที่เขาส่งเอกสารมาให้ มักจะมีการฟื้นฟู Grammar การสร้างความสามารถในการใช้ Vocabulary หรือทักษะด้านคำศัพท์ การเตรียมแนวการสอบ การพัฒนาทักษะและสมาธิการฟัง ฟังอย่างตั้งใจ การเดา การจับใจความแม้ไม่เข้าใจทุกอย่างได้ทั้งหมด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ ครูที่เป็นคนไทยสามารถทำการสอนได้ดีและสามารถเพิ่มคะแนนได้สัก 50-60 คะแนนในแบบ TOEFL/CU-TEP

แต่ทั้งนี้ ผู้เรียนก็ต้องตั้งใจเรียน อย่าหนีเรียน หรือเกเร และต้องขยันทำการบ้าน ศึกษาเอกสารตามคำสอน ไม่ใช่จะหวังได้เฉพาะเวลาที่เข้าเรียนในชั้นเรียน

มีอีกประเภทหนึ่งเหมือนกัน คือ เรียนเพื่อฝึกทักษะการพูด พวกนี้มักได้แก่คนที่ต้องทำงานกับชาวต่างประเทศ ต้องมีการเจรจากันเป็นภาษาอังกฤษ คนบางคน เมื่อเรียนมานั้นไม่เคยได้พูดคุยกับฝรั่งเลย การพูด การอ่านออกเสียงก็เป็นไปอย่างผิดๆ ทำให้สื่อความกันไม่รู้เรื่อง

มีเป็นอันมาก ที่เป็นนักธุรกิจ อาเสี่ย อาซ้อ ที่ต้องสร้างความประทับใจกับเพื่อนธุรกิจต่างประเทศ แม้ต้องจ้างครูผู้สอนมาสอนกันแบบตัวต่อตัว ก็ต้องทำ

การเรียนแล้วฝึกปฏิบัติ ทำการบ้าน

การเรียนภาษาอังกฤษ แบบเน้นเฉพาะในชั้นเรียน เรียนสัปดาห์ละ 15-20 ชั่วโมง ก็คงได้เพียงเท่านั้น
ผู้เรียนจะต้องเน้นไปที่การทำงาน ทำการบ้านตามที่ครูสั่ง ต้องอ่าน ทำโจทย์ ทำการแบบทดสอบ ใช้เวลาเพิ่มเติมไปอีกสัปดาห์ละ 15-20 ชั่วโมง ดังนี้จะได้ผลชัดเจนยิ่งขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง คือบทบาทของครูหรือสถานศึกษา ต้องมีการตรวจการบ้าน การติดตามงานที่ดี ให้ผลสะท้อนกลับแก่ผู้เรียนให้ดี มีการกระตุ้นให้กำลังใจ แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด การทบทวนหลักการต่างๆ ให้ได้ขึ้นใจ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้มีคนคอยให้ข้อมูลสะท้อนกลับ และให้กำลังใจอย่างพอเหมาะสมในระหว่างที่เรียน

เมื่อควบคู่กับการที่ผุ้เรียนมีการฝึกฝนให้มาก มากกว่าที่ครูสั่ง บทบาทฝ่ายครูผู้สอน และผู้เรียนที่ร่วมมือกันอย่างเข้าใจ เรียนอย่าง Active ผลที่ได้ก็จะมีมากขึ้น

การเรียนภาษาอังกฤษในต่างประเทศ

ก่อนการต้องไปศึกษาเล่าเรียนภาษาอังกฤษในต่างประเทศนั้น ต้องถามว่า มีทางเลือกอื่นๆที่กระทำได้ก่อนหรือไม่ เพราะการต้องไปเรียนภาษาอังกฤษในต่างประเทศนั้นมีส่วนที่ต้องเสียไป เช่น เงินค่าใช้จ่าย เสียเวลาที่ต้องเดินทางไป อาจทำให้เสียโอกาสในการทำงาน

ข้อดีและข้อจำกัด

การไปศึกษาและพัฒนาความสามารถด้านภาษาในต่างประเทศนั้นมีทั้งข้อดี และข้อจำกัด ซึ่งลองนำเสนอประเด็นดังต่อไปนี้

ข้อดี

สภาพแวดล้อม – คนไปศึกษาต่อต่างประเทศนั้น เขาต้องการไปอยู่ในสภาพแวดล้อม ที่ไม่สามารถหาได้ในประเทศไทย อย่างที่เขาบอกว่า .สิบปากว่า ไม่เท่าหนึ่งตาเห็น”

ไม่มีใครรบกวน – เมื่อตัดสินใจไปศึกษาเล่าเรียนด้านภาษาในต่างประเทศแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะได้มา คือไม่มีใครมารบกวน ถ้าเป็นเด็กๆ หรือเยาวชน การเดินทางไปศึกษาต่อนั้นทำให้ ต้องห่างจากเพื่อนๆ ที่อาจเคยกินเคยเที่ยวด้วยกันมา ทำให้ไม่เป็นอันเรียน

ไม่มีกิจกรรมสังคม – ไม่มีงานบวช งานแต่งงาน งานศพ มีข้อแก้ตัวได้ว่า กำลังอยู่ในต่างประเทศ
ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่จะได้เรียนรู้ – คือต้องอยู่กับคนในประเทศที่ไม่ใช่คนไทย วิทยุ หรือโทรทัศน์ที่จะเปิดฟัง ก็ไม่ใช่ภาษาไทย

คนมาเรียนภาษาอังกฤษ ส่วนหนึ่งคือการได้ศึกษาต่อในประเทศที่เขาต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร

ข้อเสีย

ค่าใช้จ่าย - การต้องเดินทางไปต่างประเทศอย่างไรเสียก็มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น


ขาดโอกาสในการทำงาน – คนที่เคยทำงานมีรายได้พอเลี้ยงตัวเองได้ แต่เมื่อต้องไปศึกษาต่อต่างประเทศ ก็ต้องใช้เงินทีเคยสะสมมา เงินจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง และโอกาสที่จะทำงานนั้น อย่างน้อยในช่วงแรกๆ ก็จะ

ยังต้องเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนที่จะไปหางานทำได้
ลองมองภาพรวมที่ทำให้เข้าใจเรื่องค่าใช้จ่ายได้อย่างเป็นรูปธรรมได้มากขึ้น โดยดูจากการนำเสนอของ British Council เอง

รายการค่าใช้จ่ายคิดเป็นเงินปอนด์ (GBP Notes)

  • ค่าที่พักในมหาวิทยาลัย GBP90-120 ต่อสัปดาห์ หากอยู่ในเมืองขนาดเล็ก จะถูกกว่านี้สักร้อยละ 30

  • จ่ายตลาดต่อสัปดาห์ 3GBP0-45 อย่างเพียงพอสำหรับคนไทย

  • การกินที่ร้านอาหาร GBP12-25 นานๆครั้ง

  • หนังสือและอุปกรณ์การเรียน GBP5-7 ต่อสัปดาห์

  • หนังสือพิมพ์ GBP.50

  • วารสาร GBP2-3

  • รถโดยสาร GBP.90 หากที่พักอยู่ใกล้สถานศึกษา ก็ไม่ต้องเสียประจำ
    โดยสารด้วยระบบ Travelcard แบบเวลาไม่เร่งรัด GBP5.90
    ค่าเดินทางได้ตลอดวัน ทั้งรถใต้ดิน (Underground, buses, etc.)

  • มื้ออาหารที่ McDonald’s ราคาพิเศษ GBP3.89

  • ชมภาพยนตร์ GBP5.50-10.00

  • ดื่มเบียร์เหยือกละ GBP2-4

  • ชมการแสดง (Theatre Ticket) GBP25

รวมค่าใช้จ่ายต่อเดือนในลอนดอน GBP800
อ้างอิง British Council

ค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ GBP800 หรือ 400 ในมูลค่าปัจจุบัน หรือต่อ 10 เดือนเท่ากับ 400,000 บาท

ค่าเล่าเรียนประมาณปีละ GBP9000 หรือปีละ 450,000 บาท สำหรับการเรียน 10 เดือนค่าเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ – ลอนดอน เท่าก้บประมาณ 45000 บาท รวมแล้วเท่ากับประมาณ 900,000 บาท

ในกรณีนี้ หากได้ทำงานสักสัปดาห์ละ 20 ชั่วโมงๆละ GBP8 หรือ 400 บาท สัปดาห์หนึ่งจะได้เงิน 8000 บาทหรือเดือนละ 30,000-40,000 บาท ซึ่งจะเท่ากับลดค่ากินค่าอยู่ไปได้สักร้อยละ 40-50 ซึ่งในกรณีนี้ ต้องไม่มีปัญหาด้านภาษาและการสื่อสารแล้ว และสิ่งที่ได้เรียนมา มีประโยชน์พอที่จะช่วยหางานทำได้ เช่นมีทักษะด้านคอมพิวเตอร์ ทำงานสำนักงานได้ เป็นต้น

เรียนภาษาอังกฤษในประเทศใด

ารไปเรียนภาษาอังกฤษ หรือหาประสบการณ์ภาษาอังกฤษนั้น หากจะไปศึกษาต่อในต่างประเทศนั้น ควรจะไปประเทศใด เรื่องนี้ไม่มีคำตอบเบ็ดเสร็จสำหรับทุกคน เพราะมีสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน แต่จะพอรวบรวม และเล่าให้ฟังดังนี้

- อังกฤษ อเมริกา
- ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
- อินเดีย ปากีสถาน
- มาเลเซีย

การต้องมีเครือข่าย และต้องเตรียมการ

การเรียนภาษาอังกฤษเข้มข้นในประเทศออสเตรเลีย
Intensive English Courses (IEC)

มีใครมีข้อมูลที่จะแลกเปลี่ยนกัน เกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น (Intensive English Courses – IEC) ในประเทศออสเครเลีย โปรดนำเสนอด้วย

การเรียนภาษาอังกฤษเข้มข้นในประเทศอังกฤษ
Intensive English Courses (IEC)

มีใครมีข้อมูลที่จะแลกเปลี่ยนกัน เกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น (Intensive English Courses – IEC) ในประเทศสหราชอาณาจักร (United Kingdom) โปรดนำเสนอด้วย

หากมีใครที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับลักษณะดังต่อไปนี้ในประเทศอังกฤษ โปรดเข้ามาแลกเปลี่ยนและนำเสนอ หรือ Link ไปยังแหล่งที่เราจะไปรวบรวมได้ด้วย

- การเป็นสังคมหลากหลายเชื่อชาติ
- เป็นต้นกำเหนิดของภาษาอังกฤษ
- เปิดโอกาสในการทำงาน
- หาสถานที่ศึกษาต่อได้ง่าย มีสถานศึกษามีคุณภาพให้เลือกตามลักษณะสาขาวิชาที่เหมาะสม สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่เป็นของรัฐ

การเรียนภาษาอังกฤษเข้มข้นในประเทศสหรัฐอเมริกา
Intensive English Courses (IEC)

มีใครมีข้อมูลที่จะแลกเปลี่ยนกัน เกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น (Intensive English Courses – IEC) ในประเทศสหราชอาณาจักร (United Kingdom) โปรดนำเสนอด้วย

- การเป็นสังคมหลากหลายเชื่อชาติ
- ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก
- เปิดโอกาสในการทำงาน
- หาสถานที่ศึกษาต่อได้ง่าย มีสถานศึกษามีคุณภาพให้เลือกตามลักษณะสาขาวิชาที่เหมาะสม สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่เป็นของรัฐ
- มีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่ต่างกัน มีที่ไหนที่มีค่าใช้จ่ายน้อย แต่มีคุณภาพการศึกษาที่ดี มีทางเลือกอย่างไรบ้าง

เรียนหลักสูตรแบบไหน

Intensive English Courses (IEC)

เรียนแบบวิทยาลัยชุมชน (Community Colleges) ค่าเล่าเรียนจะถูกหน่อย

หรือเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐในเขตที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก ดังเช่น Oklahoma, Kansas, Iowa, Washington, Oregon, ทางใต้อย่าง Louisiana, Alabama, Kentucky, etc.

เรียนสถาบันอะไร
Intensive English Courses (IEC)

มีใครที่มีประสบการณ์ที่ดี ที่คุณภาพการสอนที่ดี ค่าใช้จ่ายไม่แพง หรือมีวิธีการหางาน หารายได้ช่วยค่าใช้จ่ายในการเรียนได้บ้าง โปรดเสนอแนะมา

สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร

Intensive English Courses (IEC)

ตัวอย่าง

ผู้ประสบความสำเร็จในการเรียน
ผู้ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน
ความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ
สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร
นักศึกษา ทำงานร้านอาหารไทย
ทำงานและเรียนไปด้วย แต่เป็นเวลาสองปีแล้ว ยังไม่สามารถสอบผ่านเกณฑ์ภาษาอังกฤษตามที่สถาบันกำหนดได้
สภาพแวดล้อมร้านอาหาร
การนำไปสู่การมีเพื่อนๆที่เป็นคนไทย
เที่ยวกินกับคนไทย นำไปสู่การมีเวลาสิงสิงนินทากัน (Mouth) กัน ไม่เกิดประโยชน์ทางการศึกษา
นักศึกษาไทย ฝึกงานทำงานกับคนในประเทศ (Internship)

มูลนิธิก้าวไกลในเอเซีย หรือ SpringBoard For Asia – SB4AF ในประเทศไทย มีความประสงค์ที่จะสื่อและสร้างความร่วมมือในการให้ประสบการณ์ฝึกงานสำหรับนักศึกษาไทยในต่างประเทศในหลากหลายสาขาวิชาการ และวิชาชีพ

หากท่านเป็นดังต่อไปนี้

- คนไทยในต่างประเทศ ที่มีโอกาสให้การสนับสนุนด้านที่พัก การฝึกงานด้านต่างๆ
- พบคนต่างชาติที่มีทัศนคติที่ดีต่อคนไทย และมีโอกาสที่จะให้ความร่วมมือในการฝึกงานแบบ เขาได้ประโยชน์ เราได้ประโยชน์
- นักธุรกิจที่ต้องทำงานติดต่อกับคนไทย หรือคนในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
- ร้านอาหารไทย ที่ต้องการคนไทยทำงาน ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว งานพนักงานเสิร์ฟ พ่อครัว/แม่ครัว
- แพทย์พยาบาลไทย
- นักวิชาชีพไทย ที่สามารถอำนวยประโยชน์แก่คนไทย นักวิชาชีพไทย ที่จะมาฝึกงาน
หลักการ คือ
- การได้ประโยชน์แบบ Win/Win เขาได้ประโยชน์ เราได้ประโยชน์ เยาวชนไทยได้ประโยชน์ และเจ้าของกิจการได้ประโยชน์
- ความต้องการที่อาจต่างกันบ้าง แต่พอปรับให้เข้ากันได้ เช่น นักเรียนนักศึกษาต้องการอะไร สถานที่ทำงาน การฝึกงาน การได้เรียนรู้ภาษา การได้มีที่พัก อาหารการกิน
- เจ้าของกิจการต้องการอะไร – คนช่วยงาน เต็มเวลาหรือบางเวลา (Part-time) การได้คนทำงานอย่างตั้งใจ มืออาชีพ คล่องแคล่ว ไม่ผิดพลาด

ความสำคัญอยู่ที่ตัวผู้เรียน

การจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ส่วนสำคัญ คืออยู่ที่ตัวผู้เรียน ดังสุภาษิตที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่ความสำคัญของผู้เรียนที่จะช่วยกันสรุปเป็นบทเรียนนั้นมีอะไรบ้าง มีอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งต่อไปนี้หรือไม่

- ความตั้งใจ เรียนที่ไหนๆก็ได้
- เรียนอย่างมียุทธศาสตร์ ต้องยอมเสียบางอย่างเพื่อให้ได้บางอย่าง
- ต้องมีนิสัยที่ควบคุมตนเองได้ดี
- จัดการกับสภาพแวดล้อมรอบตัวเองได้
จะเป็นผู้นำ จะทำเรื่องใหญ่ๆได้ เรื่องเล็กๆ ก็ต้องทำให้ได้

บทสรุป

ผมยังไม่ได้สรุปบทเรียน คงจะต้องประมวลข้อมูล อาจจะอีกสัก 12 เดือนจึงจะสามารถสรุปเป็นบทความข้อเขียนที่สมบูรณ์ได้มากกว่านี้

มีคนสรุปให้บทเรียนเกี่ยวกับโอกาสการเรียนและพัฒนาทักษะความสามารถทางภาษาอย่างไร ลองช่วยกันสรุปด้วย

1 comment:

  1. อยากลงเรียนภาษอังกฤษคอร์สเร่งรัดในเมืองไทย ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อดิโพลม่า 1ปี ที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียน่ะค่ะ ไม่ทราบมีที่ไหนแนะนำมั๊ยคะ (ขอแบบเรียนแล้วได้ผล สามารถสนทนากับต่างชาติได้จริงๆ)มีที่ไหนให้เลือกเรียนในวันหยุดได้บ้างคะ เพราะทำงานอยู่
    รบกวนขอข้อมูลด้วยนะคะ
    ขอบคุณค่ะ ^^

    ReplyDelete